ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored
————————————————————-
190
อาจารย์เก็บตัวอีกครั้ง
หลังจากวันนั้น ฉู่หว่านหนิงกับโม่หรานก็ไม่มีโอกาสพบหน้ากันเป็นการส่วนตัวชั่วคราว
สู่จงฝนตกหนักไม่หยุด คล้ายเป็นเหตุอาเพศ ในแม่น้ำถาโถมเชี่ยวกรากนอกเมืองไป๋ตี้ปรากฏกุ้งหอยปูปลาตายเกลื่อน ในหมู่ชาวบ้านปรากฏสัตว์ร้ายภูตน้ำมากมาย เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ของยอดเขาสื่อเซิงรุดไปปราบปีศาจในแต่ละหมู่บ้านกันแทบทั้งหมด ส่วนฉู่หว่านหนิงกับโม่หราน เนื่องจากมีพลังอาคมสูงทั้งคู่ ครั้งนี้จึงไม่ได้ถูกจัดให้สิ้นเปลืองกำลังในที่เดียวกัน คนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังท่าเรือซานเสีย อีกคนมุ่งหน้าไปยังอี้โจว
สำนักหรูเฟิงมีรากฐานร้อยปี ในเจดีย์จินกู่กักปีศาจไว้นับไม่ถ้วน ครั้นล่มสลายไป จึงเกิดเหตุวุ่นวายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
นอกจากสู่จงแล้ว ดินแดนสงบสุขที่เป็นของโลกบำเพ็ญเพียรแต่เดิม เช่น หยางโจว เหลยโจว และสวีโจว ก็บังเกิดโศกนาฏกรรมอย่างสัตว์อสูรออกมาเข่นฆ่าจับคนกินบ่อยครั้งเช่นกัน ทำให้กำลังคนและกำลังกายของแต่ละสำนักลดทอนไปมาก การสืบหาร่องรอยของสวีซวงหลินจึงล่าช้ายิ่งกว่าเดิม
พลังวิญญาณของโม่หรานเป็นที่น่าตื่นตะลึง ทั้งบัดนี้กระทำการยิ่งสุขุมมั่นคง ใช้เวลาเพียงสี่วันก็ทำให้อี้โจวสงบลงได้อย่างรวดเร็ว เมื่อกลับมาถึงยอดเขาสื่อเซิง ได้ยินว่าฉู่หว่านหนิงกลับมาแล้วก็ดีใจยิ่งนัก จะไปหาเขาที่ศาลาหงเหลียนทันทีโดยไม่ห่วงพักผ่อน
สุดท้ายกลับพบว่าประตูใหญ่ศาลาหงเหลียนปิดสนิท เมื่อถามดู เซวียเจิ้งยงก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เก็บตัวน่ะสิ อวี้เหิงไม่ได้บอกเจ้าหรือ”
“เก็บตัวอีกแล้ว?” โม่หรานตกใจ “อาจารย์ได้รับบาดเจ็บหรือ”
“ได้รับบาดเจ็บอะไรกัน เขาเคยบอกว่าเป็นเพราะเคล็ดวิชาที่ฝึกมิใช่หรือ ทุกเจ็ดปีต้องเก็บตัวหนึ่งครั้ง ระหว่างเก็บตัวคราวก่อน เจ้ายังเคยไปเยี่ยมเขาอยู่เลย เหตุใดจึงลืมแล้ว”
เซวียเจิ้งยงกล่าวเช่นนี้ โม่หรานจึงนึกได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้จริง…ตอนนั้นเขาเพิ่งกราบฉู่หว่านหนิงเป็นอาจารย์ เพิ่งผ่านไปครึ่งค่อนปี ฉู่หว่านหนิงก็บอกว่าในวัยเยาว์ตนเคยใจร้อนฝึกเคล็ดวิชา แม้อาการมิได้หนักหนา แต่ทุกเจ็ดปีจะต้องเก็บตัวฝึกบำเพ็ญหนึ่งสวิน
หนึ่งสวินคือสิบวัน ในช่วงสิบวันนี้ฐานการบำเพ็ญของปรมาจารย์ฉู่จะเสื่อมถอยลงจนแทบใกล้เคียงกับคนธรรมดา ต้องเข้าฌานฝึกบำเพ็ญ จึงจะฟื้นฟูร่างกายได้ ช่วงเวลานี้เขาจะมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามในแต่ละวันที่จะคืนสติขึ้นมาดื่มน้ำกินอาหารได้เล็กน้อย เวลาที่เหลือล้วนมิอาจถูกผู้ใดรบกวนเด็ดขาด ทั้งยิ่งมิอาจได้รับบาดเจ็บ ฉะนั้นฉู่หว่านหนิงจึงกางข่ายอาคมที่แข็งแกร่งที่สุดไว้โดยรอบศาลาหงเหลียนล่วงหน้า อนุญาตเพียงเซวียเจิ้งยง เซวียเหมิง ซือเม่ย และโม่หรานเข้าไปได้ เพื่อผ่านด่านเคราะห์ไปได้อย่างปลอดภัย
ครั้งก่อน ก่อนที่จะเข้าเก็บตัวไม่นาน เขามีเรื่องขัดแย้งกับฉู่หว่านหนิงเพราะเรื่อง “เด็ดดอกไม้” หลังจากถูกฉู่หว่านหนิงทำโทษ ก็หมดอาลัยตายอยาก ดังนั้นช่วงที่อาจารย์เก็บตัวบำเพ็ญสิบวัน เขาจึงไม่เคยไปเฝ้าดูเลยสักวัน แต่วิ่งไปช่วยท่านลุงจัดหอตำรา
นึกถึงปีนั้น ในใจโม่หรานก็รู้สึกไม่สบายใจ เอ่ยทันที “ข้าจะไปเยี่ยมอาจารย์สักหน่อย”
“เจ้าไม่ต้องไป ก่อนเขาเก็บตัวบอกไว้แล้วว่าให้ทำเหมือนคราวก่อน เซวียเหมิงเฝ้าสามวันแรก ซือเม่ยสามวันต่อมา สี่วันสุดท้ายเจ้าค่อยไปเฝ้าเขา”
“ข้าเพียงอยากไปดูหน่อย…”
“มีอะไรน่าดู” เซวียเจิ้งยงยิ้ม “ครั้งก่อนที่ข้ามด่านเคราะห์นี้ ก็เป็นเหมิงเอ๋อร์กับซือเม่ยอยู่เป็นเพื่อนเขามิใช่หรือ เจ้ายังมีอะไรไม่วางใจ อีกทั้งเจ้าไปแล้ว เหมิงเอ๋อร์เห็นเจ้า ก็ต้องคุยกับเจ้า เสียงหนวกหูไปถึงอวี้เหิงคงไม่ดีนัก”
โม่หรานคิดดูก็เห็นจริง จึงยอมรับปากไม่ไป ตกดึกกลับนอนไม่หลับ พอคิดว่าเซวียเหมิงอยู่กับฉู่หว่านหนิงตามลำพังในศาลาหงเหลียน ก็รู้สึกไม่สบายใจ ไม่สบอารมณ์เป็นพิเศษ
เขาย่อมรู้ว่าเซวียเหมิงใสซื่อบริสุทธิ์ ทั้งไม่มีความสนใจต่อบุรุษเพศแต่อย่างใด แต่เขาก็ยังคงอึดอัดไม่สบายใจ พลิกกายไปมาครึ่งค่อนคืน จนฟ้าสางจึงพอจะหลับลงได้สองชั่วยาม
เมื่อตื่นขึ้นมา โม่หรานก็รู้สึกทนไม่ไหว
เขายังคงอยากไปเยี่ยมฉู่หว่านหนิงสักหน่อย แม้จะมองดูอยู่ไกลๆ ก็ยังดี
ประตูใหญ่ศาลาหงเหลียนปิดอยู่ ข่ายอาคมกางรอบด้าน แต่โม่หรานเป็นศิษย์ของฉู่หว่านหนิง ข่ายอาคมจึงมิได้ขวางกั้นเขา ส่วนบานประตูที่ทำจากไผ่เขียวยิ่งไม่ต่างจากของประดับตกแต่ง โม่หรานใช้วิชาตัวเบาก็กระโดดเข้าไปยืนอยู่ในลานเรือนได้อย่างมั่นคงแล้ว ทุกครั้งที่ฉู่หว่านหนิงเข้าฌานฝึกบำเพ็ญ ล้วนคุ้นเคยกับการอยู่ในศาลาไผ่เขียวซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสระบัว ครั้งนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น
ดังคาด มองแต่ไกลก็เห็นผ้าโปร่งพลิ้วไหวรอบศาลาไผ่ ท่ามกลางใบบัวแน่นขนัดเหนือสระน้ำที่ปกคลุมด้วยไอหมอก ฉู่หว่านหนิงนั่งสมาธิบนเบาะรองนั่ง ชุดขาวคลี่คลุมพื้น
เซวียเหมิงยืนอยู่ข้างๆ เขา คงรู้สึกว่าแสงตะวันด้านนอกสว่างสดใส จึงรวบผ้าโปร่งขาวด้านหนึ่งขึ้น ให้อาจารย์ได้รับแสงแดดอบอุ่นสักหน่อย แสงอรุณยามเหมันต์สาดส่องเข้ามาในศาลา ทาบทอบนใบหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อยของฉู่หว่านหนิง คงเพราะสัมผัสถึงความอบอุ่นนี้ ใบหน้าเขาจึงค่อยๆ ซับสีเลือดขึ้นมาเล็กน้อย
ผ่านไปสักพักเหงื่อเม็ดละเอียดก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากการโคจรลมปราณ เซวียเหมิงจึงหยิบผ้าสีขาวทางด้านข้างซับเหงื่อให้เขา หลังจากเช็ดเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา เหลียวมองซ้ายขวาอย่างอดมิได้ พลางพึมพำ “แปลกจริง เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนมีคนมองข้าอยู่…”
โม่หรานมิได้แค่มอง แต่กำลังจ้องมอง
สีหน้าคล้ายเยือกเย็น ทว่าในใจปั่นป่วนไม่เป็นสุข
เขารู้สึกว่าระยะเวลาที่เซวียเหมิงซับเหงื่อข้างขมับให้ฉู่หว่านหนิงนั้นออกจะนานไปหน่อย ระยะห่างก็ใกล้เกินไป สายตาก็ดูคลุมเครือเกินไป…สรุปคือ ความผิดทุกอย่างที่ไม่ควรมีล้วนตกที่ตัวเซวียเหมิง เขารู้สึกหงุดหงิด ไม่สบอารมณ์
หงุดหงิดไปหงุดหงิดมา โม่หรานก็ชักจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่ที่นี่ให้ทรมานอีก จึงคิดจะผละจากไป
แต่เขาไม่ทันระวังให้ดี เสียงฝีเท้าจึงดังขึ้นมา เซวียเหมิงซัดดาวกระจายที่เปล่งประกายเย็นเยียบเปี่ยมพลังวิญญาณออกไปทันที ตวาดกร้าว “ผู้ใด!”
ดาวกระจายเป็นเรื่องเล็ก แค่มือเปล่าก็รับได้แล้ว แต่ได้ยินเสียงเขาตะโกนเช่นนี้ โม่หรานก็ใจหายวาบ รีบพุ่งออกจากป่าไผ่ โฉบผ่านผิวน้ำเหนือสระบัว กระโดดลงในศาลาไผ่เบาๆ
เซวียเหมิงเบิกตากว้าง “ทำไมเจ้าถึง…”
“เบาหน่อย” โม่หรานรีบปิดปากเขาทันที กดเสียงต่ำ “เจ้าจะตะโกนทำไม”
“อื้อๆๆ …อื้อ!” เซวียเหมิงดิ้นรนอยู่นานกระทั่งสลัดหลุดจากมือโม่หรานได้ ใบหน้าแดงก่ำ ลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงด้วยอาการฮึดฮัด เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “ยังมีหน้ามาว่าข้า? เจ้าทำลับๆ ล่อๆ อย่างกับโจรอยู่ในพุ่มไม้หาอะไร”
“…ข้ากลัวเจ้าจะส่งเสียงดังเหมือนตอนนี้อย่างไรเล่า”
“ข้าส่งเสียงดังอาจารย์ก็ไม่ได้ยิน!” เซวียเหมิงเดือดดาล “อาคมดับเสียงอย่างไรเล่า เจ้าไม่เห็นหรือว่าอาจารย์ลงอาคมดับเสียงให้ตนเอง ตราบใดที่ไม่คลายอาคมออก ต่อให้เจ้าตะโกนใส่หูอาจารย์ เขาก็ไม่ได้ยินว่าเจ้าพูดอะไร…”
เขาตะโกนฉอดๆ โม่หรานกลับอึ้งไป “อาคมดับเสียง? เช่นนั้นเหตุใดท่านลุงบอกว่ากลัวข้ามาแล้วจะทำเสียงดังรบกวนพวกเจ้า”
“พ่อข้าคงเห็นว่าเจ้าเพิ่งกลับจากอี้โจวย่อมต้องเหน็ดเหนื่อย จึงอยากให้เจ้าพักผ่อนก่อน” เซวียเหมิงเอ่ยอย่างหมดคำจะกล่าว “คำพูดเขา เจ้าก็ยังเชื่อเข้าไปได้ ไม่รู้จักคิดดูเอาเอง เก็บตัวครั้งใดบ้างที่อาจารย์ไม่ลงอาคมนี้ให้ตนเอง เพื่อให้เราที่อยู่ข้างๆ สะดวกสบายขึ้น เจ้ามันไม่รู้จักใช้หัวคิด โง่นัก”
โม่หราน “…”
เมื่อเห็นโม่หรานเตรียมนั่งลงในศาลา เซวียเหมิงรีบดึงเขา “นี่ เจ้าจะทำอะไร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะอยู่ด้วย”
“ใครจะให้เจ้าอยู่กัน บอกแล้วว่าสามวันแรกเป็นข้าเฝ้า เจ้าจะอวดฉลาดต่อหน้าอาจารย์อีกแล้วหรือ ไปๆๆ อย่าแย่งงานข้า”
“เจ้าคนเดียวดูแลอาจารย์ได้ดีหรือ”
“ทำไมข้าจะดูแลให้ดีไม่ได้ ใช่ว่าข้าดูแลอาจารย์เก็บตัวเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไร”
เห็นเซวียเหมิงโกรธเกรี้ยว โม่หรานเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก หลังจากลังเลสักพัก จึงเตรียมจะผละจากไป พลันเห็นถ้วยชาบนโต๊ะ ใบชากว้าง มีสีเข้ม ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ จึงถาม “ชาเสวี่ยตี้เหลิ่งเซียงของคุนหลุน?”
“หืม? เจ้ารู้จักได้อย่างไร”
“…” เหตุใดเขาจะไม่รู้จัก ชานี้คือชาที่เซวียเหมิงโปรดปรานที่สุด เซวียเหมิงมักชอบมอบสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดให้อาจารย์ แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งของเหล่านี้เหมาะกับฉู่หว่านหนิงหรือไม่ เขาชอบหรือไม่กันแน่
“เสวี่ยตี้เหลิ่งเซียงมีฤทธิ์เย็น เดิมร่างกายอาจารย์ก็มีความเย็นเป็นพื้นอยู่แล้ว เจ้ายังให้อาจารย์ดื่มชาประเภทนี้อีก เขาจะสบายดีหรือ”
เซวียเหมิงตกตะลึง ใบหน้าเริ่มแดงเรื่อ อธิบายอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าก็ไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น ข้ารู้เพียงเสวี่ยตี้เหลิ่งเซียงคือชาดี ข้า…”
“ไปเปลี่ยนเป็นชาหอมดอกเย่ว์จี้ [1] เติมน้ำผึ้งสองช้อน รออาจารย์ออกจากสมาธิแล้วค่อยชงให้เขาดื่ม ข้าจะไปทำของว่างเตรียมไว้ ประเดี๋ยวจะส่งมาให้เจ้า”
เซวียเหมิงอยากกู้หน้าคืน รีบเอ่ย “ของว่างกินไม่ได้ สิบวันนี้ต้องอดอาหาร”
“ข้ารู้ แต่ท่านลุงบอกว่ากินได้เล็กน้อย” โม่หรานว่าพลางโบกมือ ออกจากศาลาไผ่ เดินไปนอกศาลาริมน้ำ “แล้วพบกัน”
เซวียเหมิงมองไล่หลังเขาอย่างใจลอย
กระทั่งโม่หรานเดินไปไกลแล้ว เขาก้มหน้าลง อดมองไปที่ข้างลำคออาจารย์ไม่ได้…รอยช้ำจางๆ จุดนั้นที่ตนบังเอิญสังเกตเห็นเมื่อวาน
ใต้แสงตะวันยิ่งเห็นเด่นชัด ไม่เหมือนรอยยุงหรือแมลงกัดต่อย ทั้งมิใช่บาดแผล บัดนี้เซวียเหมิงมิใช่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว แม้บางเรื่องไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้อะไรเลย ร่องรอยนี้บนคอของฉู่หว่านหนิง ทำให้เขาไม่เป็นสุขยิ่งนัก
เขานึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ โดยเฉพาะเสียงที่ตนได้ยินที่เขาด้านหลังวันนั้น
เขาบอกตนเองมาตลอดว่านั่นคือเสียงลม…คือเสียงลม
แต่เมฆหมอกดำทะมึนในใจคล้ายคืบคลานเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง ภายใต้หมอกควันหนาแน่น คล้ายมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดค่อยๆ เผยโฉมหน้าของมันออกมา
ท่ามกลางแสงตะวันอบอุ่น ไม่รู้เหตุใดเซวียเหมิงพลันรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขาสั่นสะท้าน หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
เพราะความไม่เป็นสุขนี้ พอถึงวันที่หกที่ฉู่หว่านหนิงเก็บตัว เซวียเหมิงก็ตัดสินใจ…
เขาวางแผนจะลอบสังเกตโม่หราน
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ซือเม่ยปรนนิบัติฉู่หว่านหนิง เดิมการผลัดเวรสมควรเป็นตอนเที่ยงคืน แต่วันนี้โม่หรานรีบกินข้าวเย็นที่โรงยายเมิ่งเร็วกว่าปกติ จากนั้นก็ถือกล่องสำรับใส่ของว่างมุ่งหน้าตรงมาที่ศาลาหงเหลียน เซวียเหมิงไม่คาดว่าเขาจะมาผลัดเวรกับซือเม่ยในเวลานี้ จึงไม่กินข้าวต่อ รีบย่องตามไปทันที ลอบตามโม่หรานมาตลอดทางจนถึงนอกศาลาหงเหลียน โม่หรานเดินเข้าประตูไป ส่วนเขารั้งรออยู่สักพัก ก่อนจะกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในลานเหมือนที่โม่หรานทำเมื่อครั้งก่อน
ยามนี้อาทิตย์อัสดงยังไม่ทันตกดิน จันทร์เสี้ยวก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว สีสันสดใสที่แต่งแต้มโฉมบนท้องฟ้าถูกชะออกไป เหลือเพียงเสี้ยวสีแดงเรื่อเรืองที่ปลายหางตา หมอกสายัณห์งดงามดุจแป้งผัดหน้าสีซีดจาง แป้งชาดหนาถูกสีสันดำเข้มยามราตรีกลบกลืน ดวงดาวดุจสายนที
โม่หรานถือกล่องสำรับ เห็นซือเม่ยหันหลังให้ตนจากไกลๆ จึงเดินไปที่ศาลาไผ่ เขาคล้ายไม่ได้ยินเสียงขณะโม่หรานเดินเข้าไปหยุดลงที่เบื้องหน้าฉู่หว่านหนิง
โม่หรานยิ้ม กำลังจะร้องทักเขา พลันเห็นประกายจางๆ เย็นเยียบในมือซือเม่ย ชี้ไปยังฉู่หว่านหนิงที่กำลังอยู่ในสมาธิ โม่หรานตกตะลึง ในสมองพลันปะทุสะเก็ดไฟ ตะโกนออกไปทันที
“ซือเม่ย!”
แผ่นหลังเย็นวาบ เส้นขนลุกชัน
ในสองชาติของเขา การจากเป็นจากตายที่ประสบมามีมากมายเหลือเกิน จนถึงวันนี้ เพียงแค่ลมพัดหญ้าไหว [2] เขาก็หวาดหวั่นไปหมด ดังคำว่าถูกงูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกไปสิบปี ศาลาหงเหลียนแห่งนี้เคยวางร่างไร้ชีวิตของฉู่หว่านหนิงนานถึงสองปีเต็ม กระทั่งวันที่ตนตาย
ความจริงเขาไม่ชอบที่นี่เลย ยามก้าวเข้ามาที่ศาลาริมน้ำนี้ มักทำให้เขานึกถึงวันคืนช่วงสุดท้ายของชีวิตตนเมื่อชาติก่อน ฉู่หว่านหนิงนอนอยู่ท่ามกลางดอกบัว ดวงตาทั้งสองปิดสนิทชั่วกาล ไม่มีลมหายใจอีก
ด้วยเหตุนี้ ลึกๆ ในใจแล้ว เขารู้สึกว่าศาลาหงเหลียนคือสถานที่หายนะ มีลำคอที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้งรอเขมือบกลืนเปลวไฟกองสุดท้ายของโลกมนุษย์
ซือเม่ยหันมา เขาลดมือลง ประกายสีเงินซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ “อาหราน? …เจ้ามาได้อย่างไร”
“ข้า…”
เขาใจเต้นรัว หายใจไม่ทัน ไม่สนอะไรทั้งสิ้น คิ้วเข้มขมวดมุ่นพลางเอ่ย “ในมือท่าน…”
“ในมือ?”
ซือเม่ยชะงักเล็กน้อย จากนั้นยกมือขึ้นมา เห็นเป็นเพียงหวีเล่มหนึ่ง หลอมจากเงินบริสุทธิ์ ที่สันหวีฝังเศษศิลาวิญญาณที่ช่วยให้ลมปราณไหลเวียนได้คล่อง
โม่หรานอึ้งไป สักพักจึงเอ่ย “ท่าน…กำลังหวีผมให้อาจารย์?”
“…อืม ทำไมหรือ” ซือเม่ยสังเกตเขาจากบนลงล่าง คิ้วงามขมวดเล็กน้อย “สีหน้าไม่ดีเช่นนี้ ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
“เปล่า ข้าเพียงแค่…”
พูดไปได้ครึ่งเดียวก็พูดต่อไม่ออกอีก ใบหน้าเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดงเรื่อ เคราะห์ดีที่ราตรีมืดสลัว จึงเห็นไม่ชัดเจน หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง โม่หรานก็เบือนหน้าเล็กน้อย กระแอมเบาๆ “ไม่มีอะไร”
ซือเม่ยยังคงมองเขาเงียบๆ จากนั้นคล้ายจะเข้าใจขึ้นมา สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย เอ่ยอย่างลังเล “หรือเจ้าคิดว่า…”
โม่หรานรีบกล่าว “ข้าเปล่า”
ถึงอย่างไรซือเม่ยก็เป็นคนที่ดีต่อเขาอย่างยิ่ง เป็นคนที่เขาเห็นเหมือนญาติสนิท โม่หรานเองก็ตกใจในความเข้าใจผิดชั่วขณะของตน รู้สึกผิดต่อซือเม่ยยิ่งนัก จึงหลุดปากว่า “ข้าเปล่า” ออกไป
ซือเม่ยไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “อาหราน”
“หืม?”
“ข้ายังไม่ได้เอ่ยคำพูดที่เหลือ” ซือเม่ยถอนหายใจเบาๆ “ไยเจ้าต้องรีบร้อนปฏิเสธเช่นนี้”
พอพูดออกมาเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่ซือเม่ยเข้าใจแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย โม่หรานเข้าใจผิดว่าหวีเงินในมือเขาเป็นอาวุธร้าย
แม้นี่คือความหวาดกลัวที่มีสาเหตุมาจากการตายของฉู่หว่านหนิงทั้งสองชาติ ไม่ว่าผู้ที่ยืนหันหลังให้โม่หรานเมื่อครู่จะเป็นผู้ใด ต่อให้เป็นเซวียเหมิง หรือว่าเซวียเจิ้งยง เขาล้วนเกิดอาการหวาดผวาเหมือนเมื่อครู่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับซือเม่ย โม่หรานสงบลง ทว่าในใจยังรู้สึกไม่สบายใจ
เขาหลุบตา “…ขอโทษ”
ในความทรงจำ ซือเม่ยมักอ่อนโยนใจกว้างเสมอ ไม่ว่าจะพบเจอผู้คนหรือเรื่องราวใดๆ แทบไม่เคยมีท่าทีเย็นชาหรือตำหนิกล่าวโทษผู้อื่น ทว่าคืนนี้ที่ริมสระบัว ซือเม่ยมองโม่หรานอยู่นานโดยไม่ได้พูดอะไร
ลมพัดมา ใบบัวเต็มสระม้วนตลบ บัวแดงไหวระบำน้อยๆ
“คนไม่เหมือนเก่ายังพอทำเนา แต่ว่าอาหราน เรารู้จักกันมาเกือบสิบปี ในใจเจ้า ข้ากลายเป็นคนน่าอึดอัดเช่นนั้นไปได้อย่างไร”
เสียงของเขาสงบนิ่งอ่อนโยน ไม่ใส่อารมณ์ขุ่นเคือง ทั้งไม่มีความน้อยใจสักนิด โม่หรานสบตาเขา พุน้ำใสกระจ่างสองบ่อ คล้ายมองทุกสิ่งทะลุปรุโปร่ง แต่กลับไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย ไม่อยากมากความอะไรอีก
ซือเม่ยยื่นหวีที่ไหลเวียนด้วยประกายสีเงินเล่มนั้นใส่มือโม่หราน เอ่ยเสียงเรียบ “ก่อนอาจารย์เข้าฌานทำสมาธิ ให้ข้าช่วยเกล้าผมให้เขา ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็ทำให้เขาเถอะ”
“ซือเม่ย…”
ทว่าบุรุษรูปงามสูงโปร่งเดินเฉียดไหล่ผ่านเขาไปแล้ว ฝีก้าวเนิบช้า แต่มิได้หันมา เดินออกจากศาลาหงเหลียนอันอ้างว้างไปตามลำพัง
[1] ดอกกุหลาบจีน (chinese rose) เป็นดอกไม้ประจำกรุงเป่ยจิง มีความทนทานต่อสภาพอากาศ และความแห้งแล้ง จึงนิยมปลูกไว้ตามข้างทาง
[2] หมายถึง เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กๆ น้อยๆ
???