ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored
————————————————————-
226
เขาเจียวซาน ไม่มีวันลืมเลือน
ทุกคนชักอาวุธออกมา เซวียเจิ้งยงยืนปกป้องอยู่เบื้องหน้าบุตรชาย สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง “เหมิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าเข้าไป ยืนอยู่ข้างหลังพ่อ!”
เมื่อครู่ตอนที่ทุกคนเห็นค่ายกลวิญญาณศัสตรา พวกเขาไม่คิดที่จะทำลายมัน เพราะหากค่ายกลถูกทำลาย สวีซวงหลินจะสูญพลังวิญญาณไปอย่างรวดเร็ว และอาจถึงแก่ความตายทันที แต่พวกเขายังมีเรื่องที่จะถามสวีซวงหลินอยู่
ไม่มีใครคาดคิดว่า สวีซวงหลินยังซ่อนอีกค่ายกลไว้ภายใต้ค่ายกลวิญญาณศัสตรา
เป็นค่ายกลอะไร
เป็นรอยแยกมิติที่ใช้หลบหนีเอาชีวิตรอด หรือเป็นคำสาปโลหิตอันโหดเหี้ยมที่ต้องสู้กันจนปลาตายแหขาด [1]
ฉู่หว่านหนิงยกมือ กางปราการกั้นไว้ระหว่างกลุ่มคนกับค่ายกลนั้น
หนานกงซื่อตายไปต่อหน้าต่อตาเขา เขาไม่อยากเห็นผู้ฝึกบำเพ็ญรุ่นเยาว์ต้องมาตายอีก
ฉู่หว่านหนิง “ทุกคนระวัง อย่าวู่วาม”
ท้องฟ้าพลันมืดมน พยับเมฆรวมตัว ดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่แต่เดิมถูกเมฆหนาบดบัง เศษหินดินทรายปลิวว่อน ฝุ่นธุลีคละคลุ้งพร่านัยน์ตา
สวีซวงหลินสวมเสื้อขาวบริสุทธิ์ชั้นเดียว ยืนอยู่ท่ามกลางลมกระโชกที่ม้วนตลบขึ้นจากพื้น พลันคลี่ยิ้มกว้างให้ทุกคน “ขอบคุณที่ฟังข้าพูดเรื่องซุบซิบนินทาเสียนาน ขอบคุณ ขอบคุณทุกท่าน บัดนี้ค่ายกลเปิดแล้ว”
ขณะที่พูด กรงเล็บภูตผีเน่าเปื่อยก็ชี้ไปทางด้านหลัง ค่ายกลสีดำนั้นพลันพุ่งเข้ามายังฝ่ามือเขาอย่างบ้าระห่ำ ดุจมังกรทะยานเมฆท่องคลื่น หลังจากค่ายกลชั้นนี้ถูกเก็บกลับไป ก็เผยให้เห็นค่ายกลที่ไหลเวียนด้วยประกายเจิดจ้าหลากสีสัน
เซวียเหมิงตื่นตะลึง “นี่มันค่ายกลอะไร”
“ค่ายกลเกิดใหม่หรือ” นี่คือคำถามที่เซวียเจิ้งยงหันไปถามเสวียนจิ้งต้าซือแห่งวัดอู๋เปย ทว่าต้าซือส่ายหน้า “แม้สำนักของอาตมาจะมีไหฺวจุ้ยผู้รอบรู้เรื่องการเกิดใหม่ แต่เขาไม่เคยใช้ต่อหน้าผู้คน ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงไม่ทราบ”
ทุกคนจ้องค่ายกลนั้นเขม็ง ตึงเครียดดุจคันธนูที่น้าวจนสุดสาย คอยสังเกตการณ์การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยของสวีซวงหลิน บรรยากาศเงียบงันถึงขีดสุด มีเพียงเสียงหวีดหวิวแปลกประหลาดของลมที่พัดผ่านไป
พวกเขาเหมือนหม้อน้ำมันที่ดูเหมือนเงียบสงบ แต่ความจริงกำลังเดือดระอุอย่างยิ่ง
ขอเพียงมีน้ำหยดเดียว…
“ค่ายกลวิญญาณซากศพ!”
พลันมีคนตะโกนขึ้นมา
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
เป็นหัตถ์ทิพย์หานหลินฮว่าปี้หนานที่จำค่ายกลนั้นได้ในทันทีที่เห็น “ค่ายกลวิญญาณซากศพ! สวีซวงหลินจะเรียกปีศาจซากศพของหลัวเฟิงหฺวาออกมา เพื่อจะตายไปพร้อมกับเรา! เร็วเข้า! จะปล่อยให้ค่ายกลก่อรูปขึ้นมาไม่ได้เป็นอันขาด!”
ได้ยินคำว่าค่ายกลวิญญาณซากศพ เกือบทุกคนพากันระส่ำระสาย พวกเขารู้ว่านั่นคือวิชาลับพิสดารที่เป็นรองเพียงสามอาคมต้องห้าม เป็นอาคมชั่วร้ายของสำนักโอสถ ในฐานะปรมาจารย์ของสำนักโอสถอันดับหนึ่ง คำพูดของหัตถ์ทิพย์หานหลินไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด
คนที่เชี่ยวชาญการใช้ยาเช่นกันอย่างเจียงซีก็เคยได้ยินชื่อค่ายกลวิญญาณซากศพผ่านหูมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบสนองเร็วกว่าคนทั่วไป พุ่งไปเบื้องหน้าข่ายอาคม กระบี่หงส์เงินถูกชักออกมา พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม จู่โจมไปยังใจกลางข่ายอาคมอย่างแรง
เคร้ง!
ดาบกระบี่ปะทะกัน สะเก็ดไฟแตกกระจาย สวีซวงหลินชักดาบสกัดอาวุธของเจียงซีเอาไว้ ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ
“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการในชีวิตที่เหลืออยู่ เจ้าอย่าได้คิดเข้ามาใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว”
เจียงซีเดือดดาล “สิ่งที่ต้องการในชีวิตที่เหลือของเจ้า ก็คือสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งหรือ”
สวีซวงหลินกัดฟันกรอด “เหลวไหลทั้งเพ!” มือที่กุมดาบของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด เส้นเลือดสีเขียวปูดโปน ใบหน้าแดงก่ำ
เจียงซี “เจ้ามีบาดแผลทั่วร่าง ต่อให้หลอมปีศาจซากศพออกมา แล้วจะทำอะไรได้ จะลากคนลงไปฝังด้วยได้สักกี่คน”
“ปีศาจซากศพอะไร ฝังด้วยกันอะไร! เจ้าเบิกตาดูให้ชัดๆ นี่ใช่…”
ฟิ้ว!
ขณะที่เจียงซีกำลังยับยั้งสวีซวงหลิน ลูกธนูขนนกที่ผนึกรวมพลังวิญญาณดอกหนึ่งไม่รู้ยิงมาจากที่ใด พุ่งฝ่าไปยังข่ายอาคมด้านหลังคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“อย่า…!”
สวีซวงหลินที่เยือกเย็นมาตลอด แผดเสียงร้องด้วยความหวาดผวาสุดขีดเป็นครั้งแรก “หยุด!”
ชั่วขณะที่เขาวอกแวกนี้เอง สวีซวงหลินก็ถูกกระบี่ของเจียงซีฟันใส่ โลหิตสาดกระเซ็น เขาทรุดลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความเจ็บปวด แววตาคลุ้มคลั่งและสิ้นหวัง ทว่าเขามิได้มองแขนที่ถูกฟันจนเหวอะหวะเห็นเนื้อหนังและกระดูก กลับมองไปยังข่ายอาคมจนตาแทบถลนออกจากเบ้า
ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยเลือดที่กระเซ็นใส่ ดวงตาปูดโปน ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด
สีหน้าหวาดผวาเช่นนั้น ไม่ว่าบนใบหน้าของหนานกงซวี่ในวันวาน หรือใบหน้าของสวีซวงหลินในเวลาต่อมา ก็ล้วนไม่เคยปรากฏมาก่อน
เขาสั่นสะท้าน ฝ่ามือยังคงค้างอยู่ในท่าซัดพลังวิญญาณออกไป
การจู่โจมนี้ เขาแทบใช้พลังทั้งหมดที่มี เพื่อสกัดลูกธนูลับดอกนั้นไว้เบื้องหน้าค่ายกล
เขาทำสำเร็จ
สวีซวงหลินหอบหายใจ โลหิตไหลทะลักจากแขนข้างที่ถูกเจียงซีฟัน มุมปากยังมีเลือดไหลซึมออกมา แต่พอเห็นว่าลูกธนูดอกนั้นถูกสกัดไว้ได้สำเร็จ แม้จะแหลกลาญอยู่ภายใต้พลังวิญญาณของตน ทว่าริมฝีปากซีดเผือดที่สั่นระริกก็ยังคงเค้นรอยยิ้มออกมาได้
ยามนี้ โม่หรานได้ยินซือเม่ยพึมพำเสียงเบาอยู่ข้างๆ “นี่…นี่มิใช่ค่ายกลปีศาจซากศพ”
คำพูดนี้ถูกหวงเซี่ยวเย่ว์ได้ยินเข้า เขาลูบเคราพลางแค่นเสียงเยาะหยัน “อายุยังน้อย ไม่รู้จักละอายเสียบ้าง หัตถ์ทิพย์หานหลินบอกแล้วว่าเป็นค่ายกลปีศาจซากศพ จะผิดได้อย่างไร”
ซือเม่ยกลับส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ค่ายกลปีศาจซากศพมิใช่เช่นนี้”
“ข้าจะคอยดูว่า เป็นหัตถ์ทิพย์แห่งสำนักโอสถตาดี หรือเป็นเจ้าที่ตาดี”
ซือเม่ยกำลังจะเอ่ยต่อ แต่โม่หรานห้ามเขาไว้
“ซือเม่ย อย่าเสียเวลามากความกับตาแก่นี่เลย” โม่หรานกล่าว “แน่ใจหรือว่านี่มิใช่ค่ายกลปีศาจซากศพ”
“เพียงแค่เหมือน แต่มิใช่แน่นอน ค่ายกลปีศาจซากศพมีประกายเกล็ดปลา ค่ายกลนี้แม้มีประกาย แต่กลับเชื่อมต่อกัน มิได้มีลักษณะเป็นเกล็ด”
ยามนี้เอง เจียงซีที่อยู่เบื้องหน้าค่ายกลก็ตวาดเสียงเกรี้ยว “หนานกงซวี่ เจ้าจะมาไม้ไหนกันแน่”
สวีซวงหลินไม่สนใจเขา ค่ายกลนั้นเปล่งประกายพร่าตา เขาลากสังขารที่ผุพังเกินทน เดินมาถึงหน้าค่ายกล โลหิตไหลหยดเป็นทาง
รอยยิ้มบนใบหน้ากลับยิ่งเด่นชัด ประกายเจิดจ้าของค่ายกลสาดจับใบหน้าเขา ก่อให้เกิดกลิ่นอายฮึกเหิมห้าวหาญเช่นเด็กหนุ่มขึ้นมาชั่วขณะ
เขาพึมพำ “ใกล้แล้ว…”
จากนั้นยกมือขึ้น สัมผัสพื้นผิวของค่ายกลนั้นเบาๆ ปลายนิ้วแตะลง ระลอกคลื่นแผ่ขยาย
เขาเหมือนได้พบสหายเก่าที่จากกันไปหลายปี เหมือนญาติสนิทที่พรากกันมานาน บาดแผลน่าสะพรึงและร่างกายเน่าเปื่อยล้วนไม่อาจขัดขวางความสุขของเขาได้
ดวงตาของเขาวาวโรจน์ พร่ำพูดไม่หยุด “ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว…”
ลมแรงที่พัดโหมโดยรอบพลันหยุดนิ่ง พยับเมฆสลายไป จันทร์กระจ่างฟ้า สวีซวงหลินเบิกตากว้าง เปี่ยมด้วยความหวัง เขาสั่นสะท้านอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มิใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะตื่นเต้น เป็นความตื่นเต้นที่มิอาจระงับ
“อาจารย์…”
ทุกคนพบว่าในข่ายอาคมพลันมีประกายสีทองลอยขึ้น จากนั้นแก่นวิญญาณใสแวววาวก็เผยออกมา ลำแสงนับหมื่นพันของข่ายอาคมถ่ายทอดไปยังใจกลางแก่นวิญญาณไม่หยุด ค่อยๆ ก่อรูปเป็นเค้าโครงมนุษย์…
“หลัวเฟิงหฺวา?!”
“เป็นหลัวเฟิงหฺวา!”
หลัวเฟิงหฺวาที่ตายไปหลายปีปรากฏกายบนแท่นเจาหุนของสำนักหรูเฟิง! ภายในข่ายอาคมที่ไหลเวียนด้วยประกายสีทอง มีต้นส้มผลิดอกสะพรั่งต้นหนึ่ง กลีบดอกสีขาวโปรยปรายลงมา หลัวเฟิงหฺวาสวมชุดคลุมเฮ่อฮุยสีครามของสำนักหรูเฟิง กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นส้ม หลับตาพลางดีดคงโหว
เขายังคงเป็นภาพมายา เลือนรางไม่ชัดเจน ดุจบุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี มีเพียงแก่นวิญญาณครรภ์ภูตผีจากยมโลกที่ก่อกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้งเท่านั้นที่เป็นของจริง เปล่งประกายอยู่ในร่างว่างเปล่านั้น
“บุปผาโปรยสามสี่จุดกลางบึง เสียงพิณหนึ่งสองเสียงบนฟากฝั่ง”
เสียงนุ่มนวลไร้ความอนาทรของบุรุษดังมาเบาๆ จากภายในแก่นวิญญาณ
หลัวเฟิงหฺวากำลังบรรเลงดนตรีเรื่อยเปื่อยอยู่ใต้ต้นส้ม พลางคลอบทเพลงของสู่จงเบาๆ
“ชีวิตวัยหนุ่มประเสริฐสุดแสน ควบม้าท่องทะยาน ทอดมองบุปผาใต้หล้า…”
พลันมีเสียงแหบพร่าอีกเสียงดังเคล้ากับน้ำเสียงแว่วโหวงของหลัวเฟิงหฺวา เป็นสวีซวงหลินกำลังร้องคลอประสาน เสียงนั้นเจือสะอื้นจนไม่น่าฟัง ราวกับฆ้องแตก แต่ก็ยังดึงดันจะร้องอยู่เช่นนั้นโดยไม่สนใจผู้ใด
“นี่…นี่ก็คือปีศาจซากศพ?” เซวียเจิ้งยงตกตะลึง “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เห็นชัดว่าไม่เพียงเขาที่สงสัย แม้กระทั่งเจียงซีก็ยังมุ่นคิ้วเล็กน้อย เม้มริมฝีปากไม่เอ่ยอะไร ทว่าในดวงตาฉายแววงุนงง
ประกายสีทองลอยขึ้น เค้าโครงร่างของหลัวเฟิงหฺวาค่อยๆ ก่อตัว คิ้วตา จมูก ริมฝีปากชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงเพลงสงบนิ่งที่ดังมาไกลๆ ฮว่าปี้หนานพลันร้องตะโกน “ใกล้แล้ว! ปีศาจซากศพจะก่อร่างแล้ว!”
ซือเม่ยถ่อมตัวเสมอมา เมื่อรู้ว่าคำพูดตนไร้น้ำหนัก จึงไม่พูดอะไรอีก ทว่ายามนี้กลับหันไปเอ่ยกับฮว่าปี้หนานทันใด “ผู้อาวุโสหัตถ์ทิพย์กล่าวผิดแล้ว นี่มิใช่ปีศาจซากศพ! เป็น…”
เป็นค่ายกลเกิดใหม่!
โม่หรานเข้าใจแล้ว
ใช่ ซือเม่ยกล่าวมิผิด นี่มิใช่ค่ายกลปีศาจซากศพ นี่คือค่ายกลเกิดใหม่!
แต่คนมากมายรวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะเชื่อผู้ฝึกบำเพ็ญตัวเล็กๆ ไร้ชื่อเสียง หรือเชื่อหัตถ์ทิพย์สำนักโอสถเลื่องชื่อกันเล่า ฮว่าปี้หนานบอกว่าปีศาจซากศพจะก่อร่างแล้ว ต่อให้ซือเม่ยโต้แย้ง แต่สำหรับคนหมู่มาก การรู้รักษาตัวรอดเป็นสิ่งสำคัญ ชั่วขณะนั้นเงาสีครามเข้มก็โฉบผ่านข้างกายทุกคนไปอย่างรวดเร็ว สวีซวงหลินไม่ทันตอบสนอง เงานั้นก็แทงมีดสั้นที่ผนึกรวมพลังวิญญาณไปที่ข่ายอาคมเต็มแรง
“ไม่!”
การโจมตีนี้ทำลายแก่นวิญญาณของหลัวเฟิงหฺวาทันที ประกายสีทองของข่ายอาคมเปล่งแสงระยิบระยับครู่หนึ่ง จากนั้นก็แตกสลายไปในพริบตา
“ไม่! อย่า! อาจารย์! อาจารย์!”
สวีซวงหลินผุดลุกขึ้นทันใด ร้องคำรามพุ่งเข้าใส่คนผู้นั้นกลางอากาศ จนลอยกระเด็นไปฉื่อกว่า นั่นคือผู้ฝึกบำเพ็ญของกูเย่ว์เยี่ยที่รับคำสั่งจากฮว่าปี้หนานในชั่วขณะคับขัน เขากระอักเลือดออกมาทันที…การโจมตีของสวีซวงหลินใช้พลังโหดเหี้ยมเต็มเปี่ยม แม้เวลานี้พลังของเขาจะเหมือนลูกธนูแผ่วปลาย [2] แต่ก็ยังสามารถโจมตีผู้ฝึกบำเพ็ญคนนั้นจนลุกไม่ขึ้น ขดตัวร้องครวญครางอยู่กับพื้น ไม่นานก็สิ้นลมหายใจ
แต่สายไปแล้ว
การตายของผู้ฝึกบำเพ็ญผู้นี้มิอาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แก่นวิญญาณร่างภูตผีของหลัวเฟิงหฺวาที่สวีซวงหลินทุ่มเทความคิดจิตใจชิงกลับมาจากนรกขุมสิบแปด ปริแตกเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ เขาคลานเข้าไปหาหลัวเฟิงหฺวา พยายามคว้าชายเสื้อของอีกฝ่าย ทว่าโครงร่างมนุษย์ที่ก่อตัวขึ้นมาเริ่มสลายไปแล้ว ชายเสื้อของหลัวเฟิงหฺวาในมือเขา ราวกับเม็ดทรายที่ไหลผ่านซอกนิ้ว น้ำในตะกร้า ไม่อาจคว้าเอาไว้ได้
“อาจารย์…อาจารย์…”
เขาร้องตะโกน
จากนั้นก็คลุ้มคลั่ง ดวงตาฉายประกายเหี้ยมเกรียมบิดเบี้ยว
“หลัวเฟิงหฺวา! หลัวเฟิงหฺวา!”
เปล่าประโยชน์
ไม่ว่าจะตะโกนอย่างไร จะร้องเรียกเท่าใด
ภาพมายาของหลัวเฟิงหฺวาก็สลายไปอย่างรวดเร็ว สุดท้าย แปรเป็นแสงเรื่อเรืองนับหมื่น ปลิวหายไปกับสายลม…
ไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น
สวีซวงหลินคุกเข่าอยู่ที่เดิมอย่างเลื่อนลอย ลำตัวหยัดตรง ทั้งร่างแข็งทื่อ
เขาไม่ขยับ
ไม่ร้องไห้
ไม่ร้องตะโกนอีกแล้ว
บนแท่นเจาหุน ท่ามกลางสายลมเย็นเยียบ แก่นวิญญาณที่แตกร้าวดวงหนึ่งสิ้นประกาย ตกลงบนพื้น ดับมืดไร้สีสัน
กระแสวิญญาณของค่ายกลที่เดิมหลอมร่างเกิดใหม่ของหลัวเฟิงหฺวาขึ้นมา ยามนี้ราวกับปุยหลิ่วนับหมื่นพัน ปลิวว่อนลอยคว้างกระจัดกระจาย
สวีซวงหลินคุกเข่าท่ามกลางความฝันมายาที่กลายเป็นธุลีนั้น
ผ่านไปนาน เขาคล้ายพึมพำกับตนเอง ทั้งยังเหมือนกำลังยิ้มเยาะตนเอง “ชีวิตวัยหนุ่มประเสริฐสุดแสน ควบม้าท่องทะยาน ทอดมองบุปผาใต้หล้า?”
ช่างเป็นบทเพลงที่ยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร
ในวัยเยาว์ เขาเคยได้ยินหลัวเฟิงหฺวาร้องบ่อยๆ
ปุยวิญญาณเต็มสายตากลายเป็นคืนวันที่ผันผ่าน เขาเห็นภาพตอนที่ได้พบอาจารย์ของตนครั้งแรกเมื่อครั้งยังเยาว์ ท่ามกลางปุยหลิ่วสีทองลอยละล่องนั้น…
ตอนนั้นเขากับพี่ชายยังเยาว์วัย บิดาพาพวกเขามาที่หน้าสำนักศึกษาหรูเฟิง เวลานั้นเป็นฤดูสารท ในสำนักศึกษามีต้นส้มเก่าแก่ต้นหนึ่ง ติดผลดกจนถ่วงเต็มต้น ใต้ต้นส้มมีบุรุษสองคนกำลังพูดคุยกัน คนหนึ่งรูปลักษณ์ไม่โดดเด่น คิ้วตาไม่คมคาย หากอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนย่อมถูกกลืนไปไม่เป็นที่สังเกต
อีกคนกลับดูองอาจห้าวหาญเหนือผู้คน
บิดาพาพวกเขาเดินเข้าไป พลางเอ่ย “รีบคารวะอาจารย์ของพวกเจ้าสิ”
พี่ชายของเขาชิงคารวะทันที เอ่ยกับบุรุษที่บุคลิกไม่ธรรมดาผู้นั้น “ศิษย์น้อยหนานกงหลิ่ว คารวะอาจารย์”
บุรุษผู้นั้นโบกมือ “ข้าเพียงแค่มาขอคำชี้แนะจากหลัวเซียนเซิง มิใช่อาจารย์ของพวกท่าน คุณชายน้อยทั้งสองคารวะผิดคนแล้ว”
บิดาเองก็ยิ้ม พาพวกเขาไปหาบุรุษที่ดูไม่มีอะไรโดดเด่นผู้นั้น “นี่ต่างหากอาจารย์ของพวกเจ้า หลัวเฟิงหฺวาเซียนจ่าง”
เขาเงยหน้าขึ้น เห็นรอยยิ้มน้อยๆ อย่างขัดเขินของหลัวเฟิงหฺวาพอดี หลัวเฟิงหฺวาในตอนนั้นยังหนุ่ม พอตื่นเต้นก็ยิ่งดูเหมือนคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ดวงตากลมโตคู่นั้นสะท้อนเงาของศิษย์น้อยทั้งสอง แก้มแดงเรื่อเล็กน้อย เจ้าสำนักชราจับมือเขาพลางฝากฝัง “เซียนจ่าง บุตรทั้งสองของข้านิสัยใช้ไม่ได้ เส้นทางการฝึกบำเพ็ญที่เหมาะสมอาจแตกต่างกัน ภายหน้าต้องขอให้ท่านกวดขันให้มาก อบรมสั่งสอนตามสามารถของแต่ละคน”
ในมือหลัวเฟิงหฺวาถือส้มผลหนึ่ง เหมือนเขากำลังพยายามแสดงความน่าเกรงขามที่อาจารย์พึงมีออกมา ทว่ามือยังคงหมุนคลึงส้มผลนั้นไม่หยุด ยิ่งเผยให้เห็นความอ่อนประสบการณ์และขี้อายของเขา
หนานกงหลิ่วเป็นคนหัวไว รีบเข้าไปทักทายเสียงอ่อนเสียงหวานทันที “อาจารย์หลัว อาจารย์หลัว”
ใบหน้าของหลัวเฟิงหฺวาพลันแดงก่ำไปจนถึงใบหู เขาโบกมือ “ข้า…ไม่…ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ข้าเองก็เพิ่งเคยเป็นอาจารย์ ยังไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น…ภายหน้าต้องขอให้คุณชายน้อยทั้งสองชี้แนะให้มาก ข้า…”
เขาพูด “ข้า” ซ้ำๆ อยู่นาน ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อ สวีซวงหลินยังจดจำได้อย่างแจ่มชัด วันนั้นแสงตะวันสาดส่องลงมาในหลินอี๋ หลัวเฟิงหฺวาที่เหมือน “พี่ชายน้อย” มากกว่าจะเหมือน “อาจารย์” ผู้นี้ ยืนอยู่ใต้ต้นส้มที่มีผลดกเต็มต้น…ท่ามกลางแสงตะวัน
ใบหูของเขาบางยิ่งนัก ยามที่แสงตะวันตกกระทบ ก็เห็นเส้นเลือดสีเขียวจางๆ ใต้ผิวหนังนั้น ขอบหูบางใสจนสะท้อนแสงสีส้มนวลออกมา
สวีซวงหลินเอ่ยคำพูดประโยคแรกในชีวิตกับหลัวเฟิงหฺวา
“หลัวเซียนจ่าง ปีนี้อายุเต็มยี่สิบแล้วหรือ”
เดิมนี่เป็นคำพูดเยาะหยัน แม้กระทั่งบิดาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ฟังออก ทว่าหลัวเฟิงหฺวาฟังไม่ออก เขากลับยิ้ม ตอบอย่างจริงใจยิ่งนัก “ยังไม่ถึง ปีนี้ข้าอายุสิบเจ็ด”
“…”
สวีซวงหลินขยับปาก คิดจะพูดบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็มิได้พูดอะไรออกมา สะบัดมือผละจากไป
บิดาดึงเขากลับมา จูงไปยังมุมหนึ่ง เอ่ยเสียงขรึม “ซวี่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าดูเพียงอายุก็ตัดสินฝีมือคนเช่นนี้”
“เขาโตกว่าพวกเราไม่เท่าใด”
“หวังเซียนจ่างที่เชิญมาให้เจ้าก่อนหน้า เจ้าก็ไม่ชอบที่อายุมาก!”
“นั่นไม่แก่หง่อมแล้วหรอกหรือ” สวีซวงหลินเหลือกตาขาว “เก้าสิบเจ็ด ข้าว่าเขาใกล้จะละสังขารเป็นเซียนอยู่รอมร่อแล้ว”
“สิบเจ็ดก็ไม่ดี เก้าสิบเจ็ดก็ไม่ได้ เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”
สวีซวงหลินเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ท่านพ่อ ท่านอย่าหาคนสองครั้งที่อายุห่างกันแปดสิบปีได้หรือไม่”
“…” เจ้าสำนักชราเริ่มมีน้ำโห ซ้ำยังถูกบุตรชายพูดเสียจนรู้สึกกระดาก เขากัดฟันกรอดอยู่นาน สุดท้ายเอ่ยว่า “แม้ฝีมือเขาไม่ได้ดีเยี่ยมที่สุด แต่เขามีความรู้กว้างขวาง อาคมและหมัดเท้าล้วนเยี่ยมยอด สรุปคือ เจ้าจงตั้งใจเรียนวิชาจากเขาอย่างเชื่อฟัง อีกหนึ่งปี หากเจ้ายังไม่พอใจ เราค่อยเปลี่ยน!”
หลังจากคุยกันอยู่พักใหญ่ สองคนก็ออกมาจากมุม ตอนที่เดินกลับไปที่หน้าสำนักศึกษา สวีซวงหลินเห็นพี่ชายตนกำลังพูดคุยกับหลัวเฟิงหฺวาอย่างถูกคอยิ่งนัก สีหน้าพี่ชายราวกับรู้จักอาจารย์หลัวผู้นี้มาสิบกว่าปีแล้วกระนั้น
แต่นี่ก็ไม่นับว่าแปลก ถึงอย่างไรหนานกงหลิ่วก็เก่งกาจในเรื่องนี้ ขอเพียงเขาต้องการ ไม่ว่ากับผู้ใดก็ล้วนพูดคุยได้ราวกับรู้จักกันมานานทั้งสิ้น
กลับเป็นหลัวเฟิงหฺวาที่ยังมีท่าทีประหม่าและระมัดระวังอยู่บ้าง พอเหลือบเห็นสวีซวงหลินเดินมา ความประหม่าและระมัดระวังนั้นก็ยิ่งเด่นชัด
เขาเห็นสวีซวงหลินมีสีหน้าหงุดหงิด ถูกบิดาดึงอย่างถูลู่ถูกังมาเบื้องหน้าตน
เขาลังเลครู่หนึ่ง ใช้วิธีที่แทบจะเหมือนเด็กๆ เอาใจศิษย์น้อยที่ดื้อรั้นผู้นี้อย่างงุ่มง่าม…
เขายื่นส้มที่ตนถืออยู่ในมือยังไม่ได้กินผลนั้นให้สวีซวงหลิน
สวีซวงหลิน “…”
“หวานมาก เจ้าลองชิมดู”
อาจารย์น้อยวัยสิบเจ็ดปีคล้ายจะประหม่าจนทำตัวไม่ถูก ถึงขั้นดูน่าสงสารอย่างเห็นได้ชัด
สวีซวงหลินสังเกตเห็นว่าที่มุมเสื้อของเขามีรอยปะชุนเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ด้วย
ข้นแค้นถึงเพียงนี้เชียว?
ได้เป็นอาจารย์ของสองคุณชายแห่งสำนักหรูเฟิง มิน่าถึงได้ประหม่า ส่งสายตาวิงวอนเขาปริบๆ
“ข้าไม่ชอบกินส้ม” สวีซวงหลินกล่าว “ในเมื่ออาจารย์หลัวยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน เช่นนั้นนี่ก็คือเรื่องแรกที่ข้าขอให้อาจารย์หลัวโปรดจำไว้”
“ซวี่เอ๋อร์!”
เจ้าสำนักชราเตรียมจะตำหนิ หลัวเฟิงหฺวาโบกมือ ไม่นานก็เก็บส้มกลับไป “ไม่เป็นไรๆ ท่านประมุขไม่ต้องถือสา”
“เฮ้อ ลูกคนนี้ของข้าไร้มารยาทนัก ไม่รู้จักเคารพอาจารย์สักนิด ทำให้เซียนจ่างลำบากใจแล้ว”
“ไม่เป็นไร” หลัวเฟิงหฺวายิ้ม มองสวีซวงหลินอีกครั้ง แววตาอ่อนโยนเป็นมิตร ทั้งยังเจือความระมัดระวังอยู่ในที “อันที่จริง จะกราบอาจารย์หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ความรู้ข้าไม่มากไม่น้อย เจ้าเล่าเรียนกับข้าก็พอ ไม่ต้องยอมรับข้าเป็นอาจารย์”
เจ้าสำนักชรารีบเอ่ย “นั่นจะได้อย่างไร…”
“ชื่อเสียงล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม” หลัวเฟิงหฺวาแก้มแดง เกาศีรษะอย่างขัดเขิน “ความจริงข้าก็คิดว่าตนเองออกจะอายุน้อยเกินไป…” เขาหันไปเอ่ยกับสวีซวงหลิน “หากคุณชายน้อยถือสา ต่อไปก็เรียกชื่อข้าเถอะ”
สวีซวงหลินมองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง พลันหัวเราะออกมา ขณะที่หลัวเฟิงหฺวาคนซื่อผู้น่าสงสารถูกเขาปั่นหัวจนงุนงงและยิ่งกระอักกระอ่วนกว่าเดิมนั้นเอง สวีซวงหลินกลับจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ค้อมกายคารวะเขาอย่างเต็มพิธีการ จากนั้นเงยหน้าขึ้น
ต้นส้มหอมรวยรื่น แสงเงาระริกไหว
สวีซวงหลินยิ้ม สีหน้าลำพองใจ มุมปากฉายแววเย่อหยิ่งและร้ายกาจนิดๆ ทว่าตอนนั้นถึงอย่างไรเขาก็ยังเยาว์วัย ยามแย้มยิ้มจึงดูสดใสอ่อนละมุนราวกับท้อน้ำผึ้ง
จะว่าไปก็ใช่ ชื่อเสียงล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม
ฉะนั้น จะเรียกเขาว่าอย่างไร ข้าจะใส่ใจมากมายทำไมกัน
ด้วยเหตุนี้ สวีซวงหลินจึงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “อาจารย์”
ใบส้มส่ายไหวเสียดสีกัน ทอเงาเป็นลายพร้อยเต็มพื้น
สายลมโชยพัด
ช่างเถอะ ก็แค่กราบอาจารย์ไปตามเรื่อง ไม่ถึงครึ่งปีหนึ่งปี เดี๋ยวเขาก็ต้องไปหาที่อยู่ใหม่แล้ว
สวีซวงหลินคิดเช่นนี้
ตอนนั้นเขาคิดจริงๆ ว่า ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนเก่า และวันนั้นก็เป็นเพียงวันที่แสนธรรมดาวันหนึ่งในชีวิตเขา
[1] หมายถึง สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง
[2] หมายถึง อ่อนกำลัง สิ้นเรี่ยวแรง