[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 9 บทที่ 288 : ยอดเขาสื่อเซิง ปรมาจารย์กับตี้จวิน

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

 

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

 

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

 

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored

 

————————————————————-

288

ยอดเขาสื่อเซิง ปรมาจารย์กับตี้จวิน

 

ในความฝัน

ท่าเซียนจวินลืมตาขึ้น พบว่าตนยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เมฆแดงก่ำคล้อยต่ำจนอยู่ใกล้เพียงเอื้อม รอบด้านมีต้นกกรกชัฏ ปุยเกสรปลิวว่อน ในดงกกสะท้อนเสียงกระซิบกระซาบ เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงเหล่านั้นเบาบางยิ่งนัก เหมือนม่านผ้าโปร่งที่พลิ้วผ่านปลายนิ้ว สัมผัสดุจสายน้ำ

เขาเดินไปข้างหน้า หิ่งห้อยสีน้ำเงินเข้มในดงกกแตกตื่นบินกระเจิง จากนั้นเขาก็เห็นผืนน้ำกว้างสงบเงียบ กว้างใหญ่ยิ่งกว่าแม่น้ำใหญ่สายใดๆ ที่เขาเคยเห็นมา แต่กระแสน้ำกลับไหลเอื่อยอย่างยิ่ง

บนผิวน้ำมีเรือน้อยหลายลำลอยอยู่ไกลๆ เสียงเพลงของคนแจวเรือข้ามฟากลอยแว่วมา “กายข้าเข้าสู่เหลยยวน แขนขาสลายเป็นดินโคลน กะโหลกคว้างในอนันตภพ น้ำตาแห้งเหือดบดเป็นธุลี มดแดงเพลิงกัดกินหัวใจข้า ฝูงแรงก้าจิกกินไส้พุงข้า…มีเพียงดวงจิตกลับมา…มีเพียงดวงจิตกลับมา…”

มีเพียงดวงจิตกลับมา วันวานดั่งสายน้ำไหล

เหมือนข้าจะเคยมาที่นี่ เมื่อใดนะ

ท่าเซียนจวินกวาดตามอง ทุกสิ่งตรงหน้าช่างคุ้นตาเหลือเกิน แต่เมื่อคิดอย่างละเอียด ในสมองก็ว่างเปล่า

“นี่ เจ้า”

พลันมีเสียงคนดังขึ้นด้านหลังเขา

เขาหันไปทันที กลับไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นนอกจากหิ่งห้อย

เสียงนั้นเลือนรางยิ่งนัก คล้ายเป็นมายา “เจ้าเดินตรงมา ข้าอยู่ข้างหน้านี่เอง”

แม้จะเกลียดการถูกออกคำสั่ง แต่เขายังคงไม่อาจข่มกลั้นความอยากรู้ จึงเดินลึกเข้าไปในดงกกที่เต็มไปด้วยหิ่งห้อยด้วยสีหน้ามืดมน

ไม่นานเขาก็เห็นโรงสีทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ที่ลานด้านหน้ามีต้นหญ้าและวัชพืชรกครึ้ม เศษกิ่งไม้หักและเศษกระเบื้องแตกกระจัดกระจาย กลางลานมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหินสือมั่วสีดำสนิท หันหลังให้ตน กำลังแหงนมองท้องฟ้า

“เจ้าเป็นใคร”

บุรุษผู้นั้นได้ยินเสียงเขา กลับมิได้หันมาทันที เพียงถอนหายใจเอ่ยว่า “ข้าอาจเป็นคนที่ต้องจากไปแล้ว”

“ไป? ไปที่ใด” ไม่รอบุรุษผู้นั้นตอบ เขาก็ถามด้วยความหงุดหงิด “แล้วที่นี่คือที่ใด”

“อีกฟากฝั่งแห่งโลกวิญญาณ” บุรุษผู้นั้นกล่าว “เจ้าเห็นแม่น้ำสายนั้นหรือไม่ นั่งแพไม้ไผ่ ล่องไปตามกระแสน้ำ ก็จะไปสู่ยมโลก”

“…”

“เกิดใหม่ต้องรอเจ็ดแปดปี พอเข้าประตูก็จะมีองครักษ์ไส้ทะลักวัดความดีความชั่วทั้งชีวิตของเจ้า หากบาปหนา ก็จะถูกคุมตัวไปยังนรกขุมสิบแปดทันที” เขาพูดถึงเรื่องหลังความตายเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คล้ายกำลังหวนระลึกถึงความหลังบางอย่าง

“ขุมแรกเรียกว่าหมู่บ้านหนานเคอ ที่นั่นมีปัญญาชนไส้แห้งวาดภาพขาย แต่ตอนนี้เขาคงไม่ไส้แห้งแล้ว ภายหลังข้าเผาเงินกระดาษไปให้เขามากมาย ยังมีชายชราขายเกี๊ยวน้ำ เดินลึกเข้าไปอีก ก็จะเจอตำหนักแห่งหนึ่ง นั่นคือตำหนักของราชาปีศาจสี่แห่งโลกภูตผี ใช่แล้ว ยังมีหอซุ่นเฟิงด้วย…”

“พูดจาเลอะเทอะอะไร” ท่าเซียนจวินตัดบทเขาอย่างหมดความอดทน “เจ้าอยากบอกอะไรกันแน่”

บุรุษผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถาม “ท่าเซียนจวิน เจ้ากลัวตายหรือไม่”

ท่าเซียนจวินแค่นหัวเราะเย็นชา “มีอันใดน่ากลัว”

“แต่ก่อนข้าก็คิดเช่นนี้” บุรุษผู้นั้นกล่าว “ฉะนั้น ข้าจึงเลือกกินยาพิษฆ่าตัวตาย ข้าเคยคิดว่าตนเองไม่ต้องการสิ่งใดในโลกมนุษย์แล้ว ข้าไม่กลัวความตาย”

บุรุษผู้นั้นเงียบไป จากนั้นก็ก้มหน้าลง

“แต่ตอนนี้ข้ากลับไม่อยากไป เขายังอยู่บนโลก ข้าไม่อาจปล่อยวางจากเขาได้”

เอ่ยจบ บุรุษผู้นี้ก็กระโดดลงจากบนหินสือมั่วอย่างแผ่วเบา เดินออกจากเงามืดมายังใต้แสงจันทร์กระจ่าง สายลมบนฟากฝั่งวิญญาณพัดมา ปุยเกสรพร่าเลือน กลุ่มหิ่งห้อยพลันแตกฮือ

ท่าเซียนจวินสีหน้าแปรเปลี่ยน “…เป็นเจ้า?”

โม่หรานเดินมาหาเขา บริเวณหัวใจว่างเปล่า เป็นโพรงดำมืดที่ลมลอดผ่านได้ คิ้วตาของเขางดงาม จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าคมคายห้าวหาญ ทั้งที่ระยะเวลาห่างจากตอนที่เขากับท่าเซียนจวินพบกันครั้งแรกบนเขาเจียวซานไม่นานเท่าใด ทว่ายามนี้เขากลับดูสงบเยือกเย็นลงมาก ไม่มีความสับสนงุนงงหรือความหวาดกลัวเหมือนในตอนนั้นแล้ว

“เหตุใดเจ้า…”

“อย่างที่เจ้าเห็น ข้ามิใช่คนเป็น”

“…”

“แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าดูไม่ค่อยเหมือนคนอื่นนัก เจ็ดวันผ่านไปแล้ว ยังไม่มียมทูตขาวดำมาพาข้าไปยมโลก ข้าจึงล่องลอยอยู่ที่นี่ตลอด”

ท่าเซียนจวินหรี่ตาลงเล็กน้อย

“เจ้าไม่จำเป็นต้องร้อนใจ แก่นวิญญาณของข้าอยู่ในร่างเจ้า ข้าย่อมไม่มีชีวิตอยู่แล้ว” โม่หรานทอดสายตาไปยังแม่น้ำวิญญาณกว้างใหญ่ เอ่ยเสียงแผ่ว “แต่ข้ายังไม่อยากไป…ข้าอยากกลับไป”

ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ ท่าเซียนจวินตกตะลึง จากนั้นยกมือลูบแผ่นอกตนเอง เงียบไปครู่หนึ่ง พลันยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย “แก่นวิญญาณของเจ้าอยู่ในตัวข้าแล้ว? ก็หมายความว่า…ฮว่าปี้หนานทำสำเร็จ? เขาทำได้แล้ว อีกไม่นานตัวข้าก็จะไปมาได้อย่างอิสระ จะสามารถ…”

เขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกโม่หรานขัดจังหวะ

โม่หรานหันมามองเขาอย่างเฉยชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฮว่าปี้หนานคือใคร”

“…”

เขาเดินไปหาท่าเซียนจวิน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็ยื่นนิ้วมือโปร่งแสงไปแตะที่หว่างคิ้วของท่าเซียนจวินเบาๆ

“ความจริงบอกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าถูกเขาบ่อนทำลายแล้ว ทุกเรื่องที่เป็นอุปสรรคต่อเขาในการควบคุมเจ้า เขาคงกำจัดทิ้งหมดแล้ว แต่ว่า ในเมื่อเจ้ายังเหลือดวงจิตรู้สึกนึกอยู่ มากน้อยก็ควรมีสติจดจำบ้างกระมัง…อย่าให้ใครชักนำไปโดยมืดบอดเช่นนี้”

ไม่รู้เพราะอะไร ชั่วขณะที่โม่หรานสัมผัสถูกเขา ท่าเซียนจวินพลันรู้สึกปวดร้าวในกะโหลกศีรษะสุดทานทน คล้ายมีชิ้นส่วนกระจัดกระจายบางอย่างวูบผ่านเบื้องหน้า

“เจ้าทำอะไร!”

โม่หรานไม่ตอบ เพียงประคองใบหน้าเขาไว้ มองเขาอย่างเงียบงัน ทั้งคล้ายเศร้าสลดใจ “หากเจ้ารู้ความจริงทั้งหมด เช่นนั้นก็คงดี”

“เจ้า…”

“เช่นนี้ต่อให้ข้าต้องไป ข้าก็ไปอย่างวางใจขึ้นบ้าง”

ท่าเซียนจวินเค้นเสียงลอดไรฟัน “ความจริงอะไร! พูดจาเลอะเทอะอะไร! เอามือออกจากตัวข้า!” เขาพยายามสลัดหลุดจากโม่หรานอย่างโกรธเกรี้ยว แต่เรี่ยวแรงเหมือนกำปั้นชกปุยฝ้าย อาคมและมือเท้าล้วนทะลุผ่านร่างกึ่งโปร่งใสของคนตรงหน้า

โม่หรานหลับตาลง ถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นสิ่งที่ข้าประสบมาตั้งแต่ตัวเองกลับมาเกิดใหม่จริงๆ อยากให้เจ้าได้รับความทรงจำทั้งหมดของข้าเหลือเกิน

“อาจเพราะใจยังยึดติดยิ่งนัก วิญญาณข้าจึงยังมิได้ถูกพาไป จึงได้พบเจ้าที่นี่”

เขาว่าพลางโน้มตัวเข้ามาใกล้ ศีรษะแนบหน้าผากของท่าเซียนจวิน

“กลับตัวเสียเถอะ” เขาพึมพำเบาๆ “ปลดปล่อยตัวเจ้าเอง”

ได้ยินคำพูดที่คล้ายกับที่ฉู่หว่านหนิงพูดตอนมีชีวิตเมื่อชาติก่อน ท่าเซียนจวินสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่ยังไม่ทันได้บันดาลโทสะ เบื้องหน้าก็มีภาพนองเลือดวูบผ่าน

เขาเห็นรอยฟ้าแยกโลกภูตผีอีกครั้ง…

ท่ามกลางมหันตภัยที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาครั้งนั้น ต่างคนต่างก็ไม่มีเวลาสนใจผู้ใด เสียงร้องโหยหวนดังระงมสะท้านฟ้า

ท่าเซียนจวินลอยล่องอยู่กลางอากาศเหมือนเหยี่ยวกระดาษ เบื้องล่างคือฝูงชนที่ร้องคร่ำครวญ เลือดและชิ้นส่วนแขนขาคาวคลุ้ง เขามองลงไป

ซือเม่ยเล่า ซือเม่ยอยู่ที่ใด…

เขามองไม่เห็น เขาหาไม่พบ ร้อนใจดังไฟสุม เดือดพล่านจนมิอาจทานทน…ทันใดนั้น เขาก็หยุดชะงัก

ท่ามกลางกลุ่มควัน เห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังเคลื่อนไหว ท่าเซียนจวินลอยโฉบเข้าไปใกล้ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่านั่นคือตนเองเมื่อครั้งเป็นเด็กหนุ่ม อยู่ในสภาพหมดสติ หายใจรวยริน

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

ราวกับตอบคำถามเขา ภาพตรงหน้าท่าเซียนจวินเปลี่ยนไป มีคนแบกร่างยับเยินของเขา คลานไปตามพื้นท่ามกลางซากศพก่ายกองอย่างทุลักทุเล

เป็นผู้ใด

มือที่เหวอะหวะโชกเลือดนั่น…เป็นมือของผู้ใด

คนคนนั้น ทั้งที่ตนเองยังคลานไม่ไหว แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ ยังคงลากเขาไปด้วยอย่างเอาเป็นเอาตาย

เป็นใครกัน

ท่าเซียนจวินลอยเรี่ยพื้น วนเวียนอยู่รอบตัวสองคนนั้น เขาเพ่งมองคนที่เลือดโชกไปทั้งตัวจนยากจำแนกหน้าตาผู้นั้น…สุดท้าย เขาก็เห็นชัดแล้ว

ราวกับถูกฟ้าผ่า

“ฉู่หว่านหนิง…?”

เป็นไปได้อย่างไร…จะเป็นไปได้อย่างไร!

ข้างหูคล้ายมีคนกำลังร้องคำราม แม้จะเป็นเสียงที่แว่วมาไกลๆ แต่ความกราดเกรี้ยวในน้ำเสียงนั้นราวกับมีดแหลมปักหัวใจ กำลังคำรามด้วยโทสะ เสียงนั้นร้องตะโกนว่า “ที่บันไดยังมีคราบเลือด นั่นเป็นเส้นทางที่อาจารย์พาเจ้ากลับบ้าน”

“ข่ายอาคมหยั่งรู้คือข่ายอาคมคู่! เจ้าได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด อาจารย์ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน!”

“เจ้าพูดได้อย่างไรว่าอาจารย์ไม่ช่วยเจ้า! เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าเขาไม่ช่วยเจ้า…”

ท่าเซียนจวินรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง

เขาพลันเบิกตาโพลง สองตาแดงก่ำ จ้องโม่เวยอวี่ตรงหน้า กัดฟันเค้นเสียงออกมา “เจ้าให้ตัวข้าดูอะไร! นี่มัน…เหลวไหลสิ้นดี!”

เพลิงโทสะท่วมฟ้า แต่ดวงตาที่สบประสานกับเขากลับทำให้เขาอึ้งงัน

โม่หรานจ้องเขา นัยน์ตาดำขลับสงบนิ่งคู่นั้นรื้นน้ำตา “ข้าพยายามมอบความทรงจำของข้าให้เจ้าสุดความสามารถแล้ว”

“ใครอยากดูเรื่องราวของเจ้ากับเขา! ใครอยากรู้เรื่องราวตั้งแต่เจ้าเกิดใหม่! เจ้าใช้ชีวิตไปวันๆ เจ้าทำให้ซือเม่ยผิดหวัง…เจ้ากับตัวข้าไม่เหมือนกันเลย!” เขาเอ่ยอย่างเดือดดาล “ใครใช้ให้เจ้าคิดเองเออเอง ไสหัวไปให้พ้น!”

เพลิงโทสะที่คนนับไม่ถ้วนเห็นแล้วเป็นต้องหวาดผวา โม่หรานกลับไม่มีความหวั่นไหวใดๆ

โม่หรานมองเขา สายตานั้นถึงขั้นเจือแววเวทนา เขายืนอยู่ตรงหน้าท่าเซียนจวิน พลันเปลวเพลิงสีทองลุกท่วมชายชุดคลุม ร่างว่างเปล่าของเขาค่อยๆ สลายไปทีละน้อยท่ามกลางกองเพลิงนี้ สุดท้ายกระจายเป็นจุดแสงหิ่งห้อย

“ความจริงไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าเองก็ควรไปแล้ว

“ข้าใช้พลังวิญญาณของตนเอง มอบความทรงจำทั้งหมดของตนให้เจ้าแล้ว วิธีนี้ฝืนกฎสวรรค์ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายข้าจะลงเอยเช่นไร” เอ่ยถึงตรงนี้ โม่หรานก็เงียบไป จากนั้นก็ยิ้มออกมา “อาจถูกตัดออกจากวัฏสงสาร หรืออาจถูกตัดสินให้ตกนรกอเวจี”

“…”

“ข้าเคยคิดถึงความน่าจะเป็นที่ดีที่สุด” โม่หรานกล่าว “บางทีวิญญาณของข้าอาจติดตามแก่นวิญญาณไปด้วย ผสานรวมอยู่ในตัวเจ้า”

ก่อนหน้านี้เขาพูดอะไร ท่าเซียนจวินล้วนไม่สนใจ ทว่าพอฟังถึงตรงนี้ คิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นทันที “อย่าแม้แต่จะคิด!”

โม่หรานมองเขาเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง “เจ้ากลัวหรือ”

“ตัวข้ามีอะไรต้องกลัว” ท่าเซียนจวินถูกลบหลู่ ดวงตาหรี่ลง “ร่างนี้เป็นของตัวข้า เจ้าอย่าคิดจะเป็นนกเขายึดรังนกกางเขน!”

โม่หรานถอนหายใจ “เจ้าก็แค่ไม่อยากยอมรับความจริง”

“…”

“เจ้าไม่อยากยอมรับความจริงที่ข้ายอมรับแล้ว แต่เจ้ากลับทำเป็นไม่เห็น”

“หุบปาก!”

โม่หรานมองเขาอย่างสงบนิ่ง ร่างมายายิ่งเลือนรางไปอย่างรวดเร็ว ลามขึ้นไปถึงเอว แผ่นอก…ก่อนจะเลือนหาย โม่หรานยื่นมือออกไป พยายามสัมผัสจอนผมของท่าเซียนจวิน แต่ท่าเซียนจวินกลับผงะถอยอย่างเดียดฉันท์ ราวกับถูกสัตว์มีพิษเกาะ

เห็นเขาเป็นเช่นนี้ โม่หรานเพียงยิ้ม จุดแสงสีทองในร่างเขาคล้ายกลุ่มแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ พลันพุ่งเข้าไปในแผ่นอกของท่าเซียนจวิน…ท่าเซียนจวินรู้สึกเพียงในร่างมีพลังที่คุ้นเคยกลุ่มหนึ่งกำลังฟื้นฟู พลังนั้นร้อนแรงแผดเผา เหมือนกระแสหินหลอมเหลวใต้หินผา

พลังนี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกชิดใกล้ แต่ก็รังเกียจสุดแสน

“เจ้าอย่าได้คิดจะผสานวิญญาณกับตัวข้า…”

“ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายจากไป ข้าเองก็ต้องลองหนทางสุดท้ายสุดกำลัง”

ท่าเซียนจวินเดือดพล่าน “ไสหัวออกไป!”

แต่โม่หรานเพียงจ้องเขา “ขอโทษด้วย สุดท้ายยังคงต้องแย่งร่างนี้กับเจ้า”

“…”

“หากนิสัยเดิมของเจ้ากลับคืนมาก็คงดี”

“เป็นโม่เวยอวี่เถอะ” ไม่นานเปลวเพลิงสีทองก็ลุกไหม้ถึงปลายนิ้วเขา จากนั้นกลืนกินใบหน้าเยาว์วัยและหล่อเหลาของเขา “อย่าเป็นท่าเซียนจวิน”

เสียงเงียบไป

เถ้าถ่านคลุ้งกระจาย…

 

ขณะเดียวกัน ในห้องลับของหอเทียนอิน มีประกายสีทองพร่าตาสว่างวาบขึ้นมา เจิดจ้าราวกับกลางวันจนซือเม่ยลืมตาไม่ขึ้นชั่วขณะ เขายกแขนเสื้อขึ้นป้องใบหน้าไว้ ผ่านไปพักใหญ่ แสงแผดกล้านี้จึงค่อยๆ ดับลง

ซือเม่ยไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาลดแขนลงทันที มองเข้าไปในโลงศพน้ำแข็งด้วยสีหน้าซีดเผือด…

พลันสบประสานกับดวงตาดำสนิทแซมประกายม่วง

ท่าเซียนจวินลุกขึ้นนั่งช้าๆ ใบหน้าของเขาซีดขาวเย็นเฉียบ ริมฝีปากยังไร้สีเลือด ดูราวกับร่างที่สลักจากหยกเย็น ผนึกขึ้นจากพุน้ำลึก แม้กระทั่งชุดคลุมสีดำปักดิ้นทองก็กำจายไอเย็นออกมา แสงสว่างที่สาดทอบนร่างเขาราวกับจับแข็งไปด้วย

ท่าเซียนจวินยกมือขึ้น ปลายนิ้วเรียวขาวซีดวางอยู่ที่ขอบโลง เขากวาดตา สายตาไปตกอยู่ที่ร่างของซือเม่ย

“…”

แม้รู้ว่าตนเป็นนายของเขา แต่ภายใต้การจับจ้องของสายตาเย็นเยียบเช่นนี้ ซือเม่ยยังคงผงะเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม

“เจ้า…” ลูกกระเดือกขยับ ซือเม่ยพยายามสะกดอารมณ์ตนเอง “ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว”

ท่าเซียนจวินไม่ตอบ สีหน้าเขาเหี้ยมเกรียมอย่างยิ่ง ถึงขั้นดูพยศและยากคาดเดายิ่งกว่าแต่ก่อน

เขาหอบหายใจ แผ่นหลังชุ่มเหงื่อ ทว่ารอยยิ้มสุดท้ายของปรมาจารย์โม่ยังคงวูบไหวอยู่ตรงหน้า…เขาหลับตาลง พยายามสัมผัสว่าในร่างตนมีดวงจิตที่เพิ่มขึ้นมาเป็นส่วนเกินหรือไม่ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ความรู้สึกจับได้

ซือเม่ยยืนอยู่ข้างๆ เห็นเขามีสีหน้าผิดปกติ จึงรีบยื่นมือออกไปทาบหน้าผากเขา ปากร่ายอาคม บรรเทาความกระสับกระส่ายในใจท่าเซียนจวิน

“เป็นเช่นไร” ซือเม่ยท่องอาคมสงบวิญญาณหนึ่งจบ จ้องใบหน้าเขาเขม็งพลางถาม

ท่าเซียนจวินมิได้ตอบทันที ผ่านไปนาน เขาจึงยกมือขึ้น ขยับนิ้วมือ เล็บที่ตัดแต่งได้รูปราวกับผลึกน้ำแข็ง ไม่ปรากฏสีเลือดสักนิด

เขาลุกขึ้นจากโลง

“ข้ารู้สึกเหมือนฝันไปนานมาก…” ท่าเซียนจวินเอ่ยถ้อยคำแรกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

ดวงตาซือเม่ยฉายแววระแวดระวัง “ล้วนมิใช่ความจริง”

ชุดคลุมดำของตี้จวินดุจพยับเมฆ ดิ้นทองดุจวารี เขาก้าวออกจากโลงศพ สีหน้าหม่นมัว “ข้าก็คิดเช่นนั้น”

เขาจ้องซือเม่ย ซือเม่ยเองก็จ้องเขา ครู่ต่อมา ซือเม่ยจึงลองหยั่งเชิง “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าตนเองคือใคร”

“…”

เงียบไปนาน

บุรุษหล่อเหลาเย็นชาผู้นั้นคล้ายหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากบางขยับ “ทำไมจะจำไม่ได้ ท่าเซียนตี้จวิน โม่หราน โม่เวยอวี่”

เขาชะงักไปเล็กน้อย หลุบตาลง ทำความเคารพซือเม่ยที่ตัวเกร็งถึงขีดสุดอย่างเกียจคร้าน “ยอมเป็นทาสรับใช้นายท่าน”

ในดวงตาซือเม่ยคล้ายมีประกายลิงโลดวูบผ่าน แต่เขายังมิกล้าคลายใจ เขาหยิบหินผลึกก้อนหนึ่งออกมาจากในถุงเฉียนคุน ของสิ่งนั้นเปล่งประกายสีเขียวคราม ลักษณะแปลกประหลาด เป็นหินผลึกแข็งแกร่งที่สุดที่ใช้วัดพลังวิญญาณของผู้ฝึกบำเพ็ญ

ลูกกระเดือกของเขาขยับ กอดความคาดหวังอันแรงกล้า ขณะเดินเข้าไปพลางยื่นหินผลึกใส่มือท่าเซียนจวิน

“จุดมันให้สว่างได้หรือไม่”

“…” ท่าเซียนจวินเหลือบมองหินก้อนนี้อย่างเฉยชา เอ่ยเสียงเนิบ “มีอันใดยาก” สิ้นคำ นิ้วมือก็บีบเข้ามา เส้นเลือดที่มือปูดโปน

เพียงชั่วขณะ กระแสวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดก็ผนึกรวมอยู่ภายในนั้น ไม่เพียงหินผลึกเปล่งแสงเจิดจ้าในชั่วอึดใจ แต่ยังปรากฏรอยปริร้าวเป็นริ้วๆ

ซือเม่ยสะกดลมหายใจ ดวงตาจับจ้องไปที่หินก้อนนั้น นิ่งงันไปชั่วขณะ

พลันได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ หินระเบิดเป็นผุยผงคานิ้วมือเรียวขาวซีดของท่าเซียนจวิน ก่อนจะสลายเป็นเถ้าถ่านปลิวกระจายด้วยพลังวิญญาณอันแข็งแกร่ง…

กลายเป็นฝุ่นธุลี!

“นี่นับเป็นอะไร” ท่าเซียนจวินขยี้เศษผงที่ปลายนิ้วมือ พลางแค่นหัวเราะเย็นชา “ไม่ทนมือเอาซะเลย”

ซือเม่ยผ่อนคลายลงทันที เขาเดินกลับไปข้างหลัง ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ศิลาข้างๆ อย่างหมดเรี่ยวแรง

นี่…คือพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมนุษย์…ในที่สุด ช่วงเวลานี้ก็กลับมาอยู่ในกำมือข้าอีกครั้งแล้วหรือ

ซือเม่ยไม่อาจระงับอารมณ์ จากที่สั่นเทิ้มเล็กน้อยกลายเป็นรุนแรง แสงสลัวในห้องศิลาส่องจับใบหน้างามล้ำของเขา เป็นความลิงโลด หรือว่าผ่อนคลาย? แสงสลัวรางวูบไหว ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน จนถึงขั้นดูแปลกประหลาด

ผ่านไปพักใหญ่ ซือเม่ยจึงเอาหน้าซุกฝ่ามือทั้งสองข้าง พึมพำเสียงแหบ “ท่านแม่ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าทำได้แล้ว”

ทันใดนั้นเขาก็คล้ายคลุ้มคลั่งขึ้นมา ผุดลุกขึ้น ร้องตะโกนท่ามกลางความว่างเปล่าภายในห้องศิลาที่นอกจากเขากับท่าเซียนจวินแล้ว ก็ไม่มีบุคคลที่สามอีก “ท่านเห็นหรือไม่ ใกล้แล้ว! พวกท่านเห็นแล้วหรือไม่”

ไม่มีผู้ใดตอบเขา เขาหัวเราะลั่นอยู่ในห้องลับอันเงียบงันนี้ หัวเราะจนน้ำตาไหล…เป็นหยดน้ำตาสีทอง

เหมือนกับซ่งชิวถงเบาะคนงามกระดูกผีเสื้อในอดีต

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า