[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 9 บทที่ 289 : ยอดเขาสื่อเซิง เยี่ยมหาเกลอเก่าบ้างตายจาก

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

 

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

 

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

 

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored

 

————————————————————-

 

ฝันร้ายของโลกบำเพ็ญเพียรยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วงหลายวันนี้ หมากเจินหลงแพร่กระจายในโลกมนุษย์ราวกับโรคระบาด คนที่อยู่เบื้องหลังเหมือนคนวิกลจริต ไม่เลือกสถานะของเจ้าของร่าง ไม่ว่าจะเป็นคนชราหรือเด็ก ล้วนเอาไปทำเป็นหมากทั้งหมด

การหว่านแหปูพรมเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดคาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาได้

มีคนขอความช่วยเหลือไปยังหอเทียนอินด้วยความทุกข์ร้อน แต่เจ้าหอเทียนอินกลับอ้างว่าล้มป่วย ไม่อาจออกมาได้ ต่อให้มีคนหนีภัยมาอดตายอยู่หน้าหอ ประตูใหญ่ก็ไม่เปิด ในที่สุดคนเหล่านี้จำต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจว่า…บางที พวกเขาอาจผิดตั้งแต่ต้น

แต่ทุกอย่างสายไปแล้ว ปรมาจารย์โม่ตายแล้ว ฉู่หว่านหนิงเบาะแสไม่แน่ชัด ยอดเขาสื่อเซิงล่มสลายแล้ว สำนักใหญ่ทั้งหลายวุ่นวายอยู่กับเรื่องของตนเอง หมากเจินหลงที่ไร้สติเตร็ดเตร่ไปทั่วโลกมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ เข่นฆ่าสังหารผู้คน ทุกหนแห่งมีแต่การสู้รบราวกับไฟลามทุ่ง ลุกลามไปทั้งโลกบำเพ็ญเพียรด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง

เจียงตู หยางโจว สู่จง เหลยโจว…ไม่ว่าที่ใดล้วนมีแต่เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมอย่างน่าสลดท่ามกลางเปลวเพลิงลุกโชน กำแพงพังทลาย ความงดงามในโลกมนุษย์ดับสิ้นพินาศไปท่ามกลางไฟบรรลัยกัลป์ลุกโหมนี้

บนหอดูดาวของหอเทียนอิน ซือเม่ยมองดูความวุ่นวายทุกหย่อมหญ้า เขายืนอยู่ตามลำพังครู่หนึ่ง ก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาทางด้านหลัง

รองเท้าแพรของสตรีย่ำมาบนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะบางๆ มู่เยียนหลียื่นมือทั้งสองมาคลุมเสื้อกันหนาวให้เขา

“ท่าเซียนจวินเล่า”

“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว”

“…เจ้าส่งเขาไปทำเรื่องนั้นแล้ว?” มู่เยียนหลีตกตะลึงเล็กน้อย “เหตุใดจึงได้เร็วนัก”

“ไม่มีอะไรต้องรอ ทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้ว ยามนี้หมื่นเรื่องพร้อมสรรพ ขาดเพียงลมบูรพา [1] ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว”

ซือเม่ยเอ่ยจบก็เงียบไปอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง น้ำเสียงที่สงบเยือกเย็นมาตลอดสั่นพร่าเล็กน้อย

“พี่สาว” เขาเอ่ยเสียงเบา “หลายปีแล้ว สองชาติแล้ว ในที่สุดข้าก็ทำได้…”

มู่เยียนหลีหันมา เห็นนัยน์ตาดอกท้อของเขารื้นด้วยไอน้ำ คล้ายสะเทือนอารมณ์ ทั้งคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง

ซือเม่ยหลับตาลง น้ำเสียงสั่นเครืออย่างไม่อาจควบคุม “ไปเถอะ”

เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ประตูเป็นตายมิติเวลาใกล้จะเปิดแล้ว เราจะนำหมากที่ทำไว้ทั้งหมดไปด้วย ส่งไปทางโน้นให้หมด”

“หมากทั้งหมด?”

“ทั้งหมด”

“แต่คนตั้งมากมายเช่นนั้น…” สีหน้าของมู่เยียนหลีค่อนข้างซีดเผือด แต่พอเห็นสีหน้าที่ทั้งเจ็บปวดและตื่นเต้นของซือเม่ย นางก็ยังคงเอ่ยอย่างแน่วแน่ “…ได้ ข้ารู้แล้ว”

นางหันกายจากไป ขณะกำลังจะลงจากหอ ซือเม่ยพลันเรียกนางไว้

“รอเดี๋ยว!”

นางหันมา ใต้ท้องฟ้าสีเหลืองอ่อนยามสายันห์ ซือเม่ยยืนหันข้าง ลมแรงพัดเสื้อโต่วเผิงของเขาจนสะบัดพึ่บพั่บ เขามองมู่เยียนหลี คล้ายอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ขอบตาแดงก่ำ แต่จนแล้วจนรอดก็มิได้พูดออกมา

มู่เยียนหลีสบตากับเขาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “เจ้าวางใจ แม้จะโหดเหี้ยม แต่ข้าไม่มีวันทรยศเจ้า”

ซือเม่ยพลันหลับตาลง ยามที่คนเราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็มักจะอ่อนไหวเปราะบางเช่นนี้

เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย “ข้าในชาตินี้ทรยศตัวข้าเอง…”

“เขาไม่ได้ทรยศเจ้า” มู่เยียนหลีกล่าว “เขาทรยศเผ่ากระดูกผีเสื้อ ทรยศพวกเราทุกคน มือเขามิได้เปื้อนเลือดของผู้ฝึกบำเพ็ญแล้ว…แต่เขาตัดสินให้เราลงนรกนับจากนี้”

“…”

“ข้าเข้าใจความอับจนหนทางของเจ้า” มู่เยียนหลีเอ่ยกับซือหมิงจิ้ง “อาหนาน ไม่ว่าคนบนโลกนี้จะว่าเจ้าเช่นไร ในเผ่าเบาะคนงามกระดูกผีเสื้อ เจ้าคือวีรบุรุษที่สมภาคภูมิ”

นางจากไป

ซือเม่ยมองจนนางค่อยๆ คล้อยหลังไปไกล จากนั้นหันกาย มือที่เห็นข้อต่อชัดเจนวางบนราวหยกแกะสลัก สัมผัสเย็นเฉียบแผ่ซ่านขึ้นไปถึงหัวใจ

“วีรบุรุษ?” ซือเม่ยแหงนหน้า มองเมฆหม่นมัวบนท้องฟ้า สักพักก็ถอนหายใจ “เป็นวีรบุรุษไม่ได้แล้ว ไม่มีวีรบุรุษคนใดแบกหนี้ชีวิตคนมากมายเช่นนี้”

ในดวงตาเขาคล้ายฉายความผิดหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเย็นเยียบเป็นน้ำแข็งอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“ข้าฮว่าปี้หนานทุ่มเทชีวิตจิตใจมาสองชาติ ต่อสู้รบรากับฟ้าดิน ข้าไม่เชื่อว่าลิขิตฟ้ามิอาจเปลี่ยนแปลง…บัดนี้ประตูเป็นตายมิติเวลา กลหมากเจินหลง…อาคมต้องห้ามเหล่านี้ล้วนอยู่ในกำมือข้าแล้ว ข้าอยากจะดูนักว่า บนโลกนี้ยังมีใครขวางข้าได้อีก”

ข้อต่อนิ้วกำแน่นจนซีดเหมือนสีหยก

“ช่างวีรบุรุษมันเถอะ ข้าเพียงต้องการหาทางออก…”

คำสั้นๆ กระจายไปท่ามกลางสายลม

“เพื่อพวกเรา”

ในดินแดนหิมะคุนหลุนอันเวิ้งว้าง มีร่างสีดำโฉบผ่าน

ลมแรงหิมะกระหน่ำพัดปะทะใบหน้าเขาราวกับคมมีด เขาหรี่ดวงตาดำสนิทแซมประกายม่วงเอาไว้ คล้ายมิได้รู้สึกถึงความเหน็บหนาวเสียดกระดูกนี้แต่อย่างใด

เขาเหมือนนกแร้งบินฉวัดเฉวียนอยู่ในหุบเหว กระโดดขึ้นบนหลังคาด้วยฝีเท้าเบากริบ ท่าร่างว่องไว วังท่าเสวี่ยแห่งคุนหลุนมียอดฝีมือลาดตระเวนอยู่มากมาย กลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการมาถึงของเขา พื้นหิมะที่เขาผ่านไปไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้แม้แต่น้อย

ไม่นานบุรุษผู้นี้ก็โฉบไปถึงยอดหลังคาที่สูงที่สุดของวังท่าเสวี่ย จากตรงนี้มองออกไปเห็นทะเลสาบเทียนฉือท่ามกลางลมหิมะอันพร่าเลือนเงียบงัน ไอหมอกแผ่ซ่าน

ร่างที่เหมือนสายฟ้าสีดำหยุดลง

บุรุษผู้นี้ยืนตระหง่านอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของคุนหลุน ราวกับดาบคมกริบ ดวงตาสีดำมองผิวน้ำเหนือทะเลสาบเทียนฉือ ลมกระโชกมา พัดเสื้อโต่วเผิงของเขาจนหมวกคลุมศีรษะตกลงมา เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาขาวซีดไร้สีเลือด

เป็นท่าเซียนตี้จวิน

หลังจากผ่านการหลอมจากซือเม่ยเป็นครั้งที่สอง เขาก็มีแก่นวิญญาณของปรมาจารย์โม่อยู่ในร่างแล้ว พลังอันแข็งแกร่งฟื้นฟูกลับมาเหมือนในอดีต ทั้งไม่ขัดคำสั่ง “ผู้เป็นนาย” อีกต่อไป

เขากลายเป็นอาวุธสังหารและขุมพลังวิญญาณที่ซือหมิงจิ้งพึงพอใจในที่สุด

แต่ว่า หลังจากฟื้นขึ้นมาในหอเทียนอิน ชิ้นส่วนความทรงจำกระจัดกระจายบางส่วนมักผุดขึ้นในภวังค์ของท่าเซียนจวิน…ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่าเขาเคียดแค้นฉู่หว่านหนิง เขารักซือหมิงจิ้ง ความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งรักแค้นโกรธชัง ล้วนพัวพันอยู่กับสองคนนี้

แต่เขาก็รู้สึกรางๆ ว่าไม่ถูกต้อง

ระยะนี้เขามักได้ยินเสียงแว่ว และเห็นภาพเลือนรางของเหตุการณ์บางอย่างเป็นประจำ…

เขาเห็นฉู่หว่านหนิงกำลังบรรจงห่อเกี๊ยวอยู่ในโรงยายเมิ่ง ได้ยินตนพูดกับฉู่หว่านหนิงว่า “อาจารย์ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ได้หรือไม่…”

เขาเห็นจันทร์กระจ่างเหนือผืนทะเล ส่องดวงใจของคนสองคน ตนกุมมือฉู่หว่านหนิงแน่น ส่วนฉู่หว่านหนิงเอาแต่ก้มหน้า นัยน์ตาหงส์ที่แข็งกร้าวดุดันเสมอมาแดงรื้นขึ้น เขาได้ยินฉู่หว่านหนิงเอ่ยกับตนว่า “ข้าไม่ดี ข้าไม่เคย…ข้าไม่เคยมีใครชอบมาก่อน”

เขาเห็นตนกับฉู่หว่านหนิงพัวพันกันอย่างดุเดือดบนเตียงในเรือนแรม พายุฝนที่โหมกระหน่ำด้านนอก ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา

เขาเห็นฉู่หว่านหนิงเหลือบตาขึ้นมองตนในศาลาหงเหลียน…

หัวใจพลันสั่นไหว

ท่าเซียนจวินลืมตาขึ้นทันที

นี่มันคืออะไรกัน

เขาเห็นฉู่หว่านหนิงจ้องมองตนด้วยแววตาอ่อนละมุน เป็นแววตาที่ต่อให้ใช้ยาปลุกกำหนัด ทรมาน กักขัง ลบหลู่ ใช้ไม้อ่อนไม้แข็งใดๆ ก็ไม่เคยแลกมาได้

ท่าเซียนจวินรู้สึกปวดร้าวทั้งศีรษะ เขายกมือขึ้น แสงตะวันส่องจับเดือยแหลมเย็นเฉียบบนปลอกแขนของเขา เขาคลึงขมับตนเอง พลางสบถเบาๆ “นี่มันเรื่องเลอะเทอะอะไร”

เขายืนใจลอยอยู่บนหลังคาครู่หนึ่ง หิมะที่คุนหลุนตกหนักยิ่งนัก ไม่ทันไรเกล็ดหิมะก็เกาะเต็มไหล่ เขาประหลาดใจเล็กน้อย เพราะลึกๆ ในใจเขารู้สึกดียิ่งนัก เหมือนได้หลับฝันดีตื่นหนึ่ง รู้สึกสงบสุขเพราะแววตาอ่อนโยนของฉู่หว่านหนิงในความฝัน

“…ตัวข้าบ้าไปแล้วจริงๆ”

เขากะพริบตา สลัดความคิดไร้สาระเหล่านี้ทิ้ง มุ่งหน้าต่อไป

คำสั่งของผู้เป็นนายคือต้องการให้เขาไปยังจุดที่พลังวิญญาณเข้มข้นที่สุดของคุนหลุน เพื่อเปิดประตูเป็นตายมิติเวลาที่ทะลุไปยังชาติก่อน ดังนั้นตามหลักแล้วเขาควรมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ แต่พอเขาเห็นทะเลสาบเทียนฉือ ก็ยังคงอ้อมผ่านไปทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้

นั่นคือสถานที่ที่เขาสูญเสียฉู่หว่านหนิงไปตลอดกาล

ท่าเซียนจวินยืนหักห้ามใจตนเองอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงเดินไปทางนั้นราวกับถูกผีสิง ทว่าขณะผ่านไปตามระเบียงทางเดินในวังท่าเสวี่ย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยของใครคนหนึ่ง

“ท่านพ่อ…ท่านแม่…”

เสียงนั้นคุ้นหูยิ่งนัก เขาชะงักฝีเท้า กำบังตนในมุมลับตา ดวงตาดำขลับมองลงไปเบื้องล่าง

เขาเห็นแล้ว เอ่ยเยาะขึ้นมาอย่างอดมิได้ “คิดว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเจ้า”

ในลานเรือนแห่งนั้น มีเซวียเหมิงเพียงผู้เดียว กำลังกอดไหสุรา ฟุบคาโต๊ะ สภาพเมาหัวราน้ำ

“ครั้งนี้พ่อแม่เจ้าไม่ได้ถูกตัวข้าฆ่าตาย” ท่าเซียนจวินมองสภาพเมาหยำเปของเซวียเหมิงด้วยความสนอกสนใจครู่หนึ่ง ลูบคางพลางเอ่ย “แต่พอเห็นเจ้าทุกข์ใจ ตัวข้าก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก ตัวข้ายังไม่ลืมว่าชาติก่อนถูกใครแทงหน้าอกจนเป็นรูโหว่

“เป็นเช่นไร รสชาติของความปวดใจ ดีมากใช่หรือไม่”

ในลานเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดอื่น

ท่าเซียนจวินมองอยู่สักพัก พลันเงาดำโฉบออกไป เขามาหยุดยืนตรงหน้าเซวียเหมิง

บุตรพญาหงส์ที่เมาแประมิได้รับรู้ถึงการมาของเขา ยังคงยื่นมือเปะปะคลำไหสุรา พยายามจะกรอกสุราชั้นเลิศเข้าปากอีก

พลันมือเย็นเฉียบยื่นมาคว้าไหดินเผาเอาไว้ หยุดการเคลื่อนไหวของเขา

“เจ้า…ใคร…”

“เดาสิ”

เซวียเหมิงฝืนลืมตาที่ร้องไห้จนบวมเป่ง มองไล่ขึ้นไปตามมือข้างนั้นอย่างมึนงง จนไปจับอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาทว่าเปี่ยมไปด้วยแววเยาะหยันของท่าเซียนจวิน

ท่าเซียนจวินไม่เคยเห็นเซวียเหมิงโศกเศร้าเช่นนี้มาก่อน ถึงเขาจะเชื่อว่าชาติก่อน เซวียเหมิงเองก็แอบเจ็บปวดรวดร้าวหลายครั้งโดยไม่ให้ผู้ใดเห็น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเองกับตา เขาเลียริมฝีปาก รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจยิ่งนัก

เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ จ้องเซวียเหมิงราวกับจ้องเหยื่อ “น่าสนุก ที่แท้ศิษย์ที่ฉู่หว่านหนิงภาคภูมิใจที่สุด ก็รู้จักใช้สุราซื้อความเมามาย ดื่มจนเมาเละไม่เป็นท่า”

เขาว่าพลางนั่งเบี่ยงตัวข้างโต๊ะศิลา จากนั้นยื่นมือไปเชยคางเซวียเหมิงขึ้นมา

“ไม่ได้เห็นเจ้าตอนยังหนุ่มมานานมากแล้ว” ท่าเซียนจวินทอดถอนใจเล็กน้อย “อยู่ในโลกนั้นมานาน จนตัวข้าเกือบลืมไปแล้วว่าตอนยังเยาว์เจ้ามีหน้าตาเย่อหยิ่งจองหองเพียงใด”

ปลายนิ้วไล้ขึ้นไปทีละน้อย

ผ่านแก้ม สันจมูก หว่างคิ้ว จากนั้นจิ้มที่หน้าผากอย่างไม่หนักไม่เบา

“เซวียเหมิง เจ้ารู้หรือไม่ มีเรื่องหนึ่งที่ตัวข้าเสียใจยิ่งนัก” เขามองเข้าไปในดวงตาเลื่อนลอยของเซวียเหมิง ค่อยๆ เผยรอยยิ้มชวนสั่นสะท้านออกมา “ชาติก่อน เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ตัวข้าจึงได้ปรานี ปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไป ทำให้ต่อมาเจ้ามีโอกาสย้อนมาทำร้ายตัวข้า บางครั้งตัวข้าคิดว่า…น่าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสียตั้งแต่แรกใช่หรือไม่

“คนเราน่ะ ยามอยู่ มีชีวิตสุขสบาย แต่ตายไปแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะต้องทุกข์ทรมาน” น้ำเสียงของท่าเซียนจวินผ่อนช้าและหม่นลง “เซวียเหมิง เจ้าอยากไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่เจ้าหรือไม่”

เขาว่าพลางโน้มตัวเข้าไปใกล้

ลมหายใจเย็นเยียบรดลงบนแก้มของเซวียเหมิง นิ้วมือเย็นเฉียบสองนิ้วแตะที่เส้นเลือดข้างลำคออีกฝ่าย…ตลอดขั้นตอนนี้เขาจ้องเข้าไปในดวงตาเซวียเหมิงเขม็ง

มองเงาสะท้อนของตนในดวงตาพร่าเลือนคลอน้ำตาคู่นั้น ดูราวกับภูตผีมาเยือนโลกมนุษย์

“ความจริงคนเราก็ต้องตายทุกคน” ท่าเซียนจวินแสยะยิ้มเห็นฟันขาวน่าสะพรึง “ดีชั่วอย่างไรเราสองคนก็เป็นพี่น้องกันมาครึ่งชีวิต ในเมื่อได้เจอเจ้า มิสู้ตัวข้าส่งเจ้าล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง ช่วยให้เจ้าหลุดพ้น”

ปลายนิ้วออกแรง กำลังจะลงมือสังหาร

“พี่ชาย…”

พลันได้ยินเสียงพึมพำ คล้ายต้นอ่อนในฤดูวสันต์แทงยอดทะลุดิน สะท้านสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน

ท่าเซียนจวินตะลึงงัน

เซวียเหมิงมองเขา คล้ายในที่สุดก็จำคนตรงหน้าได้แล้วภายใต้ฤทธิ์สุรา น้ำตาเปียกชุ่มเสื้อผ้า สะอื้นพลางลุกขึ้นอย่างโซเซ คว้าแขนเย็นเฉียบของท่าเซียนจวินเอาไว้ ราวกับคว้าขอนไม้ที่ลอยอยู่กลางทะเล

“พี่ชาย…”

เขาเรียกข้า?

เซวียเหมิงไหนเลยจะแยกแยะความแตกต่างอันละเอียดอ่อนระหว่างโม่หรานทั้งสองชาติได้ชัดเจน เขาคิดว่าคนตรงหน้านี้คือโม่หราน คือพี่ชายเขา คือคนในครอบครัวเขา คือช่วงเวลาแสนสุขไร้กังวลของเขาที่ในที่สุดก็หวนกลับมา

ครั้งนี้ท่าเซียนจวินได้ยินชัดแล้ว ทั้งแน่ใจว่าตนมิได้ฟังผิด เขาจึงอึ้งงันไป ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าเช่นไร

ในหัวเต็มไปด้วยความคิดยุ่งเหยิงสับสน

ชั่วขณะที่พร่าเลือนนั้น เบื้องหน้าท่าเซียนจวินปรากฏภาพหลอนอีกครั้ง เขาเห็นตนเองกับเซวียเหมิงนั่งอยู่ด้วยกันในศาลาหงเหลียน ชงชาต้มสุรา ชนจอกใต้แสงจันทร์

นี่ก็คือเรื่องที่ปรมาจารย์โม่ผู้นั้นเคยทำ?

“พี่ชาย” ดวงตาเมามายของเซวียเหมิงเลือนราง เขาซบอยู่ในอ้อมแขนท่าเซียนจวิน จากเดิมที่ยังข่มกลั้นน้ำตาไว้ สุดท้ายก็ฮึกฮัก หลุดสะอื้นออกมา กลายเป็นร้องไห้คร่ำครวญในที่สุด “อย่าไป…พวกท่านอย่าทิ้งข้าไว้…”

ผ่านไปครู่หนึ่ง คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ริมฝีปากขาวซีด “อย่าฆ่าพ่อข้า อย่าบีบพวกเขา…ข้าฆ่าคนพวกนั้นเอง อย่าทำร้ายพ่อแม่ข้า มาลงที่ข้าเถอะ…” หยดน้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงเผาะ เปียกชุ่มอกเสื้อของท่าเซียนจวิน “อย่า…อย่าควักหัวใจพี่ชายข้า”

ท่ามกลางเสียงสะอื้นคร่ำครวญซ้ำไปมา มือของท่าเซียนจวินที่เดิมตั้งใจจะสังหารเขาค่อยๆ ลดลง เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง คิดจะผลักเซวียเหมิงออก แต่เซวียเหมิงกอดเขาแน่นเหลือเกิน เป็นสัมพันธ์ของพี่น้องที่แน่นแฟ้นยิ่งนัก

อย่างช้าๆ จุดที่อยู่ใกล้หัวใจที่สุดก็ชุ่มไปด้วยน้ำตา

สุดท้ายท่าเซียนจวินทะยานขึ้นบนหลังคาราวกับหลบหนี มองลงไปยังเซวียเหมิงที่กอดเข่าร้องไห้อยู่บนพื้นหิมะอย่างรวดร้าว

เซวียเหมิงในความทรงจำของเขาดุร้าย เย่อหยิ่ง บีบคั้นผู้คน ปากคอเราะรายมาตลอด ทว่ายามนี้ ท่ามกลางลมหิมะ เขากลับกลายเป็นเด็กน้อยที่หาพี่ชายไม่พบ

เขามองเซวียเหมิงร้องไห้อยู่นาน ต่อมาเซวียเหมิงลุกขึ้น ไม่รู้สร่างเมาแล้ว หรือว่าร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว จึงยืนอยู่ในลานเรือนอย่างงุนงงครู่หนึ่ง สุดท้ายกอดไหสุรา เดินลึกเข้าไปยังสวนดอกท้อในลาน ชายหนุ่มผู้นั้นเดินไปอย่างไร้จุดหมาย สีหน้าเลื่อนลอย ค่อยๆ ไกลออกไป…ไกลออกไป…

ท่าเซียนจวินมองพื้นหิมะ รอยเท้าสะเปะสะปะสองสายที่ไม่หันกลับมา ทอดยาวไปท่ามกลางลมหิมะ กระทั่งมองไม่เห็นเงาหลังของเขาอีก

ท่ามกลางลมเหนือ พลันมีเสียงเพลงเย็นเยียบลอยมา นั่นเป็นเพลงพื้นเมืองสั้นๆ ของสู่จงที่เซวียเจิ้งยงเคยร้องเมื่อยังมีชีวิต เวลานี้เปล่งออกมาจากในลำคอของเซวียเหมิง ดังก้องวังท่าเสวี่ยแห่งคุนหลุน

“ข้าเยี่ยมหาเกลอเก่าบ้างตายจาก ยามนี้เพียงเมามายจึงได้ร่วมสุข” เสียงนั้นยังอ่อนเยาว์ ทว่าท่วงทำนองเจนโลก “วัยหนุ่มซ่อนสุราใต้ต้นกุ้ย ยกจอกร่วมดื่มจนผมขาวแซม”

หิมะตกหนักเกาะเส้นผมดำของชายหนุ่ม

น้ำเสียงแหบพร่าแทรกซึมในสายลมหนาว หดหู่เศร้าสร้อยเหลือใจ

“ฟ้าสางฝันมลายคนจรไกล…” ไกลขึ้นเรื่อยๆ พร่าเลือนขึ้นทุกที แต่มิใช่เพราะเซวียเหมิงเดินไปไกล ทว่าสุดท้ายเขาก็ระเบิดเสียงร้องไห้ ท่วงทำนองเจือสะอื้น “ทิ้งข้าแก่เฒ่านองน้ำตา”

ทิ้งข้าแก่เฒ่านองน้ำตา

เขาเพิ่งอายุยี่สิบสอง กลับมีเพียงยามเมามายและในความฝัน จึงได้เห็นสหายเก่าหัวเราะครื้นเครง พบปะพร้อมหน้ากันอีกครั้ง เขาเพิ่งอยู่ในวัยรุ่งโรจน์ของชีวิต กลับมีเพียงดื่มสุราไหหนึ่ง จึงจะได้เห็นความรักของพ่อแม่และสหายเก่าอีกสองสามคน

เซวียเหมิงแหงนหน้าขึ้น คล้ายอยากกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา แต่เขาไม่รู้ว่าตนเองจะกลั้นไว้ได้หรือไม่ ลมหิมะพัดเข้าตาเขา

เขาหลับตาลง ร้องตะโกนดังลั่น คล้ายกำลังถามฟ้า บอกความปรารถนาต่อผืนดิน

“ยอมมอบทั้งชีวิตแด่โจวกง ปล่อยท่านกอดสุราหวนคืนมา!”

เมฆหมอกก่อตัว เขาเขวี้ยงไหสุราในมือทิ้ง

กางสองแขนออก ทิ้งตัวลงในกองหิมะทั้งยืน เขาไม่อยากเดินต่ออีกแล้ว เบื้องหน้าคือที่ใด ทุกแห่งล้วนมีแต่ความเหน็บหนาว ไม่มีเงาร่างที่คุ้นเคยอีก ไม่มีบ้านอีกแล้ว

แม้แต่โม่หรานที่ฝันถึงเมื่อครู่ก็มิใช่ความจริง ล้วนเป็นบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี หายวับไปในชั่วพริบตา

เซวียเหมิงนอนอยู่ในพื้นหิมะ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยกมือขึ้นปิดเปลือกตาตนเอง

ริมฝีปากซีดเผือดขยับ น้ำตาร้อนไหลหยดลงมา

“เหตุใดพวกท่านจากไปกันหมด ทิ้งข้าไว้คนเดียว”

เซวียเหมิงพลันสำลัก น้ำเสียงขาดห้วง

“เพราะเหตุใด…เหตุใดต้องทิ้งข้าไว้คนเดียว…”

สองชาติแล้ว สุดท้าย ล้วนมีเพียงตัวเขาคนเดียว

ท่าเซียนจวินฟังเสียงที่ถูกกลบกลืนไปกับเสียงลมหวีดหวิว มองจุดที่เซวียเหมิงจากไปไกล เขายืนนิ่งอยู่บนหลังคา ลมแรงพัดเสื้อโต่วเผิงของเขาปลิวสะบัด เขายกมือขึ้นทาบหน้าอก ไม่รู้ว่านั่นคือความรู้สึกอย่างไร

ข้าเยี่ยมหาเกลอเก่าบ้างตายจาก

สำหรับเซวียเหมิงเป็นเช่นนี้ สำหรับท่าเซียนจวินเอง ไยจะมิใช่เช่นนี้

ตำหนักอูซานเมื่อชาติก่อนอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว สุดท้ายเหลือเขาเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดอีก เขาไม่รู้ว่าเตากำยานในห้องตนเคยวางอยู่ที่ใด ทั้งไม่สามารถสวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ที่เคยสวมในวัยเยาว์ได้แล้ว บางครั้งเขาหลุดปากเอ่ยเรื่องขำขันสมัยที่ขอเล่าเรียนวิชา ทว่ารอบกายมีแต่ใบหน้าเคารพยำเกรง

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังพูดอะไร ไม่มีผู้ใดเข้าใจเขา

คนที่เข้าใจเขา บ้างอยู่บาดาลเหลือง บ้างอยู่ไกลสุดขอบหล้า

ท่าเซียนจวินมาถึงริมทะเลสาบเทียนฉืออย่างช้าๆ อากาศไม่ดีนัก ไกลออกไปมีเกล็ดน้ำแข็งจับตัว ลอยคว้างอยู่บนผิวทะเลสาบ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ ราวกับรูปปั้นไม้สลักที่ไร้หัวใจ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวตัวหนึ่ง

ปล่อยให้หิมะและเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมเขา

“ฉู่หว่านหนิง…” เขาถอนหายใจเบาๆ “ถ้าหากตอนนั้น…”

ถ้าหากตอนนั้นแล้วอย่างไร

เขามิได้กล่าวต่ออีก ขนตาหลุบลง เปลือกตาปิดสนิท

แต่ไรมาล้วนไม่เคยมีคำว่า “ถ้าหาก” เขาคือท่าเซียนตี้จวิน คือผู้ที่อยู่สูงสุดในโลกบำเพ็ญเพียร ไม่มีผู้ใดเอื้อมถึง เขาไม่รู้ว่าอะไรคือเสียใจในภายหลัง อะไรคือกลับตัว

สิ่งที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นไปแล้ว

เขาไม่มีคำว่าเสียใจ และไม่มีคำว่าพ่ายแพ้

ต่อให้ร่างแหลกลาญ ไร้ญาติขาดมิตร นี่ก็เป็นเส้นทางที่เขาเลือกเอง ต่อให้เต็มไปด้วยขวากหนาม เขาก็จะฝืนเดินต่อไป

แต่ว่า ท่ามกลางขอบฟ้ากว้างไกล หิมะเวิ้งว้างสุดสายตาแห่งนี้ ในสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดมาพบเห็น ไม่มีผู้ใดรู้จักนี้ ท่าเซียนจวินยืนเอามือไพล่หลังอยู่นาน สุดท้ายก็ทำเรื่องที่คาดไม่ถึง…เขาคุกเข่าลง

ณ จุดที่ฉู่หว่านหนิงต่อสู้จนตัวตายในครั้งนั้น กราบคำนับลงกับพื้น

หนึ่งกราบ

สองกราบ

กระทั่งสามกราบ

ท่าเซียนจวินเงยหน้าขึ้น ใต้หมวกคลุมศีรษะ ขนตาเกาะพราวด้วยเกล็ดน้ำแข็ง สีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นเขาลุกขึ้น สะบัดชุดโต่วเผิงสีดำเงียบๆ ทะยานไปยังจุดที่ปราณวิญญาณเข้มข้นที่สุดของเขาคุนหลุน ราวกับเป็นความปรารถนาอันยาวนานหลายปี

เมื่อตี้จวินออกโรง ใต้หล้าย่อมไม่มีผู้ใดขวางเขาได้ ซือหมิงจิ้งเลือกไม่ผิด เขามีพลังวิญญาณดุร้ายแข็งแกร่งที่สุดในโลกมนุษย์ ทั้งมีฐานการบำเพ็ญอันไร้เทียมทาน

ประตูเป็นตายมิติเวลา กำลังจะเปิดออกแล้ว!

 

[1] หมายถึง ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ขาดสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า