ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored
————————————————————-
บทที่ 291
ยอดเขาสื่อเซิง สองธุลีแดงเชื่อมโยง
ท่าเซียนจวินยืนอยู่กลางท้องฟ้าสูงลิบ ชุดคลุมดำปลิวสะบัดราวกับสาดหมึก
เขาหรี่ตาลง แขนเสื้อกว้างปักลายซับซ้อนถูกพัดจนยุ่งเหยิง พลังวิญญาณกลางฝ่ามือดุจมังกรกลืนตะวัน ฉีกหมอกหนาที่มองเห็นกับมิติเวลาที่มองไม่เห็นออกทันที…
ตูม!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว สายฟ้าฟาดลงมาดุจคมอาวุธฟาดฟัน สะเทือนเลื่อนลั่นเขย่าชั้นฟ้าในพริบตา!
เงียบงันอยู่นาน จากนั้น น้ำในทะเลสาบเทียนฉือโถมทะลัก หิมะคุนหลุนโหมกระหน่ำ เมฆเหลืองกวาดปฐพี ลมเหนือท่วมฟ้า…กาลก่อนเมื่อครั้งที่ฉู่หว่านหนิงมายังโลกนี้ เพียงฉีกออกเป็นรอยแยกเล็กๆ ต่อมาซือเม่ยทุ่มเทความคิดจิตใจอย่างยากลำบาก ฟื้นคืนรอยแยกนั้นกลับมา ติดตามมายังโลกนี้เช่นกัน
แต่การแยกออกของมิติเวลาทั้งสองครั้งนั้น ล้วนเป็นเพียงรอยแยกเล็กน้อย ไม่นานก็ถูกพลังของหงเหมิงฟื้นคืนสภาพกลับมาดังเดิม แม้ว่าต่อมาบนเขาเจียวซาน สวีซวงหลินหยิบยืมพลังของห้าเทพศัสตรา เปิดรอยฟ้าแยกใหญ่ออก แต่นั่นก็เป็นเพียงการทลายกำแพงระหว่างสองโลกชั่วคราวเท่านั้น
ทว่าครั้งนี้ รอยแยกที่โม่หรานฉีกออกด้วยมือตนเองต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ท้องฟ้าแดงฉานทันที ขณะเดียวกันดวงตะวันสองดวงกับดวงจันทร์สองดวงลอยขึ้นช้าๆ ทอแสงสีขาวรำไร ลอยเด่นกลางนภา
ตั้งแต่เจียงหนานไปจนถึงมั่วเป่ย ตั้งแต่โพ้นทะเลจนถึงสุดขอบหล้า ชั่วขณะนั้นผู้คนต่างหยุดงานในมือ แหงนมองปรากฏการณ์อาเพศน่าสะพรึงบนท้องฟ้านี้
ตำบลอู๋ฉาง เด็กน้อยพูดจาอ้อแอ้ร้องไห้จ้า มารดากอดเขาไว้แน่นในอ้อมอก จุมพิตใบหน้าเขาพลางปลอบเบาๆ “ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง เด็กดี แม่อยู่ตรงนี้ แม่อยู่ตรงนี้”
เมืองหยางโจว หญิงชราผมขาวหนังเหี่ยวย่นยันไม้เท้ายักแย่ยักยัน หลังโค้งค่อม เอ่ยเสียงแหบพร่า “บน…บนฟ้านั่น ทำไมมีดวงจันทร์สองดวง ยังมีดวงตะวันสองดวง…สวรรค์…สวรรค์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น…”
เกาะเฟยฮวา ซุนซานเหนียงเลิกคิ้วเข้ม ยืนเท้าเอวอยู่ชายฝั่ง นางสั่งการเฉียบขาด ให้ทุกคนหลบเข้าบ้านดับไฟ ทั้งยังให้บริวารรับคนเจ็บป่วยแก่ชราที่ไร้บ้านไว้ในจวนทั้งหมด
นางจ้องเหตุอาเพศกลางท้องฟ้าเขม็ง ในดวงตาราวกับมีเปลวไฟ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสำนักใหญ่อย่างกูเย่ว์เยี่ย หอหั่วหวง วัดอู๋เปย ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ยามนี้ ผู้ฝึกบำเพ็ญแทบทั้งหมดล้วนกระจ่างถึงเรื่องหนึ่ง
ประตูเป็นตายมิติเวลาเปิดออกแล้วจริงๆ
โม่หรานลอยอยู่กลางเวหา ดวงตาแผ่กลิ่นอายอำมหิตและบ้าคลั่ง
เขาถูกซือหมิงจิ้งกระตุ้นให้จิตใจสับสน ถูกสะกดความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายหน เป็นแล้วตาย ตายแล้วฟื้น ความทรงจำยิ่งถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในร่างมีเพียงดวงจิตรู้สำนึกดวงเดียวที่คอยประคับประคองไว้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงบ้าคลั่ง ถึงขั้นไร้เหตุผลกว่าแต่ก่อน
ไม่นาน แผ่นดินกว่าครึ่งก็ถูกปกคลุมอยู่ใต้พยับเมฆดำนี้ ท่าเซียนจวินแหงนหน้าหัวเราะเสียงดังก้อง…แต่เขากำลังหัวเราะอะไร
เขาเองก็ไม่รู้
ความคิดยุ่งเหยิงสับสน ในใจมีเพียงคำสั่งของผู้เป็นนายดังวนเวียนไม่ขาด
เขาหรี่ตา มองข่ายอาคมโปร่งใสใต้เมฆดำถาโถม ริมฝีปากคลี่ยิ้มหยัน จากนั้นยกมือขึ้น เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ปู้กุย”
ปู้กุยปรากฏขึ้นมาทันที
ปลายนิ้วของท่าเซียนจวินไล้ไปตามตัวดาบทีละน้อย ลำแสงแผ่กระจายเจิดจ้า
จากนั้นฟันลงไปยังข่ายอาคมที่ขวางกั้นโลกทั้งสองอย่างรุนแรง!
เงียบงันไปชั่วขณะ…
พลันพสุธากัมปนาท สรรพสิ่งแตกตื่นอลหม่าน
ประตูเป็นตายมิติเวลาถูกเขาเปิดออก ตัดขาด และทำลายโดยสมบูรณ์ในที่สุด
แผ่นดินพลันเปลี่ยนสี
พลังวิญญาณอำมหิตของเขารวมกับพลังปราณของเทพศัสตราปู้กุย ทำให้รอยแยกนี้ขยายกว้างจนไม่มีทางผนึกปิดได้อีกในช่วงระยะเวลาร้อยปี!
ภารกิจลุล่วงแล้ว
ท่าเซียนจวินยืนอยู่ที่รอยฟ้าแยกท่ามกลางลมโหมกระหน่ำ เขาหรี่ตา จากนั้นหันกลับไปมองธุลีแดงแห่งนี้ นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกายก้าวเข้าไปยังโลกที่เป็นของเขาอย่างแท้จริง…
เสียงลมหวีดหวิวข้างหูหยุดลง เขาเหลือบตาขึ้น
เบื้องหน้าคือสีขาวโพลนเวิ้งว้าง เขาย้อนกลับมายังโลกที่ตั้งตนเป็นตี้จวินแล้ว กลับมายังวังท่าเสวี่ยแห่งคุนหลุนเมื่อชาติก่อนอีกครั้ง
“ฝ่าบาท”
“น้อมต้อนรับฝ่าบาทกลับมา”
เขายืนอยู่บนทุ่งหิมะรกเรื้อไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า มีผู้ติดตามกลุ่มใหญ่วิ่งมาหาเขา คุกเข่าลงบนพื้นหิมะ ทำสามกราบเก้าคำนับให้เขาเป็นระลอกราวกับกระแสน้ำ
ท่าเซียนจวินมิได้พูดอะไร ดวงตาดุจเหยี่ยวกวาดผ่านเหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญที่ยืนเรียงกันเป็นทิวแถว และกลุ่มคนที่สวมเสื้อคลุมโต่วเผิงสีดำแต่ละคน
มายมายสุดลูกหูลูกตา เรียงรายยาวเหยียดไปจนถึงเชิงเขา
ผู้เป็นหัวหน้าคือชายชราท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ลมเหนือพัดปอยผมสีดอกเลาตรงหน้าผากเขา เขาก็คือหลิวกงที่รับใช้ท่าเซียนจวินมานานหลายปี
ในปีที่ท่าเซียนจวินตายไป หลิวกงก็ถูกขับให้กลับบ้านเกิดเช่นเดียวกับข้ารับใช้คนอื่นๆ เดิมคิดว่าทุกอย่างคงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ทว่าต่อมาไม่นาน หัตถ์ทิพย์สำนักโอสถที่ชื่อฮว่าปี้หนานก็ปรากฏตัว ท่าทีดุร้ายน่าสะพรึง เขานำร่างของท่าเซียนจวินไปทำเป็นผีดิบขึ้นมาไว้ใช้งาน
เพียงแต่ผีดิบตนนี้มีอารมณ์ความรู้สึกและจิตใจที่ยึดมั่นยิ่งนัก เขาไม่พอใจบริวารใบ้ที่ฮว่าปี้หนานจัดหามาปรนนิบัติเขา กระทั่งฮว่าปี้หนานต้องตามข้ารับใช้เก่าแก่ในตำหนักอูซานกลับมาอีกครั้ง เขาจึงยอมเลิกรา
ต่อมาฮว่าปี้หนานหายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอยโดยที่หลิวกงเองก็ไม่รู้สาเหตุ ทิ้งตี้จวินไว้เพียงผู้เดียว ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างจะอยู่ก็ไม่ดี จะตายก็ไม่ได้
ผ่านไปนานเข้า ต่อให้เป็นคนโง่เขลาเพียงใดก็มองออกว่าตี้จวินถูกบงการมาโดยตลอด แม้แต่หลิวกงเองก็ไม่เว้น แต่เขาเป็นชายชราแก่หง่อม ดินเหลืองแทบจะกลบมาถึงครึ่งลำคอแล้ว จะให้ทำอะไรได้เล่า
เขาไร้ญาติขาดมิตร สหายก็ตายจากไปหมด มีเพียงการปรนนิบัติรับใช้ท่าเซียนตี้จวินที่เขามองว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่หล่อเลี้ยงชีวิตตนให้อยู่ต่อไปอย่างทรุดโทรมและเฉื่อยชา
และเพราะสิ่งนี้ที่ประคับประคองชีวิตไว้ ตอนที่หลิวกงเห็นท่าเซียนจวินกลับมาอีกครั้ง ในแววตาจึงทั้งฉายแววปีติและทั้งวิตกกังวล มองดูแล้วจริงแท้กว่าคนอื่นมาก
ท่าเซียนจวินขยับริมฝีปาก “เหล่าหลิว”
“ฝ่าบาท” หลิวกงโขกศีรษะ “ในที่สุดฝ่าบาทก็กลับมาแล้ว”
“…เจ้ารู้หรือไม่” ขณะที่ท่าเซียนจวินเอ่ยเช่นนี้ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเหมือนกับเด็กน้อยที่กระตือรือร้นอยากเล่าข่าวดีให้ผู้ใหญ่ฟัง “ตัวข้าได้เจอเขาแล้ว”
หลิวกงตกตะลึง “…ปรมาจารย์ฉู่?”
“อืม เจอกันหลายครั้ง แก่นวิญญาณของตัวข้าก็ฟื้นฟูแล้ว รอให้การใหญ่เสร็จสิ้น ตัวข้าก็จะได้…”
อาจเพราะเห็นความตื่นเต้นของตนจากในดวงตาฝ้าฟางของชายชรา ท่าเซียนจวินจึงหยุดปากทันที กวาดตามองคนที่คุกเข่าโดยรอบด้วยความกระดากเล็กน้อย
ยังดี ไม่มีผู้ใดบังอาจหัวเราะเยาะเขา
เขาเม้มริมฝีปาก วางท่าให้กลับมาน่าเกรงขามและเยือกเย็นอีกครั้ง สะบัดแขนเสื้อ เอ่ย “เอาล่ะ ลุกขึ้นได้ ทุกคนลุกขึ้น ตามตัวข้ากลับตำหนักอูซาน”
เขาขี่กระบี่กลับไปยังสู่จง ทุกหนแห่งที่ผ่านสายตามีแต่กลิ่นอายความตาย บ้านเรือนว่างเปล่าร้างไร้ผู้คน
ในธุลีแดงแห่งนี้เหลือคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มากแล้ว เขาคุ้นเคยกับสภาพเช่นนี้มานานแล้ว เพียงแต่ไปอยู่ในอีกโลกมาช่วงระยะหนึ่ง ได้เห็นความคึกคักของผู้คนอีกครั้ง พอย้อนกลับมาในนรกบนดินแห่งนี้ จึงรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมา
คืนนั้นเขาเปิดสุราขาวดอกสาลี่เก่าเก็บไหหนึ่ง ดื่มสุราอยู่ในตำหนักอูซานอันว่างเปล่าเพียงลำพัง
นับตั้งแต่ได้แก่นวิญญาณของปรมาจารย์โม่มา ร่างกายของเขาก็ฟื้นฟูขึ้นไม่น้อย เรื่องมากมายที่คนเป็นทำได้ เขาเองก็ทำได้แล้ว อย่างเช่น ดื่มสุรา กินข้าว เพียงแต่ต่อให้ฟื้นฟูซ่อมแซมอย่างไร ซากศพก็ยังคงเป็นซากศพ ลิ้นของเขารับรู้รสชาติได้ไม่ถึงสามส่วนของเมื่อยามมีชีวิตอยู่
แต่เขาก็ยังรู้สึกพึงพอใจ
หลังจากดื่มสุราสามรอบ เขาเริ่มรู้สึกเมามาย เอามือค้ำหน้าผากเอนกายอยู่บนตั่งนุ่ม หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตบางส่วนอย่างซังกะตาย ความจริงแล้วเรื่องราวในอดีตเหล่านี้มิได้ทำให้มีความสุขเลย กลับชวนให้หดหู่เป็นทบทวี
แต่ก่อนเขาไม่อยากนึกถึง เพียงแต่เวลานี้เขาไม่กลัวแล้ว
สองธุลีแดงเชื่อมต่อกันแล้ว ต่อให้เป็นอดีตที่ไร้ความสุขสันต์เพียงใด อีกไม่นานก็เปลี่ยนแปลงได้ เขาหรี่ตาลง นิ้วมือเรียวม้วนพู่แดงบนไหสุราเล่น พลางพึมพำ “ฉู่หว่านหนิง…”
เขาลุกขึ้น ถือโอกาสแวะไปที่ศาลาหงเหลียนที่ทิ้งร้างจนฝุ่นจับมานาน พอมาถึงหน้าประตู กลับเห็นหลิวกงกำลังเดินออกมาจากด้านใน สองคนเจอกัน ต่างฝ่ายต่างชะงัก
“คารวะฝ่าบาท”
ท่าเซียนจวินถาม “เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่”
สายตาตกไปอยู่ที่ข้าวของกระจุกกระจิกจำพวกผ้าขี้ริ้วและไม้ปัดขนไก่ในตะกร้าที่หลิวกงถืออยู่
“กำลังปัดกวาด?”
หลิวกงถอนหายใจ “ขอรับ บ่าวเฒ่าไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะมาอีกเมื่อใด กลัวว่าสิ่งของไม่ได้ใช้นานๆ จะผุพังเสียหาย จึงมาเก็บกวาดทุกวัน” หลิวกงเงียบไปครู่หนึ่ง “ที่นี่ยังเหมือนเมื่อก่อน ฝ่าบาทเชิญเข้าไปเถิด”
ท่าเซียนจวินพลันไม่รู้จะพูดอะไรดี
เขาเดินไปยังริมสระบัวตามลำพัง สระนี้ผนึกรวมพลังวิญญาณเอาไว้ ดอกบัวในสระจึงบานส่งกลิ่นหอมหวนยาวนาน ลึกเข้าไปในดงบัว กบที่ไม่รู้ฤดูกาลกำลังส่งเสียงร้องจนแก้มป่อง เขาเอียงคอนิ่งฟังครู่หนึ่ง ค่อยๆ จำได้ว่ามีบ่ายวันหนึ่ง เขายืนรับลมฤดูร้อนอยู่ที่หัวสะพานจนสติมึนงง พลันเกิดนึกสนุก ดึงตัวฉู่หว่านหนิงมาจุมพิตหน้าผากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอยู่บนสะพาน…
ตอนนั้นการอยู่ร่วมกันระหว่างพวกเขา นอกจากการร่วมรักแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีความอ่อนโยนอะไรมากนัก แต่การจุมพิตอย่างปุบปับนี้กลับมิได้เป็นไปในเชิงล่วงเกินสักนิด ด้วยเหตุนี้ฉู่หว่านหนิงจึงตกตะลึงเล็กน้อย
จักจั่นบนต้นไม้ส่งเสียงร้องระงม กบในสระก็ร้องแข่งอย่างไม่ยอมแพ้
เขามองนัยน์ตาหงส์ที่เบิกกว้างเล็กน้อยคู่นั้น ยิ่งรู้สึกสนุกกว่าเดิม จึงเอ่ย “ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำ มิสู้หาอะไรเล่นเล่นฆ่าเวลากันสักหน่อย?”
ไม่รอฉู่หว่านหนิงปฏิเสธ นิ้วมือก็แนบริมฝีปากอีกฝ่าย “ชู่ ฟังตัวข้าพูดให้จบ”
“…”
“เรามาเดิมพันกัน ประเดี๋ยวตัวข้าจะนับถึงสิบ หากกบในสระร้อง ถือว่าเจ้าแพ้ เจ้าต้องไปทำน้ำลูกเหมยดองมาให้ตัวข้า แต่หากจักจั่นบนต้นไม้ร้องก่อน ถือว่าตัวข้าแพ้ ตัวข้า…จะพาเจ้าลงเขาไปพักผ่อนหย่อนใจ”
ลงเขาเป็นเงื่อนไขที่ยั่วใจจริงๆ เดิมฉู่หว่านหนิงไม่อยากสนใจเขา แต่อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ ท่าเซียนจวินจับจุดอ่อนของเขาได้หมดแล้ว เงื่อนไขที่เสนอมาจึงทำให้เขามิอาจปฏิเสธ
ท่าเซียนจวินยิ้ม “เช่นนั้น เริ่มเลยนะ?”
“หนึ่ง สอง สาม…”
น้ำเสียงทุ้มหนักแน่นค่อยๆ นับอย่างเนิบช้า คนทั้งสองต่างเงี่ยหูฟังว่ากบหรือจักจั่นจะร้องก่อน แต่ตี้จวินแห่งโลกมนุษย์คงดวงไม่ดีนัก พอเขาเริ่มนับ จักจั่นก็ร้องระงมกันยิ่งกว่าเดิม กบกลับเงียบกริบด้วยความเกียจคร้าน คล้ายเป็นเชิงยอมแพ้
“แปด เก้า…” ยิ่งนับถึงตอนท้าย ก็ยิ่งลากเสียงยาวขึ้น กระทั่งสุดท้ายลากยาวจนถึงขั้นไร้ยางอาย ฉู่หว่านหนิงหันไปจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชา
ท่าเซียนจวินเองก็หนังหน้าหนานัก ถูกจ้องเช่นนี้ กลับหยุดอยู่ที่ “เก้า” เสียดื้อๆ ไม่ยอมนับต่อ แต่กลับถามฉู่หว่านหนิง “เจ้าว่ากบตัวนี้มันตายรึยัง”
“…”
“หาไม่แล้วเหตุใดจึงไม่ร้อง”
“…”
“เจ้ารอเดี๋ยว ตัวข้าจะลองดูว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นถือว่าไม่ยุติธรรม” เขาว่าพลางเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น เขวี้ยงไปยังกบเขียวที่เห็นชัดว่ายังอยู่ดีตัวนั้น…
“สิบ!”
“อ๊บ!”
กบตกใจ กระโดดจ๋อมลงสระ ริ้วน้ำกับเสียงกบแผ่กระจายพร้อมกัน ท่าเซียนจวินหัวเราะฮ่าๆ ปัดเศษดินบนมือ เอ่ยกับฉู่หว่านหนิง “เจ้าแพ้แล้ว กบร้องแล้ว”
ฉู่หว่านหนิงสะบัดแขนเสื้อหมายผละไป กลับถูกคว้าแขนเสื้อไว้ ท่าเซียนจวินที่เป็นฝ่ายเอาเปรียบอารมณ์ดียิ่งนัก กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาจากสระบัว เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังขุ่นเคือง ยิ้มพลางเอ่ย “น้ำลูกเหมยดองต้องเย็นๆ เย็นจัดๆ”
“เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่” ฉู่หว่านหนิงกัดฟันกรอด
“ยางอายช่วยคลายร้อนทำให้น้ำลายสอไม่ได้ เอามามีประโยชน์อะไร” ท่าเซียนจวินว่าพลางจิ้มหน้าผากเขา “ไปสิ อย่าลืมว่าใส่น้ำตาลเพียงเล็กน้อยพอ”
อาจเพราะวันนั้นเขาอารมณ์ดีมากจริงๆ พอได้ดื่มน้ำลูกเหมยดองรสเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อมและเย็นสดชื่นกาหนึ่งใต้แสงตะวันแผดกล้า แม้กระทั่งเสียงกบร้อง ฟังแล้วก็ยังเพราะจับใจอย่างบอกไม่ถูก
จู่ๆ เขาก็เอ่ยกับฉู่หว่านหนิง “อีกไม่นานก็จะครบสามปีเต็มแล้ว”
“อะไร”
เห็นท่าทีตอบสนองของเขา ใบหน้าหนุ่มแน่นของตี้จวินก็ฉายแววไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ใกล้จะครบสามปีที่ตัวข้าตั้งตนเป็นตี้จวิน”
ท่าเซียนจวินว่าพลางพยายามมองหาร่องรอยหวั่นไหวแม้สักนิดในแววตาฉู่หว่านหนิง เสียดายที่ผลที่ได้น่าผิดหวังยิ่งนัก เขาย่นจมูกเล็กน้อย รู้สึกขุ่นมัวและไม่ยินยอม คิดอยู่สักพักจึงเอ่ยขึ้นมาอีก “เจ้าเองก็อยู่กับตัวข้ามาสามปีแล้ว”
“…”
“เห็นแก่ที่น้ำลูกเหมยดองวันนี้รสชาติไม่เลว ตัวข้าจะพาเจ้าลงเขาไปเดินเล่นแล้วกัน แต่มิอาจไปไกล อยู่แค่ตำบลอู๋ฉาง”
รถม้าเตรียมพร้อม มู่ลี่ไม้ไผ่ หมอนเย็น ชุดน้ำชา พัดจีบ…ครบครัน
ท่าเซียนจวินยืนอยู่หน้าประตูหลักของยอดเขาสื่อเซิงที่ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นมาสามรอบแล้ว มือลูบห่วงหน้าผากหยกไหมทอง [1] บนหน้าผากหน้า พลางหันไปเอ่ยกับฉู่หว่านหนิง “คุ้นตาหรือไม่ นี่คือรถม้าที่เมื่อก่อนเจ้าชอบนั่งยามเดินทาง จอดไว้เฉยๆ ก็ไม่ได้ขวางหูขวางตา จึงไม่ได้ให้คนเอาไปทิ้ง”
ฉู่หว่านหนิงไม่ได้มีท่าทียินดียินร้าย เขาก้าวขึ้นไปบนที่วางเท้าไม้หวงซวนจือ เลิกมู่ลี่ไม่ไผ่ เข้าไปในรถเหมือนที่เคยทำในอดีต
ข้ารับใช้อ้าปางตาค้าง หันไปมองท่าเซียนจวินใต้แสงสายัณห์ด้วยความหวาดหวั่น
ท่าเซียนจวินนิสัยมืดมน ฆ่าคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่โดยไม่ต้องมีเหตุผลจนเป็นเรื่องปกติ ปรมาจารย์ฉู่ผู้นี้ถึงกับกล้าเข้าไปนั่งในรถก่อนเขาอย่างไม่รู้มารยาท
แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าข้ารับใช้คิดไม่ถึงคือ ท่าเซียนจวินมิได้ถือสาแม้แต่น้อย ถึงขั้นหรี่ตายิ้มกริ่มอย่างเห็นสนุก “ดูสิ คนผู้นี้ยังคิดว่าตนเป็นผู้อาวุโสอวี้เหิงอยู่อีกแน่ะ”
ขณะกำลังจะตามขึ้นรถ พลันด้านหลังก็มีเสียงนุ่มละมุนของสตรีดังมา
“อาหราน”
[1] หยกเขียวชนิดหนึ่ง มีลายริ้วเป็นเส้นๆ ในเนื้อหยก แต่ไม่ได้เป็นสีทอง