[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 1 ตอนที่ 2

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

2

พี่ชายเซียน

 

หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เป็นสกุลใหญ่มีหน้ามีตาอันดับหนึ่งของตำบลเย่าหลิง หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นก่อนจึงค่อยมีตำบลเย่าหลิงตามมา ผู้คนเกินกว่าครึ่งของตำบลล้วนพึ่งพาหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ในการดำรงชีวิต วิชาแพทย์ที่สืบทอดกันรุ่นสู่รุ่นของสกุลหลินถึงขนาดชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ ชื่อเสียงจึงระบือไปทั่วยุทธภพ คนท่องยุทธภพ มีผู้ใดบ้างไม่โดนดาบ สหายยุทธภพได้รับบาดเจ็บทุกวัน แต่หากไม่ใช่ธุระใหญ่โต น้อยครั้งจะมารบกวนสกุลหลิน ขณะเดียวกันเมื่อหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เกิดเรื่อง ผู้คนจำนวนมากพร้อมให้ความช่วยเหลือทันที ช่วยให้พวกเขามีทางหนีทีไล่มากขึ้น ทำให้คนสกุลหลินซาบซึ้งใจยิ่งนัก

นึกไม่ถึงว่าจะมีโจรบุกเข้ามาในหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ นายท่านหลินผู้เป็นประมุขหมู่ตึกย่อมตกอกตกใจเป็นธรรมดา

ลำพังสุนัขตายตัวเดียว นายท่านหลินไม่มีทางเกิดโทสะ ยามข่าวจากสวนผักมาถึง นายท่านรองสกุลหลินผู้มีหน้าที่ดูแลสวนสมุนไพรบนเขาได้ส่งคนมารายงานแล้วว่ามีหัวขโมยคนหนึ่งบุกเข้ามา เจ้าหัวขโมยผู้นั้นคิดจะมาขโมยยา ระหว่างต่อสู้กันอย่างชุลมุนยังหวิดทำลายยาไป๋ฮวาเหลิ่งเซียง[1]ที่จะมอบให้บรรดาอนุภรรยาของข้าหลวงหวงเสียหาย ดวงตาของนายท่านหลินพลันเบิกกว้าง แม้แต่หนวดเครารกครึ้มยังถูกลมพัดปลิวไสว

พร้อมกันนั้นแว่วเสียงว่าเจอหัวขโมยดังมาจากทางสวนผัก นายท่านหลินรีบออกคำสั่งให้ผู้คุ้มกันแยกย้ายไปตามทางหลายสาย ห้ามหยุดการค้นหาจนกว่าจะเจอเจ้าหัวขโมย

ยามที่ท่านประมุขหมู่ตึกโมโห หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ย่อมวุ่นวายเละเทะจนดูไม่ได้ ต้องเร่งระดมพล จัดแบ่งเส้นทาง จุดคบเพลิงออกตามจับหัวขโมย

ผู้คุ้มกันที่ไล่ตามมาจนถึงสวนผักเป็นกลุ่มแรกซักถามฮวาปู๋ชี่เพียงไม่กี่ประโยคก็เร่งร้อนจากไป ทิ้งฮวาปู๋ชี่ให้เดินกลับไปกลับมาในกระท่อมเป็นครู่ ค่อยหยิบชามขอทานที่ฮวาจิ่วทิ้งไว้ขึ้นมา เก็บข้าวของอีกเล็กน้อย และห่อมันเทศจำนวนหนึ่ง หลบหนีออกจากหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางโพรงสุนัข

ลำคอของนางยังรู้สึกถึงปลายนิ้วเย็นเฉียบของเจ้าหัวขโมยผู้นั้น ทั้งเสียงเยียบเย็นยังดังก้องในหู ฮวาปู๋ชี่คิดว่าหลบหนีไปก่อน ย่อมดีกว่ารอให้คนกลับมาแก้แค้นที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ ถึงอย่างไรในสายตาของคนหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ นางก็เป็นเพียงขอทานน้อยที่พึ่งพาความใจบุญของคนสกุลหลินเพื่อให้มีชีวิตรอดเท่านั้น

 

สายลมยามค่ำคืนที่มีหิมะโปรยปรายกรีดบาดราวคมมีด ฮวาปู๋ชี่ที่ใช้ผ้าพันหน้าพันคอมิดชิดซุกมือสองข้างในแขนเสื้อก็ยังทนไม่ไหว นางหนาวสั่นจนฟันกระทบกันกึกๆ รู้ดีว่าหากยังไม่รีบหาสถานที่ก่อไฟอบอุ่นร่างกาย วันพรุ่งก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ยิ่งย้อนนึกไปถึงฮวาจิ่วที่หนาวตาย นางก็รีบเร่งฝีเท้ากระหืดกระหอบไปยังอารามเฉิงหวง หมายจะเป็นสถานที่หลบพายุหิมะในค่ำนี้

ประตูอารามเก่าทรุดโทรมมีแสงสว่างลอดออกมาจนมองเห็นได้แต่ไกล ฮวาปู๋ชี่เกรงว่าเจ้าหัวขโมยผู้นั้นจะหนีมาหลบที่นี่ จึงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเดินอ้อมไปหลังอาราม

นางเขย่งเท้ามองผ่านหน้าต่างผุพัง พบว่ามีคุณชายอายุน้อยคนหนึ่งกับคนแต่งกายเหมือนเด็กรับใช้อีกคนก่อไฟย่างกระต่ายอยู่ น้ำลายของฮวาปู๋ชี่ไหลออกมาทันที

ฉับพลันคุณชายอายุน้อยผู้นั้นก็หันหน้ามา ฮวาปู๋ชี่หลบไม่ทัน สบตาเขาเข้า

คุณชายผู้นั้นตกตะลึง ฮวาปู๋ชี่กลับมองอย่างเคลิบเคลิ้ม

คุณชายผู้นี้อายุราวสิบแปดสิบเก้าปี คิดไม่ถึงว่าเขาจะงดงามยิ่งกว่าคุณหนูสี่ของคฤหาสน์สกุลหลินเสียอีก!

ไม่เพียงเท่านั้น เสื้อคลุมของเขายังทำจากขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ ขับเน้นสีเขียวสดดุจชิงไช่[2]ในเหมันตฤดูของป้ายหยกที่ห้อยเอว กล่าวได้ว่าเป็นบุรุษที่มีเงิน ทั้งยังงดงามยิ่งกว่าสตรี เช่นนี้หมายความว่าอันใดน่ะหรือ หมายความว่าเขาเป็นปีศาจที่ล่อลวงสตรีทั้งแผ่นดินให้กระทำผิดน่ะสิ! ฮวาปู๋ชี่แทบจะเอาหัวโขกพื้นขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาส่งคนงามมาเบื้องหน้า ผู้หญิงที่ทะลุมิติมาอาจไม่งดงามและไม่มีเงิน แต่นางจะต้องได้รับสิทธิพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ยามออกจากเรือนต้องพบบุรุษรูปงาม ทั้งบุรุษรูปงามนั้นต้องจะต้องรักนางเพียงคนเดียว!

นางรีบเปิดห่อผ้า หนุ่มรูปงามย่างกระต่าย นางก็เตรียมมันเทศสองสามหัว

“คุณชาย ในเมื่อหลบหิมะเหมือนกัน ขอยืมไฟสักหน่อยจะได้หรือไม่”

“แม่นาง ข้าไม่เคยกินของอร่อยแบบนี้มาก่อน นี่เป็นสิ่งใดหรือ”

“มันเทศ! นายน้อยผู้สูงศักดิ์จะเคยกินได้อย่างไร!”

ช่างเป็นบทสนทนาที่เป็นธรรมชาติ ทั้งสามารถแสดงให้เห็นถึงความโง่เขลาของคุณชายผู้ร่ำรวยกับนิสัยของเด็กสาวผู้ไม่มีเงิน! ฮวาปู๋ชี่จินตนาการอย่างโง่งม รู้สึกราวกับตนเองได้ออกเรือนกับคนรวยและถือชามข้าวทองคำเรียบร้อยแล้ว

จังหวะที่นางถือมันเทศหัวใหญ่ไว้แน่นและกำลังจะเริ่มแผนการเกี้ยวพาอย่างตื่นเต้น กลับเห็นกลุ่มคนถือคบเพลิงตรงมาทางอาราม จึงรีบหดศีรษะทันควัน

ม่อรั่วเฟยเห็นดวงตาดำขลับคู่นั้นจู่ๆ ก็หายวับไป อดหัวเราะไม่ได้ พอดีกับหันหน้าไปเห็นผู้คุ้มกันของคฤหาสน์สกุลหลินถือคบเพลิงเข้ามาในอาราม

“มิทราบว่าคุณชายมาจากที่ใด เหตุใดจึงมาที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์” หัวหน้าผู้คุ้มกันเห็นว่ามีคนอยู่ในอารามสองคน คนที่แต่งตัวคล้ายคุณชายหน้าตาหล่อเหลายิ่ง ทั้งยังสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกราคาแพง จึงไต่ถามอย่างสุภาพ

“ข้าเป็นคนเมืองวั่งจิง มาทำธุระที่ตำบลเย่าหลิง เพราะโรงเตี๊ยมเต็มหมดแล้ว จึงจำต้องมาอาศัยค้างแรมที่อารามหนึ่งคืน ขอบังอาจถามพี่ชายว่ามีเรื่องใดหรือ” ม่อรั่วเฟยตอบ ยิ้มน้อยๆ

ฉับพลันนั้น เด็กรับใช้ที่อยู่ด้านข้างไอออกมา ผู้คุ้มกันคนนั้นเหลียวมอง เห็นเด็กรับใช้อายุสิบห้าสิบหกปีนอนบนกองหญ้าแห้งคลับคล้ายผู้ป่วย ผู้คุ้มกันอยู่ที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์มานานย่อมมีประสบการณ์อยู่บ้าง ยามได้ยินเสียงไอก็แยกแยะได้ทันทีว่าเป็นอาการบาดเจ็บ เขาหันหน้าตะโกนทันควัน “เด็กรับใช้คนนี้ได้รับบาดเจ็บ!”

ได้ยินถ้อยคำนี้ ผู้คุ้มกันที่อยู่นอกอารามถือกระบี่บุกเข้ามา ยืนล้อมคนทั้งสองไว้

ม่อรั่วเฟยขมวดคิ้ว หากน้ำเสียงที่กล่าวยังอ่อนโยน “เด็กรับใช้ของข้าน้อยคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่แผ่นหลัง พอดีกับหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่ไกล จึงคิดว่าวันรุ่งขึ้นจะไปหาท่านหมอที่หมู่ตึก”

เจ้าหัวขโมยที่หนีไปเมื่อเย็นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กรับใช้ผู้นี้ ทั้งฮวาปู๋ชี่ยังบอกว่าได้รับบาดเจ็บที่แผ่นหลัง บรรดาผู้คุ้มกันไหนเลยจะยอมฟังคำอธิบายของม่อรั่วเฟย ผู้คุ้มกันคนหนึ่งพลันตวาด “ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน!”

“ใช่ ไม่แน่ว่าคนหนึ่งเป็นคนเข้าไปขโมยยา ส่วนอีกคนคอยสนับสนุนอยู่ข้างนอก!”

“มัดพวกเขากลับไปที่หมู่ตึก!”

ผู้คนเริ่มโหวกเหวกโวบวาย ทั้งบางคนยังคิดจะชิงลงมือก่อนเพื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบ

ฮวาปู๋ชี่เห็นดอกไม้เพลิงดอกหนึ่งพุ่งขึ้นสู่นภาด้านหลังอาราม รู้ว่าเป็นการแจ้งข่าว อีกไม่นานจะต้องมีผู้คุ้มกันของสกุลหลินและยอดฝีมือจำนวนมากมาที่นี่ นางหันมองหน้าผาสูงตระหง่านหลังอารามแล้วได้แต่ทอดถอนใจ ซวยแท้ๆ คิดจะหนี แต่กลับถูกผู้คุ้มกันของคฤหาสน์สกุลหลินจับเสียได้

ในอารามปรากฏเสียงดังเคร้งคร้าง ฟังคล้ายเสียงกระบี่ร่วงตกพื้น ฮวาปู๋ชี่ไหนเลยจะมีแก่ใจอยู่ชมความครึกครื้นอีก นางฉวยจังหวะที่ด้านในชุลมุนวุ่นวาย ก้มตัวลง จรดปลายเท้าย่องออกจากอาราม

คนเราคราวอับโชคเพียงดื่มน้ำเย็นก็เสียวฟันแล้ว! นางเพิ่งออกมาก็เจอพ่อบ้านหลิวของคฤหาสน์สกุลหลินเร่งร้อนมา ฮวาปู๋ชี่ฉุกคิดอย่างฉับไว ชี้ไปข้างใน เอ่ยเสียงดัง “พ่อบ้านหลิว เจ้าหัวขโมยที่ได้รับบาดเจ็บที่แผ่นหลังอยู่ข้างในนั้น! เขายังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนเจ้าค่ะ!”

นางตะโกนด้วยแรงทั้งหมดที่มี ลมเย็นจึงพัดกรูเข้าปากทำให้ต้องก้มลงไอ พ่อบ้านหลิวได้ยินเสียงเข่นฆ่าดังมาจากข้างในอาราม ย่อมไม่ทันสังเกตเห็นห่อผ้าที่ฮวาปู๋ชี่สะพายอยู่ เขามีวิชายุทธ์ค่อนข้างสูง จึงทะยานร่างผ่านฮวาปู๋ชี่ไปโดยเท้าไม่แตะพื้น กระทั่งเรื่องที่ฮวาปู๋ชี่ไอก็ลืมเลือนไปหมด

ฮวาปู๋ชี่ถอนหายใจโล่งอกที่พ้นภัย ออกวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้าม เห็นบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คน ถึงหันมองในอารามแล้วคิดอย่างพึงใจ ขอโทษพี่ชายรูปงามด้วยนะ แม้เจ้าจะงามมาก แต่ข้าคิดว่าตัวข้าสำคัญกว่า รอให้ท่านอธิบายให้ชัดเจน แม่นางอย่างข้าก็หนีไปไกลแล้ว นางกระชับห่อผ้าบนหลัง รีบวิ่งเข้าไปในภูเขา

 

ตำบลเย่าหลิงรายล้อมด้วยภูเขาและแม่น้ำ บ้านเรือนจึงปลูกอยู่ตามแนวเขา มีลักษณะคล้ายมังกรนอนทอดตัวยาว

ฮวาปู๋ชี่กระหืดกระหอบปีนขึ้นไปบนเนินเขา เหลียวมองแสงไฟที่อยู่ห่างออกไป รู้สึกใจหายอยู่บ้าง ลมภูเขาพัดผ่านเสื้อผ้าบนร่างซึ่งบางราวกับกระดาษ นางหยุดคิดครู่หนึ่ง ค่อยตัดสินใจหาโพรงบนภูเขาที่เคยพบยามขุดสมุนไพรก่อนหน้านี้เป็นที่พักชั่วคราว

ความจริงโพรงนั้นคล้ายรูหูของแมว ข้างนอกเล็กแต่ข้างในกว้าง ตำบลเย่าหลิงเจริญรุ่งเรืองเพราะอาศัยหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ เกือบทุกคนในตำบลมักขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรและล่าสัตว์ นานวันเข้าเพื่อความสะดวกในการพักผ่อนและเพื่อหลีกเลี่ยงสัตว์ป่า จึงขุดโพรงเช่นนี้ไว้ โดยขุดไว้ใต้ลม พอก่อกองไฟข้างในก็จะไม่ถูกควันรม และยังอาศัยกองไฟตรงปากทางเข้าป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้าใกล้

ฮวาปู๋ชี่เปิดห่อผ้า หยิบมีดผ่าฟืนออกมาฟันพุ่มไม้แห้งเล็กน้อย จากนั้นไม่นานก็จุดไฟ นางเอาหิมะมาถูใบหน้าที่โดนความเย็นจนชาไปหมด ผ่านไปสักพักถึงค่อยมีความรู้สึกขึ้นมาบ้าง

มันเทศที่เผาอยู่ในกองไฟสุกแล้ว พอลอกเปลือกออกก็สิ่งกลิ่นหอมหวาน ฮวาปู๋ชี่สูดดมอย่างเคลิบเคลิ้ม ค่อยกัดคำใหญ่ ทำเอาร้อนจนต้องเป่าปาก

“ยังมีอีกหรือไม่”

“มีสิ” นางพึมพำตอบ พอได้สติ เงยหน้าขึ้น เห็นร่างสง่างามที่สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ พาให้เกือบจะสำลักมันเทศเผาจนหายใจไม่ออก

ม่อรั่วเฟยก้มตัวมุดเข้ามาในโพรง ยื่นชามที่เต็มไปด้วยน้ำให้นาง ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าช่างหาที่ซ่อนตัวเก่งจริงๆ ข้าตามเจ้าเข้ามาในภูเขา ยังต้องเสียเวลาหาอยู่ตั้งนาน!”

ฮวาปู๋ชี่ดื่มน้ำอึกใหญ่ ค่อยกลืนมันเทศเผาที่ติดอยู่ลงไปได้ สายตาไม่ละจากใบหน้าของม่อรั่วเฟยสักขณะ นางคิดว่าเอาน้ำร้อนสาดหน้าของเขาแล้ววิ่งหนีดีหรือไม่ แต่นี่เป็นความคิดชั่ววูบเท่านั้น นางรู้ตัวดีว่า ขาสั้นๆ ไม่มีทางวิ่งหนีพ้น นางไม่เป็นวิชายุทธ์พิสดารพวกนั้นแม้แต่นิด จะให้สู้ก็สู้ไม่ชนะ ดังนั้นความคิดหล่านี้จึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เบนความสนใจทั้งหมดไปที่ใบหน้าของม่อรั่วเฟยที่ทำให้คนมิอาจมองข้ามได้

ปลายจอนเรียวแหลม นัยน์ตาพราวระยับดุจดวงดาว จากคิ้วถึงปากไม่มีส่วนใดที่ไม่เหมือนผลงานแกะสลักอันประณีตสมบูรณ์แบบ

ม่อรั่วเฟยคล้ายถูกมองจนชินแล้ว จึงแสร้งไม่เห็นสายตาเคลิบเคลิ้มจนทำให้คนไม่สบายใจของฮวาปู๋ชี่ หยิบมันเทศเผาข้างกองไฟขึ้นมาเอง เขาลอกเปลือกออกแล้วกินช้าๆ มิหนำซ้ำยังดึงชามในมือของฮวาปู๋ชี่ซึ่งตกตะลึงอยู่มาดื่มด้วย

ฮวาปู๋ชี่คิดอย่างใจลอยว่า ในนั้นมีน้ำลายของนาง! ฉับพลันก็คิดอีกว่า ในนั้นยังมีน้ำลายของฮวาจิ่วกับอาหวงด้วย นางรู้สึกสะอิดสะเอียน พอมองมันเทศเผาก็ไม่รู้สึกอยากอาหารอีก

“ไฉนไม่พูดแล้วเล่า หรือกลัว ยามที่ใส่ความข้าไม่เห็นจะขี้ขลาดแบบนี้เลยนี่” ม่อรั่วเฟยไม่ได้กินกระต่ายย่างในอาราม กลับเสี่ยงอันตรายออกตามหาฮวาปู๋ชี่ท่ามกลางพายุหิมะ ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ในใจมีเปลวไฟลุกโชน เพียงแต่เขาสง่างามมาตลอดจนเป็นวิสัย ต่อให้เป็นถ้อยคำเหน็บแนมเพื่อระบายโทสะก็ยังคงพูดเนิบนาบ

ยามนี้ฮวาปู๋ชี่ไม่สนใจความคิดมิดีมิร้ายของตนเองอีกต่อไป เขาพบตัวนางแล้ว ไหนเลยนางจะมีจุดจบที่ดี กล้าเสี่ยงอันตรายขึ้นเขาเพียงลำพังท่ามกลางพายุหิมะเช่นนี้ เขาย่อมไม่ใช่บัณฑิตธรรมดา นางเหลือบมองปากทางเข้าที่เขาเอาตัวขวางไว้จนมิดชิด คำนวณถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดในใจ กะพริบตาปริบๆ กล่าวคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าน้อยไม่ได้กลัวท่าน ข้าน้อยเพียงตกใจที่คุณชายสูงศักดิ์อย่างท่านกินมันเทศเผาที่มีแต่คนยากจนเท่านั้นที่จะกิน! แล้วข้าน้อยใส่ความท่านที่ใด คืนนี้มีหัวขโมยคนหนึ่งบุกเข้าไปในหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ มิหนำซ้ำรูปร่างยังใกล้เคียงกับเด็กรับใช้ของท่านด้วย พอเห็น ข้าน้อยก็ต้องตะโกนเป็นธรรมดา!”

จำคนผิดจริงๆ อย่างนั้นหรือ ม่อรั่วเฟยมองฮวาปู๋ชี่อย่างสงสัย นางสวมเสื้อกันหนาวสีเขียวเก่าๆ ผ้าพันศีรษะเผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำจากความเย็น หากดวงตาคู่นั้นกลับงดงามยิ่ง ภายในคล้ายบรรจุเปลวไฟที่ไหวระริก มองดูก็รู้ว่าเป็นเด็กฉลาด ยายเด็กนี่อายุคงราวสิบสองสิบสาม แต่กลับใจกล้าเข้ามาในภูเขาคนเดียว

เขาเหลือบมองห่อผ้าข้างนาง รอยยิ้มยังปรากฏขณะเอ่ยคำ “หากเจ้าไม่ได้ทำอันใดผิด เหตุใดต้องเก็บข้าวเก็บของหนีด้วย”

“เจ้าหัวขโมยที่บุกเข้ามาในหมู่ตึกถูกข้าน้อยจับได้ ข้าน้อยตะโกนให้คนมาจับกุมเขา เขากลับข่มขู่ว่าจะกลับมาที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งเพื่อเอาชีวิตข้าน้อย หากข้าน้อยไม่หนี จะให้ข้าอยู่รอความตายอย่างนั้นรึ ข้าน้อยกลัว…” ฮวาปู๋ชี่ติดตามฮวาจิ่วเป็นขอทานมาตั้งแต่เล็ก เปลี่ยนสีหน้าได้เร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็เจือสะอื้น น้ำตาเอ่อคลอจวนจะไหลได้ตลอดเวลา

ม่อรั่วเฟยพลันใจอ่อน เสียงที่เอ่ยนุ่มนวลขึ้น “ยามนี้คนของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์มั่นใจว่าเจี้ยนเซิงเป็นหัวขโมยที่บุกเข้าไปในหมู่ตึก ข้าจะพาเขาไปรักษาอาการบาดเจ็บที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์พอดี เจ้าตามข้ากลับไปเป็นพยานเถิด เสร็จแล้วข้าจะขอความเมตตาจากท่านประมุขหลินให้ หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์มียอดฝีมือค่อนข้างมาก ท่านประมุขหลินจะต้องสั่งให้คนคุ้มครองเจ้าแน่ เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะเร่ร่อนอยู่ข้างนอกคนเดียว”

ฮวาปู๋ชี่ตกตะลึง

เถียนชีที่เป็นบ่าวรับใช้เฝ้าประตูด้านในกับเย่ว์จี้ สาวใช้ที่ทำงานในห้องครัวเคยแอบหนีตามกัน หลังถูกจับได้ เถียนชีถูกขายเป็นทาสที่ชายแดน ส่วนเย่ว์จี้ถูกหญิงค้ามนุษย์พาตัวไป

ผู้คนยังกล่าวอีกว่าสกุลหลินแห่งหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์นับว่าจิตใจดีมีเมตตา ปกติถ้าจับบ่าวรับใช้ที่ทิ้งเจ้านายและลอบหนีตามกันไปแบบนี้ได้ จะตีให้ตายคาที่ คิดไม่ถึงว่านายท่านหลินกลับเว้นทางรอดให้คนทั้งคู่

หากท่านประมุขหลินรู้ว่านางแอบหนีมา นางยังจะมีจุดจบที่ดีอีกหรือ ถูกเฆี่ยนตีแล้วขายออกไป แม้ไม่ถึงกับเอาชีวิตของนาง แต่ก็ทำให้ชีวิตของนางหายไปครึ่งหนึ่ง ฮวาปู๋ชี่ยิ่งรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน

นางกำมือแน่น แหงนหน้ามองม่อรั่วเฟย กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ฮูหยินผู้เฒ่าหลินรับเลี้ยงข้าน้อยตั้งแต่เล็ก ข้าน้อยจะทำให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยได้อย่างไร หากข้าน้อยไปแล้ว เจ้าหัวขโมยย่อมไม่ระบายแค้นกับหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์! ดังนั้นข้าน้อยต้องไป ท่านอย่าพาข้าน้อยกลับไปเลย! ด้วยนิสัยของท่านประมุขหลิน เขาจะต้องปกป้องข้าน้อยจนถึงที่สุดแน่! แม้ข้าน้อยอายุยังน้อย และไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็เข้าใจคำว่าทดแทนบุญคุณ ข้าน้อยไม่มีทางทำให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เดือดร้อนไปด้วย!”

ม่อรั่วเฟยตกตะลึง อดหัวเราะไม่ได้ ท่ากำหมัดของฮวาปู๋ชี่น่ารักเกินไปแล้ว! นางที่ถูกห่ออยู่ในผ้านวมคงคิดว่าตนเองเป็นต้นไม้ใหญ่ ทว่ามิสู้บอกว่านางเป็นถั่วงอกอวบอ้วนแข็งแรงกล้าหาญคงจะเหมาะมากกว่า

“น่าขำมากอย่างนั้นรึ” ฮวาปู๋ชี่เบิกตาโตแสร้งทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูจากการแต่งตัวของคุณชายแล้วคงจะเป็นนายน้อยในสกุลสูงศักดิ์ ต้องมีคนรับรองอย่างแน่นอน นายท่านเป็นคนจิตใจดี เขาไม่มีทางปรักปรำคนส่งเดช ท่านไม่ต้องห่วงเด็กรับใช้ของนายท่านหรอก รอให้ฟ้าสว่างและหิมะหยุดตกแล้ว ท่านก็กลับหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เถิด จะได้ถือโอกาสบอกลานายท่านหลินแทนข้าด้วย บอกว่าปู๋ชี่ไม่อยากให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย จะสืบทอดปณิธานของท่านอาเก้าฟื้นฟูสกุลฮวาขึ้นมาอีกครั้ง!”

ม่อรั่วเฟยมองฮวาปู๋ชี่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางฉลาดเฉลียวไม่เหมือนสาวใช้ทั่วไป พูดจามีเหตุผลมาก นับว่ามี…ความสามารถในการกลับผิดให้เป็นถูก กลับถูกให้เป็นผิด เด็กน้อยผู้เสแสร้งทำเป็นไร้เดียงย่อมสามารถหลอกคนได้มากมาย ในใจของม่อรั่วเฟยพลันสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยได้สติ ถามนาง “เจ้าชื่อปู๋ชี่อย่างนั้นหรือ ท่านอาเก้าของเจ้าทำงานใด”

“เป็นขอทาน ขอข้าวกิน! สกุลฮวาทั้งเก้ารุ่นเป็นขอทาน! ข้าน้อยเป็นรุ่นที่สิบ! เห็นชามที่อยู่ในมือของท่านหรือไม่ ท่านอาเก้าใช้มันขอข้าวมาตลอดชีวิต! ยามที่เขาตายก็ส่งต่อชามให้ข้าน้อย!” ฮวาปู๋ชี่กล่าวพร้อมยิ้มตาหยี

มือของม่อรั่วเฟยสั่นเทิ้ม ยกแขนเสื้อเช็ดปาก วางชามลงบนพื้น

ไม่ว่าท่าทางของเขาจะสง่างามมากเพียงใด ก็มิอาจปกปิดความอับอายได้ ฮวาปู๋ชี่ก้มหน้าลง ซ่อนใบหน้าที่กระตุกเกร็งจนเป็นตะคริวในเงามืด ในท้องเต็มไปด้วยคำก่นด่า ผู้ใดใช้ให้เจ้าไล่ตามข้ามา มิหนำซ้ำยังคิดจะส่งข้ากลับไปกันเล่า! ถึงต่อยตีไม่ชนะ แต่ก็ทำให้เจ้ารู้สึกคลื่นไส้ได้

ฮวาปู๋ชี่งอตัวพิงผนังพยายามกลั้นหัวเราะ ดวงตาของม่อรั่วเฟยมีประกายหยอกล้อวาบผ่าน เขากล่าวเสียงเบา “วันรุ่งขึ้นเจ้ากลับหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปเป็นพยานให้เจี้ยนเซิง ข้าจะให้ชามข้าวทองคำแก่เจ้า เจ้าจะได้ถือชามข้าวทองคำไปสืบทอดปณิธานของท่านอาเก้าของเจ้า รับรองว่าจะต้องมีหน้ามีตาอย่างยิ่งแน่”

นี่เป็นการให้รางวัลหรือทำร้ายนางกันแน่ ดวงตาของฮวาปู๋ชี่เบิกกว้างขึ้นทันใด มองม่อรั่วเฟยราวกับมองเงินหยวนเป่า[3] ร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น “โอ้ ชามข้าวทองคำ! มีมันแล้วข้าน้อยยังต้องขอข้าวกินอีกหรือ หากเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินก็มีกินมีใช้ตลอดชีวิตแล้ว! ถ้าท่านอาเก้าที่อยู่ในปรโลกรู้ จะต้องภูมิใจในตัวข้าน้อยอย่างแน่นอน! ขอบคุณมากเจ้าค่ะ…คุณชายมีแซ่ว่าอันใดเจ้าคะ”

“ม่อ! ม่อที่แปลว่าอย่าให้ผู้อื่นรังแก!” ม่อรั่วเฟยตอบอย่างสุภาพ

ฮวาปู๋ชี่ทำท่าเหมือนฟังไม่เข้าใจ เอ่ยต่อยิ้มๆ “ขอบคุณคุณชายม่อมาก! ข้าจะต้องตามท่านกลับไปเป็นพยานที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์แน่นอน คุณชายสบายใจเถิด นายท่านไม่มีทางทำให้เด็กรับใช้ของคุณชายต้องลำบากใจ แต่ถึงอย่างไร ปู๋ชี่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ คุณชายไปขอร้องนายท่านว่าอยากได้ปู๋ชี่เป็นสาวใช้ดีหรือไม่เจ้าคะ”

นางรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี ไม่เพียงสามารถไปจากหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ ยังได้อยู่ข้างกายหนุ่มรูปงามด้วย หากสามารถเห็นเขาทุกวัน นางคงเจริญอาหารมากขึ้น รอกินข้าวเบื่อแล้ว บางทีนางอาจจะหาทางออกได้ ฮวาปู๋ชี่พลันคลี่ยิ้ม สีหน้าเผยความปรารถนาอย่างชัดเจน

ม่อรั่วเฟยหัวเราะ ลูบใบหน้าอันเป็นสาเหตุให้ใครๆ ล้วนอยากเป็นสาวใช้ของเขา หากไม่ตอบรับ

“ข้าน้อยมีความสามารถมากนะเจ้าคะ ข้าน้อยสามารถ…”

“ข้างกายข้ามีสาวใช้เยอะแล้ว ไม่จำต้องมีเจ้าก็ได้”

“อย่างนั้นข้าน้อยก็ไม่ไปเป็นพยานให้ท่านแล้ว ปล่อยให้นายท่านเข้าใจผิดก็แล้วกัน!”

ม่อรั่วเฟยปรายตามองนางแวบหนึ่งค่อยเอ่ย “เจ้ามีสิทธิ์นั้นด้วยหรือ นอนเถิด วันพรุ่งพวกเราจะกลับหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์กัน”

พอเขาหลับตา ฮวาปู๋ชี่ก็หลับตาลงอย่างไม่ยินยอม ในเมื่อเขามองข้ามความหวังดีของผู้อื่นและมีตาหามีแววไม่ นางก็ได้แต่ทิ้งความคิดมิดีมิร้ายไว้ก่อน แล้วหันมาดูแลตนเอง

 

หิมะยังโปรยปราย ภายในโพรงมีเพียงเสียงกิ่งไม้ที่ถูกเผาไหม้ ฮวาปู๋ชี่รออยู่เนิ่นนาน ค่อยลืมตาหันมองม่อรั่วเฟยที่หลับสนิท ลูบมีดผ่าฟืนแล้วก้มลง คิดหลบหนี

“ด้านนอกหิมะตกหนัก อากาศหนาวเย็น” ม่อรั่วเฟยที่หลับตาอยู่พลันออกปากพูด

นี่แสร้งทำเป็นหมูเพื่ออยากกินเสือ[4]อย่างนั้นสินะ! ฮวาปู๋ชี่ลอบด่าทีหนึ่ง หัวเราะแหะๆ “ข้าน้อยจะไปเอากิ่งไม้แห้ง!”

“ไฟกองนี้ลุกไหม้ได้อีกครึ่งชั่วยาม[5] ก็เกือบจะถึงเวลากลับไปยังหมู่ตึกแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปผ่าฟืนเพิ่มอีก”

ฮวาปู๋ชี่จนปัญญา ครั้นได้ยินเขาบอกว่าจะพาตนกลับไปด้วย ก็ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าน้อยหนาวไม่ได้หรืออย่างไร ท่านสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ในขณะที่ข้าน้อยสวมเสื้อนวมขาดๆ ท่านไม่หนาว แต่ข้าน้อยหนาวจนทนไม่ไหวแล้ว! ไฟนี่ข้าน้อยก็เป็นคนจุดเอง!”

เสื้อขนสัตว์ที่ยังคงความอบอุ่นจากกายเขาถูกโยนลงบนศีรษะนาง ฮวาปู๋ชี่ไม่ทันได้มองการเคลื่อนไหวของม่อรั่วเฟยให้ชัดเจน เขาก็ห่อนางไว้ในเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกจนมิดชิด นอกจากหันซ้ายหันขวา มือเท้าล้วนมิอาจขยับ

“ข้าเสียมารยาทแล้ว อย่างนี้อุ่นพอหรือไม่” ม่อรั่วเฟยเอ่ยคำขอโทษ แต่กลับใช้สายคาดเอวผูกเอวของนางอย่างหนาแน่น

เขาเป็นห่วงจริงๆ หรือถือโอกาสมัดนางกันแน่ ฮวาปู๋ชี่กะพริบตาปริบๆ “คุณชายถึงขนาดมอบขนให้ข้าน้อย ปู๋ชี่ขออภัยที่ทำให้คุณชายต้องลมหนาว นายท่านต้องลงโทษข้าแน่! คุณชายใช้เองเถิด!”

ม่อรั่วเฟยเอานิ้วดีดหน้าผากของนางทีหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ “เด็กน้อย เพียงเปิดโปงที่เจ้าจะแอบหนีก็ด่าข้าทางอ้อมแล้วอย่างนั้นรึ ขนของข้า…”

ถูกเขาเปิดโปงถ้อยคำที่นางกล่าว ฮวาปู๋ชี่ย่อมไม่พอใจ ยิ่งคิดว่ายามกลับคฤหาสน์สกุลหลินไม่แคล้วต้องถูกนายท่านหลินลงโทษ ก็หน้าม่อยคอตก ทำเสียงฮึดฮัด พึมพำ “ถอดเสื้อผ้าออกก็ไม่ใช่แล้ว!”

โสตประสาทของม่อรั่วเฟยดีมาก จึงได้ยินอย่างชัดเจน เขาก้มลงมองฮวาปู๋ชี่พลางหัวเราะ “หึๆ สวมเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกก็คือเดรัจฉานในคราบมนุษย์[6] หากถอดเสื้อผ้าออกก็ไม่ใช่แล้ว แต่เป็น…เลวยิ่งกว่าเดรัจฉานใช่หรือไม่! น่าสนใจดี รู้หรือไม่ว่าคนที่กล้าด่าข้าเช่นนี้มีจุดจบเช่นใด”

รอยยิ้มของเขาจางหายในชั่วพริบตา ใบหน้าหล่อเหลาราวกับถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง แม้แต่ดวงตาที่พราวระยับดุจดวงดาราก็ยังเปลี่ยนเป็นเย็นชาดุจหิมะเยียบเย็น

ม่อรั่วเฟยกระซิบข้างหูฮวาปู๋ชี่ “ข้าจะสั่งให้คนตัดลิ้นของเจ้าเพื่อทำเป็นกับแกล้ม!”

เขาเป็นคนโหดเหี้ยมเช่นนั้นจริงหรือ ฮวาปู๋ชี่ตกใจจนตัวสั่น นึกแค้นใจว่าไฉนเมื่อครู่ตนจึงปากไวนัก นางพยายามเคลื่อนไหวจนเข้าไปใกล้เขาได้ เข้าไปเกาะม่อรั่วเฟยราวกับลูกสุนัข ยืนกรานว่า “ข้าน้อยไม่ได้พูดว่าถอดเสื้อผ้าออกก็ไม่ใช่แล้วสักหน่อย! ข้าน้อยพูดอย่างชัดเจนว่า ‘บอกแล้วไม่ใช่หรือ’ ข้าน้อยไม่มีทางพูดว่าคุณชายเป็นเดรัจฉานเด็ดขาด!”

“ขนของข้า…ถ้อยคำนี้จะอธิบายอย่างไร”

ฮวาปู๋ชี่พูดโพล่ง “ข้าน้อยหมายถึงว่าคุณชายเป็นเซียนจิ้งจอกต่างหาก! ถอดขนออกแล้วก็เปลี่ยนเป็นคุณชายรูปงามสง่าผ่าเผย! คุณชายเป็นเซียนจิ้งจอกที่จุติยังโลกมนุษย์!”

เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ห่อนางไว้ เห็นเพียงศีรษะเล็กๆ ราวกับฟักอ้วนเท่านั้น ปากน้อยๆ ประเดี๋ยวอ้าประเดี๋ยวหุบ เอ่ยคำยืดยาวด้วยเสียงใสกังวาน ปราศจากความลังเลแม้แต่น้อย

นัยน์ตาหงส์ของม่อรั่วเฟยกลอกกลิ้ง มุมปากขยับยกยิ้มอย่างเย็นชา “จะด่าว่าข้าไม่ใช่คนถูกหรือไม่”

ฮวาปู๋ชี่กะพริบตาปริบๆ สาบานว่าจะพูดประจบให้เซียนจิ้งจอกดูยิ่งใหญ่ให้ได้

ม่อรั่วเฟยพลันปิดเปลือกตาลง กล่าวเสียงแผ่ว “ในยุทธภพคนที่ตะโกนใส่ข้า ไม่มีผู้ใดที่ไม่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์ ทว่าพอพบข้าแล้วก็ไม่กลัดกลุ้มอีกต่อไป เพราะเมื่อไม่มีชีวิตอยู่แล้วย่อมไม่มีความทุกข์ ถ้าเจ้ากลัวว่าไม่มีลิ้นแล้วจะอยู่ไม่ได้ เช่นนั้นข้าทำให้เจ้าไม่ต้องกลัดกลุ้มไปตลอดชีวิตน่าจะดีกว่า”

เขากล่าวจบก็ไม่สนใจนางอีก

หมายความว่าจะเอาชีวิตของนางอย่างนั้นหรือ ฮวาปู๋ชี่ถูไถไหล่ของเขาหวังว่าจะสามารถปลุกเขาขึ้นมาได้ นางพร่ำขอความเมตตาไม่หยุด “ปู๋ชี่พูดจริงๆ นะเจ้าคะ! คุณชายหน้าตามีเสน่ห์ดุจปี…รูปงามมาก ทั้งสุภาพอ่อนโยน น่าใกล้ชิดจนทำให้คนทั้งเศร้าและเจ็บแค้น! แวบแรกที่ปู๋ชี่เห็นคุณชาย ยังคิดว่าหากคุณชายไม่ใช่ทารกเซียนมาจุติ ก็คงเป็นเซียนจิ้งจอกที่ลงมาท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ ได้ยินว่าเซียนจิ้งจอกจิตใจดีงาม พอท่านรู้ว่าปู๋ชี่เป็นขอทาน ยังตัดสินใจจะมอบชามข้าวทองคำให้ปู๋ชี่ทันที คุณชายเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าดูหมิ่นพี่ชายเซียนได้อย่างไรเจ้าคะ!”

เสียงเรียกพี่ชายเซียนทั้งนุ่มนวลและออดอ้อน ม่อรั่วเฟยได้ยินแล้วกลับขนลุกซู่ ในที่สุดก็อดเปิดปากไม่ได้ “ช่างเถิด หากเอาชีวิตของเจ้าส่งให้ท่านพญายม ไม่แน่ว่าแม้แต่เขาเองก็คงรำคาญเจ้าจนอาจมาคิดบัญชีกับข้าแทนก็เป็นได้ ทว่าพูดมากแบบนี้ มิสู้ตัดลิ้นทิ้ง จะได้เงียบหูสักหน่อย”

พูดคำดีๆ ตั้งมากมาย ยังไร้ประโยชน์อีกหรือ เหตุใดเขาถึงไม่ผลักนางออกไปเล่า ฮวาปู๋ชี่ตะโกนใส่ม่อรั่วเฟย ไม่สิ้นความพยายามที่จะหาทางหนีทีไล่ นางเบะปากก่อนร่ำไห้เสียงดัง ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินพร้อมระบายความยากลำบากตลอดชีวิตทั้งสิบสามปีออกมาด้วย

จะว่าไป ชาติก่อนของนางก็น่าสงสารไม่แพ้กัน ห้าขวบถูกลักพาตัวให้ไปขายดอกไม้ เจ็ดแปดขวบถูกพี่ซานสอนให้ขโมยของ พออายุสิบเจ็ดปีก็ถูกแก๊งของพี่ซานบังคับให้ไปหลอกคนเขาแต่งงาน พอขายออกไปแล้ว ให้ตนแอบหนีกลับมา ปรากฏว่าคืนนั้นถูกขายเข้าเขตภูเขา พอพี่ซานได้เงินแล้วก็ดึงนางวิ่งหนี นางกลับไม่ทันระวังตกหน้าผาตาย

เด็กอายุห้าขวบบ้านอื่นเป็นดั่งบุปผาในเรือนกระจก แต่ฤดูหนาวนางกลับต้องเร่ขายดอกกุหลาบ! เด็กอายุเจ็ดแปดขวบบ้านอื่นได้ไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ตัวหนังสือ นางได้แต่อาศัยเงินที่ขโมยมานั่งแช่อยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตถึงรู้จักตัวหนังสือและอ่านหนังสือออก เด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดบ้านอื่นได้เข้ามหาวิทยาลัยและมีความรัก ส่วนนางอายุสิบเจ็ดต้องเข้าภูเขาแล้วหลอกนักเลงเฒ่าให้แต่งงานด้วย เหตุใดชีวิตทั้งสองชาติภพของนางถึงได้อาภัพปานนี้ ทั้งยังไม่ได้เกิดมาในสกุลดีๆ อีก

ทีแรกเพียงแสร้งร่ำไห้ ภายหลังกลับรู้สึกเศร้าเสียใจจริงๆ จึงมิอาจหยุดร่ำไห้ได้

เสียงร่ำไห้เล็กแหลมเจือโศกเศร้าดังสะท้อนไปมาในโพรง ม่อรั่วเฟยฟังจนปวดศีรษะ ได้แต่ลืมตาขึ้น ถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้าไม่ตัดลิ้นเจ้าก็ถือว่าใช้ได้แล้วกระมัง”

ฮวาปู๋ชี่หยุดร่ำไห้ เงยหน้าขึ้นจ้องม่อรั่วเฟยอย่างสงสัย

ใบหน้าเล็กที่มีน้ำตาเอ่อคลอของนางชวนให้คนสงสาร ม่อรั่วเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดหน้าให้ฮวาปู๋ชี่ ยิ้มเอ่ย “เจ้าเกือบจะทำให้ข้าพ่นน้ำที่ดื่มเข้าไปออกมาแล้ว ถือว่าหายกันเถิด”

ฮวาปู๋ชี่เดือดดาลทันใด ที่แท้เขาเป็นคนใจแคบ! เวลานี้ไม่เหมาะที่จะมีปากเสียงด้วย ทั้งนางก็ร่ำไห้จนเหนื่อยแล้ว จึงก้มหน้าลงอย่างหมดแรง อาศัยพิงไหล่ของม่อรั่วเฟย สูดดมกลิ่นกายหอมๆ ยิ่งนักของเขา! ฮวาปู๋ชี่หาตำแหน่งที่นอนสบายได้ก็หลับตา ตัดสินใจว่า ไม่ชำระหนี้แค้นครานี้ไม่ขออยู่เป็นคน นางจะต้องเอาคืนพี่ชายสุดหล่อให้ได้!

 

รุ่งเช้าหลังหิมะหยุดตก ดวงตะวันค่อยสาดประกาย

ม่อรั่วเฟยกับฮวาปู๋ชี่ออกจากโพรงแล้วเดินลงจากเขา ฮวาปู๋ชี่เดินได้สองก้าวก็สะดุดหกล้มเพราะเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกตัวยาวที่สวมอยู่ นางจึงถอดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกออกอย่างเงียบงัน ม่อรั่วเฟยถอนหายใจ ย่อกายลง กล่าวว่า “ขึ้นมา ข้าจะแบกเจ้าเอง”

เขาจะแบกนางอย่างนั้นหรือ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบใบหน้าของม่อรั่วเฟย รอยยิ้มบนมุมปากของเขาพาให้หัวใจของฮวาปู๋ชี่ไม่ฟังคำสั่งเต้นตึกตักราวตีกลอง ส่งความหวั่นไหวมาถึงร่างของนางจนอ่อนยวบ ในหัวแว่วเสียงวิ้งๆ จนนางอยากกรีดร้องแล้วพุ่งเข้าไปหาโดยไม่สนอันใดทั้งนั้น! ฮวาปู๋ชี่ซ่อนความเจ้าเล่ห์ในดวงตา ก้าวถอยหลังก้าวหนึ่ง ส่ายศีรษะปฏิเสธ “ข้าน้อยสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกของคุณชายแล้ว ทำให้คุณชายต้องทนหนาวทั้งคืน ข้าน้อยมิอาจสร้างปัญหาให้คุณชายอีก มิเช่นนั้นคุณชายคงไม่พอใจ แล้วขู่ตีขู่ฆ่าให้ข้าน้อยตกใจกลัวอีกน่ะสิ”

“เจ้าไม่ใช่บอกว่าข้าสุภาพอ่อนโยนและน่าใกล้ชิดจนทำให้คนทั้งเศร้าและเจ็บแค้นหรอกหรือ คนอย่างข้าเหมือนคนที่เอะอะก็ขู่จะตีขู่จะฆ่าอย่างนั้นรึ ข้าไม่ได้กลัวเจ้าสร้างปัญหาให้ข้า แต่ข้าเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเจี้ยนเซิงต่างหาก เจ้าเดินช้าเกินไป”

ฮวาปู๋ชี่ยอมแพ้นานแล้ว แต่ยังคงกล่าวถ้อยคำอันไร้เหตุผล “แต่…ชายหญิงมิสมควรใกล้ชิดกัน”

ม่อรั่วเฟยหัวเราะ “อายุยังน้อยก็รู้จักข้อห้ามระหว่างชายหญิงแล้วรึ คนในยุทธภพไม่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรอก ยิ่งกว่านั้นเจ้าเองก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง!”

มองรอยยิ้มของเขา นางหวังว่าคุณชายม่อผู้เป็นคนในยุทธภพท่านนี้จะถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ ทางที่ดีสมควรพูดถึงคุณธรรมของขงจื่อกับเมิ่งจื่อเรื่องชายหญิงแตกต่างกัน บอกว่าในเมื่อชายหญิงอยู่ในโพรงด้วยกันตามลำพัง ดังนั้นจะไม่แต่งให้ใครนอกจากนาง จะดูแลนางชั่วชีวิต ฮวาปู๋ชี่แค้นใจที่ตอนเจอเขายามนี้ตนอายุเพียงสิบสามปี นางน่าจะเกิดเร็วกว่านี้สักสองสามปี

ทว่าแผ่นหลังของหนุ่มรูปงามอย่างไรก็ต้องขึ้น นางข่มทั้งความเสียใจและความลิงโลดไว้ ค่อยเดินไปเกาะหลังของม่อรั่วเฟย กอดคอของเขาไว้ เห็นเขามองนางอย่างจนปัญญา ฮวาปู๋ชี่ก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้าลอบหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง

นางไม่กลัวที่จะกลับไปยังหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านางบอกว่าไม่อยากทำให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เดือดร้อนถึงได้หนีไปหรอกหรือ ส่วนเจี้ยนเซิงเด็กรับใช้ของคุณชายม่อ เมื่อคืนไม่ใช่เห็นเขาอย่างชัดเจนแล้วหรอกหรือ

ฮวาปู๋ชี่ฟุบบนร่างของพี่ชายสุดหล่อ ราวกับเขาเป็นเครื่องบินมนุษย์ที่กว้างขวางและปลอดภัย! เห็นผืนป่ากลายเป็นฉากหลัง ฮวาปู๋ชี่พลันจินตนาการว่านางได้นั่งบนหลังกริฟฟิน[7]ของเกมวอร์คราฟต์[8] ทั้งรวดเร็วดุจสายลม และให้ความรู้สึกตื่นเต้น แม้บอกว่าต้องการให้สวรรค์ประทานจอมยุทธ์ช่วยสาวงามให้นาง แต่สวรรค์กลับร้ายกาจ ส่งจอมยุทธ์รูปงามผู้ไร้เหตุผลและชั่วร้ายจนทำให้คนต้องหยุดหายใจมาให้!

หากนางเปล่งเสียงหัวเราะได้ ผู้คนทั้งตำบลเย่าหลิงคงได้ยินเสียงหัวเราะก้องป่า และพานคิดว่าจิตวิญญาณแห่งป่ามีอยู่จริง

นางหัวเราะในใจอย่างบ้าคลั่ง พริบตานั้นม่อรั่วเฟยผินหน้ามากล่าว “เจ้าสามารถหัวเราะดังๆ ได้! เจ้าคงรู้สึกลำบากที่ต้องกลั้นหัวเราะ ข้าเองก็พลอยรู้สึกแย่ไปด้วย!”

ฮวาปู๋ชี่อ้าปากกว้างจากนั้นก็หุบลง นางฝังใบหน้ากับแผ่นหลังของเขาอย่างรวดเร็วราวกับลูกหนังแฟบแบน การสั่นสะเทือนด้านหลังหยุดลง ม่อรั่วเฟยอดหัวเราะดังลั่นไม่ได้

 

 

[1] เป็นยาบำรุงเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์

[2] ผักกวางตุ้ง

[3] เงินจีนในสมัยโบราณ มีลักษณะเป็นก้อนเงิน ปลายโค้งสูงทั้งสองข้าง มีรูปร่างคล้ายเรือ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย

[5] 1 ชั่วยาม เท่ากับ สองชั่วโมง

[6] แปลตรงตัวว่า สัตว์เดรัจฉานที่สวมหมวกใส่เสื้อผ้า เปรียบเปรยถึง คนที่ไร้ศีลธรรมจรรยาเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉาน

[7] หรือกริฟฟ์ หรือกริฟฟฟอน สัตว์วิเศษผู้พิทักษ์ในเทพนิยาย ครึ่งนกอินทรีครึ่งสิงโต เป็นพาหนะของเทพอะพอลโล เป็นสัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์ในเครื่องหมายของอัศวิน เชื่อกันว่ากริฟฟินมีพลานุภาพป้องกันภูติผี แม่มด ตลอดจนการใส่ร้ายป้ายสี และยังเกี่ยวเนื่องกับพญาครุฑในตำนานของโลกตะวันออก

[8] เป็นเกมคอมพิวเตอร์ประเภทวางแผนเรียลไทม์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า