[ทดลองอ่าน] บทนำ บันทึกวิญญาณพู่กัน

บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈

 

หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล

 

‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

บทนำ

ทิ้งกวางขาวไว้บนผาเขียวชอุ่ม

 

ราชวงศ์ถัง รัชศกเป่าอิ๋ง อำเภอตังถู

ราตรีกาลมืดมิด ฝนในฤดูใบไม้ร่วงโปรยปราย ประตูหน้าต่างปิดสนิท

ชายชราผู้หนึ่งนอนห่อเหี่ยวอยู่บนเตียงนอน หลับตาไม่เคลื่อนไหว บนสาบเสื้อคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา พลังกายที่เปี่ยมล้นในอดีตใกล้จะหมดลงในไม่ช้า ตอนนี้เขาคงเหลือเพียงร่างกายเหี่ยวเฉาไว้ในภพภูมินี้ ราวกับดาวฤกษ์ที่อับแสงลง

“ผู้มีชีวิตคือผู้ผ่านทาง ผู้ล่วงลับคือผู้หวนกลับ โลกมนุษย์ดั่งที่พักพิง ล้วนแล้วเจ็บปวดคืนสู่เถ้าธุลี…”

ริมฝีปากสั่นของชายชราคร่ำครวญออกมาเบา ๆ อย่างยากลำบาก แม้ว่าเสียงจะแหบแห้ง ทว่ากลับแฝงไปด้วยความสําราญใจราวกับได้ปลงแล้วซึ่งทุกสิ่ง เขากู่ร้องออกมาอย่างคึกคักสุดขั้วหัวใจ พร้อมกับยกมือขวาที่ไร้เรี่ยวแรงไปจับไหเหล้าคู่ใจของเขา แต่กลับพบว่าในนั้นไม่มีเหล้าเหลือแม้แต่หยดเดียว

“นานมาแล้วปราชญ์บัณฑิตล้วนโดดเดี่ยว ไร้สุราช่างว่างเปล่า ความเหงาที่ไร้สุรา…”

ชายชราจ้องมองเพดานพลางบ่นพึมพํากับตัวเอง ทันใดนั้นภายในห้องเหมือนมีสิ่งหนึ่งเคลื่อนไหว เขาออกแรงหมุนคอเพื่อหันหน้าไปมอง ทว่าเห็นเพียงบทกลอนและพู่กันของตนวางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่าง ภายในห้องเงียบงันดังเดิม

คงเพราะใกล้ถึงคราสิ้นใจ ตาพร่า หูแว่วไปกระมัง ชายชราคิด แต่ภายในใจกลับไม่ได้ตะขิดตะขวงเท่าใด บทกลอนและพู่กันเป็นเพื่อนร่วมทางที่อยู่ข้างกายเขามาหลายปี เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ร่ำสุราพร้อมกับหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนกลอนอีกไหม โชคดีที่เขานําต้นฉบับของบทกลอนที่ตนสั่งสมมานานปีมอบให้กับท่านอาหลี่หยางปิงแล้ว ไม่มีอะไรให้เสียดาย

ชายชราตบไหที่ว่างเปล่าเบา ๆ ภายในใจเพียงคิดอย่างอ่อนไหว แต่กลับไม่เศร้าโศกเท่าใดนัก

ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ชายชราหันกลับไปมองอีกครั้ง พบว่ามีคนโผล่ออกมาจากข้างโต๊ะนั้น คนผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดคลุมยาวสีดําสนิท สวมหมวกทรงสูง ดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นปราชญ์บัณฑิตผู้หนึ่ง แต่ว่าใบหน้าเหี่ยวซูบเซียวนั้นกลับให้ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้

“ท่านคือบัณฑิตแห่งบัวคราม”

น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความสงบนิ่งลึกลับ ชายชราอาศัยแสงไฟจากนอกหน้าต่างเพื่อสังเกตด้านหลังของบุรุษผู้มาเยือน อีกฝ่ายแบกกระบอกไม้ที่มีลักษณะแปลกประหลาดมาด้วยกระบอกหนึ่ง กระบอกไม้นั้นแคบ แต่กลับไม่ยาวเท่าใดนัก รูปลักษณ์เรียบง่ายธรรมดา ดูจากลายไม้และสีแล้วน่าจะทํามาจากไม้จันทน์

“ท่านคือ…”

ผู้มาเยือนยกสองมือประสานหมัดคารวะ โค้งคํานับ “ข้าน้อยคือผู้ครอบครองสุสานพู่กัน ตั้งใจมาหาท่านเพื่อหลอมพู่กัน”

“ผู้ครอบครองสุสานพู่กัน…หลอมพู่กัน…” ชายชราพูดพึมพำกับตัวเอง ตรึกตรองประโยคนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่อาจคลายความสงสัย

“มนุษย์มีจิตเป็นต้นกําเนิด บทกวีก็ย่อมมีวิญญาณ เพราะท่านมีพรสวรรค์ด้านกวีจึงเป็นที่สถิตให้ดวงวิญญาณ ยามนี้ต้องตายจากไปพร้อมกับท่าน ไยมิใช่เรื่องน่าเสียดาย ข้าน้อยปรารถนาจะให้จิตวิญญาณของท่านมาหลอมเป็นพู่กัน เก็บไว้ในสุสานพู่กันตลอดไป” ผู้ครอบครองสุสานพู่กันเอ่ยเบา ๆ เสียงเรียบราวกับกําลังพูดเรื่องปกติธรรมดาเรื่องหนึ่ง

พอฟังจบชายชราก็ทอดถอนใจและเอ่ย “มนุษย์เราตายไปก็เหมือนแสงไฟดับมอด หากได้ทิ้งสิ่งที่มีค่าเอาไว้ก็จะกลายเป็นเรื่องสวยงาม เพียงแต่ชีวิตข้าดั่งโคมที่น้ำมันแห้งเหือด ใจข้ายังอยากจะสู้ต่อ แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง”

ผู้ครอบครองสุสานพู่กันกล่าวว่า “ขอเพียงปลดปล่อยจิตใจ ให้บทกวีติดตามจิตวิญญาณ หากจิตใจยังไม่ตาย สิ่งล้ำค่าในบทกวีก็ไม่มีวันเลือนหาย”

ชายชราได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาไม่หยุด ลุกจากเตียงขึ้นมานั่งและพูดตะโกนเสียงดัง “พูดได้ดี! พูดได้ดี! ยกเหล้ามา!”

ผู้ครอบครองสุสานพู่กันยื่นมือขวาออก ไม่ทราบว่าหยิบเหล้าจากที่ใดมาหนึ่งไห จากนั้นส่งถึงปากของชายชรา ชายชรากระดกเหล้าขึ้นดื่มอย่างกระหาย แย่งไหเหล้านั้นมาดื่มด้วยความสำราญ ไม่นานก็ดื่มเหล้าไหนั้นหมดเกลี้ยง

“สุราดี! สุราไหนี้จะนําพาไปสู่หนทางที่แท้จริงของชีวิต รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ!” ชายชราเลียริมฝีปากและเอ่ยชมเชย ขณะนี้อาการเมามายค่อย ๆ กล้ำกรายเข้ามา ความกล้าหาญในตัวจึงเพิ่มขึ้น จิตใจที่สิ้นหวังหม่นหมองแต่เดิมของเขาค่อยจรรโลงขึ้น ดั่งงูที่เหินขึ้นฝ่าเมฆหมอกบนท้องนภา สายตามุ่งมั่นกระปรี้กระเปร่าอย่างหาที่สุดไม่ได้ ชายชราเดินโซเซไปที่หน้าโต๊ะ ใช้อารมณ์รื่นเริงจากการที่ได้ดื่มสุรากางกระดาษตวัดปลายพู่กัน เขียนพลางกู่ร้องออกมา วิถีการเขียนอักษรนั้นรวดเร็วพลิ้วไหวคล้ายกับมังกรและงู พร้อมอ่านทํานองคําประพันธ์ดังก้องไปทั่วห้องเล็ก ๆ นั้น

“อินทรีสยายปีกโผบินทั่วแปดทิศ ปีกพลันหักไร้เรี่ยวแรงกลางเวหา ธรรมเนียมเก่ายังสืบสานข้ามเวลา แขนเสื้อผ้าพาดทิ้งไว้ที่ฝูซัง อนุชนได้ยินข่าวพลางเล่าขาน บอกต่อกันไปมาไม่สูญหาย ครั้นจ้งหนี*ลาลับชีพมลาย ใครกันเล่าจะมาร่ำอาวรณ์…”

เสียงของชายชราเพิ่มระดับสูงขึ้น พลังเสียงขับร้องเต็มไปด้วยความเศร้าสลด เมื่อถึงวรรคทองของงานประพันธ์แล้วนั้น แสงควันดั่งปมเงื่อนซับซ้อนพลันไหลทะลักออกมาจากร่างกาย โคจรพลิกม้วนเกิดเกลียวคลื่นที่ปลุกระดมความฮึกเหิมขึ้นกลางห้อง แล้วค่อยมาบรรจบกันจนเป็นรูปร่างของพู่กันหนึ่งเล่ม รอบ ๆ พู่กันมีเมฆหมอกบางเบาปกคลุมอยู่ ประหนึ่งความฝันในเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้น พร้อมด้วยดอกบัวดอกหนึ่งเบ่งบานขึ้น ส่องแสงเปล่งประกายอยู่ที่ปลายด้านบนของพู่กัน กรุ่นกลิ่นหอมของความบริสุทธิ์

“พู่กันบัวครามอันงดงาม!” ผู้ครอบครองสุสานพู่กันเอ่ยชม ทันใดนั้นเขาก็ปลดกระบอกพู่กันไม้จันทน์จากข้างหลังตนลง เปิดมันขึ้น ยื่นมือขวาออกด้วยปรารถนาจะนําสิ่งนั้นมาเก็บไว้กับตน แต่ว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด พู่กันบัวครามไม่ยอมทําตามที่เขาต้องการ พุ่งขึ้นไปวนในอากาศ จากนั้นทะยานตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้

ผู้ครอบครองสุสานพู่กันหน้าเปลี่ยนสีในทันใด รีบโยนกระบอกพู่กันไม้จันทน์ขึ้นไปบนอากาศและตะโกนเสียงดัง “เปิดออก!” ปากกระบอกพู่กันกางออกกว้าง มุ่งตามวิญญาณพู่กันนั้นไป แต่พู่กันบัวครามกลับคล่องแคล่วว่องไว หลบซ้ายปรากฏขวา ไม่ยอมรวมเป็นหนึ่งกับกระบอกเก็บพู่กันไม้จันทน์

กระบอกพู่กันไม้จันทน์พยายามจะดูดวิญญาณพู่กันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่เคยพบพู่กันเล่มไหนที่ปราดเปรียวไม่ยอมจํานนอย่างพู่กันบัวครามอันนี้เลย จึงหัวเสียและหงุดหงิดไม่น้อย ผู้ครอบครองสุสานพู่กันเห็นท่าว่ากระบอกพู่กันไม้จันทน์ของตนคงไม่อาจทําได้สําเร็จ จึงหยิบที่แขวนพู่กันรูปร่างคดเคี้ยวออกมาจากอกตน ค่อย ๆ กางออกมา ที่แขวนพู่กันรูปร่างคดเคี้ยวนี้ทํามาจากรากไม้ของต้นไม้เก่าแก่ร้อยปีที่กิ่งก้านแตกออกมาผิดฤดู จึงไม่ใช่ที่แขวนพู่กันธรรมดาทั่วไป ตอนที่กางออกไปบนอากาศจึงราวกับมีมือนับร้อยนับพันนิ้วไปครอบคลุมวิญญาณพู่กันนั้นไว้

บัวครามที่เพิ่งเกิดใหม่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณที่ใสบริสุทธิ์ มีความคล่องแคล่วว่องไวเป็นทุนเดิม เพียงแต่ภายในห้องคับแคบเกินไป หลังจากโดนการโจมตีของกระบอกเก็บพู่กันไม้จันทน์และที่แขวนพู่กันคดเคี้ยวแล้วก็เริ่มตกเป็นรอง ผู้ครอบครองสุสานพู่กันใช้นิ้วชี้ชี้ไปฝั่งตรงข้าม พร้อมกับสายตาจ้องมองฉากการต่อสู้ของทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลดละ ปากก็เอ่ยพึมพํากับตัวเอง

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ* ในที่สุดพู่กันบัวครามก็ถูกที่แขวนพู่กันคดเคี้ยวต้อนไปจนมุมกําแพง เมื่อเห็นการล่าถอยเข้าไปในปากกระบอกเก็บพู่กันไม้จันทน์ สีหน้าของผู้ครอบครองสุสานพู่กันจากที่บึ้งตึงก็ค่อยผ่อนคลายลง

ในตอนนี้ชายชราที่นั่งเหี่ยวเฉาอยู่ด้านข้างก็หัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าพู่กัน ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมมาก! เจ้าไปเถอะ!”

ทันใดนั้นนอกหน้าต่างพลันมีเสียงลมพายุรุนแรงขึ้น ทำให้หน้าต่างทั้งสองบานเปิดออก ได้ยินผู้ครอบครองพู่กันร้องตะโกน พู่กันบัวครามจึงกรีดร้องเสียงโหยหวนยาวยืด เกิดพลังปะทุขึ้นในทันควันจนที่แขวนพู่กันคดเคี้ยวนั้นตกลงไปบนพื้น จากนั้นพู่กันบัวครามก็บินออกไปนอกหน้าต่าง หายลับไปกับสายลมและเม็ดฝน

ผู้ครอบครองสุสานพู่กันตกใจรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง เห็นแต่เพียงฝนในฤดูใบไม้ร่วงตกกระหน่ำในความว่างเปล่า มีเพียงสิ่งเดียวคือเสียงกรีดร้องที่ดังแว่วเข้ามา ผ่านไปไม่นานเสียงนั้นก็เงียบลงและไม่ได้ยินอะไรอีกเลย หลังจากที่เขาเห็นวิญญาณพู่กันหายลับไปก็คงจะไม่มีทางเลือกใดอีกแล้วนอกจากเก็บของทั้งสองสิ่งลงไป แล้วหันกลับไปมองที่ชายชรา กวีแห่งยุคนอนอยู่บนพื้น ลาโลกสิ้นชีพไป ในมือยังคงกำพู่กันไว้แน่น พร้อมกระดาษที่เต็มไปด้วยลวดลายน้ำหมึกที่ยังไม่แห้ง

ผู้ครอบครองสุสานพู่กันเก็บผลงานชิ้นสุดท้ายที่อีกฝ่ายเขียนไว้ขึ้นมา แล้วนํามันไปกางไว้บนโต๊ะด้วยความเคารพ เติมแท่นฝนหมึกจนเต็ม ถอนหายใจยาว

“ท่านช่างสง่าผ่าเผยและรักอิสระยิ่งนัก เพียงเพื่อจะหลอมวิญญาณพู่กัน กลับไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติข้าแบบนี้ ข้าน้อยนับถือ”

พูดจบผู้ครอบครองสุสานพู่กันจึงสวมหมวกโพกหัวกลับเข้าไป หันไปมองดูศพของชายชราแล้วคํานับลงสามครั้ง จากนั้นมองออกไปที่ข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง ส่ายหน้าและเอ่ย “เจตนารมณ์เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่บริสุทธิ์ยากแท้หยั่งถึง ไม่อาจทราบว่าจะได้พบวิญญาณพู่กันอีกในคราใด”

จากนั้นเขาก็หายลับไปท่ามกลางสายลมและฝน…

 

* จ้งหนี (仲尼) ชื่อรองของขงจื่อ

* เค่อ หน่วยเวลาของจีน หมายถึงช่วงเวลาประมาณ 15 นาที

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า