บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈
หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล
‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
บทที่ 4
ปัดกวาดที่ทางอย่างไร้ความหวาดระแวง (2)
เหยียนเจิ้งมองสำรวจซ้ายขวา ผู้คนที่อยู่ในตู้โดยสารขบวนนี้อย่างน้อยก็น่าจะราวสี่สิบคน เขาไม่มีความสามารถในการระลึกจดจำภายในชั่วขณะ จึงจนปัญญาที่จะแยกแยะผู้โดยสารที่เพิ่งจะเบียดตัวเข้ามาในรถ หลวงจีนปีเตอร์ก็อับจนหนทางเช่นเดียวกัน พลังของเขาก็มาถึงขอบเขตเท่าที่จะทำได้แล้ว ภายใต้เสียงเอะอะบนรถไฟฟ้า แค่รักษาตำแหน่งของวิญญาณพู่กันเอาไว้ให้คงอยู่ก็ฝืนเต็มทนแล้ว
“หรือว่าต้องให้พวกเราถามทีละคน” เหยียนเจิ้งเอ่ย
“นั่นก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้อได้เปรียบที่พวกเราครองไว้ในตอนนี้ก็คือฝ่ายตรงข้ามยังไม่รู้ว่าพวกเราตามรอยเขามา ฉะนั้นเขาจึงไม่กระตุ้นใช้ความสามารถของวิญญาณพู่กัน สมมติถ้าเขาพบว่าเราอยู่ด้วย ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะปะทะซึ่ง ๆ หน้าหรือว่าหลบหนี ล้วนแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสิ้น”
“เสียดายที่คุณไม่มีวิญญาณพู่กัน แล้ววิญญาณพู่กันของผมก็ไม่สามารถต่อสู้ได้ ไม่อย่างนั้น…”
หลวงจีนปีเตอร์ถอนใจแล้วเอ่ย “สิ่งที่วิญญาณพู่กันมอบให้ผู้ครอบครองก็มีแต่พรสวรรค์ แต่จะใช้พรสวรรค์นั้นอย่างไรก็เป็นความสามารถของตัวผู้ครอบครองเองแล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีวิญญาณพู่กันใดที่ไร้ค่า มีแค่ผู้ครอบครองที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น”
“พูดออกมาได้ดีนะ แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์ตรงหน้านี้เลย” เหยียนเจิ้งมือค้ำราวจับ ก้มหน้าจมอยู่ในความคิด ตอนนี้ในขบวนรถไฟฟ้าเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากสองแบบ หนึ่งคือพวกเขาไม่สามารถสะบัดมือไม่ยุ่งเกี่ยวและก็ไม่สามารถปล่อยไว้แบบนี้ได้ สองคือพวกเขาไม่มีวิธีที่จะรู้ตำแหน่งของผู้ชิงทรัพย์ แล้วก็ไม่กล้าทำให้เขาตื่นตัว
ภายใต้สภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกเขาต้องอยู่ในขบวนรถถึงสิบกว่านาที ภายในเวลาสิบกว่านาทีนี้ขบวนรถก็แล่นผ่านไปแล้วหกสถานี ผู้คนทั้งขาขึ้นและขาลงเยอะมากจนยากคำนวณ และศัตรูที่ซุกซ่อนตัวอยู่คนนั้นก็ไม่ได้ออกจากขบวนรถนี้เลยเช่นกัน หลวงจีนปีเตอร์พยายามอย่างที่สุดเพื่อควบคุมสนามพลังเบาบางให้โคจรไปครอบภาพร่างอันคลุมเครือของสมุดบันทึกเอาไว้ ไม่กล้าปล่อยแม้แต่วินาทีเดียว
ก่อนที่อีกฝ่ายจะเรียกใช้วิญญาณพู่กัน พลังที่หลงเหลืออยู่บนสมุดบันทึกเป็นเบาะแสในการตามหาศัตรูเพียงอย่างเดียวของพวกเขา
คนหลายคนในตระกูลเหวยและตระกูลจูเก่อแม้จะไม่มีวิญญาณพู่กัน แต่เพราะคุ้นเคยกับวิญญาณพู่กันเป็นเวลานาน ทำให้เนื้อหนังในร่างกายของพวกเขาได้รับความเปลี่ยนแปลงและการข้ามขีดจำกัด เมื่อผ่านการฝึกฝนทางจิตใจ ความเปลี่ยนแปลงและการข้ามขีดจำกัดเหล่านี้ก็จะก่อเป็นความสามารถพิเศษ อย่างเช่นความสามารถในการป้องกันของหลวงจีนปีเตอร์ ความสามารถเหล่านี้อาศัยการขุดศักยภาพทางกายมากระตุ้นใช้ แต่เนื่องจากขาดวิญญาณพู่กัน สุดท้ายแล้วก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ดี
หลวงจีนปีเตอร์เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีลักษณะพิเศษ เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์จำเพาะ แม้ว่าร่างกายจะไร้วิญญาณพู่กัน แต่พลังในการควบคุมวิญญาณพู่กันที่มีมาแต่กำเนิดกลับมีศักยภาพไร้ขีดจำกัด ถ้าหลวงจีนปีเตอร์มีวิญญาณพู่กันเข้าจริง ๆ ก็คงเป็นยอดฝีมือโดยไม่ต้องสงสัย เสียดายที่เขาปฏิญาณตนไปแล้วว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่รับวิญญาณพู่กันและฝึกฝนแต่เพียงศาสตร์การป้องกันเท่านั้น เรื่องผ่านมาถึงตอนนี้ ผลของการบำเพ็ญปฏิบัติอย่างตั้งใจไม่ขอสิ่งใดเพิ่มเติม เมื่อเทียบกับทูตสุสานพู่กันธรรมดาแล้วก็ไม่ได้หย่อนไปกว่ากันเลย เห็นได้จากความแข็งแกร่งของเขา
การสัมผัสรับรู้ของสนามพลังนี่ก็เป็นหนึ่งในความสามารถของหลวงจีนปีเตอร์ เพื่อที่จะประคองให้สนามพลังที่รับสัมผัสคงอยู่ต่อ เขาจำเป็นต้องเพ่งสมาธิไปที่จุดเดียว หากสติหลุดแม้เพียงชั่ววูบ สนามพลังทั้งหมดก็จะสูญสลายในทันที ตอนที่ขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่สถานีที่เจ็ด หลวงจีนปีเตอร์ที่จดจ่อตั้งใจพลันสายตาแข็งค้าง เขารู้สึกได้ว่าสนามพลังที่สงบนิ่งมาโดยตลอดนั้นค่อย ๆ เกิดระลอกคลื่น
ในตอนนี้ประตูขบวนรถเปิดออก มีหลายคนออกจากขบวนรถไป หลวงจีนปีเตอร์มองไปทางพวกเขาอย่างกระวนกระวาย ระดับความแม่นยำของสนามพลังลดทอนลง ทุกครั้งที่ขบวนรถหยุดในแต่ละสถานี เขาจำเป็นต้องรอให้คนที่ลงรถลงไป และคนที่ขึ้นรถขึ้นมาจนหมดก่อน พอตำแหน่งของผู้คนนิ่งแล้วถึงจะสามารถระบุได้ถึงการคงอยู่ของสมุดบันทึก และตอนนั้นเอง ตอนที่ขบวนรถใต้ดินเกือบจะปิดลงก็เป็นเวลาที่เขาจำเป็นต้องตัดสินให้เร็วว่าควรจะลงรถ หรือรออยู่ในขบวนรถต่อไป
หากผิดพลาดแค่เพียงครั้งเดียว พวกเขาก็จะตามหาศัตรูผู้นั้นไม่ได้อีกต่อไป
ระยะเวลาอันสั้นกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นี้ต้องการความอดทนและการพินิจพิเคราะห์ที่กระจ่าง แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับสติปัญญาเฉพาะบุคคล และนี่ก็เป็นสิ่งที่หลวงจีนปีเตอร์ไม่ขาด ผิดกับคนที่อยู่ด้านข้างของเขาเป็นไหน ๆ
นี่เป็นสถานีขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นชานชาลาหรือว่าผู้โดยสารที่จะลงรถก็ล้วนแต่มีน้อยมาก ฉะนั้นสำหรับหลวงจีนปีเตอร์แล้วจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะตัดสินใจ ช่วงเวลาที่ขบวนรถหยุดลงเป็นแค่ครู่สั้น ๆ ในตอนที่ประตูขบวนรถกำลังจะปิด หลวงจีนปีเตอร์ลืมตาขึ้นเอ่ยเสียงขรึม
“ลงรถ”
เวลาเพียงชั่วพริบตาหลวงจีนปีเตอร์และเหยียนเจิ้งเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ผ่านรอยแยกประตูที่เคลื่อนตัวเข้าประกบกัน ประตูรถใต้ดินเฉียดส้นเท้าของเขาแล้วปิดลงในที่สุด ทำให้เหยียนเจิ้งตกใจเหงื่อไหลท่วม ขนลุกชันทั่วเรือนร่าง ต้องใช้เวลาถึงสามวินาทีกว่าสติจะกลับคืนมา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าการเป็นตัวละครหลักในนวนิยายสายลับนั้นไม่ง่ายเพียงไร
เขาเช็ดเหงื่อที่ไหลเพราะความตื่นเต้น มองซ้ายแลขวา ชานชาลาแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ อีกทั้งยังเงียบสงบ กวาดตาไปก็เห็นคนแค่สามคนเท่านั้น ต่างเป็นคนที่ลงมาจากรถพร้อมกับพวกเขา คนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่สีขาวตัดแดง ในมือถือแผนที่ อีกคนสวมชุดทำงานสีฟ้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นพนักงานการประปา แล้วยังมีเด็กผู้ชายย้อมผมแฟชั่นจ๋า ใส่หูฟังเอ็มพีสามอีกหนึ่งคน
ทั้งสามล้วนหันหลังให้กับพวกเขา ระหว่างกันและกันไม่มีการพูดจา ต่างก้มหน้าก้มตามุ่งไปยังทางออก ไม่ได้รู้สึกว่ามีคนถึงสองคนกำลังจ้องพวกเขาอยู่แม้แต่น้อย
“สมุดบันทึกต้องอยู่กับตัวของหนึ่งในพวกเขาสามคนนี่แน่!” หลวงจีนปีเตอร์มั่นใจยิ่ง เป้าหมายตรงหน้านี้มีแค่พวกเขาสามคน บรรยากาศของสถานีรถไฟฟ้านี้ก็ไม่ได้วุ่นวายเท่าไร ทำให้ความแม่นยำในการสัมผัสรับรู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้น
“เลือกหนึ่งในสามนี่น่ะเหรอ” เหยียนเจิ้งเลียริมฝีปาก
ผู้โดยสารสามคนตรงหน้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นศัตรูผู้แย่งสมุดบันทึกไป แต่พวกเขาก็มีโอกาสเดียวเช่นกัน
หากเลือกตัวเลือกผิดพลาด ศัตรูที่แท้จริงก็จะตื่นตัว ถึงตอนนั้นความลำบากวุ่นวายก็จะตามมา
หลวงจีนปีเตอร์ขมวดคิ้วมุ่น คิดอย่างหนักเพื่อแยกความแตกต่าง เหยียนเจิ้งเบิกตาขึ้น บังเอิญหันไปมองหน้าจอนาฬิกาแอลซีดีที่อยู่ตรงชานชาลา แล้วอยู่ ๆ มุมปากก็เผยรอยยิ้มขึ้นในทันใด
“ปีเตอร์ ไปกันเถอะ!”
หลวงจีนปีเตอร์ชะงักงัน “คุณรู้แล้วเหรอว่าใคร”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ว่าเจ้านั่นจะต้องรีบหนีออกไปแน่” เหยียนเจิ้งพูดอย่างมีเลศนัย หลวงจีนปีเตอร์เชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง แต่ก็ทำแค่เดินตามเขาออกไปยังประตูทางออก
ผู้โดยสารทั้งสามเดินมายังช่องเสียบบัตร ต่างคนต่างสอดบัตรโดยสารของตน ช่องเสียบบัตรสามช่องมีผู้โดยสารสามคนเดินออกไปพร้อมกัน
เหยียนเจิ้งจ้องมองมือที่พวกเขาเสียบบัตร หมัดทั้งสองตั้งท่าพร้อมจ้วง
ทันใดนั้นประตูช่องเสียบบัตรก็เกิดเสียงเตือนดังโหยหวน
ชาวต่างชาติที่สะพายกระเป๋าเป้คนนั้นถูกบานประตูช่องเสียบบัตรปิดกั้นไว้ ข้างบนปรากฏเครื่องหมายอัศเจรีย์อันใหญ่พร้อมข้อความว่า ‘เกิดข้อผิดพลาดในการเสียบบัตร’
เหยียนเจิ้งขยับ กระโจนตัวเข้าไปอย่างดุดัน ส่งหมัดทั้งสองไปคุยกับฝรั่งผมทองคนนั้น
ฝรั่งคนนั้นแค่ได้ยินเสียงลมจากหลังท้ายทอย ไม่ทันได้หันกลับไปก็ถูกหมัดต่อยใส่ท้ายทอยอย่างแรง ล้มลงไปกับพื้น หมดสติในทันใด ภายในสถานีเกิดความวุ่นวายทันที ผู้โดยสารอีกสองคนและพนักงานรถไฟที่อยู่ใกล้ ๆ ล้วนตื่นตระหนก
ทำร้ายร่างกายชาวต่างชาติ! นี่เป็นโทษทางอาญาที่ยากจะจินตนาการ
ในตอนนี้เหยียนเจิ้งเหมือนเป็นอันธพาลอย่างแท้จริง ไม่ใส่ใจความตื่นตระหนกของผู้คนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย พลิกร่างนักท่องเที่ยวที่หมดสติลงไปกลับมา ล้วงเข้าไปในอก ควานไปมาเพื่อหาสิ่งของอย่างไร้มารยาท หลวงจีนปีเตอร์ยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองทั้งสองด้วยความกังวล หากเหยียนเจิ้งตัดสินผิดไป อย่างนั้นศัตรูที่ซ่อนอยู่ก็อาจจะลงมือตอนไหนก็ได้
ดีที่เรื่องที่คิดไม่ได้เกิดขึ้น ไม่นานเหยียนเจิ้งก็หยิบสมุดบันทึกออกมาจากอกของชาวต่างชาตินั่นได้ ยกขึ้นโบกไปมาให้หลวงจีนปีเตอร์ด้วยความดีใจ
หลวงจีนปีเตอร์ถอนหายใจ ท่องคำพระออกมาเบา ๆ
“เฮ้ย! พวกแก อย่าหนีนะ! ใครมีโทรศัพท์ รีบแจ้งตำรวจเร็ว!” พนักงานรถไฟตะโกนออกอย่างขลาดกลัว สถานีนี้เล็กมาก คนก็น้อย ไม่มีทางที่จะรับมือกับนักเลงหัวไม้ไม่คุยเหตุผลได้ เดิมทีเหยียนเจิ้งคิดที่จะปลุกคนต่างชาตินั่นขึ้นมาเพื่อถามเรื่องราว แต่พอเห็นเจ้าหน้าที่ตะโกนออกมาเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าอีกไม่นานตำรวจและยามก็จะเข้ามา และเมื่อถึงตอนนั้นความยุ่งยากก็จะเพิ่มขึ้น จึงเพียงปล่อยคอเสื้อของอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง
“พวกเรารีบไปกันเถอะ ที่นี่อยู่นานไม่ดีแน่” หลวงจีนปีเตอร์กระซิบบอกเขา เหยียนเจิ้งมองฝรั่งตาน้ำข้าวผมสั้นสีทอง พ่นลมหายใจโกรธแค้นใส่ ในใจเก็บงำความขุ่นเคืองเอาไว้ ทั้งสองจำต้องทิ้งชาวต่างชาติไว้ที่เดิม แล้ววิ่งก้าวใหญ่ไปยังทางออกของสถานี ระหว่างทางไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้ามาขัดขวาง พอพวกเขามาถึงพื้นดินข้างบนก็รีบโบกรถแท็กซี่แล่นออกไปในทันที และเพื่อป้องกันไม่ให้สมุดบันทึกถูกแย่งไปอีก หลวงจีนปีเตอร์จึงใช้สายประคำของตนเองผูกเข้ากับสมุดและเก็บไว้ในอกตน
แท็กซี่ขับออกมาได้สามสี่กิโลเมตร หลวงจีนปีเตอร์ก็อดไม่ไหวต้องเอ่ยปากถาม
“คุณแยกออกได้ยังไงว่าคนต่างชาติคนนั้นเป็นคนขโมยมันไป”
เหยียนเจิ้งเสยผมด้วยท่าทางพอใจ “หมอดูบอกว่าผมน่ะมีโชคชะตาที่ต้องเป็นทูตสุสานพู่กัน นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย”
“พระพุทธองค์สอนว่าอย่าพูดปด รีบบอกมาเถอะ”
ที่จริงเรื่องนี้พูดไปแล้วถือว่าง่ายดาย ระบบการลำเลียงผู้โดยสารในรถไฟฟ้าใต้ดินของเมืองนี้คือผู้โดยสารที่จะเข้าช่องเสียบบัตรต้องเสียบบัตรหนึ่งครั้ง คอมพิวเตอร์จะบันทึกสถานะของผู้โดยสารเอาไว้ และเมื่อถึงตอนที่ผู้โดยสารออกจากสถานีก็ต้องเสียบบัตรอีกหนึ่งครั้ง คอมพิวเตอร์ก็จะตามสถานะบันทึกการเสียบบัตรทั้งสองครั้งก่อนหน้าและภายหลังเพื่อตัดวงเงินในบัตร
พู่กันวาดคิ้วของเหยียนเจิ้งสามารถย้อนสภาพของวัตถุให้กลับไปในเวลาก่อนหน้า ณ ช่วงเวลาหนึ่งได้ ตอนนั้นเขาอยู่ในชานชาลา เพื่อที่จะแยกแยะว่าคู่ต่อสู้จะขึ้นรถฝั่งไหนก็ได้ใช้พู่กันแต้มตาที่อยู่บนนิ้วทั้งห้ารวมกันปล่อยพลังออกไปหนึ่งครั้ง แผ่อาณาเขตออกไปได้กว้างใหญ่ ช่วยให้หลวงจีนปีเตอร์จำแนกการคงอยู่ของสมุดบันทึก ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็คือทุกคนบนชานชาลาในตอนนั้นถูกพลังของพู่กันวาดคิ้วกระทบเข้าจึงย้อนสภาพกลับไปเมื่อยี่สิบห้านาทีก่อน
ถ้าเป็นคนธรรมดา เวลาที่ย้อนกลับไปยี่สิบห้านาทีก็ไม่ทำให้เกิดสภาพที่พิเศษแตกต่างอะไร แต่ว่าหากเจาะจงที่บัตรโดยสารแล้วผลย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน…
ก่อนหน้านี้ยี่สิบห้านาทีคู่ต่อสู้ผู้ลึกลับอยู่ที่ตู้ฝากของเพื่อขโมยสมุดบันทึกจากมือของเหยียนเจิ้ง และยังไม่ได้เข้ามาในชานชาลา ดังนั้นบัตรโดยสารในมือก็ต้องย้อนกลับไปในสภาพที่ยังไม่ได้ถูกเสียบบัตรนั่นเอง
ตอนที่เขากำลังจะออกจากสถานี ช่องเสียบบัตรก็ตรวจจับบันทึกได้ว่าบัตรใบนี้ไม่ได้บันทึกเข้าสถานี จึงทำตามขั้นตอนพื้นฐาน มีการเตือนขึ้น เป็นหลักฐานบ่งบอกสถานะของคนที่เขากำลังตามหาที่ชัดที่สุด
“คุณดูสิ ง่ายแค่นี้เอง คุณพูดถูกแล้วแหละ มีแต่ทูตพู่กันที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีวิญญาณพู่กันที่ไร้ค่า” เหยียนเจิ้งยิ้มร่าพอใจเป็นที่สุด เย่อหยิ่งมั่นใจกับกลยุทธ์ของตัวเองมาก
“แต่ว่า…ถ้าทั้งสามคนขึ้นขบวนรถบนชานชาลาเดียวกัน แล้วตอนที่บัตรของทั้งสามสอดไปจะไม่ถูกเตือนทั้งหมดหรือ” หลวงจีนปีเตอร์เอ่ยคำถามที่สงสัย
เหยียนเจิ้งชะงักแน่นิ่ง เรื่องนี้เขาไม่ได้คิดมาก่อน จึงอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “สถานีนี้ค่อนข้างห่างไกลจากเมือง คงไม่บังเอิญที่ทั้งสามจะขึ้นและลงพร้อมกันหรอก”
“แล้วถ้าเขาเลือกลงรถที่สถานีใหญ่หรือว่าลงที่ชานชาลาสักแห่งเพื่อเปลี่ยนขบวนล่ะ” หลวงจีนปีเตอร์ยังคงถามย้อน “ถึงตอนนั้นคนที่ลงรถน่าจะมีหลายร้อยคน และในนั้นที่ถูกพู่กันวาดคิ้วสัมผัสก็อาจจะมีถึงหลายสิบคน พวกเราจะแยกออกได้ยังไง”
“…ฮ่า ๆ ช่างหัวมันเถอะ ของมาอยู่ในมือแล้ว จะไปซักไซ้ไล่เลียงรายละเอียดอีกทำไม!” เหยียนเจิ้งตบบ่าของหลวงจีนปีเตอร์พลางหัวเราะลั่นเพียงเพื่อปิดบังสีหน้าเคอะเขิน หลวงจีนปีเตอร์ถอนหายใจยาว ดูเหมือนตนจะโชคดีมาก กลยุทธ์ที่มีข้อบกพร่องและรูรั่วนับร้อยนี้ดันประสบความสำเร็จเข้าให้
ถ้าชาวต่างชาติคนนั้นรู้เรื่องนี้คงจะเศร้าใจมาก…หลวงจีนปีเตอร์คิดในใจ และอยู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว
ชาวต่างชาติ? ชาวต่างชาติมีวิญญาณพู่กันได้ด้วยหรือ