[ทดลองอ่าน] บันทึกวิญญาณพู่กัน บทที่ 2 สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงปลิดกล้วยไม้ม่วง (1)

บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈

 

หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล

 

‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

บทที่ 2

สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงปลิดกล้วยไม้ม่วง (1)

 

ปกติแล้วคนที่มาค้นหาของที่ตลาดขายของเก่านั้น หนึ่งต้องกวาดสายตา สองต้องหยุดฝีเท้า และสามต้องมองพินิจ กวาดตามองดูตามแผงที่วางขายของถือเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ พอหาเจอสิ่งที่ต้องการแล้วจึงจะหยุดเดินและมองอย่างละเอียด ถ้ารู้สึกถูกตาต้องใจแล้วค่อยคุกเข่าลงหยิบขึ้นมาพิจารณาบนมือ ความเร็วในการก้าวเดินของนักค้นหานั้นจะค่อนข้างช้า ต้องใช้ความพยายามอดทนอย่างสูง หากคลาดสายตาไปเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจทำให้พลาดของดีไป แต่เจิ้งเหอกับผู้คนเหล่านั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ชำเลืองหันไปไหนราวกับไม่ได้มองสิ่งของทั้งสองฝั่งเลยด้วยซ้ำ แต่มุ่งเดินตรงไปข้างหน้า หลัวจงเซี่ยที่กำลังตามเขาอยู่จากข้างหลังไกล ๆ เห็นเขายิ่งเดินก็ยิ่งห่างออกไปจากที่แห่งนี้ เลี้ยวซ้ายทีขวาที ท้ายสุดก็มาหยุดอยู่ตรงลานข้างวัด

ลานข้างวัดปลูกต้นอู๋ถง*สูงลิ่วอยู่นับไม่ถ้วน รอบทิศล้อมด้วยห้องนั่งสมาธิหลังคาเรียบ พื้นที่ของที่นี่ไม่ได้เปิดกว้างเท่าไรนัก อีกทั้งเส้นทางยังถูกวางด้วยหินคดเคี้ยววกไปวนมา ดังนั้นพวกคนขายที่จะมาตั้งแผงลอยนั้นจึงมีน้อยมาก ที่มีอยู่ตอนนี้ก็แค่ร้านวัตถุโบราณที่มาเช่าห้องนั่งสมาธิอยู่แต่เดิม พวกเขาเพียงตกแต่งประตูหน้าร้านเพิ่มเท่านั้น เมื่อเทียบกับความวุ่นวายแออัดจนเดินชนไหล่กันของด้านหน้าแล้ว ด้านหลังลานที่ถูกเงาของต้นไม้ปกคลุมและเป็นพื้นที่เปิดมีลมเย็น กลับเป็นที่ที่ภูมิฐานสง่างามกว่าเป็นไหน ๆ

เจิ้งเหอเดินมาถึงร้านค้าร้านหนึ่งที่ติดป้ายไว้ว่า ‘โม่อวี่จาย’ และเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล หลัวจงเซี่ยแอบมองจากหลังต้นอู๋ถง พอพบว่าข้างในตู้โชว์หน้าประตูร้านนั้นมีสี่สิ่งทรงคุณค่าแห่งห้องหนังสือวางตั้งอยู่ก็เข้าใจในทันที ความจริงแล้วไอ้หมอนี่ตั้งใจมาเพื่อตัดหน้าหาพู่กันขนสุนัขป่าสลักลายเคลือบรักสับปะรดให้ได้ก่อนเขา และเอาไปขอความดีความชอบกับอาจารย์จวี เจิ้งเหอผู้มาจากตระกูลดีงามมีชื่อเสียงมาหาของโบราณย่อมมีเส้นสายกว่าหลัวจงเซี่ย อย่างร้านโม่อวี่จายที่อยู่ตรงหน้านี่ ดูจากการตกแต่งที่งดงามตามแบบโบราณนี้ เมื่อเทียบกับบรรดาแผงลอยข้างนอกแล้วมีพลังทรงคุณค่ากว่ามาก

เขาหันซ้ายแลขวาไม่มีใครจึงเดินย่องเบา ๆ ไปที่หน้าประตูไม้ของร้าน เอาหูแนบฟัง ภายในร้านโม่อวี่จายมีพื้นที่เพียงไม่กี่ตารางเมตร เป็นห้องนั่งสมาธิแบบเก่า ไม่ได้เก็บเสียงเท่าที่ควร ดังนั้นพอพูดอะไรในห้องนั้นหลัวจงเซี่ยก็ได้ยินอย่างชัดเจน

“ลุงเจ้าครับ ครั้งนี้ลำบากลุงจริง ๆ” เสียงนี้คือเสียงของเจิ้งเหอ

“เหอะ ๆ คุณชายเจิ้งนาน ๆ ทีจะมาขอร้อง ผมจะปฏิเสธลงได้ยังไงครับ” อีกคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะ เสียงนั้นดังชัดเจน ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานใจ “แต่ทำไมจู่ ๆ คุณถึงสนใจพู่กันขึ้นมาล่ะครับ”

“เฮ้อ อย่าให้พูดเลย ที่มหาลัยของผมมีคนซุ่มซ่าม เหยียบพู่กันที่อาจารย์จวีสะสมไว้หัก แต่อาจารย์จวีก็ใจกว้างเพราะไม่อยากจะทำให้เขาต้องลำบาก แล้วก็ให้เขาไปหาพู่กันเล่มหนึ่งที่เหมือนกันกลับมาแค่นั้น เขาเป็นคนนอกวงการ จะไปหาพู่กันของแท้เจอได้ยังไง”

หลัวจงเซี่ยได้ฟังบนสนทนานี้อยู่ข้างนอก อดกัดฟันแน่นไม่ได้ ในใจคิดว่าไอ้เจิ้งเหอนี่ ช่างเป็นคนพูดดีต่อหน้าแต่ลับหลังปากปีจอ เขาลองย้อนคิดทบทวนอีกที ที่เจิ้งเหอพูดมานั่นเหมือนจะไม่ผิดเท่าไรนัก ตัวเองเป็นคนไร้ปัญญาคนหนึ่ง อยากจะหาพู่กันของแท้ก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกี่เดือน

คนทั้งสองที่อยู่ภายในห้องไม่ได้รู้สึกตัวแต่อย่างใดว่ามีคนแอบฟังอยู่ข้างนอก พูดคุยเรื่องของตัวเองต่อไป หลัวจงเซี่ยกลั้นลมหายใจฟังเงียบ ๆ และทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงดังขึ้นในห้อง ทำให้เขาตกใจ รีบกระโดดโหยงหลบไปด้านข้าง ไม่กี่วินาทีต่อมาถึงได้รู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือ

คนแซ่เจ้าที่อยู่ในห้องนั้นพูดกับปลายสายว่า “อืม ๆ” สองคำ แล้วหลังจากนั้นก็เอ่ยกับเจิ้งเหออย่างดีใจ “รู้แหล่งที่จะหาพู่กันได้แล้วครับ มีคนไปเจอที่ร้านขายของเก่าฉางชุนที่ถนนอวี้ซานในหนานเฉิง และที่เจอก็เหมือนกับของคุณจวีไม่มีผิด”

เจิ้งเหอน้ำเสียงดีอกดีใจในทันที “สายสืบของคุณลุงเจ้าสุดยอดจริง ๆ เวลาไม่นานก็หาได้ชัดเจนขนาดนี้”

“ทำอาชีพแบบพวกผม ถ้าแค่ทักษะแบบนี้ยังไม่มีก็เกรงว่าจะต้องเลิกทำไปนานแล้ว”

“งั้นตอนนี้พวกเราไปกันเลยไหม”

“เหอะ ๆ รีบร้อนทำไมกันครับ พู่กันไม่สามารถงอกขาแล้ววิ่งหนีไปได้หรอก ผมบอกเถ้าแก่ทางนั้นแล้วว่าให้เก็บเอาไว้ พวกเราไปกินข้าวกลางวันกันก่อนเถอะ ผมจองโต๊ะที่จวี้ฝูเอาไว้แล้ว กินเสร็จแล้วผมจะเป็นคนพาคุณไปเอาเอง”

ทั้งสองพูดคุยพลางเดินออกมาจากข้างในห้อง ภายนอกยังคงเงียบงันไม่มีเสียงใด และในลานนั้นไม่มีใครอยู่สักคนเดียว มีแต่เสียงแกรกกรากของใบอู๋ถงที่ปลิวพัดและเงาของต้นไม้เท่านั้น เจิ้งเหอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม “งามเลิศจริง ๆ”

หลัวจงเซี่ยไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดี แอบได้ยินข้อมูลสำคัญนี้ ทันทีที่เขาได้ยินลุงเจ้าเอ่ยถึงเรื่องที่พบพู่กันแล้วก็รีบออกไป ในเมื่อเจิ้งเหอยังต้องกินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยไปที่นั่น แสดงว่าสวรรค์ก็คงประทานพรให้ตัวเขาได้พู่กันเล่มนั้นเป็นแน่

เมื่อออกจากตลาดขายของเก่า เขาเลือกไม่ขี่จักรยาน แต่โบกแท็กซี่ตรงไปที่ถนนอวี้ซานเพื่อที่จะย่นระยะเวลา ระหว่างทางหลัวจงเซี่ยพูดคุยกับคนขับถึงได้รู้ว่าร้านขายของเก่าฉางชุนอยู่ที่ถนนอวี้ซานจริง ๆ ทั้งยังไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก และก็ถือเป็นโชคดีที่คนขับเผอิญเป็นคนหนานเฉิง จึงรู้ตำแหน่งที่ชัดเจน เขารู้สึกเบาใจมาก เป็นเพราะฟ้าลิขิตมาแน่เพราะทุกอย่างดูราบรื่นไปหมด เวลาผ่านไปประมาณยี่สิบนาที ในที่สุดแท็กซี่ก็ขับมาถึงถนนอวี้ซาน คนขับรถเหยียบเบรก แล้วก็ชี้นิ้วไปที่ข้างทางและพูดว่า “ตรงนั้นแหละ”

หลัวจงเซี่ยมองตามนิ้วของคนขับรถไป เห็นตึกเล็ก ๆ สีเทาสูงสองชั้น ข้างบนตึกติดตั้งโฆษณาของเครือข่ายโทรศัพท์ไชน่ายูนิคอมเอาไว้ มีเสาอากาศจำนวนหนึ่งเอียงกระเท่เร่ชี้ไปบนฟ้า ด้านหน้าของชั้นหนึ่งไล่จากซ้ายไปขวาคือร้านทำผม ร้านอินเทอร์เน็ต ร้านขายแผ่นเสียงซีดีผิดกฎหมาย และด้านขวาสุดมีการใช้ประตูไม้สีดำสนิทสองบานปิดกั้น เว้นตรงกลางเป็นซอกแคบ ๆ สำหรับใช้เป็นประตูทางเข้า ข้างบนห้อยป้ายไว้ เขียนด้วยอักษรจ้วนถี่*ว่า ‘ฉางชุน’ สองคำ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีการตกแต่งใด ๆ อีก

หลัวจงเซี่ยลงจากรถ ดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงครึ่ง เกรงว่ากับข้าวของทางเจิ้งเหอนั้นคงยังขึ้นโต๊ะไม่ครบด้วยซ้ำ

พอเข้าไปในร้าน อย่างแรกที่หลัวจงเซี่ยรู้สึกคือความเย็นเฉียบน่าสะพรึง อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจหนาวยะเยือก ภายในร้านไม่ถือว่ามืดเท่าไร หลอดไฟนีออนที่ติดอยู่ข้างบนห้องส่องแสงสว่างรำไร ขณะที่แสงอาทิตย์จากหน้าประตูที่ส่องกระทบเข้ามาตรงกลางห้องกลับทำให้เกิดความอึมครึมไร้ชีวิตชีวา ด้านหน้าร้านมีบรรดาของเก่าหลากหลายมากมายถูกจัดโชว์ไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ ตั้งแต่รูปปั้นเทพกวนอูทองแดงกร่อนสีเขียวคราม ไปจนถึงกาน้ำที่พวกทหารใช้ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ด้านในร้านมีประตูเล็ก ๆ ที่เชื่อมไปถึงห้องข้างหลัง ข้างบนประตูติดแผ่นทองคำมงคลที่กลับหัวเอาไว้

“มีคนอยู่ไหมครับ” หลัวจงเซี่ยตะโกนเรียก

“มี” เสียงไพเราะใสแว่วออกมาจากข้างใน หลัวจงเซี่ยรู้สึกราวกับว่ามีแสงส่องออกมาเบื้องหน้า จากนั้นก็มีเด็กสาวที่อายุไม่น่าห่างจากตัวเองเท่าไรเดินออกมา เธอผมยาว สวมชุดกระโปรงสีดำ ผิวขาวเนียนราวกับเครื่องแก้วโบราณ ทั้งเรือนร่างดั่งว่าเป็นสุภาพสตรีทรงเกียรติที่เดินออกมาจากภาพวาดของชาติ

หลัวจงเซี่ยสงบสติอารมณ์ พูดเข้าประเด็นในทันที “ได้ยินว่าที่นี่มีพู่กันขนสุนัขป่าสลักลายเคลือบรักสับปะรดขายใช่ไหม”

เด็กสาวพยักหน้า สีหน้าของเธอยังสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งไม่แยแสและเย็นชา

“เอามาให้ผมดูหน่อยได้ไหม” หลัวจงเซี่ยพยายามสงบใจที่ชื่นมื่นไว้และสงวนท่าทีจนถึงที่สุด

เด็กสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นพูด “คุณรอสักครู่” เอ่ยจบเธอก็หันหลังกลับเข้าไปในห้อง และไม่นานก็นำกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งออกมา ส่งให้กับหลัวจงเซี่ย เขารับกล่องผ้าไหมนั้นมาเปิดดู พู่กันที่วางอยู่ข้างในนั้นเป็นพิมพ์เดียวกับของอาจารย์จวีไม่มีผิดเพี้ยน ตัวด้ามเรียบเนียนกลมสวย สีมันเงาสว่างสดใส

หลัวจงเซี่ยดีใจแทบจะเสียสติ ตอนหาหาแทบตายก็หาไม่เจอ ตอนเลิกล้มกลับได้มาง่าย ๆ อย่างคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น เขาปิดกล่องผ้าไหมลงอย่างระมัดระวัง ถือไว้บนมือและเอ่ยถามเด็กสาวคนนั้น “เล่มนี้ขายเท่าไหร่”

“ขอโทษที เรื่องราคาต้องรอคุณปู่กลับมาก่อนถึงจะว่ากันได้”

“เขาจะกลับมาตอนไหนล่ะ”

“เขาเพิ่งออกไป น่าจะตอนบ่ายถึงกลับมา”

เด็กสาวพูดจบก็ยื่นมือจะรับกล่องผ้าไหมกลับไป แต่ในใจหลัวจงเซี่ยคิดว่าถ้ารอปู่ของเธอกลับมา เจิ้งเหอก็คงมาถึงที่นี่แล้ว ถึงเวลานั้นคงไม่อาจแย่งกับอีกฝ่ายได้แน่ เขาจึงทำหน้าด้านไม่ปล่อยมือ ทั้งคู่ยื้อกล่องผ้าไหม และในตอนที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันนั้น หลัวจงเซี่ยก็รู้สึกว่ามีพลังบางอย่างจากกล่องผ้าไหมไหลมาที่นิ้วของตัวเองไม่ขาดสาย และเกิดเสียงดังเป๊าะดีดใส่นิ้วทั้งห้า กล่องผ้าไหมนั้นถูกแย่งกลับไปทันควัน

หลัวจงเซี่ยเก็บมือกลับมา เขามองที่แขนเล็กอ่อนนุ่มของเด็กสาวคนนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ยังคงไม่หายสงสัย หรือเธอจะปล่อยพลังไฟฟ้าได้

ตอนนี้เอง ข้างนอกมีเสียงคนก้าวเดินดังมา หลัวจงเซี่ยรู้สึกกังวลแตกตื่น พลันคิดขึ้นมาว่าเจิ้งเหอมาได้ไวขนาดนี้เลยหรือ เขารีบหันขวับไปมอง จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

คนที่มาไม่ใช่เจิ้งเหอ แต่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนังที่ไม่เผยให้เห็นแม้แต่รอยยับแม้เพียงรอยเดียว คางเรียวยาวและโหนกแก้มสูงแสดงให้เห็นถึงบุคลิกที่มีความรับผิดชอบและฉลาดเฉียบแหลม ไม่รู้ทำไมหลัวจงเซี่ยจึงคิดถึงสุนัขจิ้งจอกที่อยู่ในทุ่งหญ้าขึ้นมา

เขาคนนี้ไม่มองหลัวจงเซี่ยเลยแม้แต่น้อย เดินตรงไปที่ข้างหน้าเด็กสาวคนนั้น ใช้สองมือยื่นนามบัตรหนึ่งใบให้ “คุณเหวยเสี่ยวหรง สวัสดี ผมชื่อจูเก่อฉางชิง ขอถามหน่อยว่าคุณเหวยซื่อหรันอยู่ไหม” เสียงของเขาห้วนสั้น แฝงความสงบนิ่งเย็นชา ไม่มีน้ำเสียงขึ้นลง

เด็กสาวรับนามบัตรเอาไปวางด้านข้างโดยไม่แม้แต่เหลือบมองสักนิด สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ขอโทษที พวกเราไม่ต้อนรับนาย”

มุมปากของจูเก่อฉางชิงฉายรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา สายตาชำเลืองไปมองกล่องผ้าไหมที่อยู่ในมือเธอ “สหายร่วมทางสายเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องแข็งกระด้างแบบนี้ก็ได้”

 

* ต้นอู๋ถง(梧桐)ต้นไม้ชนิดหนึ่งของจีน มีตำนานเล่าว่า พญาหงส์จะพักที่ต้นอู๋ถง จึงทำให้เชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของจีน

* อักษรจ้วนถี่(篆体)หนึ่งในวิธีการเขียนอักษรในสมัยจีนโบราณ เป็นอักษรกึ่งรูปภาพที่ยังไม่เป็นระเบียบ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า