[ทดลองอ่าน] บันทึกวิญญาณพู่กัน บทที่ 3 สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงปลิดกล้วยไม้ม่วง (2)

บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈

 

หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล

 

‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

บทที่ 3

สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงปลิดกล้วยไม้ม่วง (2)

 

สิ้นเสียงจูเก่อฉางชิงก็ยื่นมือออกไปโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า หลัวจงเซี่ยและเหวยเสี่ยวหรงไม่ทันได้ตั้งตัวเขาก็หยิบกล่องผ้าไหมนั้นไปไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย เอาไปชมเชยหน้าตาเฉย

“ที่แท้ก็แค่พู่กันขนสุนัขป่าต่ำต้อยเล่มนี้” จูเก่อฉางชิงเปิดกล่องผ้าไหมดู แล้วก็ทิ้งมันลงกับพื้นอย่างไม่แยแส “ฉันรู้ว่าพวกแกเอาไปซ่อนไว้ เอาออกมาซะ”

แม้หลัวจงเซี่ยจะเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไรนัก แต่ก็ไม่สามารถทนเห็นผู้อื่นถูกรังแกได้ จึงพูดแทรกออกมา “เฮ้ย นายจะรุนแรงไปหน่อยมั้ง”

จูเก่อฉางชิงไม่สนใจเขาเลยสักนิด ก้าวเดินอย่างสง่างามเข้าประชิดตัวเสี่ยวหรง ชี้นิ้วไปที่หน้าเธอ “น้องสาว ถ้าใบหน้านี้ได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันระวัง จะต้องใช้พลาสเตอร์กี่แผ่นมาแปะถึงจะพอล่ะเนี่ย”

เผชิญหน้ากับการคุกคามของจูเก่อฉางชิง แขนขาวบอบบางของเสี่ยวหรงก็ประสานขึ้นตรงหน้าเธอโดยอัตโนมัติ พร้อมถอยไปหนึ่งก้าว

“ไอ้…!” หลัวจงเซี่ยถูกคนมองข้าม ใจที่อยากปกป้องสิ่งสวยงามก็ปะทุขึ้นอย่างยั้งไม่อยู่ เขาเลียริมฝีปาก ยืนอยู่ระหว่างจูเก่อฉางชิงและเด็กสาว จากนั้นสะบัดมือถือไปมา “เฮ้ย เพื่อน อย่ามาก่อความวุ่นวาย ไม่งั้นฉันจะโทรหาตำรวจ”

“นายเป็นใคร สุภาพบุรุษพิทักษ์ความเป็นธรรมหรือ” จูเก่อฉางชิงปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า

“ฉันคือกองกำลังปลดปล่อยประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน” หลัวจงเซี่ยวางมาดขึงขังตอบออกไป ในเวลาเดียวกันเสี่ยวหรงที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากพูดออกมาก

“นายไปเถอะ นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย”

“เฮ้ย! นี่เธอยอมทนได้ยังไง ไอ้หมอนี่มาข่มขู่คนในที่สาธารณะเลยนะ”

“นายไม่เข้าใจ…รีบออกไป” ใบหน้าของเสี่ยวหรงปรากฏแววร้อนรนและตึงเครียดขึ้น เธอรู้สึกได้ว่ารังสีฆ่าฟันของจูเก่อฉางชิงเพิ่มสูงขึ้น จึงรีบผลักไหล่ของหลัวจงเซี่ย

“พวกแกทั้งสองอย่าคิดจะได้หนีไปไหนทั้งนั้น!”

จูเก่อฉางชิงเกิดบันดาลโทสะขึ้น ตะคอกเสียงดัง ทันใดนั้นแขนทั้งสองข้างก็ยืดกางออก ภายในห้องเกิดลมพายุคลั่งรุนแรงขึ้น หลัวจงเซี่ยที่ไม่รู้แม้แต่วิชาการต่อสู้ขั้นพื้นฐานส่งเสียง “อ๊าก” ออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ถูกพลังอันแกร่งกล้าผลักไปที่มุมกำแพง ชนแผ่นไม้แกะสลักเป็นรูปช้างเผือกของไทยอย่างหนักหน่วง เขาพยายามดิ้นรนลุกขึ้น แต่ถูกแรงลมกดเอาไว้อย่างหนักจนไม่อาจขยับตัวไปไหนได้

ในหัวของหลัวจงเซี่ยยุ่งเหยิงไปหมด ข้างหูพลันได้ยินเสียงครางเบา ๆ และร่างกายอันอ่อนนุ่มก็มาทับอยู่บนตัวของเขาทันใด กลิ่นหอมมาจากร่างกายอ่อนนุ่มนั้น เพียงแค่เส้นผมไม่กี่เส้นพัดมาที่จมูกก็ปล่อยความหอมบางเบาลอยไปทั่ว

หลัวจงเซี่ยพยายามสุดชีวิตที่จะลืมตาขึ้น ถึงได้พบว่าเสี่ยวหรงก็ถูกแรงลมของจูเก่อฉางชิงผลักกระเด็นเช่นกัน ทำให้หน้าอกมาชนกับตน ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตร ถึงขนาดที่ว่าเขาได้ยินเสียงลมหายใจหอบของเสี่ยวหรงและก็เห็นแก้มซีดเซียวที่เริ่มแดงขึ้นของเธอ

ร่างกายของทั้งสองคนซ้อนทับกัน เสี่ยวหรงรู้สึกอายมาก แต่ถูกแรงลมอันหนักหน่วงกดทับจนไม่สามารถขยับได้ ทำได้เพียงพูดอย่างร้อนรน “นาย…นายอย่าขยับ!”

ตอนนี้หลัวจงเซี่ยไม่รู้ว่าควรจะเดือดดาลหรือปลื้มใจดี มือทั้งสองจะกอดก็ไม่ใช่ จะปล่อยก็ไม่เชิง ทำได้เพียงแต่พูดอึกอักตอบออกไป “โอ…โอเค…”

“หลับตา” เสี่ยวหรงพูดเสียงแผ่วเบา ถ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แบบนี้แล้วเจอเข้ากับสาวสวยคนหนึ่งกอดเขาที่เอว แถมยังมาหายใจกระซิบเอ่ยด้วยลมหายใจหอมหวานราวกับกล้วยไม้ว่าให้หลับตาลงแล้วละก็ หลัวจงเซี่ยคงจะละลายไปนานแล้ว ดีที่ความรู้สึกถึงอันตรายไม่ได้ถูกภาพจินตนาการทำลาย เขาจึงหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง

เสี่ยวหรงฟุบอยู่ที่อกของหลัวจงเซี่ย ปากของเธอกำลังท่องอะไรไม่หยุด หลัวจงเซี่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายนุ่มนิ่มของเธอเริ่มที่จะเย็นลงอย่างหาที่มาไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างลอยลงมาบนศีรษะ

ราวกับหิมะหรือปุยฝ้าย

ตอนนี้เองจูเก่อฉางชิงก็เดินออกมาจากห้องพอดี ในมือถือกระเป๋าผ้าใบกันน้ำสกปรก ๆ ใบหนึ่งพลางทำท่ากะน้ำหนักบนมืออย่างพึงพอใจ “ครั้งนี้ไม่ผิดแล้ว คุณเสี่ยวหรง อย่าลืมทักทายคุณเหวยซื่อหรันแทนผมด้วยนะ”

เขามองคนสองคนที่โดนลมกดทับบังคับให้แน่นิ่ง ก้าวเดินออกไปข้างนอก แต่เดินได้ครึ่งทางเขากลับหยุดฝีเท้า

มีบางอย่างผิดปกติ

จูเก่อฉางชิงเงยหน้าขึ้น ตกตะลึงเมื่อพบว่าภายในห้องนั้นแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึม บนเพดานมีปุยสีขาวลอยพลิ้วลงมานับไม่ถ้วน ปุยสีขาวเหล่านี้ราวกับมีชีวิต และมุ่งปลิวว่อนมาหาจูเก่อฉางชิง เขาตกใจมาก อดที่จะยื่นมือออกไปปัดไม่ได้ ทว่ายิ่งปัดเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ปุยสีขาวนี้เหมือนดั่งหิมะและเส้นด้าย พอติดอยู่กับตัวแล้วยากที่จะปัดออก อีกทั้งยังส่งความเย็นวาบถึงกระดูก ไม่นานจูเก่อฉางชิงก็พบว่าสูทที่ตนเองสวมมาเต็มไปด้วยปุยสีขาว ราวกับถูกเปลี่ยนเป็นชุดไว้ทุกข์สีขาวอย่างไรอย่างนั้น

“แย่แล้ว…”

แขนทั้งคู่ของจูเก่อฉางชิงกวัดแกว่งไปมาอย่างไร้ประโยชน์ ปุยสีขาวยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่เส้นผมที่มันเงาและดำสนิทของเขาก็ยังเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง เขาเริ่มหายใจติดขัด พลังของลมที่กดทับอยู่ลดลงไปมาก เสี่ยวหรงได้จังหวะลุกขึ้นมาจากตัวของหลัวจงเซี่ยทันที

เธอในตอนนี้กับเมื่อครู่แตกต่างกันลิบลับ ตั้งแต่หัวจรดเท้าปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวและเส้นใยบางอย่าง หลัวจงเซี่ยมองเห็นหมอกควันสีขาวที่เป็นรูปร่างของพู่กันลอยขึ้นบนศีรษะของเธอ รูปทรงของหมอกควันดูสง่างามไร้ที่ติ

จูเก่อฉางชิงสงบสติอารมณ์ ใช้ฝ่ามือโบกเรียกลมพายุคลั่งออกมา พยายามใช้ท่าเดิมอีกครั้ง ทว่าชั่วพริบตาเดียวเขาก็พบว่าวายุยักษ์ใหญ่ทำได้เพียงแค่ทวีแรงให้ปุยสีขาวปลิววนเร็วขึ้น และยิ่งทำให้ตัวเองถูกปกคลุมเร็วขึ้นไปอีก สายตาของเขาชะงักราวกับคิดสิ่งใดออก ตะโกนออกมาเสียงดัง

“หรือว่า…ตาแก่เหวยจะเอาพู่กันปุยหิมะฝังไว้ในร่างของเธอ!”

เสี่ยวหรงไม่ตอบคำถามนั้น เพียงยืนนิ่งอย่างไร้อารมณ์อยู่ตรงกลางห้อง สายตาว่างเปล่าจับจ้องที่จูเก่อฉางชิง สีหน้าที่เพิกเฉยก่อนหน้านี้ยิ่งเพิ่มความเย็นชาเข้าไปอีก ปุยสีขาวนับไม่ถ้วนเวียนวนคำรามอยู่ข้างกายเธอ ผลัดกันขึ้นทีลงที หลัวจงเซี่ยนึกว่าตัวเองได้เห็นเจ้าหญิงหิมะในเทพนิยาย

จูเก่อฉางชิงโจมตีซ้ายขวา แต่ต้นจนจบแล้วกลับไม่สามารถสลัดการโจมตีของปุยหิมะได้ ลมพายุแม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็เหมือนการใช้หมัดหนักต่อยไปบนปุยหิมะ จึงไม่ส่งผลประโยชน์อะไรเลย ถึงคราเข้าตาจน ไม่นานก็ถูกปุยหิมะเกาะตัวแข็งแน่นหนา เขาพยายามทุบน้ำแข็งที่อยู่บนหัวแล้วตะคอกออกมา “เดิมทีฉันก็แค่จะมาเอาพู่กัน ไม่อยากทำร้ายใคร แต่เพราะเธอบังคับฉันเอง อย่าคิดว่าเธอมีวิญญาณพู่กันคนเดียว! พู่กันเมฆา!”

ตามเสียงที่ตะโกนออกไป ร่างกายของจูเก่อฉางชิงก็ระเบิดสาดแสงสว่างออกมา ทวีแรงปะทุของลมคลั่งให้ดุดันขึ้น วนรอบตัวของเขาดั่งพายุทอร์นาโดที่กำลังบ้าคลั่ง ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ปุยหิมะถึงกับปลิวหลุดออกไป เสี่ยวหรงแอบหวั่นใจจึงเร่งรัดวิญญาณพู่กันให้ปล่อยปุยหิมะเพิ่มขึ้น แต่กลับกลายเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใกล้ประชิดตัวของจูเก่อฉางชิงแม้เพียงนิดเดียว

แรงลมอันทรงกำลังที่อยู่บนหัวของจูเก่อฉางชิงเริ่มมาบรรจบกันเป็นพู่กันขนาดใหญ่ หอบทั้งวายุและกลีบเมฆ ขนของพู่กันรวมตัวกันอย่างเฉียบคมราวกับกริชแหลมที่กำลังมองจากด้านบนลงมาเหยียดหยามความเล็กของพู่กันปุยหิมะ ทว่าพู่กันปุยหิมะนั้นสงวนท่าทีเก็บพลังเอาไว้ข้างในตัวมันเอง พลังส่งออกได้ไม่มากนัก แต่กลับมีวิธีรับมืออย่างแยบยล ตลอดเวลานี้จึงยังไม่ลู่ตกตามแรงลมนั่นไป พู่กันสองเล่มกับมนุษย์สองคน ลมและหิมะเสริมแรงกันและกัน ปะทะกันในห้องเล็ก ๆ แห่งนี้อย่างทัดเทียม ไม่มีใครเหนือกว่าใคร

หลัวจงเซี่ยจ้องมองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยความตกตะลึงตาค้าง ไม่สามารถหาคำพูดใดมาอธิบายภาพฉากมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้านี้ได้

ทั้งสองคนยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้องไม่ขยับไปไหน แต่กลับมีแรงอันทรงพลังสองสายที่รุนแรงและอ่อนนิ่มกำลังปะทะกันอย่างหนักหน่วง ลมและปุยหิมะปลิววนตัดสลับกันไปมาอย่างไม่ผ่อนปรน ทำให้ห้องนี้แปรสภาพไปเป็นดั่งลมหิมะปะทุในขั้วโลกใต้ สิ่งของโบราณที่อยู่ในห้องต่างถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง แผนที่เก่าหลายแผ่นรวมถึงหนังสือเก่าถูกความคมของลมตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและลอยละล่องขึ้นไปในอากาศตามกระแสวายุ

หลัวจงเซี่ยที่ตกอยู่ในความยากลำบากนี้ทำได้แค่ขดตัวอยู่ตรงมุมไม่สามารถขยับไปไหนได้ พยายามที่จะหลบหลีกไม่ให้ถูกลมคลั่งและละอองหิมะโจมตี

ลมและหิมะโรมรันปะทะกันรุนแรง ปุยหิมะสีขาวใช้ประโยชน์จากลมก่อตัวเป็นกรวยน้ำค้างแข็ง ฉีกกระเป๋าเสื้อชุดสูทของจูเก่อฉางชิงขาดดังแควก กระเป๋าผ้าใบกันน้ำที่อยู่ในอกของเขาจึงหลุดจากการยึดกุม ลอยขึ้นไปกลางอากาศ และทันใดนั้นพลังที่ตัดสลับกันก็ทำให้กระเป๋าผ้าฉีกขาดออกเป็นเสี่ยง ๆ เผยให้เห็นพู่กันเล่มที่อยู่ข้างใน

พู่กันเล่มนี้รูปร่างไม่สวยงาม ตั้งแต่ตัวด้ามไปจนถึงขนของพู่กันเป็นสีดำทะมึนไม่มีสีอื่นผสมแม้แต่น้อย พอจูเก่อฉางชิงและเสี่ยวหรงเห็นเข้า ต่างชะงักค้างก่อนรีบพุ่งเข้าไปแย่ง พู่กันสีดำนี้ลอยกลับไปกลับมาระหว่างลมคลั่งและปุยหิมะสีขาวโดยปราศจากทิศทาง ตอนนี้ทั้งสองคนไม่สามารถเก็บมันมาไว้ในมือตน จูเก่อฉางชิงเห็นท่าว่าจะออกแรงต่อสู้ยืดเยื้อต่อไม่ไหว ในใจจึงยิ่งร้อนรน ค่อย ๆ รวมพลังมหาศาลขึ้นและส่งออกทันใด ภาพมายาของพู่กันเมฆาพุ่งไปข้างหน้า ไล่ตามคลื่นเมฆเพื่อไปดูดพู่กันสีดำ

เสี่ยวหรงเห็นดังนั้นก็รีบสั่งให้พู่กันปุยหิมะไปขวาง แม้ว่าพู่กันปุยหิมะจะไม่สามารถลดทอนแรงกำลังมหาศาลนั้นได้ แต่ว่าธรรมชาติของพู่กันเล่มนี้มีความคล่องแคล่วว่องไวสูง ทำให้พู่กันเมฆาตามไม่ทัน ถูกสยบไว้ทุกด้าน ใช้พลังเบี่ยงเบนด้วยวิธีที่แยบยล สะบัดออกไปด้านข้าง

ถูกเสี่ยวหรงทำแบบนี้ จูเก่อฉางชิงจึงสูญเสียการทรงตัว พู่กันสีดำนั้นไม่เพียงแต่ไม่ถูกพู่กันเมฆาดูดกลืน กลับกันยังถูกแรงพลังมหาศาลผลักราวกับยิงลูกธนูออกไปด้านข้าง

“ไม่ได้การ!”

“ไม่ได้การ!”

เสี่ยวหรงและจูเก่อฉางชิงตะโกนพร้อมกัน และในเวลานี้หลัวจงเซี่ยก็ลุกขึ้นมาจากพื้น ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมากลับเห็นพู่กันสีดำพุ่งทะลุตรงเข้ามาในอกทันที

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า