บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈
หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล
‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
บทที่ 4
ทองได้มาและจากไปในเร็ววัน (1)
สำหรับหลัวจงเซี่ยแล้ว นี่คงเป็นหายนะที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันมาก่อน
ตอนที่พู่กันกำลังแทงทะลุเข้ามาในอกของเขานั้น หัวเขาพลันว่างเปล่า คิดแค่ว่า ตายแล้วตายแล้วตายแล้วตายแล้ว ครั้งนี้เราตายแน่
ความรู้สึกแรกที่โถมเข้ามาคือความหวิวบางเบา ทั้งร่างคล้ายยางของจักรยานที่ถูกดึงจุกลมออก พลังรั่วไหลออกตามช่องโหว่ขนาดใหญ่บนหน้าอก ร่างพลันอ่อนเปลี้ยพับลงไปบนพื้นโดยไม่สามารถขยับได้อีก
ที่เกินคาดกว่านั้นคือหน้าอกกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บ และนี่ก็คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ตาย’ เป็นแน่
หลัวจงเซี่ยรู้สึกว่าตัวเองได้แยกออกมาจากโลกทั้งใบ เมฆหมอกบางเบาลอยล่องอยู่ตรงหน้า เสี่ยวหรงและจูเก่อฉางชิงก็ดูเหมือนอยู่ห่างออกไปไกลลิบ เขาก้มลงไปมอง เห็นพู่กันสีดำที่เสียบคาอยู่ในอกเหลือเพียงปลายด้ามสีดำที่โผล่ออกมาด้านนอก
ไม่รู้ว่าทำไมร่างกายถึงได้ไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ และยังคล้ายกับเขาสามารถมองทะลุเข้าไปในร่างกายของตัวเองได้ มองเห็นถึงสิ่งที่ลอยเวียนวนงดงามนับไม่ถ้วน แต่กลับมองสิ่งที่ม้วนเป็นรูปตัวอักษรเฟย (飞) ได้ไม่ชัดเจน สิ่งที่ลอยวนนั้นกำลังหลั่งไหลออกมาจากส่วนขนของพู่กันสีดำและแผ่เข้าไปในองคาพยพ บริเวณที่อักษรเฟยกำลังแพร่กระจายอยู่นั้นมีแสงสีครามเรืองรองสว่างวาบเกิดขึ้น แต่ว่าแสงนี้ไม่เหมือนกับแสงเยือกเย็นและงดงามของเสี่ยวหรง ขณะเดียวกันก็ไม่กราดเกรี้ยวดุร้ายเหมือนของจูเก่อฉางชิง เขายังรู้สึกว่าตนเองสามารถสัมผัสกับแสงอันน่าอัศจรรย์นี้ได้ ราวกับจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นวิญญาณทั้งหมดก็เริ่มลอยเร็วขึ้น
อักษรเฟยยิ่งไหลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พู่กันสีดำก็ยิ่งหดสั้นลงเรื่อย ๆ เช่นกัน จนในที่สุดพู่กันสีดำทั้งเล่มก็เลือนหายเข้าไปในร่างของหลัวจงเซี่ย ชั่วขณะนั้นเขาได้ยินเสียงร้องอู้อี้ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังกังวาน ทั้งว่างเปล่าและเด่นชัดอย่างยิ่ง…
จนแล้วจนรอดทุกอย่างก็กลับมาสงบลง เขาตื่นลืมตาขึ้นช้า ๆ พบว่าตนเองได้กลับมาอยู่ในห้องเดิมเรียบร้อยแล้ว พอก้มลงไปมอง หน้าอกยังเป็นปกติดังเดิมปราศจากเงาของพู่กันสีดำ ทั้งเสี่ยวหรงและจูเก่อฉางชิงหยุดการต่อสู้ ต่างกำลังจ้องเขม็งมาที่หลัวจงเซี่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ
หลัวจงเซี่ยลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยความพิศวงงงวย ตาทั้งคู่พร่ามัว เสมือนถูกคนดึงจิตวิญญาณออกไป
จูเก่อฉางชิงร้อนใจและโมโห ยกนิ้วชี้ประกบกันพร้อมตะโกนลั่น “เอาวิญญาณพู่กันคืนมาให้ฉัน!” พลันลมพายุลูกใหญ่ก็ผ่าออกมาจากนิ้วพุ่งเข้าแทงหน้าอกของหลัวจงเซี่ย แต่ไม่นึกว่าหลัวจงเซี่ยจะกลายเป็นเหมือนคนที่เมาสุรา ร่างกายโยกไหวไปมา หลบหนีการโจมตีนั้นอย่างง่ายดาย จูเก่อฉางชิงผงะ คิดจะโจมตีอีกครั้ง แต่ว่าหลัวจงเซี่ยกลับมาอยู่ด้านหน้าของเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่มีใครรู้
จูเก่อฉางชิงตะลึงงัน ถอยหลังออกไปอย่างว่องไว หลัวจงเซี่ยก็ไม่ได้ไล่ตาม ยังคงมีสีหน้าท่าทางมึนงงดังเดิม ปากพูดพึมพำอย่างไม่อาจควบคุม “เมฆาครามทะมึนเตรียมหลั่งฝน หมอกลอยขึ้นจากสายน้ำเย็นยะเยือก…”
เดิมทีกลางห้องนี้เกิดลมและเมฆประสานทวีพลังกัน ปุยหิมะเบาบางไร้น้ำหนัก เมื่อเทียบกับลมพายุคลั่งแล้วแทบจะไม่สามารถต่อกรได้เลย จึงถูกพลังของลมพัดปลิวโบกไปทั่วทุกทิศมาโดยตลอด ในตอนนี้เมื่อหลัวจงเซี่ยร่ายท่อง พลังสีครามนับไม่ถ้วนกระจายออกมาทั่วทุกทิศ ลมและเมฆของจูเก่อฉางชิงถูกพลังสีครามกระทบ ทำให้เปลี่ยนรูปก่อตัวจับเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ ตกลงไปบนพื้น เสริมด้วยพลังจากพู่กันปุยหิมะของเสี่ยวหรง ก็หลอมละลายกลายเป็นละอองสีขาวโพลน
มาถึงตอนนี้ลมและเมฆที่ถูกปล่อยออกมาจากพู่กันเมฆากลับกลายมาช่วยเสริมกำลังให้ละอองหิมะ ยิ่งผลักดันเท่าไรก็ยิ่งทำให้แรงของตนอ่อนแอลงและส่งกำลังให้คู่ต่อสู้เพิ่มขึ้น แรงลมภายในห้องเริ่มอ่อนลง หิมะยิ่งโหมแรงขึ้น
จูเก่อฉางชิงลอบหวั่นใจพลางคิดว่าจะจับโจรต้องจับหัวหน้า เขาจึงเบิกลมและเมฆออกมาอีกครั้ง ใช้โอกาสที่ยังไม่ถูกแสงสีครามทำลายทั้งหมดยืดตัวขึ้น ตรงไปหาหลัวจงเซี่ย พยายามคว้าข้อมือของเขา แต่ใครจะไปรู้ว่าหลัวจงเซี่ยแค่เบี่ยงร่างเล็กน้อยก็หลบรอดมือของจูเก่อฉางชิงได้แล้ว ท่วงท่าปราดเปรียวอย่างยิ่ง เสี่ยวหรงสบจังหวะจากการที่จูเก่อฉางชิงโจมตีใส่ความว่างเปล่า ผลักสองมือออกไปเบา ๆ เพื่อให้ละอองหิมะนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นพู่กันน้ำแข็งขึ้นเล่มหนึ่ง ปักเข้าที่ไหล่ขวาของเขา
แค่เห็นพู่กันมาถึง หัวไหล่ก็ถูกน้ำแข็งหิมะแผ่นใหญ่ปกคลุมทันที จูเก่อฉางชิงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดพร้อมถอยหลังไปสามก้าว หยาดหิมะที่ก่อตัวเป็นแท่งน้ำแข็งรวมตัวกันใหม่นับไม่ถ้วนลอยโถมเข้ามา เขารับรู้ได้ถึงการมาที่ไม่ปรารถนาดี เพียงอดทนต่อความเจ็บปวดเอาไว้พร้อมกระอักเลือดออกมา พู่กันเมฆาที่ลอยตัวอยู่บนหัวใช้พลังเมฆตวัดดัง ‘ขวับๆ’ เขียนเป็นอักษรขึ้นสองตัว
จื่อซวี!
คำว่า ‘จื่อซวี’ สองคำนี้เขียนได้อย่างทรงพลังน่าเกรงขาม ขณะที่ตัวอักษรประกอบตัวกันก็มีเสียงท่องดังก้องกังวานท่ามกลางความลี้ลับ เหมือนเป็นการร่ายบทกวีอันยืดยาว ทั้งแข็งแกร่งและทรงอำนาจเหลือคณานับ เมฆลมที่เดิมเลือนหายไปกลับเผยชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ราวกับตัวอักษรทั้งสองนำพลังอันไร้ขีดจำกัดมาให้ และม้วนตวัดกลับไปในทันใด หยาดหิมะที่เกาะตัวเป็นแท่งน้ำแข็งของเสี่ยวหรงถูกแรงกดดันที่ปรากฏอย่างกะทันหันกดทับอย่างรุนแรง ทำให้ละอองหิมะทั้งหมดนิ่งค้างอยู่กลางอากาศไม่สามารถขยับไปไหนได้
มือทั้งคู่ของหลัวจงเซี่ยกางออก พลังสีครามลอยล่องขึ้นมาทีละน้อย ไม่นานอักษรจื่อซวีก็ฟุ้งกระจายแตกออกเป็นเส้นสีคราม ราวกับตะไคร่ที่ขึ้นบนศิลาแตกหัก เพียงแต่ตัวอักษรทั้งสองมีอำนาจมาก ในตอนนี้ไม่มีทีท่าว่าพลังสีครามจะขยับเขยื้อนได้เลย
ทั้งสองฝ่ายหยุดนิ่งเช่นนี้ จูเก่อฉางชิงไม่สามารถโจมตีพวกเขาทั้งสองได้ กลับกันพวกเขาทั้งสองเองก็ทะลวงวงล้อมของ ‘จื่อซวี’ ไม่ได้
ที่จริงแล้วจูเก่อฉางชิงไม่ได้คาดหวังว่าการโจมตีครั้งนี้จะได้ผลเท่าไร เขาเพียงแค่ใช้เพื่อชะลอการโจมตีของฝ่ายศัตรูเท่านั้น พอเห็นละอองหิมะและแสงสีครามถูกอักษรจื่อซวีข่มได้ชั่วขณะ เขาก็อดปัดเกล็ดหิมะที่ปกคลุมอยู่บนตัวออกไม่ได้ หันร่างใช้ไหล่ซ้ายชนประตูใหญ่ หนีออกไปด้วยฝีเท้าโซซัดโซเซ
เมื่อเจ้าของหนีไปแล้ว ตัวอักษรจื่อซวีก็ไม่อาจดำรงอยู่ต่อไป จึงตกลงไปบนพื้นเกิดเสียงดังกึกก้อง และกลายเป็นไอวิญญาณลับเลือนหายไป ภายในห้องที่ก่อนหน้านี้สุดแสนจะโกลาหลค่อยกลับมาสงบเงียบราวกับฉากในละคร เมื่อเห็นว่าศัตรูตัวฉกาจหนีไป เสี่ยวหรงที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นำพู่กันปุยหิมะกลับเข้าไปในที่พำนักวิญญาณ เมฆ ลม ฝน และหิมะที่อยู่ในห้องตอนนี้ก็กลับกลายเป็นไร้รูปร่าง เหลือแต่เพียงความชื้นที่อยู่บนพื้นผิวของพวกวัตถุโบราณ ถือเป็นร่องรอยเดียวที่หลงเหลือจากการต่อสู้
หลัวจงเซี่ยยังคงยืนอยู่กลางห้องไม่เคลื่อนไหว เสี่ยวหรงข่มความเจ็บปวดทางกายเอาไว้ เดินไปสะกิดไหล่ของเขาพร้อมเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “นาย…ไม่เป็นไรใช่ไหม”
หลัวจงเซี่ยส่งเสียงหัวเราะใส่เธอ จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น สิ้นสติไปในทันที
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร หลัวจงเซี่ยฟื้นขึ้นมาช้า ๆ แต่ว่าจิตใจยังคงท่องอยู่ในความฝัน ในฝันอันสุดแสนจะวังเวงนั้นเขาเห็นตัวเองที่ดูเป็นผู้ทรงภูมิมีสติปัญญาจากที่ไกล ๆ สวมชุดเสื้อยาวทรงกว้าง ถือกระบี่ยาว ชูจอกที่ทำจากนอแรด เดินท่องไปทั่วแผ่นฟ้าและผืนดิน เดี๋ยวก็เกิดแสงประหลาดหลากหลาย สวยสดตระการตา เดี๋ยวก็ล่องสายลม ท่องไปไกลนับพันลี้* เดี๋ยวก็ประลองดื่มสุรา สุขสำราญใจไม่ต้องกังวลสิ่งใด ท่องไปจนถึงสถานที่รื่นเริง จับเข่าผิวปากไม่หยุด ในเสียงผิวปากนั้นพลันเห็นเซียนสวมชุดคลุมสีครามขี่เมฆออกมา กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับตนเอง ทันใดนั้นบทกวีนับไม่ถ้วนก็ส่องสว่างละลานตาเข้ามาในหัวสมอง ทำให้รู้สึกหน้ามืดวิงเวียน เขาใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะดึงตัวเองออกจากวิมานฝันนั้นได้ หลัวจงเซี่ยปวดศีรษะมาก รู้สึกราวกับคนเมาค้าง คิดในใจว่าคงไม่ใช่เพราะดื่มเหล้าในความฝันมากเกินไปหรอกมั้ง เขายื่นมือขึ้นไป รู้สึกว่าที่หน้าผากมีผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมชุบน้ำเย็นวางอยู่ ลูบคลำแล้วให้สัมผัสนุ่มลื่น ตรงมุมผ้ามีด้ายสีครามปักอักษร ‘หรง’ ไว้อย่างสวยงาม
เมื่อมองบริเวณโดยรอบ หลัวจงเซี่ยพบว่าตัวเองถูกย้ายมาที่ห้องเล็กห้องหนึ่ง ร่างยังคงสวมใส่เสื้อผ้าและนอนเอนกายอยู่บนเตียงพับโกโรโกโส ห้องนี้เก่าคร่ำคร่า สามารถเห็นคราบรอยเปื้อนสีเทาและเหลืองบนกำแพงได้อย่างชัดแจ้ง ภายในห้องนอกจากจะมีเตียงแล้วยังมีเก้าอี้พลาสติกสีขาวสองตัวกับโต๊ะไม้หนึ่งตัว และกาน้ำร้อนไฟฟ้าขนาดเล็กวางอยู่บนพื้น สิ่งเดียวที่ดูไม่เข้ากันกับรูปแบบห้องนี้เลยก็คือหิ้งบูชาที่อยู่บนผนัง บนหิ้งบูชาไม่ใช่เทพเจ้าฉายเสิน** และก็ไม่ใช่เทพเจ้ากวนกง แต่เป็นภาพเก่าโบราณภาพหนึ่งที่สีเหลืองซีดไปหมดแล้ว ในภาพเป็นผู้ชายสีหน้าเคร่งขรึมในชุดเสื้อสีคราม สวมหมวกทรงสี่เหลี่ยม มือขวาถือพู่กันหนึ่งเล่ม นิ้วชี้ข้างซ้ายหมุนขนพู่กันอย่างอ่อนช้อยด้วยท่าทางราวกับหวงแหนและทะนุถนอมสุดซึ้ง
“แปลกชะมัด ที่นี่ที่ไหน” หลัวจงเซี่ยพยายามลุกขึ้น แต่พบว่าร่างกายปวดร้าวไปทั่ว ขยับไม่ได้เลย เขาจำได้เพียงว่าตนถูกพู่กันสีดำแทงทะลุเข้ามาในอก ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นกลับไม่ได้อยู่ในความทรงจำเขาเลย ทันใดนั้นมีเสียงพูดคุยดังมาจากนอกห้อง เสียงนี้เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นเสียงของเจิ้งเหอ
“คุณเหวย นี่เงินของคุณ”
“ได้เลย ๆ ผมเตรียมพู่กันให้คุณแล้ว” เสียงชราภาพเสียงหนึ่งพูดขึ้น “ถือว่าเป็นโชคของคุณ พู่กันขนสุนัขป่าสลักลายเคลือบรักสับปะรดนี้มีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถหาได้แล้ว”
หลัวจงเซี่ยได้ยินก็ตกใจ หรือว่าที่ตัวเองนอนอยู่นี่คือห้องที่อยู่ในร้านขายของเก่าฉางชุน เขาพยายามสุดชีวิตที่จะลุกขึ้นมา อยากจะหยุดยั้งการซื้อขายของพวกเขา ไม่ง่ายเลยที่ตัวเขาจะแย่งโอกาสดีมาได้ก่อน จะปล่อยให้พู่กันเล่มนั้นตกไปอยู่ในมือไอ้เจิ้งเหอได้อย่างไร! น่าเสียดายที่กระดูกทั้งแขนและขาของเขาเหมือนมีตะกั่วหนักถ่วงไว้ ไม่ฟังคำสั่งเลยสักนิด ทำได้เพียงฟังเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วจากข้างนอกอย่างหงุดหงิดใจ
“งั้นผมไปแล้วนะครับ ครั้งหน้าถ้ามีของดีอะไรอีก คุณเหวยอย่าลืมบอกผมนะ”
“แน่นอน ๆ กลับดี ๆ ล่ะ”
หลังจากนั้นก็เป็นเสียงเปิดและปิดประตู และเสียงสตาร์ตเครื่องรถยนต์ดังกระหึ่ม หลัวจงเซี่ยทำได้เพียงหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง เขาล้มเหลวจากการพยายามครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ใช่เพราะคนแปลก ๆ สองคนนั้นอยู่ดี ๆ ก็ตีกัน ไม่แน่ตอนนี้คนที่ได้ของมาครองในมือคงเป็นเขา
ระหว่างที่คิดไป อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงประตูในห้องเปิดออก คนแรกที่เข้ามาคือเสี่ยวหรง จากนั้นก็มีชายชราอีกคนหนึ่งเดินตามเข้ามา ชายชราคนนี้มีผมและเคราสีขาวโพลน คิ้วทั้งสองข้างหนาและยาว ราวกับเมฆสีขาวสองก้อนมาหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าผากไม่มีผิด
เสี่ยวหรงสายตาเฉียบคม ครู่เดียวเธอก็เห็นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองถูกขยับออก จึงพูดกับชายชราว่า “คุณปู่ เขาฟื้นแล้ว”
ชายชราเอ่ยตอบ “อืม” คำเดียว จากนั้นก็ไปลากเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียง หลัวจงเซี่ยไม่สามารถเสแสร้งต่อได้ จึงต้องลืมตาขึ้นมอง และชายชราก็เอ่ย
“สวัสดี ผมชื่อเหวยซื่อหรัน เป็นเจ้าของร้านนี้”
หลัวจงเซี่ยพยายามยกคอขึ้น “พวกคุณ…บอกกับผมคร่าว ๆ ได้ไหมว่าทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องอะไรกันล่ะ” เหวยซื่อหรันมองมาด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมผมถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ เมื่อกี้ผู้หญิงคนนี้กับคนแปลกหน้าคนนั้นตกลงมีเรื่องทะเลาะอะไรกัน ทำไมหน้าอกของผมถึงถูกพู่กันเล่มนั้นทิ่มเข้ามา…” หลัวจงเซี่ยรู้สึกอยากถามคำถามอีกมากมาย
คิ้วของชายชราสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะอย่างเบิกบาน “นักศึกษาคนนี้ เมื่อครู่นี้อยู่ ๆ คุณก็เป็นลมเป็นแล้งอยู่ข้างนอกนั่น หลานสาวของผมเลยพยุงคุณมาพักข้างหลังร้าน นี่ก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นไงล่ะ” หลัวจงเซี่ยมองผ่านหัวไหล่ของชายชรา จ้องไปที่เสี่ยวหรงด้วยความสงสัย เธอพยักหน้าแต่กลับไม่ได้ตอบสิ่งใด
“แต่ว่า…”
* ลี้ หน่วยวัดระยะทางของจีน มีความยาวเท่ากับ 500 เมตร
** ฉายเสิน หรือไฉ่ซิงเอี้ย ถูกเรียกว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภ