บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈
หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล
‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
บทที่ 5
ทองได้มาและจากไปในเร็ววัน (2)
คำพูดของหลัวจงเซี่ยยังไม่ทันสิ้นสุด ข้อมือก็ถูกเหวยซื่อหรันกดลงแน่น เวลาผ่านไปพักหนึ่งเขาจึงปลดมือออกจากข้อมือของหลัวจงเซี่ยและเอ่ยอย่างใจเย็น “ชีพจรของคุณอ่อนล้ามาก อาจเพราะสุขภาพร่างกายอ่อนแอจึงเป็นลมไป”
“แต่ผมมั่นใจว่าเมื่อกี้นี้ผมเห็นเธอกับคนอีกคนทะเลาะกัน มีทั้งลมทั้งหิมะ…” หลัวจงเซี่ยชี้ไปที่เสี่ยวหรง ฉากเหตุการณ์เมื่อไม่นานนี้ยังคงติดตาตรึงใจ
เหวยซื่อหรันยกหลังมือไปแตะที่หน้าผากของหลัวจงเซี่ย “ตอนที่คนเป็นลมไปอาจจะสร้างจินตนาการขึ้นมาได้ แต่ว่าทำไมในฝันนั่นมีหลานสาวผมอยู่ก็คงต้องถามตัวคุณเองแล้วล่ะ”
หลังจากพูดจบเหวยซื่อหรันก็ชำเลืองมองเขา หลัวจงเซี่ยถูกยิงคำถามกลับแบบนี้ สีหน้าพลันฉายแววเคอะเขิน ไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก ทำได้เพียงแต่กลืนคำถามเหล่านั้นกลับเข้าไป เหวยซื่อหรันพูดต่อ “ในร้านของผมนี่ส่วนมากจะเป็นวัตถุโบราณ บรรยากาศเยือกเย็นอึมครึม ร่างกายคุณก็อ่อนแอ ที่เป็นลมเป็นแล้งล้มลงไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
อันที่จริงความทรงจำของหลัวจงเซี่ยเกี่ยวกับการต่อสู้เมื่อครู่ก่อนนี้ยังคงเด่นชัด แต่การที่เหวยซื่อหรันพูดแบบนี้ บวกกับความฝันที่สับสนมึนงงเมื่อครู่ ทำให้เริ่มที่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะอย่างไรเสียการต่อสู้แบบนั้นก็ต่างจากที่รู้กันโดยทั่วไปชนิดที่เรียกว่าไกลโพ้น เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าใสสะอาดของเสี่ยวหรงที่อยู่ข้างหลังเหวยซื่อหรัน พยายามนึกคิดอย่างสุดชีวิตถึงท่าทีเย็นชาและสง่างามของเธอตอนที่อยู่ท่ามกลางหิมะน้ำแข็งเมื่อครู่นี้ แต่สีหน้าของเสี่ยวหรงกลับราบเรียบไร้อารมณ์ ในตอนนี้จึงไม่สามารถอ่านความรู้สึกของเธอได้เลย
“แต่ผมได้ยินพู่กันปุยหิมะ พู่กันเมฆาอะไรสักอย่าง ตกลงว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอก”
เหวยซื่อหรันลูบเครา พินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง “ฟ้าสว่างเกิดความคิด ฟ้ามืดเกิดความฝัน เป็นไปได้ไหมว่าคุณรักในพู่กันจนเปลี่ยนเป็นความฟุ้งซ่าน ดังนั้นถึงฝันเห็นพวกนี้ได้”
“นี่…”
“หรือจะบอกว่าคุณมาร้านเล็ก ๆ ของผมก็เพื่อมาตามหาพู่กัน”
ประโยคนี้ปลุกคนที่กำลังอยู่ในภวังค์ให้ตื่น หลัวจงเซี่ยอดเอ่ยอย่างเศร้าใจออกมาไม่ได้ “ใช่ ผมมาหาพู่กันขนสุนัขป่าสลักลายเคลือบรักสับปะรด”
เหวยซื่อหรันได้ยินชื่อนี้ก็ตกใจเล็กน้อย “คือเล่มที่เมื่อครู่เด็กแซ่เจิ้งซื้อไปแล้วใช่ไหม”
“ใช่” หลัวจงเซี่ยตอบไปอย่างอารมณ์ไม่ดี หลังจากนั้นก็เล่าให้ฟังทั้งหมดถึงต้นสายปลายเหตุว่าเขาได้ล่วงเกินอะไรอาจารย์จวีซื่อเกิง เพราะอะไรถึงถูกลงโทษให้มาหาพู่กัน และเหตุใดถึงตามเบาะแสของเจิ้งเหอมาที่นี่
เหวยซื่อหรันฟังจบก็เอ่ยถ้อยคำแฝงความรู้สึกผิด “พู่กันเล่มนั้นคุณเจ้าเฟยไป๋จองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว กฎของวงการนี้คือรับปากกับคนหนึ่งแล้วก็ไม่สามารถให้คนอื่นได้ สิ่งที่คุณทุ่มเทไปสูญเปล่าแล้วล่ะ”
หลัวจงเซี่ยเบะปาก ความหวังมากมายแตกสลายเป็นผุยผง เขาพยายามจะลงจากเตียง อย่างไรพู่กันก็โดนคนแย่งไปแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร เสี่ยวหรงจะมาพยุงช่วยเขา แต่เหวยซื่อหรันส่งสัญญาณทางสายตา เธอจึงพยักหน้า และถอยกลับออกมา
หลังจากเท้าทั้งสองของหลัวจงเซี่ยแตะพื้น นอกจากรู้สึกหัวหนักเท้าเบาแล้วนั้นก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอื่นใดอีก เขาเดินออกไปข้างนอกห้องด้วยความทุลักทุเล พลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ อดยกมือขวากดไปที่หน้าอกไม่ได้ สีหน้าราบเรียบ
ฝ่ามือลูบไปทั่ว ไม่เจ็บไม่คันใด ๆ เพียงรู้สึกถึงการเต้นเบา ๆ ของหัวใจ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอื่นใดอีก
“หรือว่าเมื่อกี้นี้จะเป็นภาพมายา ไม่มีพู่กันอะไรแทงเข้ามาในอกของเราทั้งนั้น” หลัวจงเซี่ยงึมงำกับตัวเอง กดลงไปที่หน้าอกของตัวเองอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวหรงอยู่ด้วย เขาคงจะถอดเสื้อผ้าออกมาดูแล้วด้วยซ้ำ
ระหว่างที่กำลังคิด เหวยซื่อหรันที่ตามมาข้างหลังก็ตบ ๆ ที่ไหล่ของเขา หลัวจงเซี่ยหันกลับไป เหวยซื่อหรันก็ยัดกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งเข้ามาในมือ กล่องนี้ขนาดไม่ใหญ่ บนผ้าไหมมีรอยขีดข่วนสองสามรอย เส้นด้ายที่ลุ่ยออกมาแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่
“นี่คืออะไร”
เหวยซื่อหรันตอบ “คุณมาเป็นลมที่ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้ก็คงเป็นวาสนาของเรา จะปล่อยให้คุณมือเปล่ากลับไปก็ไม่ถูก พู่กันขนสุนัขป่าสลักลายเคลือบรักสับปะรดมีเพียงแค่เล่มเดียว งั้นเอาอีกเล่มชดเชยให้คุณละกัน”
หลัวจงเซี่ยขมวดคิ้ว เปิดกล่องผ้าไหมขึ้น ข้างในนั้นมีพู่กันเล่มหนึ่งวางอยู่ เป็นสีครามทั้งแท่ง ขนพู่กันสีน้ำตาลเข้ม รูปร่างผิดแผกไม่ธรรมดา ตัวด้ามเขียนไว้ว่า ‘ซั่นจั๋วไร้ใจ’ สี่คำนี้ เขาดูไม่ออกว่าเป็นของดีหรือไม่ จึงส่งกลับไปให้เหวยซื่อหรันอย่างไม่สนใจ “คุณเหวย ผมไม่รู้จักของพวกนี้หรอก ซื้อไปก็ไม่ได้ใช้”
“ไม่ ๆ เล่มนี้ยกให้คุณ เพื่อแสดงความขอโทษ”
เหวยซื่อหรันผลักกล่องผ้าไหมกลับไปที่หลัวจงเซี่ยอีกครั้งพร้อมแตะที่มือของเขา พลางเอ่ยต่อด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยม “พู่กันเล่มนี้มีความหมายสำคัญมาก ต้องขอให้คุณเก็บรักษาไว้ อย่าให้ห่างตัว”
หลัวจงเซี่ยเห็นท่าทีอย่างนั้นแล้วก็ไม่อาจปฏิเสธความตั้งใจได้ จึงทำได้เพียงจำใจยอมรับมา แอบยิ้มเยาะนึกหัวเราะกับตัวเองว่าจะพกพู่กันไว้กับตัวเพื่ออะไร เวลานี้เสี่ยวหรงเดินมาข้างหน้า ใช้เชือกสีเหลืองผูกกล่องอย่างระมัดระวังและส่งให้หลัวจงเซี่ย หลัวจงเซี่ยยื่นมือไปรับพร้อมจ้องมองใบหน้าของเสี่ยวหรง นึกถึงความอ่อนนุ่มตอนที่เธออิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมอกของเขาเมื่อครู่ ในใจพลางคิดว่าถ้าไม่ใช่จินตนาการก็คงจะดี
เหวยซื่อหรันกำชับอยู่อีกหลายครั้ง แล้วก็ส่งเขาออกจากร้านขายของเก่า ท่าทางที่เป็นมิตรทำให้คนอดไม่ได้ที่จะหดหู่ใจกับบรรยากาศโบราณเก่าแก่ที่คงอยู่
หลังออกจากร้านขายของเก่าฉางชุน หลัวจงเซี่ยก็ไปเอาจักรยานที่ตลาดขายของเก่า แล้วขี่ตรงกลับไปที่มหาวิทยาลัยพร้อมจิตใจที่ว้าวุ่นตลอดทาง ตอนที่เขาเห็นรูปปั้นสิงโตหินตรงประตูทางเข้าหน้ามหาวิทยาลัย ดวงอาทิตย์ก็คล้อยไปทางทิศตะวันตก แสงอาทิตย์ยามเย็นแรงกล้าสีแดงแบ่งแยกมุมชายคา ผ่านไปหนึ่งวันเต็ม ตอนนี้ได้เวลามื้อเย็นพอดิบพอดี นักศึกษาสองสามคนกำลังถือกล่องข้าวพากันเดินไปยิ้มหัวเราะไป ดูไร้ความกังวลใด ๆ หลัวจงเซี่ยเอาจักรยานไปเก็บ หยิบกล่องผ้าไหมจากที่นั่งข้างหลังขึ้นมา และทันใดนั้นก็มีความคิดโลดแล่น
ของสิ่งนี้เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้อะไร สู้เอาไปให้จวีซื่อเกิงเสียดีกว่า หนึ่งก็เพื่อบ่งบอกว่าตัวเองนั้นได้ไปเสาะหามาจริง ๆ ไม่ได้เกียจคร้าน สองเพื่อจะเอาสิ่งนี้ไปชดใช้ชายชรา สองเหตุผลนี้ถือว่าเหมาะสม คุณค่าของพู่กันเล่มนี้มีราคาเป็นเท่าใดหลัวจงเซี่ยไม่เข้าใจอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่าไรนัก
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลัวจงเซี่ยดูเวลาเห็นว่าตอนนี้ยังไม่มืดค่ำ จึงนำกล่องผ้าไหมนี้ตรงไปที่สวนซงเทา
สวนนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของมหาวิทยาลัยหวาเซี่ย ตั้งอยู่ในพื้นที่ปลีกวิเวก ในสวนนั้นต้นไม้ส่วนใหญ่จะเป็นต้นสนและต้นไซเปรส ต้นไม้ส่งร่มเงาลงมาให้บรรดาห้องหับเล็ก ๆ ที่ก่อด้วยอิฐสีแดงสำหรับใช้รับรองแขกสำคัญทรงเกียรติ บ้านของจวีซื่อเกิงอยู่ไกลพอควร ด้วยอายุมากทำให้เดินเหินได้ไม่สะดวกนัก ฉะนั้นเวลาที่มีสอนเขาจึงมาอาศัยอยู่ที่สวนซงเทาแห่งนี้
ประตูทางเข้าของสวนซงเทาเป็นประตูโค้งรูปครึ่งวงกลม ข้างบนแกะสลักคำกลอนคู่ของซูซื่อ*ว่า ‘ตำราหนังสือไม่ว่าเล่มใดก็ควรค่าแก่การอ่าน ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่มีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น’ ในเส้นทางคดเคี้ยวลึกลับของสวนมองเห็นเพียงทางเดินหินกรวดเล็ก ๆ ที่วกไปวนมาทะลุเข้าไปในทางป่า ลมยามเย็นโบกพัดมาพลัดพลิ้วปลิวไสว
หลัวจงเซี่ยมาถึงหน้าประตูสวน ยังไม่ทันได้เพลิดเพลินชื่นชมกลิ่นอายก็พบกับเจิ้งเหอที่สองมือกำลังล้วงกระเป๋าเดินตรงออกมาจากในนั้น
พอหลัวจงเซี่ยเห็นว่าเป็นเขาจึงก้มหน้าลงเพื่อจะหลบออกไป แต่ว่าประตูสวนนั้นแคบ ไม่มีที่ให้หลบ เจิ้งเหอพอเห็นหลัวจงเซี่ยก็ชะงักไปครู่หนึ่งเช่นกัน เขายังสวมเสื้อพูลโอเวอร์สีส้มชุดเดียวกับเมื่อเช้า เพียงแต่สองมือว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด
ฮึ ไอ้หมอนี่คงไปเอาความดีความชอบกับอาจารย์จวีเรียบร้อยแล้ว…หลัวจงเซี่ยนึกในใจ
เจิ้งเหอยกมือขวาขึ้น ทักทายหลัวจงเซี่ยตามมารยาท “เฮ้” แต่หลัวจงเซี่ยกลับไม่สนใจเขา มุ่งหน้าเดินต่อไป เจิ้งเหอจึงยื่นมือไปรั้งเขาเอาไว้
“มีอะไร” หลัวจงเซี่ยกลอกตา
“นายจะไปหาอาจารย์จวีใช่ไหม” เจิ้งเหอถาม
“แล้วจะทำไม”
“อาจารย์จวีกลับบ้านไปแล้ว สัปดาห์หน้าถึงจะกลับมา” เจิ้งเหอมีท่าทีสุภาพและเด็ดเดี่ยว การที่เขาประพฤติตนมีมารยาทกับผู้อื่นแบบนี้ยิ่งทำให้หลัวจงเซี่ยทนไม่ไหว
“งั้นดีเลย ฉันไปก็คงไม่มีอะไรจะพูด ในเมื่อนายสนิทสนมกับอาจารย์ก็ฝากนี่ไปให้เขาหน่อย”
สิ้นเสียงหลัวจงเซี่ยก็นำกล่องผ้าไหมฝากให้เจิ้งเหอ เขารับเอาไว้ สีหน้าดูตะลึงงัน คิ้วทั้งคู่เลิกสูง
“เดี๋ยวนะ นายเองก็หามาได้…เอ้อ นายหาพู่กันขนสุนัขป่าสลักลายเคลือบรักสับปะรดเจอแล้วเหรอ”
“เปล่า มีใครบางคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามายุ่ง ฉันก็เลยทำได้เพียงหาอย่างอื่นมาแทน”
เจิ้งเหอได้ยินคำพูดพวกนั้นจากหลัวจงเซี่ยก็ยิ้มและเอ่ย “อ้อ รู้ข่าวไวจัง จริง ๆ แล้วฉันแค่โชคดีที่ไปเจอเข้า เลยไปแวะซื้อมา นายก็รู้ว่าการหาของโบราณหาเจอแล้วก็ไม่ใช่จะได้มาง่าย ๆ” เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริม “อาจารย์จวีดีใจมาก นายก็ไม่ต้องลำบากแล้ว นี่เป็นเรื่องดีต่อทุกฝ่ายนะ”
“ฉันกล่าวโทษนายผิดไปจริง ๆ” หลัวจงเซี่ยเบะปาก ทำทียักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่สนใจ
เจิ้งเหอใช้นิ้วโป้งเขี่ยเส้นด้ายของกล่องผ้าไหมนั่นและเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ “นายหาอะไรมาให้อาจารย์จวี”
“นายดูเอาเองแล้วกัน”
หลัวจงเซี่ยคร้านที่จะสนทนาปราศรัยกับเขา จึงตอบอย่างไม่แยแสแล้วหันตัวจากไป เจิ้งเหออยากจะเรียกเขาไว้ แต่สายไปเสียแล้ว เจิ้งเหอทำได้แต่มองเงาด้านหลังที่จากไปของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย พร้อมเปิดกล่องผ้าไหมออกอย่างระมัดระวัง
“ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้ว” เจิ้งเหอพึมพำกับตัวเอง ส่ายหัวไปมา หันกลับเดินตรงไปที่ห้องรับรองแขก
ตอนที่หลัวจงเซี่ยกลับมาถึงหอพัก คนในหอส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา เขาหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งกินอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงหยิบกะละมังล้างหน้าและผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำ แอบแวะหยิบกระจกของเหล่าซานไปด้วย ในเวลานี้คนที่มาใช้ห้องน้ำยังน้อยมาก เขาจึงเลือกห้องที่อยู่ข้างในสุด ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วเอากระจกวางไว้ที่แท่นวางสบู่ เบิกตาใต้แสงไฟสลัว กลัวว่าจะพลาดรายละเอียดจากบางสิ่งไป
ในกระจกปรากฏแผ่นอกของเด็กหนุ่มวัยมหาวิทยาลัย ผิวสีแทนเข้มอย่างเด่นชัด สามารถเห็นกระดูกซี่โครงที่ขยับขึ้นลงได้อยู่ราง ๆ บนแผ่นอกมีจุดสีดำสองจุดและขน สรุปก็คือเป็นภาพที่ดูแล้วค่อนข้างน่าอาย แต่ก็พูดได้ว่าปกติธรรมดา หลัวจงเซี่ยลองหาร่องรอยบาดเจ็บ แต่ว่าผิวกลับเนียนดั่งแผ่นกระดาษ มองไม่เห็นความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
“หรือว่าที่เราถูกพู่กันเล่มนั้นแทงเข้ามาที่อกเป็นภาพจินตนาการจริง ๆ”
หลัวจงเซี่ยใช้มือนวดไปที่ผิวของตนทุกกระเบียดนิ้ว อยากจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะภูเขาแห่งความสงสัยที่ทับในใจยังคงหนักอึ้ง ขณะเดียวกันก็มีนักศึกษาคนหนึ่งยื่นหัวออกมาจากห้องข้าง ๆ จะขอยืมสบู่ แต่ขณะที่จะเอ่ยปากก็เห็นเด็กหนุ่มที่อยู่หน้ากระจกกำลังลูบคลำหน้าอกตัวเองไปมา ปากก็พร่ำบ่นพึมพำ ทำเอาผู้ที่จะขอยืมสบู่นั้นขวัญเสีย รีบหดหัวกลับไปไม่กล้าส่งเสียง
* ซูซื่อ(苏轼)กวีลือนามสมัยราชวงศ์ซ่ง