แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนที่ 10
ก่อนออกเดินทางตงจื้อได้ยกระดับการเฝ้าระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาด่าคนเนรคุณ เขาออกแรงกระชากจางสิงให้ถอยไปด้านหลังอย่างคนมือไวตาไว ส่งผลให้ชายหน้าบากคว้าได้เพียงอากาศธาตุ!
เขากับจางสิงเซถลาไปด้านหลังหลายก้าว ก่อนล้มกระแทกพื้นตามด้วยกลิ้งตัวไปอีกหนึ่งตลบ เลยทำให้รอดพ้นจากเป้าหมายของชายหน้าบากที่ต้องการเอาตัวพวกเขาไปเป็นโล่กำบังมาได้
ชายหน้าบากซึ่งคว้าได้เพียงอากาศจำต้องกลิ้งหลุน ๆ ตะเกียกตะกายวิ่งหนีไปข้างหน้า ปากร้องตะโกนไปด้วย “ช่วยด้วย”
กลุ่มหมอกดำรอบด้านเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตโบกคบเพลิงในมือไล่พวกมัน แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เมื่อเจอไฟ กลุ่มหมอกดำก็เบี่ยงตัวหลบดุจน้ำที่ไหลกระจายไปทั่วสี่ทิศ ก่อนจะกลับมารวมตัวกันใหม่อย่างรวดเร็ว รอจังหวะฮุบเหยื่อครั้งต่อไป
พวกนี้เป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่ในความมืด ความมืดคือที่หลบภัยทางธรรมชาติของพวกมัน มนุษย์ธรรมดาจึงไม่ใช่คู่ต่อกร
นึกไปถึงพนักงานบนรถไฟคนนั้น รวมถึงสภาพน่าเวทนาของเหยาปินแล้ว ตงจื้อรู้สึกว่าถ้าต้องโดนของพรรค์นี้รุกรานเข้าไปในร่างกาย ดูดกลืนมันสมองจนหมด แล้วกลายเป็นหุ่นเชิดขึ้นมาจริง ๆ สู้เอามีดแทงตัวเองให้ตายไปก่อนยังดีเสียกว่า
อึดใจเดียว คนกลุ่มนั้นก็เริ่มรุกกลับ
ชายวัยกลางคนผู้เป็นอาจารย์ของชายหน้าบากชักดาบไม้ท้อเล่มหนึ่งออกจากแผ่นหลัง ฟาดฟันไปรอบ ๆ ตัวเป็นจังหวะถี่กระชั้นจนไม่เหลือช่องว่างให้ลมเข้าออก หมอกดำเหล่านั้นระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ไม่กล้าขยับเข้าใกล้
หญิงสาวดูเหมือนจะขว้างยันต์หลายแผ่นออกไปตามอำเภอใจก็จริง แต่เมื่อยันต์พวกนั้นลอยอยู่กลางอากาศแล้วกลับลุกไหม้ขึ้นเอง ก่อนพัดแฉลบไปทางหมอกดำ ฝ่ายตรงข้ามปะทุเป็นแสงเพลิงทันทีที่ยันต์เข้าไปสัมผัสมัน ก่อนจะระเบิดกลายเป็นผุยผงในเวลาต่อมา
ตงจื้ออดทำตาโตไม่ได้ ใช้งานแบบเดียวกันแท้ ๆ แต่ฝีมือของหญิงสาวกลับงดงามเหนือชั้นกว่าเหออวี้มาก
ชายชราใช้สองมือประสานอิน ปากพึมพำประโยคบางอย่าง ก่อนจะมีหมาป่าสีขาวเทาทั้งตัวกระโจนออกมาจากด้านหลัง
หมาป่าคำรามลั่น กระโจนใส่หมอกดำ มันอ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมชวนขนลุก หมอกดำที่แต่เดิมไม่มีรูปร่างเป็นตัวเป็นตนถูกกระชากเป็นชิ้น ๆ อย่างง่ายดาย แม้มันจะกลับมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว แต่หมาป่าหิมะก็ดุดันและเก่งกาจไม่แพ้กัน หมอกดำประสงค์ที่จะเข้าประชิดตัว แต่ทุกครั้งกลับโดนแสงเรืองรองสีขาวรอบ ๆ ตัวหมาป่าทำให้แตกกระเจิงออกไป
ทันใดนั้นชายหน้าบากก็ส่งเสียงร้องน่าสงสาร “อาจารย์ ช่วยผมด้วย!”
ตงจื้อหันไปตามเสียง คบเพลิงในมือชายหน้าบากกำลังจะมอดดับในไม่ช้า หมอกดำตรงหน้าขยับประชิดทีละก้าว ๆ พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ตลอดเวลา ส้นเท้าชายหนุ่มสะดุดหินล้มก้นกระแทกพื้น ได้แต่กระถดตัวไปด้านหลังสุดชีวิต แต่เนื่องจากมัวพะวงด้านหน้าจึงไม่ได้สนใจด้านหลัง หมอกดำกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไปหาเขา
“ข้างหลัง!”
อาจารย์ของเขาเห็นหมอกดำนั้นแล้วจึงตะโกนเตือนลูกศิษย์เสียงดัง แต่สายไปเสียแล้ว ยังไม่ทันขาดคำ หมอกดำก็กระโจนใส่แผ่นหลังของชายหน้าบาก อีกฝ่ายดิ้นรนสุดชีวิต ร้องเสียงแหลมตะโกนขอให้ช่วย ถ้อยคำผรุสวาทกระหน่ำออกมา แต่หมอกดำเหล่านั้นก็ยังไม่หยุดจมหายเข้าไปในศีรษะเขา ก่อนจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
ตงจื้อขนพองสยองเกล้า จางสิงกุมแขนชายหนุ่มแน่นกว่าเก่า ตัวสั่นเทิ้ม
ชายหน้าบากกลิ้งไปมากับพื้น ร้องตะโกนออกมาคำหนึ่งก่อนจะเงียบไป มีเพียงการเคลื่อนไหวของลำคอที่ยังส่งเสียงฟืดฟาดอยู่ ชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตใช้ไฟฉายส่องไปบนหน้าเขา ตงจื้อเห็นเส้นเลือดแต่ละเส้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกฝ่าย ดวงตาเริ่มเหลือกขาว เหมือนเหยาปินช่วงก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน
นิ้วมือทั้งห้าของชายหน้าบากออกแรงจิกเข้าไปในดินโคลนใต้ลำตัว จนนิ้วมือครึ่งหนึ่งเกือบจมหายเข้าไปในนั้น เส้นเลือดโป่งนูน ใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์
หญิงสาวขว้างยันต์ในมือออกไป ชายหน้าบากเคลื่อนไหวต่อต้าน ฉีกกระชากยันต์ที่ลุกไหม้กลางอากาศออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนส่งเสียงคำรามแล้วพุ่งเข้าใส่กลุ่มคน หมาป่าขาวเทาตัวหนึ่งกระโจนพรวดออกมาจากด้านข้าง แต่กลับโดนหมอกดำหลายกลุ่มสกัดไว้ ยังสลัดออกมาไม่ได้
ชายหน้าบากขยับเข้าใกล้ คว้าตัวบอดี้การ์ดใต้บังคับบัญชาของชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตไปคนหนึ่ง บอดี้การ์ดคนดังกล่าวลั่นไกติดต่อกันหลายนัด แต่ยังโดนอีกฝ่ายกระโจนใส่จนล้มคว่ำ มือสองข้างบีบลำคอ
“คุณฟุจิคาวะ คุณหนูคิตาอิเคะ ได้โปรดช่วยลูกศิษย์ของผมด้วย!” ชายวัยกลางคนบอกด้วยความร้อนใจ
หญิงสาวยกมือสองข้างประสานอิน ท่องอักขระยันต์เก้าตัวที่มีโทนเสียงแตกต่างกันออกมา ราวกับว่าบนมือหล่อนมีแสงสีขาววาบขึ้น ก่อนที่กระเรียนขาวตัวหนึ่งจะโบยบินออกมาจากด้านหลัง พุ่งเข้าใส่ชายหน้าบาก
รูปร่างของนกกระเรียนสง่างาม ทว่าท่วงท่าแล่นโฉบกลับดุดันเป็นอย่างยิ่ง มันจิกบริเวณกึ่งกลางหน้าผากของชายหน้าบากจนเกิดรูเลือด ภายในชั่วพริบตานั้นเอง หญิงสาวขว้างยันต์อีกแผ่นออกไปประทับบนรูเลือดนั้นได้อย่างพอดิบพอดี เปลวไฟปะทุขึ้นทันควัน กลืนกินชายหน้าบากเข้าไปไม่ต่างอะไรกับเหยาปินก่อนหน้านี้
“หน้าบาก!” ชายวัยกลางคนกระหืดกระหอบด้วยความโมโห หันกลับไปด่าหญิงสาว “กูมานำทางให้พวกมึง แต่คนสารเลวอย่างพวกมึงกลับฆ่าลูกศิษย์กูเนี่ยนะ!”
“คุณอิน ทำความเข้าใจให้ชัดเจนนะ ลูกศิษย์ของคุณไร้หนทางช่วยแล้ว ถ้าพวกเราไม่ฆ่าเขา คนที่จะตายก็จะเป็นพวกเราเอง!” ชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตขู่เสียงเย็น “ทางที่ดีคุณควรวางตัวให้เหมาะสมหน่อย ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าพวกเราก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้ว”
ใบหน้าชายวัยกลางคนบิดเบี้ยวเหยเกด้วยเพลิงแค้นที่ครอบงำ แต่ไม่กล้าพูดจาหาเรื่องอีก
ขณะที่เหตุการณ์เหล่านั้นดึงดูดความสนใจทั้งหมดของตงจื้อ จางสิงก็อุทานขึ้นมา ชายหนุ่มหันกลับไปตามเสียง ก่อนจะพบว่าหมอกดำกลุ่มหนึ่งกำลังลอยมาทางด้านหลังพวกเขา
ตงจื้อไม่เสียเวลาคิด ควักยันต์ในกระเป๋าเสื้อออกมาได้ก็ขว้างออกไปทันที
จังหวะที่ยันต์กับหมอกดำสัมผัสกันนั้น ลำแสงสีแดงลำหนึ่งสว่างวาบออกมา หมอกทมิฬชะงักไปชั่วอึดใจความเร็วในการเคลื่อนที่เข้ามาคล้ายจะลดลงบางส่วน
ที่แท้ยันต์ของเขาก็ใช่ว่าจะไม่ได้ผลเสียทีเดียว! ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในหัว ตงจื้อยังไม่ทันได้ลำพองใจก็ต้องรีบลากตัวจางสิงวิ่งออกไปก่อน
หญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้เข้าก็อดร้องด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“เป็นอะไรไป” ขณะที่ชายชรากำลังสาละวนกับการขับไล่หมอกทมิฬพวกนั้น ก็ยังมีแก่ใจสนใจสถานการณ์ด้านหญิงสาว
“ผู้ชายคนนั้นท่าทางแปลก ๆ ค่ะ หนูจะลองดู” หญิงสาวตอบ มือนุ่มโบกนำ
ฉับพลัน นกกระเรียนขาวตัวเดิมก็โฉบผ่านหน้าตงจื้อไป ทำเอาเขาสะดุ้งตกใจ ฝีเท้าซวนเซไปด้านหลังก่อนล้มลงกับพื้น หมอกดำไล่ตามหลังมาอย่างรวดเร็ว คราวนี้ที่ตัวเขาไม่มียันต์เหลือแล้ว ได้แต่เบิกตากว้างมองหมอกดำลอยมาทางศีรษะเขากับจางสิง
เมื่อเห็นชายหนุ่มไม่มีปัญญาควักอะไรออกมารักษาชีวิต หญิงสาวก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่ชายตามองไปทางนั้นอีกเลย
สำหรับหล่อนแล้ว หมอกทมิฬพวกนี้รวมตัวและกระจายออกจากกัน อยู่แบบไร้รูปร่าง ยากที่จะต่อกรด้วย ฉะนั้นรอให้พวกมันเข้าสิงร่างคนก่อน แล้วค่อยใช้ไฟอาคมกำจัดทิ้งรวดเดียวง่ายกว่า
หมอกดำอยู่ใกล้เพียงคืบ คิดไปถึงจุดจบของเหยาปินกับชายหน้าบากแล้ว ตงจื้อรู้สึกหนาววูบในใจ ความคิดสุดท้ายที่แล่นผ่านเข้ามาในหัวคือความจุปอดของจางสิงชักจะดีเกินไปแล้ว ส่งเสียงกรี๊ดได้โดยไม่ต้องเว้นจังหวะหายใจเลย
ทันใดนั้นแสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด คล้ายอากาศโดนแหวกออก ก่อนตีหวดลงไปที่ตัวหมอกทมิฬอย่างจัง
หมอกดำส่งเสียงร้องระงม ก่อนระเบิดตัวกระจายไปรอบ ๆ สลายกลายเป็นฝุ่นทันที
จางสิงไม่รู้ว่าตัวเองรอดพ้นจากความตายมาได้แล้ว หล่อนยังคงหลับหูหลับตาร้องเสียงแหลมไม่หยุด ตงจื้อหมดความอดทนจนต้องใช้มือปิดปากหล่อน
ยอดภูเขาจรดขอบฟ้า เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นเป็นระลอก ประกายไฟสีม่วงขาวส่งผลให้ท้องฟ้าสว่างวาบเป็นระยะ
ตงจื้อจำไม่ได้ว่าเสียงฟ้าร้องคงอยู่มานานเท่าใดแล้ว ที่แน่ๆ มันเริ่มตั้งแต่ก่อนที่เขาจะหลงทาง แต่ฝนไม่ยอมตกเสียที ทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องใหญ่โตที่กำลังจะอุบัติขึ้นในไม่ช้า
ท่ามกลางแสงที่กำลังแลบแปลบปลาบอยู่นั้น หมอกดำลอยมาอีกครั้งก่อนจะถูกแส้หวดกระจาย ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนกระชากเยื่อแก้วหูดังขึ้นในบรรยากาศ
นั่นคือเสียงร้องไห้คร่ำครวญและการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของปีศาจ
ก่อนตาย…ทุกชีวิตไม่มีเว้น
ชายที่กำแส้ไว้ในมือเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ก่อนหยุดนิ่งไม่ไกลจากจางสิงกับตงจื้อเท่าใดนัก
ชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตใช้ไฟฉายส่องไปที่ใบหน้าอีกฝ่าย เผยให้เห็นใบหน้าของคนอายุราวสี่สิบกว่า ๆ หน้าตาธรรมดา
“นายเป็นใคร!”
“เลิกเอาไอ้ของพรรค์นั้นในมือแกส่องไปมาบนหน้าฉันได้แล้ว!” ชายหนุ่มใช้แส้หวดหมอกดำจนกระจายไปอีกครั้ง น้ำเสียงปราศจากความเป็นมิตร ถลึงตาจ้องกลับไป “ฉันยังไม่ได้ถามพวกนายเลย พวกผีน้อยคิดจะขึ้นมาทำอะไรบนเขาฉางไป๋ดึกๆ ดื่นๆ!”
ชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตโมโหจัด แต่ยังไม่ทันได้เถียงกลับก็โดนชายชราห้ามไว้เสียก่อน
“คุณครับ พวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องร่วมมือกัน”
นับเป็นครั้งแรกที่ตงจื้อได้ยินผู้เฒ่าเอ่ยปากพูด ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายโดนประจบสอพลอไม่ต่างจากดาวล้อมเดือน คงไว้ซึ่งกิริยาหยิ่งผยองมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าตอนนี้น้ำเสียงจะยังคงแข็งกระด้าง แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการแสดงเจตนาว่าเขาให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย
ชายถือแส้แค่นหัวเราะโดยไม่กล่าวอะไร ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวที่มือ ราวกับว่าแส้ของเขามีอำนาจมหาศาล ทุกครั้งที่หวดลงไปมักแฝงไปด้วยอานุภาพของลมฟ้าคำราม เพียงเท่านั้นก็ทำให้หมอกทมิฬกลุ่มหนึ่งสลายกลายเป็นผุยผงได้อย่างสิ้นเชิง
แต่ก็ดูเหมือนเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้หลังจากหวดแส้ลงไปแล้วเขาต้องหยุดพักชั่วอึดใจทุกครั้งถึงจะสามารถสะบัดแส้ครั้งต่อไปได้
การมาถึงของเขาทำให้คนอื่น ๆ ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทันไรก็ทำลายการโจมตีของหมอกดำกลุ่มนี้จนสิ้นซาก
ทุกคนเสียหายสาหัส แต่ก็ยังได้พักหายใจ
ชายหน้าบากตายไปคนหนึ่ง รวมถึงลูกน้องของชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตอีกคน
ชายชรายังอยู่ในสภาพดี สีหน้าของหญิงสาวซีดเซียว บ่งบอกว่าหล่อนใช้กำลังไปจนหมดเช่นกัน ต้องนั่งพิงต้นไม้พักอย่างไม่มีทางเลือก
ส่วนจางสิงกับตงจื้อที่ตอนแรกไม่มีกำลังคุ้มครองตัวเอง แต่เพราะการปรากฏตัวที่ทันท่วงทีของชายหนุ่มเจ้าของแส้คนนั้นทำให้พวกเขาไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
ชายวัยกลางคนเจ้าของดาบไม้ท้อยืนเหม่ออยู่ตรงบริเวณที่ลูกศิษย์ของตนโดนเผากลายเป็นขี้เถ้าไปเมื่อครู่
หลังจัดการหมอกทมิฬพวกนั้นได้แล้ว ความแตกแยกก็ปรากฏออกมาชัดเจนทันที
ชายหนุ่มแค่นยิ้ม “เรื่องอะไรต้องร่วมมือกับโจรด้วย”
ชายตัวอ้วนข้าง ๆ ชายชรากระแอมหนึ่งที “ทำไมคุณต้องยกตนข่มท่านด้วย เขาฉางไป๋เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซ้ำยังไม่มีกฎว่าคนต่างชาติมาเที่ยวไม่ได้ ระหว่างทางพวกเราหลงทางมา ถึงได้…”
ชายหนุ่มตัดบทอย่างหมดความอดทน “ประธานสถาบันการเงินอาโซ พานายหน้ากับองเมียวจิจากญี่ปุ่นมาเที่ยวเขาฉางไป๋ ช่างเป็นการรวมกลุ่มที่แปลกใหม่แหวกแนวจริง ๆ!”
ฝ่ายตรงข้ามหลายคนคิดไม่ถึงว่าตนจะโดนพูดแทงใจดำถึงสถานะเช่นนี้ สีหน้าจึงแย่ลงทันตา
รอยสั่นไหวปรากฏบนดวงหน้าหญิงสาว “คุณคือคุณเจิ้ง…ที่เคยมาเยือนกับทีมเมื่อสามปีก่อน?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเพียงแค่นยิ้มโดยไม่ปฏิเสธ หล่อนจึงหันไปกล่าวอะไรบางอย่างกับชายชราเสียงเบา คนฟังขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางมองไปทางเหล่าเจิ้ง ก่อนที่อึดใจต่อมาจะก้มตัวลงคำนับหนึ่งที กล่าวเสียงแข็งว่า “กระผมฟุจิคาวะ อาโออิ เป็นอาจารย์ของเอโกะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
เอโกะที่เขาเอ่ยถึงก็คือหญิงสาวที่อยู่ข้างกายนั่นเอง
เหล่าเจิ้งไม่สบอารมณ์ “ทางหน่วยงานไม่ได้รับรายงานพิเศษเรื่องการข้ามพรมแดนของพวกคุณ พวกคุณจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง”
หญิงสาวกล่าวเสียงนุ่ม “พวกเราทำเรื่องดำเนินการไปแล้ว เพียงแต่ทางแผนกของพวกคุณยังไม่ได้อนุมัติลงมาเท่านั้น โปรดกลับไปเช็กดูอีกรอบค่ะ”
เหล่าเจิ้งหัวเราะเหอะ ๆ “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าพวกนายคิดจะทำอะไร ข้ามประเทศมาก่อนแล้วค่อยยื่นเรื่อง แน่ละว่าฉันต้องไม่ได้หนังสืออนุมัติ แต่ในเมื่อฉันบังเอิญมาเจอแล้ว ก็กลับไปทำเรื่องชดเชยกับฉันเสียดี ๆ เถอะ ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการพวกนายข้อหาบุกรุกเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย!”
สถานการณ์ตกอยู่ในความตึงเครียดทันที
ชายอ้วนซึ่งเป็นประธานสถาบันการเงินอาโซ อาโซ โยชิโตะ เอ่ยปาก “คุณเจิ้งครับ ตอนนี้พวกเราต่างก็ติดอยู่ที่นี่ อยากจะเดินหน้าต่อแต่ก็ไร้หนทาง สู้หันมาร่วมมือกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ คิดหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องอื่นไม่ดีกว่าหรือครับ คุณคิดว่าไง”
สายตาของเหล่าเจิ้งกวาดมองพวกเขาอย่างเย็นชา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อเห็นเหล่าเจิ้งไม่คัดค้าน ทางฝ่ายคนญี่ปุ่นจึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก
ชายวัยกลางคนเจ้าของดาบไม้ท้อนั่งอยู่นอกวงชาวญี่ปุ่น ดูท่าฝ่ายนั้นจะระวังตัวต่อเหล่าเจิ้งไม่น้อย ถึงได้ไม่กล้าขยับเข้ามา เหล่าเจิ้งเองก็ไม่ได้ปรายตามองอีกฝ่าย ต่างคนต่างอยู่ชัดเจน
ตงจื้อมองไปทางนั้นทีทางนี้ที ก่อนจะขยับตัวโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง เคลื่อนตัวอีกหน่อย สุดท้ายก็ขยับมาถึงข้างตัวเหล่าเจิ้ง
เหล่าเจิ้งรู้ว่าพวกเขาสองคนเป็นคนธรรมดา จึงไม่ได้มีเจตนาร้ายตั้งแง่เป็นปฏิปักษ์ ถามเพียงว่า “พวกเธอมาขลุกอยู่กับคนพวกนี้ได้ยังไง”
ตงจื้อจึงเล่าเหตุการณ์ที่พวกเขาหลงทางกับเรื่องเหยาปินให้ฟังคร่าว ๆ
คนฟังขมวดคิ้ว สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมลงมากขณะกล่าว “มิน่าล่ะ!”
มิน่าล่ะอะไร เขาไม่ได้พูดต่อ
ตงจื้อกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนถามชื่อแซ่
เขาตอบ “เรียกฉันว่าเหล่าเจิ้งก็พอ”
จางสิงกระซิบถามตัวสั่น “เมื่อกี้นี้ พวกนั้นมันคืออะไรกันแน่คะ ผีเหรอ”
“ถ้าเป็นผีก็ดีสิ เก็บกวาดง่ายกว่า!” เหล่าเจิ้งบอกเสียงต่ำ “เดี๋ยวตามฉันมา ฉันจะพาพวกเธอไปที่ที่ปลอดภัย รอจนสว่างแล้วพวกเธอค่อยรีบลงจากเขา อย่าเถลไถลให้มาก!”
ทันใดนั้นตงจื้อก็ถามออกไป “ไม่ทราบว่าคุณรู้จักเหออวี้กับหลงเซินไหมครับ”
เหล่าเจิ้งนิ่งอึ้ง “นายรู้จักพวกเขา?”
ชายหนุ่มพยักหน้า
ประโยคสนทนาระหว่างชาวญี่ปุ่นกลุ่มนั้นกับเหล่าเจิ้งเมื่อครู่ทำให้เขาคาดเดาไปตามท้องเรื่อง
เหล่าเจิ้งไม่ยอมเชื่อง่าย ๆ “มีหลักฐานพิสูจน์ไหม”
ตงจื้อบอก “รหัสพนักงานของเหออวี้คือ 2491”
ว่าแล้วก็หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาวาดยันต์ลงไปบนพื้นตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือยันต์แสงจันทราที่เหออวี้สอนเขานั่นเอง
“ยันต์แสงจันทรา?” เหล่าเจิ้งถนัดแยกแยะดีชั่ว ได้ยินเขาบอกรหัสพนักงานของเหออวี้ ซ้ำยังมาเห็นรูปยันต์นี้อีก สีหน้าท่าทางจึงคลายความตึงเครียดลงไปมาก “ที่แท้ก็คนกันเอง งั้นก็จัดการไม่ยากแล้ว”
เขาควักแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ
ตงจื้อมองปราดเดียว ที่แท้ก็เป็นบัตรพนักงานแบบเดียวกับของเหออวี้นั่นเอง บนนั้นเขียนไว้ด้วยว่า กรมจัดการคดีพิเศษ สิ่งที่ต่างออกไปคือด้านล่างมีคำว่าสำนักงานสาขาตะวันออกเฉียงเหนือเขียนกำกับไว้ ชื่อเต็มของเหล่าเจิ้งคือ เจิ้งซุ่ย รหัสพนักงาน 1334
เห็นบัตรพนักงานใบนี้แล้ว ตงจื้อเข้าใจอารมณ์ของผู้ประสบภัยที่ได้พบกองทัพทหารปลดแอกขึ้นมาฉับพลัน เขาในตอนนี้รู้สึกตื้นตันเสมือนได้พบที่พึ่งพิงก็มิปาน
ตงจื้อรีบอธิบาย “ผมไม่ใช่คนของพวกคุณหรอกครับ แล้วก็เพิ่งรู้จักเหออวี้ได้ไม่นานด้วย!”
เหล่าเจิ้งกล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าเหออวี้ถึงจะเป็นคนเอ้อระเหยลอยชาย แต่เรื่องสำคัญพึ่งพาได้เสมอ ในเมื่อเขาสอนอักขระยันต์ให้นาย นั่นก็หมายความว่าเขาคิดที่จะให้อาจารย์ตัวเองรับนายเข้าสำนัก หลายปีก่อนฉันกับเขาไปเยือนต่างประเทศด้วยกันกับทีม เขายังสู้กับแม่สาวน้อยตรงหน้านายไปยกหนึ่งด้วย”
ตงจื้อได้ทีถาม “คนญี่ปุ่นพวกนั้นเป็นใครกันแน่ครับ”
เมื่อมีเหออวี้เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์แล้ว ท่าทีที่เหล่าเจิ้งมีต่อตงจื้อจึงเป็นกันเองขึ้นมาก หีบเสียงถูกเปิดใช้งาน
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อคิตาอิเคะ เอโกะ เป็นมิโกะของศาลเจ้าอิเสะ”
ตงจื้อถามด้วยความใคร่รู้ “ไม่ใช่องเมียวจิหรอกเหรอครับ”
เหล่าเจิ้งเล่า “องเมียวจิเป็นชื่อเรียกทั่วไปเฉย ๆ ที่ญี่ปุ่น นักบวชในศาลเจ้าพวกนี้ถ้าเป็นผู้ชายจะเรียกว่าพระ ถ้าเป็นผู้หญิงจะเรียกว่ามิโกะ และก็มีระดับแตกต่างกัน มีแนวคิดเฉพาะเป็นระบบของตัวเอง คิตาอิเคะ เอโกะ คนนี้ ว่ากันว่ามีดวงเนตรเบิกฟ้าตั้งแต่เกิด ควบคุมชิกิงามิ [1] สองตัวได้ในเวลาเดียวกัน เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นในบรรดาองเมียวจิรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น ส่วนตาแก่นั่นเป็นอาจารย์ของเธอ ความสามารถคงแกร่งกล้ากว่า”
จางสิงที่อยู่ข้าง ๆ ฟังไม่เข้าใจเลย สติสัมปชัญญะเริ่มไม่คงที่ บ่งบอกว่าหล่อนยังไม่ได้สติคืนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เหล่าเจิ้งเอื้อมมือออกไปดีดหน้าผากเด็กสาวหนึ่งที ฝ่ายหลังปิดตา ศีรษะอ่อนยวบเอียงซบไหล่ตงจื้อ
“สาวน้อยตกใจเสียขวัญหมดแล้ว ปล่อยให้เธอหลับสักงีบเถอะ” เหล่าเจิ้งบอก
ตงจื้อถามต่อ “พวกเขาเข้าประเทศมาแบบผิดกฎหมาย?”
อีกฝ่ายแค่นยิ้มบอก “ด้วยสถานะพิเศษอย่างฟุจิคาวะ อาโออิ กับคิตาอิเคะ เอโกะ นอกจากเข้าประเทศมาตามกฎระเบียบแล้ว ยังต้องลงบันทึกพิเศษด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ทำ หนำซ้ำยังมาบอกฉันอีกว่ามาเที่ยวพักร้อน มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ!”
[1] ภูตอัญเชิญขององเมียวจิ