[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 5 ตอนที่ บทที่ 114

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 114

 

ตงจื้อคนเดียวรับมือกับหุ่นยาสามตัว แม้ตอนนี้ยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่เขาก็นึกหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออกในเวลาอันสั้น ได้แต่หลบเลี่ยงและถอยเพื่อตั้งรับเป็นหลัก สวรรค์ใช้คุณไสยจัดระเบียบบริเวณรอบนอกของเรือนขึ้นมาใหม่ อีกทั้งในบ้านยังมีสนอีกคนที่จนบัดนี้ก็ยังไม่โผล่หน้ามา พวกเขาคิดหนีตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว การต่อสู้วันนี้ เห็นทีไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องตายกันไปข้าง

เขมทัตรับมือกับหุ่นยาอีกตัวโดยไม่ตกเป็นรอง แต่ในสายตาของสวรรค์ พวกเขากลายเป็นหมูในอวย ไม่ช้าก็เร็วต้องหมดแรงและตายอยู่ตรงนี้ ที่จริงหากไม่ใช่เพราะท่านปาปียัสถูกใจร่างตงจื้อ และต้องการนำอีกฝ่ายมาเป็นภาชนะอาศัยชั่วคราวก่อนจะฟื้นคืนชีพแล้วละก็ ป่านนี้เขาคงปล่อยศพนับพันแมลงนับหมื่นออกมากัดกินสองคนนี้ให้สิ้นซากไปแล้ว ไหนเลยจะปล่อยคนพวกนี้ไว้ที่นี่แล้วค่อยกำจัดอย่างช้า ๆ

เสียงคำรามดังขึ้นฉับพลันในจังหวะนั้นเอง

“ศัตรูฉันอยู่ไหน!”

ไม่ทันขาดคำ ศีรษะหนึ่งก็ลอยออกจากตัวบ้าน พุ่งมาด้วยความเร็วสูง แต่กลับชะงักงันกลางอากาศ นัยน์ตาคู่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยกลอกอย่างเชื่องช้า กวาดผ่านเขมทัตและหุ่นยาไป สุดท้ายตกลงบนร่างตงจื้อ

ร่างนั้นต่อให้สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ยามาโมโตะ คิโยชิ ก็จำได้

“ตง…จื้อ!”

ยามาโมโตะ คิโยชิ ที่เหลือเพียงศีรษะ แม้ในยามหลับฝันก็ไม่มีทางลืมเลือนประสบการณ์ดุจฝันร้ายของตนในลู่เฉิง

คนยโสโอหังอย่างเขากลับต้องมาถูกสังหารด้วยกระบี่ของผู้ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม หากตอนนั้นไม่ได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้ ป่านนี้เขาคงกลายเป็นคนตายจริง ๆ ไปแล้ว

ตาเขาแดงก่ำเมื่อได้พบศัตรู นับประสาอะไรกับศัตรูที่สังหารตนด้วยแล้ว ใบหน้ายามาโมโตะ คิโยชิ บิดเบี้ยว หลังตั้งเป้าแล้วก็พุ่งตรงไปที่ตงจื้อทันที

เขมทัตอุทานด้วยความตื่นตระหนกอย่างอดไม่ได้ “คุณไสยถอดหัว!”

คุณไสยถอดหัวเป็นวิชาไสยศาสตร์อย่างหนึ่งที่มีความซับซ้อนและฝึกฝนยากอย่างยิ่ง ว่ากันว่าหากนักไสยศาสตร์ฝึกวิชาไสยศาสตร์สำเร็จจะทำให้หัวของตนแยกออกจากร่าง และเอาชีวิตผู้ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ได้ นอกจากนี้โดยทั่วไปแล้วมันยังเป็นวิชาที่นักไสยศาสตร์มนตร์ดำฝักใฝ่ สินชัยจึงมองว่าเป็นอวิชชา ห้ามเขมทัตผู้เป็นลูกศิษย์ฝึกฝนเป็นอันขาด

แต่ถ้าพูดกันจริง ๆ สภาพยามาโมโตะ คิโยชิ ตอนนี้ไม่อาจเรียกว่าใช้คุณไสยถอดหัวแต่อย่างใด เพราะเขาสูญเสียร่างกายไปแล้ว เหลือแค่หัวอย่างเดียว เป็นสนเองที่ใช้วิชาลับผนึกวิญญาณเขาไว้ในหัวและทำให้เขามีชีวิตต่อไปได้

เมื่อเห็นยามาโมโตะต้องการฆ่าตงจื้อโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน ทำท่าจะบดขยี้ศพเขาเป็นหมื่น ๆ ชิ้นท่าเดียว สวรรค์จึงบอกอย่างฉุนเฉียว “หยุดนะ นั่นมันร่างที่ท่านปาปียัสระบุมาว่าอยากได้ ห้ามทำเสียหาย!”

แต่ยามาโมโตะไม่สนใจอะไรแล้ว แม้ว่าสนรับปากหลายครั้งหลายคราว่าจะช่วยคืนสภาพเดิมให้เขา แต่การเจอร่างที่เหมาะสมสักร่างมันใช่เรื่องง่ายเสียที่ไหน เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนดำคล้ำแถมโหนกแก้มสูงกันทั้งนั้น ไม่เข้าตายามาโมโตะสักนิด ที่พอจะเพลินตาหน่อย สังขารก็ไม่เอื้ออำนวยอีก เลือกไปเลือกมาก็ไม่มีใครสักคนที่เหมาะสม และนี่ก็ทำให้อารมณ์ของเขาร้อนรุ่มกระวนกระวายขึ้นทุกวัน วันนี้ได้เห็นตงจื้อ ไหนเลยจะข่มกลั้นได้ เขาอดใจรอไม่ไหว อยากกัดก้อนเนื้อของตัวการคนนี้แล้วกลืนลงไปทีละชิ้นมากกว่า ถึงจะขจัดความเคียดแค้นในใจลงได้!

สวรรค์เห็นยามาโมโตะไม่ฟังคำสั่งก็กลัวตงจื้อจะเผลอโดนอีกฝ่ายขย้ำคอขาด ถึงตอนนั้นท่านปาปียัสจะไม่มีภาชนะให้อาศัย ขณะที่กำลังเตรียมขัดขวางอยู่นั้น อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกคันแปลก ๆ ที่ฝ่าเท้า รีบถอยออกไปสองก้าว ก้มหน้ามองลงไป ปรากฏว่าแผ่นหลังเกิดปวดแปลบขึ้นมาระลอกหนึ่ง สวรรค์ร้องอ๊าก คุกเข่าลงกับพื้น มองทรวงอกของตนปรากฏโพรงเลือด ด้วยความแปลกใจ จากแผ่นหลังทะลุมาถึงแผ่นอกด้านหน้า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง!

ใคร! ยังมีใครซ่อนตัวอยู่อีก!

สวรรค์เงยหน้ามองไปรอบ ๆ เห็นแค่ตงจื้อกับเขมทัตสาละวนอยู่กับการรับมือกับหุ่นยาและยามาโมโตะ ไม่มีเวลามาลงมือลอบทำร้ายเขาสักนิด

เขาไม่อยากเชื่อ ตัวเองเป็นถึงลูกศิษย์ที่อาจารย์ภาคภูมิใจ แต่ดันมาโดนคนทำของใส่ง่าย ๆ

“อาจารย์!” เลือดไหลชุ่มโชก เขาตะโกนด้วยความเจ็บปวด มือกุมอก โลหิตเจิ่งนองเป็นแอ่งอยู่ใต้ร่างไปแล้ว

มีมือข้างหนึ่งมาพยุงแผ่นหลังเขาไว้ ไม่รู้ด้วยกลวิธีใด เลือดของสวรรค์จึงหยุดลงชั่วคราว สีหน้าแตกตื่นระคนหวาดกลัวค่อย ๆ สงบลง

สนที่หลบอยู่ในบ้านมาตลอดถูกบีบให้ต้องโผล่หน้าออกมาในที่สุด

เขายืนข้างสวรรค์ มือหนึ่งกดไหล่ลูกศิษย์ ตามองไปทางป่าที่มีเสียงสวบสาบอยู่นอกรั้ว

“ถ้ายังไม่ออกมาอีก ฉันจะฆ่าลูกศิษย์นาย!”

ไม่นานนัก ทางที่เขามองไปก็มีใครบางคนก้าวออกมาช้า ๆ เขาคือสินชัยที่เมื่อครู่ไม่ได้โผล่หน้ามา

สีหน้าสนบอกว่า ‘เป็นแกจริง ๆ’

“ฉันว่าแล้วเชียว หลังจากพ่ายแพ้ไปในตอนนั้น แกก็ไม่เคยยอมรับและต้องการแก้แค้นมาโดยตลอด แต่ฉันรอมาตั้งหลายปี แกกลับเอาแต่กลัวตายไม่กล้ามา วันนี้คงคิดว่าหาตัวช่วยได้แล้วสินะ”

ไม่รู้เพราะฝึกวิชามนตร์ดำมานานหรืออย่างไร ต่อให้เป็นเสียงพูดเรียบ ๆ ของสนก็ยังให้ความรู้สึกอึมครึมยากจะบรรยายแก่ผู้อื่นอยู่ดี ราวกับมีแมลงที่มองไม่เห็นกัดกิน รู้สึกอึดอัดไปทั้งลำตัว

สินชัยมองอีกฝ่ายก่อนเอ่ยด้วยความขึงขัง “ฉันไม่รู้ว่านายคิดทะเยอทะยานอยากคืนชีพให้ปาปียัส ไม่อย่างนั้นฉันคงมาตั้งนานแล้ว!”

สนหัวเราะร่วน “สินชัย น้องชายแกตายคามือฉัน แต่หลายสิบปีมานี้แกไม่กล้าโผล่มาล้างแค้น คนขี้ขลาดอย่างแกน่ะเหรอจะกล้ามาทวงความเป็นธรรมถึงที่!”

สินชัยเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เขาพลาดไปฝึกอวิชชา ฆ่าคนตาย กรรมตามสนองตัวเองล้วน ๆ!”

สนโคลงศีรษะ “น่าเสียดาย ถ้าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ต้องกลายเป็นนักไสยศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าแกแน่ ๆ! คนที่ไม่มีพรสวรรค์ ซ้ำยังตายด้านแบบแก ไม่น่ามาฝึกไสยศาสตร์ตั้งแต่แรกเลย เพราะพวกแก ไสยศาสตร์ถึงกลายเป็นเบี้ยรองมือรองเท้าให้ผู้มีอำนาจ กลายเป็นวิชานอกรีตในสายตาคนอื่น! ฉันต่างหากที่เป็นคนทำให้ไสยศาสตร์ก้าวไปข้างหน้า แกดูที่นี่สิ! สิ่งเหล่านี้เป็นผลงานชิ้นเอกของฉันทั้งนั้น หุ่นยาหลายตัวนั่นไม่ใช่วิชาไสยศาสตร์อย่างเช่นที่เคยมีมาในอดีต แกทำได้ไหม!”

เขาขึ้นเสียงสูง “แกทำไม่ได้ แกทำเป็นแต่หมอบคลานคอยเลียแข้งเลียขาอยู่ใต้ฝ่าเท้าคนใหญ่คนโตพวกนั้น ขอให้พวกมันเชิดชูเกียรติให้แกสักนิด เพื่อที่แกจะได้คุยโวโอ้อวดต่อหน้าชาวบ้าน!”

สินชัยไม่สะทกสะท้าน รวมถึงไม่ได้รู้สึกโมโหเพราะอีกฝ่าย “ปีศาจมีที่สำหรับปีศาจ แต่นายคิดเรียกปีศาจมายังโลกมนุษย์ นายคิดว่ามันจะจดจำความดีของนาย ให้นายเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์จริง ๆ น่ะเหรอ วันที่ปาปียัสฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ๆ แม้แต่นายก็จะกลายไปเป็นหนึ่งในเครื่องสังเวยของมัน!”

สนหัวเราะลั่น “ฉันเต็มใจอย่างยิ่ง! ฉันเต็มใจอุทิศเลือดทุกหยาดหยดของฉัน ชีวิตฉัน หรือแม้กระทั่งวิญญาณเพื่อท่านปาปียัส! พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มีสิทธิ์ปกครองโลกใบนี้ มนุษย์กระจอกงอกง่อยครอบครองโลกนี้มานานเกินไปแล้ว ฉันจะเปลี่ยนเจ้าของใหม่ให้มัน ทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิม!”

สินชัยมองท่าทางคลุ้มคลั่งของอีกฝ่าย รู้ว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อไปแล้ว เขายกไม้เท้าขึ้น กระแทกหนัก ๆ กับพื้นหนึ่งที

สุขีที่หลบอยู่ตรงประตูชะโงกหัวออกมาเงียบ ๆ พบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ขอบฟ้าถูกเมฆดำปกคลุม เมฆดำนั้นค่อย ๆ คล้อยต่ำลงมาก่อนลอยเข้าหาสน เมื่อเพ่งมองให้ดีจึงพบว่ามันคือหนอนจำนวนนับไม่ถ้วนที่เรียงรายแน่นขนัด ส่งเสียงหึ่ง ๆ ใกล้เข้ามาทุกที มันโอบล้อมสนเป็นกลุ่ม ๆ ปกคลุมแน่นหนามืดฟ้ามัวดิน ตามคำสั่งด้วยมือของสินชัย

สุขีรู้สึกบีบหัวใจขึ้นมา แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะสินชัย แต่เพราะความห่วงใยในตัวอาจารย์สนของเขา หนอนบินได้พวกนั้นกระพือปีกสีเทา เชื่อมต่อกันทีละตัว คล้ายตาข่ายหนอนตาถี่จนลมไม่อาจลอดผ่าน เห็นแล้วขนหัวลุก แต่จะไม่มองก็ไม่ได้

ตาข่ายหนอนค่อย ๆ หดแคบเป็นวงล้อม แต่สนที่อยู่ภายในกลับไม่ไหวติง ทำให้ชวนสงสัยว่าเขากำลังถูกหนอนพวกนั้นกัดกินทีละนิดหรือเปล่า

สวรรค์ ลูกศิษย์ของสนถูกควักหัวใจออกไป แม้จะใช้เคล็ดวิชารักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่มีแรงโจมตีกลับในตอนนี้ เจ้าตัวนอนหอบหายใจกับพื้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกคำสั่งให้หุ่นยามาช่วยสนเลย

ยามาโมโตะ คิโยชิ นั้นก็ต้องการแก้แค้นท่าเดียว กำลังโจมตีตงจื้ออย่างบ้าคลั่ง เขมทัตกับตงจื้อยังรับมือกับหุ่นยาสี่ตัวที่ตีรันฟันแทงไม่เข้าอยู่ สถานการณ์ดำเนินมาถึงภาวะชะงักงันชั่วชณะ

ทันใดนั้นตาข่ายหนอนก็ฉีกขาดเป็นรู!

ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของสินชัยพลันเบิกขึ้น จ้องเขม็งไปยังทิศทางของตาข่ายหนอน

เห็นเพียงศีรษะของสนที่ชะเง้อออกมาจากรูที่ฉีกขาด เสียงโครมดังขึ้น ตาข่ายหนอนทั้งผืนถูกเขาใช้พลังกระแทก แหลกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ!

อาจารย์สนเก่งที่สุดจริง ๆ ด้วย! สุขีที่ชมการต่อสู้อยู่กลับมาดีอกดีใจอีกครั้ง เฝ้าภาวนาให้อีกฝ่ายต่อไปเงียบ ๆ

“หลายปีมานี้แกมัวแต่เลียแข้งเลียขาพวกผู้มีอำนาจ คงไม่มีเวลาศึกษาค้นคว้าสินะ กลอุบายแค่นี้ยังริอ่านจะขังฉันอีกงั้นเรอะ!”

สนหัวเราะก้อง สุขีเห็นแค่อีกฝ่ายยกมือขึ้นเหมือนปล่อยอะไรบางอย่างออกมา แต่เมื่อมองดี ๆ กลับไม่มีอะไรทั้งสิ้น

ทว่าสินชัยกลับเปลี่ยนสีหน้า เพราะเขาเห็นสนปล่อยหนอนตัวเล็ก ๆ กึ่งโปร่งใสตัวหนึ่งออกมา

มีแค่หนอนตัวเดียว

แต่สามารถขุดรูในตาข่ายหนอนยุ่บยั่บออกมาได้ หนอนพวกนั้นถึงขนาดถอยหลบให้โดยอัตโนมัติเมื่อได้เห็น ไม่กล้าแม้แต่จะสู้กับมันด้วยซ้ำ

“มนตร์ล่องหน?!” สินชัยร้องเสียงหลง

วิชาไสยศาสตร์ได้รับการสืบทอดมาจากแขนงเดียวกันกับวิชาพิษกู่ของจีน เอาเข้าจริงมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับหนอนพิษกู่เช่นกัน มนตร์ล่องหน แท้จริงแล้วคือการใช้วิชาลับมาหล่อหลอมจนกลายเป็นหนอนพิษกู่ชนิดหนึ่ง เมื่อสำเร็จวิชานี้ หนอนกู่จะโปร่งใสไปโดยปริยาย ตาเปล่ามองไม่เห็น ทุกที่ที่มันไป มันจะกัดกินเนื้อหนังกระดูกเลือดของมนุษย์ พรากชีวิตคน เสมือนเข้าสู่ดินแดนไร้มนุษย์ เป็นคาถามนตร์ดำที่ร้ายกาจมาก แน่นอนว่ายากมากหากต้องการฝึกวิชาให้สำเร็จ อย่างตัวที่สนปล่อยออกมาตรงหน้านี้ เมื่อพิศให้ดีแล้วยังเห็นเค้าโครงร่างอยู่นิดหน่อย ไม่นับว่าโปร่งใสอย่างสมบูรณ์ นี่ยังไม่ถึงขั้นที่ทรงพลังที่สุด แต่ก็สุดยอดมากแล้ว

หนอนบินกึ่งโปร่งใสตัวนี้พุ่งตรงไปที่หว่างคิ้วสินชัยอย่างอุกอาจ วิธีทั่วไปไม่อาจหยุดยั้งมันได้ ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น หัวของสินชัยจะถูกหนอนบินพุ่งชนจนทะลุเป็นรูเลือดสองรู

ด้วยเจตจำนงอันแรงกล้าของสินชัย ตาข่ายหนอนผืนนั้นจึงฝืนลอยขึ้นมาอย่างขลาดกลัว พยายามขัดขวางหนอนล่องหน แต่ไม่นานพวกมันก็พากันร่วงตกพื้น ความเร็วของมันไม่ลดลง ซ้ำยังเพิ่มมากขึ้น เหยื่อของมันไม่ใช่ตาข่ายหนอน หากแต่เป็นสินชัยที่อยู่ไม่ไกลออกไป!

 

ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ก่อนหน้าที่ตงจื้อจะมาถึงเรือนภายใต้การนำทางของสุขี พวกหลงเซินก็ตามหลังตงจื้อมาห่าง ๆ และหาที่ตั้งของเรือนจนพบ

หลงเซินไม่ได้รีบร้อนออกมาช่วยตงจื้อ แต่เดินอ้อมไปด้านหลังของเรือนเพียงลำพัง แฝงตัวเข้าไปในนั้นเงียบ ๆ เพื่อหาร่องรอยของปีศาจฟ้า

ในความคิดของเขา ศัตรูตัวฉกาจที่สุดในการเดินทางของพวกเขาครั้งนี้ไม่ใช่นักไสยศาสตร์ที่มีพลังแก่กล้าอย่างสน หากแต่เป็นปาปียัสที่สนปรนนิบัติรับใช้

แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงปีศาจฟ้าที่ยังไม่ได้ก่อร่างอย่างสมบูรณ์ แต่ก็มากพอแล้วที่จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับโลก

เรือนทั้งหลังมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งพลังปีศาจแผ่ปกคลุมหนาทึบและล้นทะลักออกมาภายนอก นั่นต้องเป็นที่ที่ปีศาจฟ้าถือกำเนิดแน่นอน

ภายในเรือนมีกับดักอันตรายวางอยู่เต็มไปหมด ตลอดทางที่หลงเซินผ่านมา เขาเจอมือที่อยู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้น ลูกศรอาบยาพิษซึ่งยิงมาจากในที่ลับโดยไม่ทันตั้งตัว รวมถึงกลอุบายชั่วร้ายนับไม่ถ้วน แต่กับดักเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอุปสรรคใด ๆ สำหรับเขา ทุกที่ที่แสงกระบี่ไปถึง ผีร้ายล้วนสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

ห้องที่มีพลังปีศาจแผ่ออกมานั้นอยู่ที่สุดปลายทางเดินของอันตรายทั้งหมดทั้งปวง ประตูหน้าต่างปิดสนิท ทำให้ลอบมองภายในนั้นไม่ได้

หลงเซินไม่ได้รีบร้อนก้าวไปข้างหน้า เขายกกระบี่ขึ้นในตำแหน่งที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ก่อนพังประตูเข้าไปทันที

ลมกรูกันเข้าไปจากภายนอก ประตูกระแทกผนังก่อนดีดกลับ เกิดเสียงดังปังชัดเจน

แต่ไม่มีสิ่งใดออกมาจากในนั้น ทุกอย่างเงียบสงบ ราวกับหลงเซินรบกวนนิทรารมณ์อันแสนสุขของผู้เป็นเจ้าบ้าน

เงียบจนน่าประหลาด

หลงเซินเดินเข้าไปช้า ๆ ด้านในปราศจากแสงสว่าง มีเพียงเทียนเล่มเดียวที่ลุกไหม้และดับลงเพราะสายลมจากด้านนอก

แสงจากภายนอกส่องลอดเข้ามา เพิ่มชีวิตชีวาให้กับห้องนี้เล็กน้อย

เขาทอดสายตามองไป บนโต๊ะเต็มไปด้วยขวดโหลและแจกัน หนึ่งในนั้นมีโต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ชิดติดผนัง บนนั้นมีเพียงหม้อดินสีดำเข้มใบหนึ่ง สูงประมาณหนึ่งเมตร เป็นหม้อดินธรรมดาที่พบเห็นและหาซื้อได้ทั่วไปข้างนอก แต่หลงเซินรู้ สิ่งที่บรรจุอยู่ในหม้อนั้นอาจเป็นส่วนสำคัญของห้องนี้

มีธูปหอมถูกจุดอยู่ข้างหม้อดิน ทั้งห้องอวลไปด้วยกลิ่นหอมประหลาด หวานเลี่ยนเหมือนถูกห้อมล้อมด้วยทะเลโลหิตข้นคลั่ก และที่ข้างโต๊ะมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ ลำตัวครึ่งหนึ่งพิงขอบโต๊ะ ศีรษะโน้มต่ำคล้ายกำลังหลับใหล

อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวผมบลอนด์นัยน์ตาฟ้าคนหนึ่งยืนอยู่ภายในโลงแก้วที่ตั้งอยู่ แช่อยู่ในน้ำสมุนไพรสีเหลือง ส่วนท้องของเธอนูนป่องกลมกลึง ก้อนสีดำไหลเวียนอยู่ตรงนั้นช้า ๆ ราวกับพร้อมจะเดินออกมาทันทีที่ส่งเสียงเรียก

ไม่นานเสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังมาจากบริเวณใกล้ ๆ คงเพราะพวกตงจื้อกับสินชัยเริ่มปะทะกับสนแล้ว

หลงเซินไม่ได้รีบหันกลับไปเป็นกำลังเสริม ตงจื้อโตพอที่จะรับผิดชอบหน้าที่คนเดียวได้แล้ว เขาควรมอบความเชื่อใจให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่

ทันใดนั้นเขาก็ขยับตัว

กระบี่ยาวในมือฟันไปที่หญิงสาวในโลงแก้ว และยังเล็งไปที่หน้าท้องของเธอด้วย!

แสงกระบี่พุ่งแฉลบออกไป เสียงบึ้มดังขึ้นก่อนที่โลงแก้วจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ น้ำสมุนไพรไหลทะลักออกมา แต่ไม่ใช่เพราะถูกฟันด้วยแสงกระบี่ ทว่าเป็นเพราะหน้าท้องของหญิงสาวเกิดระเบิดกะทันหัน ก้อนกลมสีดำสภาพเหมือนหมอกควันขยายตัวรุนแรง หมุนวนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ก่อตัวเป็นพายุไซโคลนสีดำเล็ก ๆ ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับหมอกดำที่ออกมาจากหม้อดินข้าง ๆ หมุนวนกลางอากาศอยู่กับที่ พร้อมทั้งดูดกลืนแสงกระบี่เข้าไปด้วย

ในเวลาเดียวกัน หมอกสีดำขนาดย่อมก็แยกตัวออกจากก้อนกลมสีดำ ไหลเข้าสู่ศีรษะของชายที่อยู่ในห้อง เจ้าตัวลืมตาเงยหน้า ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้หลงเซินทันที

แสงที่ลอดเข้ามาจากภายนอกสาดกระทบใบหน้าอีกฝ่าย เขาคือหงรุ่ย นักธุรกิจจากแผ่นดินใหญ่ที่หายตัวไปหลายวันแล้วนั่นเอง

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะได้กลายร่างแล้ว ร่างของเจ้าเข้าท่าทีเดียว จงอยู่เป็นภาชนะที่เก้าสิบเก้าของข้าเสียเถอะ!” หงรุ่ยหัวเราะลั่น

แทนที่จะบอกว่านั่นคือเสียงหงรุ่ย มันเหมือนเสียงปีศาจที่ปีนออกมาจากขุมนรก ยืมลำคอของเขาเพื่อเปล่งเสียงมากกว่า

หลงเซินไม่พูดพร่ำทำเพลงแม้แต่ประโยคเดียว เขายกมือขึ้นลง แสงกระบี่อีกลำผ่าไปทางหงรุ่ยอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ใช้แรงส่งกระโดดลอยตัว ยกกระบี่โฉบไปทางหมอกดำที่หมุนวนอย่างรวดเร็ว ปราณกระบี่พุ่งไปดุจแพรรุ้ง รวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ แทบไม่มีใครต่อกรด้วยได้

แต่เมื่อกระบี่แทงเข้าไปในวังวนสีดำ หมอกดำกลับรัดรึงกระบี่ไว้ ไม่ช้ามันก็กลืนกินตัวกระบี่ทั้งหมด มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มว่าจะรุกคืบต่อไปด้วย ขณะเดียวกันหงรุ่ยก็แสยะยิ้ม โจมตีเขาจากด้านข้าง หลงเซินต้องออกแรงเล็กน้อยเพื่อชักกระบี่ออกจากพายุไซโคลน และหันไปรับมือกับหงรุ่ยข้าง ๆ ก่อน

ร่างของหงรุ่ยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ตอนนี้เขาไม่ใช่คนธรรมดาที่แสวงหาพลังอำนาจในวันวานอีกต่อไปแล้ว ผู้ที่ถูกพลังปีศาจของปีศาจฟ้ายึดครองร่างโดยตรงอย่างเขาถูกพลังปีศาจแทรกซึมตลอดทั้งวันทั้งคืนจนกลายร่างไปเป็นครึ่งปีศาจซึ่งเป็นภาชนะรองรับปีศาจฟ้าชั่วคราวไปแล้ว

แต่ถึงกระนั้นพลังของปีศาจฟ้าก็แข็งแกร่งเกินไป ร่างมนุษย์ธรรมดาไม่มีทางแบกรับพลังทั้งหมดของมันได้ ระหว่างที่กายหยาบของมันยังก่อร่างไม่เสร็จสมบูรณ์ มันจึงต้องเปลี่ยนร่างครั้งแล้วครั้งเล่า

ก่อนหน้านี้หลงเซินคิดว่าต่อให้ตัวเองกับสินชัยไม่สามารถทำลายมันให้สิ้นซากไปได้ ก็ยังผนึกมันไว้ได้ชั่วคราว หรือไม่ก็ขับไล่มันกลับนรกอเวจี แต่ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองประเมินพลังของปีศาจฟ้าต่ำเกินไป

แม้เป็นปีศาจที่ยิ่งใหญ่ดุจเดียวกัน แต่ปีศาจฟ้าเหนือชั้นกว่าปีศาจมนุษย์ตั้งไม่รู้เท่าไหร่

ตามตำนาน ปีศาจฟ้าปาปียัสผู้นี้มักขัดขวางหนทางปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งไม่ให้เจ้าชายสิทธัตถะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แม้สุดท้ายจะถูกแสงทรงกลดทำให้ล่าถอย แต่ขนาดพระพุทธเจ้ายังกำจัดมันให้สิ้นซากไปไม่ได้ ทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นพญามารอยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี[1] เท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพลังของมันแข็งแกร่งแค่ไหน

พลังที่ยิ่งใหญ่เกินไปจะถูกโลกขับออกไปโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้ร่างสมบูรณ์ของปาปียัสจึงไม่สามารถเยื้องกรายลงมาในโลกนี้ได้อย่างเต็มกำลัง มันทำได้แค่รับการเซ่นสรวงจากสน แบ่งพลังออกจากปริภูมิของนรกอเวจีทีละเล็กทีละน้อย และสุดท้ายรวมตัวเป็นรูปเป็นร่าง หรือที่เรียกว่าการฟื้นคืนชีพ

แต่สำหรับโลกใบนี้ พลังเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่

ตอนนี้หลงเซินกำลังพัวพันอยู่กับหงรุ่ย ไม่มีเวลามองไปรอบ ๆ ชั่วขณะ พายุไซโคลนสีดำกำลังขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มีลมพัดแรงอยู่รอบๆ ของตกแต่งทั้งหมดภายในห้องล้วนถูกพายุไซโคลนดูดเข้าไป หมุนคว้างอย่างบ้าคลั่งโดยมีพายุเป็นศูนย์กลาง มีแค่หลงเซินกับหงรุ่ยเท่านั้นที่ยังทรงตัวได้อยู่

ทั้งสองประมือกันรวดเร็วท่ามกลางพายุไซโคลน แทบกลายเป็นสายลม แสงกระบี่ตัดสลับไปมา แต่หงรุ่ยอาศัยพลังปีศาจจากพายุไซโคลนด้านข้างที่ส่งมาเป็นระยะต่อสู้กับหลงเซินได้อย่างสูสี ไม่ตกเป็นรอง

เขาแสยะยิ้มพลางบอก “พวกเจ้ามาช้าเกินไป ยี่สิบปีในโลกมนุษย์มันเพียงพอแล้วสำหรับข้า!”

กล่าวประโยคนี้จบ เขาไม่ได้เป็นฝ่ายจู่โจมหลงเซิน แต่หันหลังวิ่งเข้าไปในพายุไซโคลนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ร่างถูกหมอกดำกลืนหายไปทันที สีหน้าหลงเซินแปรเปลี่ยนฉับพลัน ยกกระบี่หมุนตัวรีบวิ่งออกไป ขณะนี้หมอกดำเบื้องหลังได้แผ่ขยายออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วและยึดครองพื้นที่ทุกส่วนในห้อง เสียงระเบิดดังขึ้น หลังคาห้องพังถล่ม พายุไซโคลนสีดำกลายเป็นเฮอริเคนพุ่งตรงสู่ขอบฟ้าทันใด

 

ในฐานะลูกศิษย์ของสินชัย เขมทัตมีทักษะวิชาไสยศาสตร์สูง แต่ไม่ค่อยสันทัดเรื่องการต่อสู้ในระยะประชิดเท่าไหร่ เมื่อเผชิญหน้ากับการกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่งไม่กลัวตายของหุ่นยาสี่ตัว เขารับมือแค่ตัวเดียวก็เริ่มหมดแรงแล้ว ตงจื้อรับมือคนเดียวสามตัว บวกยามาโมโตะ คิโยชิ หัวมนุษย์ที่คลุ้มคลั่งอีกหนึ่ง

ถึงหุ่นยายังเป็นมนุษย์ แต่พวกมันสูญเสียความหวาดกลัวหรืออารมณ์อื่น ๆ ที่มนุษย์มีไปหมดแล้ว แม้มือเท้าไร้ประโยชน์ แต่ตราบใดที่ร่างกายยังขยับได้ พวกมันจะโจมตีไม่รู้จักจบจักสิ้น จากข้อนี้ หุ่นยาจึงไม่มีอะไรแตกต่างจากซอมบี้

ตอนนี้ คำที่หลงเซินเคยสอนเขาไว้ก็ทำให้ตงจื้อได้เปรียบ

ก่อนเข้ากรมจัดการคดีพิเศษ แม้ตงจื้อใฝ่ฝันและอิจฉาในความแข็งแกร่งของพวกหลงเซินกับเหออวี้ และรู้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีทางไปถึงระดับเดียวกับพวกเขาได้ แต่หลังจากฝากตัวเข้าสำนักเก๋อเจ้าเป็นลูกศิษย์ในนาม ตงจื้อก็คิดอีกว่าหากตนฝึกยันต์แสงจันทราและวิชาธรรมเบญจอสนีสำเร็จก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว จนกระทั่งกลายมาเป็นลูกศิษย์ของหลงเซิน เขาก็ได้ทำความรู้จักกับตัวเองใหม่หมด ด้วยระเบียบวินัยอันเข้มงวดของหลงเซิน เขาไม่เพียงตื่นเช้ากว่าไก่ แต่ยังต้องขยันกว่าไก่ด้วย ฝึกกังฟูถู่น่าทุกวันไม่มีขาด ฝึกกระบี่ วาดยันต์ พอนานวันเข้า สมรรถภาพทางกายของเขาจึงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด พลอยทำให้ความคล่องแคล่วว่องไวและความสามารถในการตอบสนองแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง ราวกับผลัดกระดูกลอกคราบใหม่ก็ไม่ปาน เห็นได้ว่าศักยภาพของคนไร้ขีดจำกัด ต่างกันที่ว่าจะมีคนขุดเอาความสามารถของคุณออกมาหรือเปล่า และคุณเต็มใจทุ่มเททำงานหนักแบบนั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายไหม

ตงจื้อเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ ไม่มีวินัย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เช่นเดียวกับคนทั่วไปในโลกจำนวนนับไม่ถ้วนที่เข้างานเก้าโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น รับเงินเดือน ไปไหนมาไหนด้วยความเร่งรีบอยู่ในป่าคอนกรีต เอาแต่เถียงกับผู้จัดการโปรเจ็กต์จนหน้าแดงหูแดง บางทีอาจนัดเพื่อนสักคนสองคนออกไปกินข้าวร้องเพลงด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ บางครั้งฉุกคิดอะไรขึ้นได้ก็นั่งรถไฟมุ่งหน้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ นำกระดานวาดภาพของตนติดไปด้วย ใช้ดินสอร่างภาพทิวทัศน์ในสายตาลงไป หรือบางทีเขาอาจได้พบเด็กสาวธรรมดา ๆ แต่น่ารักสักคน มีความรักที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ แต่งงานมีลูก วิ่งวนอยู่กับความเหนื่อยล้าของชีวิต ใช้เวลาทั้งชีวิตผ่านไปอย่างเรียบง่ายแบบนั้น

แต่คืนนั้นที่เขาฉางไป๋ มันได้เปิดโลกอันยิ่งใหญ่มโหฬารชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนแก่เขา ทำให้เขามองเห็นโลกที่สวยงามพร่างพราวซึ่งแตกต่างออกไปจากแสงสีและสุรานารียามค่ำคืน ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีก ชื่นชมหลงเซินนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ความกระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุขที่แทรกซึมมาจากกระดูกก็เป็นอีกเรื่อง เวลาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่านี่ต่างหากคือชีวิตที่เขาต้องการ

ทุกอย่างเป็นแค่ความบังเอิญ บังเอิญนั่งรถไฟขบวนนั้น บังเอิญได้พบหลงเซิน บังเอิญเกิดความสงสัยใคร่รู้ต้องการสืบสาวราวเรื่อง นับแต่นั้นก็ไม่อาจควบคุมได้อีก โลกของเขากลับตาลปัตร ภูเขาลำธารเกิดรอยแยก หันเหเปลี่ยนทิศทางไปดื้อ ๆ รุดหน้าไปอย่างกล้าหาญ พุ่งสู่สายน้ำเชี่ยวกราก

ต่อให้ต้องฟันฝ่าคมกระบี่ ต่อให้ต้องขึ้นเขาลงห้วย สำรวจทะเล ค้นหาภูเขา แต่เขาได้พบคนที่รักอย่างสุดซึ้งในชีวิตนี้ ได้พบเป้าหมายที่เขาเต็มใจติดตามไปชั่วชีวิตและมุ่งมั่นบากบั่นโดยไม่ท้อถอยแล้ว เขาจึงเต็มใจทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง หลั่งเลือดและหยาดเหงื่อ หรือแม้กระทั่งสละชีวิตโดยไม่นึกเสียดาย!

ลมพัดกระโชกเข้ามาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง หมอกขาวรวมกับปราณกระบี่ก่อนฟาดฟันออกไป หุ่นยาซวนเซไปข้าง ๆ สองสามก้าว ไม่รอให้ทรงตัวอยู่ก็กระโจนเข้าใส่เขาอีกครั้ง ในช่วงจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีนี้เอง ยันต์แสงจันทราในมือตงจื้อก็ขว้างออกไปแล้ว ไฟอาคมพร้อมด้วยคมกระบี่พุ่งตรงไปยังตาสองข้างของหุ่นยา

“ฟ้าหนึ่งกำเนิดน้ำ ดินสองกำเนิดไฟ ฟ้าสามกำเนิดไม้ ดินสี่กำเนิดทอง ห้าอยู่ระหว่างกลาง พิชิตความโหดร้าย ขับไล่ภัยพิบัติ โค่นมารดับรอย!”

ดวงตาของหุ่นยาถูกไฟอาคมแผดเผาจนได้รับบาดเจ็บ ส่งผลต่อความสามารถในการมองเห็น ทำได้แค่พุ่งกระโจนมั่ว ๆ อย่างไร้เป้าหมาย ไม่ใช่ภัยคุกคามอีกแล้ว

เขาก้มลงและเอนตัวไปด้านหลังโดยไม่หันหน้าไป กระบี่วาดออกไปตามแรง ซัดใส่หัวของยามาโมโตะ คิโยชิ ที่เตรียมจะขย้ำเข้ามา ก่อนหมุนตัวตีลังกากลางอากาศสองที คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ปักกระบี่ไว้ตรงนั้น หยิบกระดาษยันต์ออกมา นิ้วเคลื่อนผ่านคมกระบี่ ป้ายหยดเลือดบนแผ่นยันต์ เบี่ยงตัวหลบการจู่โจมของหุ่นยา พลิกมือ บิดแขน แล้วกระชากเข้าหาลำตัว ใช้นิ้วต่างดาบ คีบยันต์พร้อมใช้เลือดวาดกลางหน้าผากหุ่นยาจากบนลงล่าง กระดาษยันต์ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิง ตงจื้อง้างปากอีกฝ่ายและยัดแผ่นยันต์ที่ยังไหม้ไม่หมดเข้าไป ร่างของหุ่นยาถูกสะกดนิ่งทันที ชายหนุ่มยกเท้าถีบยอดอกอีกฝ่ายกระเด็นออกไปทับรั้วจนล้มครืน ก่อนกลิ้งตกลงไปในแม่น้ำ

การเคลื่อนไหวต่อเนื่องครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ในอึดใจเดียว จะว่าลื่นไหลเป็นไปตามธรรมชาติก็ว่าได้ แต่ยามาโมโตะ คิโยชิ ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมท่าทางสง่าผ่าเผยของศัตรู ตอนนี้เขาอยากเคี้ยวกระดูก ฉีกทึ้งเนื้อหนังตงจื้อให้รู้แล้วรู้รอด หลังถูกกระบี่ฉางโส่วปัดกระเด็นออกไป ไม่ช้าก็ลอยกลับเข้ามาอีกครั้ง อ้าปากกว้างเมื่อเผชิญกับไฟอาคมที่ตงจื้อปามา แล้วกลืนมันลงไปก่อนหัวเราะเยาะ “นายมีฝีมือแค่นี้เองเหรอ!”

เขาอ้าปากถ่มน้ำลาย และพ่นหมอกดำออกจากปากใส่ศัตรู

อีกด้านหนึ่ง หุ่นยาตัวที่สามกู่ร้องพลางโถมเข้าใส่จากด้านหลัง เดิมทีรูปร่างของมันก็สูงใหญ่อยู่แล้ว การกระโจนมาครั้งนี้จึงให้ความรู้สึกเหมือนมีภูเขาไท่ซานกดทับอยู่ด้านบนจริง ๆ

ถูกศัตรูโจมตีทั้งหน้าและหลัง มีเวลาให้ตงจื้อตอบสนองไม่ถึงสองวินาที หลังจากหมอกดำถูกพ่นออกจากปากยามาโมโตะ มันก็ลอยอ้อมไปทั้งด้านซ้ายและขวา ล้อมเขาไว้จากสามทิศทาง แต่เขาหยุดอยู่นิ่ง ๆ ไร้ความตื่นตระหนกอย่างที่ยามาโมโตะคาดไว้

ถึงอยากหลบยังไงก็หลบไม่พ้นแล้ว! ยามาโมโตะเผยยิ้มเจ้าเล่ห์

ด้วยความช่วยเหลือจากสน หัวของเขาสามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ ไวกว่าตอนที่มีแขนขาครบถ้วนเสียอีก แต่ในฐานะผู้ที่มีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี ยามาโมโตะ คิโยชิ จะไปคุ้นเคยกับสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงของตัวเองในตอนนี้ได้ยังไง เขาอยากฉีกกระชากหัวตงจื้อออกมาเสีย ให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสความรู้สึกนี้บ้าง! ไม่ แค่หัวอย่างเดียวจะไปพอได้ยังไง เขาจะให้สนทำให้มันกลายเป็นหุ่นยาด้วย ให้มันมีสติแจ่มชัด ทนทุกข์ทรมานจากการย่ำยีของตน อยากมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ อยากตายก็ไม่ได้…

ครืน ๆ

ทันใดนั้นยามาโมโตะก็ได้ยินเสียงร้องครั่นครื้น

ไม่ได้มาจากข้างหน้า แต่มาจากเหนือหัว

ร่างกายมีขีดจำกัด เขาไม่อาจเงยหน้ามอง แต่ไม่นานก็มีเสียงดังข้างหูอีกครั้ง

มันทำให้เขาเรียกความทรงจำอันเลวร้ายบางส่วนออกมา

เพราะในโกดังนอกเมืองลู่เฉิง เขาก็ได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อนเช่นกัน

อสนีสวรรค์!

สีหน้ายามาโมโตะเปลี่ยนไปถนัดตา

ไม่!

อีกฝ่ายต้องการเวลาในการเรียกสายฟ้า คราวนี้เขาต้องไปถึงตรงหน้าตงจื้อได้เร็วกว่าแน่ ๆ…

ท้องฟ้าสดใสเปลี่ยนสีทันตา เมฆดำเคลื่อนเข้ามาพร้อมสายอสนี ประกายสว่างวาบทำให้เมฆดำสว่างเรืองรอง ส่วนอสนีสวรรค์ออกตัวทีหลังแต่มาถึงก่อน!

วินาทีที่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ยามาโมโตะ คิโยชิ ลอยถอยห่างออกไปทางด้านหลังโดยไม่รู้ตัว แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าอสนีสวรรค์จะไล่ตามติดมาทัน ต่อให้เขาถอยออกมาไกลหลายเมตรในเวลาสั้น ๆ แล้ว อสนีสวรรค์ก็ยังไม่พลาดเป้า ผ่าโดนเขาจัง ๆ ราวกับเป็นการชดเชยความเสียดายที่ครั้งก่อนไม่อาจสังหารเขาให้สิ้นซาก ยามาโมโตะไม่ทันสั่งเสียแม้แต่ประโยคเดียวก็ถูกฟ้าผ่าเป็นตอตะโกทันที!

ความยิ่งใหญ่ของพลังอำนาจแห่งอสนีสวรรค์ แม้แต่สนที่กำลังสู้อยู่กับสินชัยยังอดหน้าซีดเผือดไม่ได้

เขาไม่มีทางนึกออกเด็ดขาดว่าคุณไสยที่ตนทำใส่หานฉีผ่านทางหงรุ่ยจะนำความยุ่งยากและภัยพิบัติครั้งใหญ่ขนาดไหนมาสู่ตน

แต่ตอนนี้มันสายเกินกว่าจะมานึกเสียใจแล้ว จังหวะที่หัวของยามาโมโตะถูกอสนีสวรรค์แผดเผา ตงจื้อก็เอี้ยวตัวเตะกะโหลกนั้นไปทางหุ่นยาที่กำลังโรมรันอยู่กับเขมทัตประหนึ่งยิงประตู!

เขมทัตตอบสนองค่อนข้างไว เมื่อได้ยินตงจื้อบอกว่า “ก้มหัว” ก็ลดศีรษะหลบทันทีโดยไม่ลังเล

หัวยามาโมโตะลอยผ่านเหนือศีรษะเขาไปพอดีพร้อมไฟอสนีที่ปะทะกับหุ่นยาเต็ม ๆ พลอยทำให้มันลุกไหม้ตามไปด้วย

เขมทัตถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่ถนัดพูด จึงชูนิ้วโป้งให้ตงจื้อเสียเลย

ตงจื้อชูนิ้วโป้งตอบ

 

[1] สวรรค์ชั้นที่ 6 เป็นชั้นสุดท้ายของเทวภูมิ จัดอยู่ในกามภพ มีท้าววสวัตดีเป็นเทวบุตรผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ หากเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ต้องเนรมิตขึ้นเอง แต่จะมีเทวดาองค์อื่นมาเนรมิตให้ จึงได้ชื่อว่า ‘ปรนิมมิต’ (ผู้อื่นเนรมิต)

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า