[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 5 ตอนที่ บทที่ 117

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 117

 

หลังจากทั้งคณะเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ พวกหลงเซินก็ได้พบกับศรราม นักไสยศาสตร์ที่มาเข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้ เขาเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของสมาคมนักไสยศาสตร์มนตร์ขาวเช่นกัน ได้ยินว่าสถานะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ด้อยไปกว่าสินชัย แต่ที่ต่างไปจากสินชัยคือศรรามมีรูปร่างสูงใหญ่ ดู ๆ ไปแล้วเหมือนนักกีฬามากกว่า ไม่ใช่ปรมาจารย์นักไสยศาสตร์ เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง เขมทัตจึงรับหน้าที่เป็นล่ามอยู่ข้าง ๆ

ผู้ที่มาจากทีม 51 เป็นรองหัวหน้าทีมชาวอเมริกัน ชื่อคาร์ลอส ดูเหมือนหลงเซินจะรู้จักอีกฝ่ายมาก่อน ทั้งคู่ไม่ได้พูดจาถ้อยทีถ้อยอาศัยเหมือนเพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่คุยกันในห้องประชุมเล็กอยู่นานสองนาน แล้วค่อยย้ายไปปักหลักที่ห้องประชุมใหญ่

หลงเซินไม่ได้กันตงจื้อออกไป ตอนคุยส่วนตัวกับคาร์ลอสก็ให้เขาอยู่ฟังด้วย

คาร์ลอสรู้จักหลงเซินพอสมควร หลังจากได้ยินหลงเซินแนะนำว่านี่คือลูกศิษย์ของตนก็อดกล่าวด้วยความแปลกใจไม่ได้ “ฉันได้ยินว่านายไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน แต่คราวนี้ดันแหกกฎ เห็นทีพ่อหนุ่มคนนี้คงมีอะไรต่างออกไปจากคนอื่นละสิใช่ไหม”

หลงเซินพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะอธิบายอะไรให้อีกฝ่ายฟังเท่าไหร่

ถึงแม้ตอนนี้จะมีการร่วมมือระหว่างประเทศบ่อยครั้ง แต่ถึงยังไงพวกเขาก็มาจากคนละประเทศ และบอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ต่างฝ่ายจะยืนอยู่ในจุดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อีกทั้งหลงเซินไม่มีแผนที่จะกระชับความสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเพียรนอกประเทศให้ลึกซึ้งอะไร แต่คราวนี้ การแก้คุณไสยให้ตงจื้อ บุกไปฆ่าสนถึงรัง และกำจัดร่างอวตารของปาปียัสล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน เขาจึงเล่าให้คาร์ลอสฟังคร่าว ๆ ก่อน

คาร์ลอสมีสีหน้าผ่อนคลายมาตลอด สุดท้ายพอได้ยินว่ามีพลังของปีศาจฟ้าหลบหนีไปได้ เขาก็อดบ่นไม่ได้ “นายมองปาปียัสหนีรอดจากเงื้อมมือไปทั้งแบบนั้นโดยไม่ได้ขัดขวางเนี่ยนะ หลง นี่เหมือนไม่ใช่นายเลย!”

หลงเซินบอกเสียงเรียบ “ตอนนั้นขวางไม่อยู่ ไม่งั้นนายก็ลองดูเองสิ”

คาร์ลอสทำปากยื่น “ตอนที่พวกนายไปก็น่าจะเอาคนไปเพิ่มสักสองสามคน ไม่ก็แจ้งทีม 51 ล่วงหน้า ไม่ใช่ตัวเองเคลื่อนไหวไปก่อนแล้วค่อยมาบอกพวกเราทีหลังเหมือนตอนนี้”

หลงเซินแค่นยิ้ม “สนกบดานอยู่ที่นั่นมาตั้งหลายสิบปี ทำไมไม่เห็นพวกนายสืบเจอเรื่องปาปียัสแล้วเข้าไปผดุงความยุติธรรมเลยล่ะ”

คาร์ลอสพูดไม่ออกชั่วครู่ แต่แล้วก็หัวเราะแหะ ๆ “ไม่พูดแบบนี้สิ หลง ฉันล้อนายเล่น!”

เขาเปลี่ยนสีหน้าภายในวินาทีเดียว ทำเอาตงจื้อทึ่งจัด

แต่เห็นได้ว่าคาร์ลอสไม่ได้คิดว่าตนหน้าด้านหน้าทนอะไร

“หลง นายก็รู้นี่ พวกเราทำงานให้เบื้องบนกันทั้งนั้น ตอนนี้มาเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ฉันก็ต้องกลับไปรายงานเหมือนกัน ที่นั่นอยู่ตรงไหน ไว้ฉันจะให้คนไปดู บางทีอาจเจออะไรบ้าง”

หลงเซินบอกสถานที่ไป ก่อนที่พวกเขาจะออกมาต้องตรวจสอบให้แน่ใจอยู่แล้วว่าไม่มีอะไรตกหล่น ต่อให้คนของคาร์ลอสเข้าไปตอนนี้ก็ไม่มีทางเจออะไรหรอก

คาร์ลอสย่อมเข้าใจในจุดนี้ดี แต่เพื่อความกระจ่าง เขาเลยต้องถามไปตามระเบียบ

“นายคิดว่าหลังจากพลังปีศาจของปาปียัสหลบหนีไปแล้ว มันจะไปที่ไหน”

หลงเซินบอก “อเมริกาอยู่ตั้งไกลขนาดนั้น เพิ่งผ่านไปไม่นาน มันยังไปไม่ถึงหรอก”

ตงจื้อเกือบหลุดขำออกมา ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความสัมพันธ์ของหลงเซินกับคาร์ลอสก็ออกจะคล้าย ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในขณะนี้ ที่ต่างให้ความร่วมมือกันแต่ก็หยั่งเชิงกันไปด้วย เรียกว่าไว้ใจกันไม่ได้ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ถึงขั้นฉีกหน้ากัน

แต่ก่อนเขาไม่ยักรู้ว่าหลงเซินก็มีช่วงเวลาที่ต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่นไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้ด้วย ตอนนี้ได้มาเห็นจึงยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ

คาร์ลอสเองก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเหน็บแนม เขาจึงยิ้มเจื่อน ๆ “ขอโทษสำหรับความบุ่มบ่ามของฉันก่อนหน้านี้จะได้ไหมล่ะ นายคงได้ยินมาแล้ว ช่วงนี้ฝั่งสหรัฐฯกับยุโรปก็พบร่องรอยของปีศาจเป็นระยะเหมือนกัน หนึ่งในนั้นมีปีศาจโรคระบาดด้วย พวกเรากังวลว่าจะเกิดภัยพิบัติแบบกาฬมรณะอีก ตอนนี้กำลังคนของนักล่าปีศาจขาดแคลนอย่างหนัก พวกเราหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกนาย”

หลงเซินส่ายหัว “พวกเรามีเรื่องสำคัญต้องจัดการเหมือนกัน”

คาร์ลอสสงสัย “ปาปียัสถูกกำจัดไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

หลงเซินบอก “มีเรื่องอื่นอีก”

เห็นเขาไม่ยอมปริปากบอกอะไรมาก คาร์ลอสจึงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฝั่งญี่ปุ่น? อยากให้พวกเราช่วยไหม”

ด้วยความสามารถของอีกฝ่าย เป็นไปไม่ได้ที่จะสืบสาวไปไม่ถึง หลงเซินบอก “ขอบใจมาก ตอนนี้ยังไม่ต้อง”

เขาไม่ปล่อยให้น้ำรั่วแม้แต่หยดเดียว คาร์ลอสรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยจึงยักไหล่พลางแบมือ “งั้นก็ได้ พูดถึงเรื่องงานชุมนุมแลกเปลี่ยนระดับโลก ปีนี้เราน่าจะส่งคนไปเข้าร่วมห้าคน แล้วพวกนายล่ะ”

หลงเซินเอ่ย “เรายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ก็ไม่น่าเกินกว่าปีก่อน ๆ”

คาร์ลอสเหลือบมองตงจื้อพลางอมยิ้มบอก “ปีก่อน ๆ ลูกศิษย์ของนายยังไม่เคยเข้าร่วม เห็นทีปีนี้นายคงตั้งใจให้เขาเข้าร่วม?”

เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง หลงเซินจึงพยักหน้า “สถานที่แข่งขันปีนี้อยู่ที่ไหน”

การชุมนุมทุกครั้งล้วนมีประเทศเจ้าภาพ เพราะได้รวมช่วงการแข่งขันฝึกประสบการณ์ด้วย ดังนั้นสถานที่จึงต่างกันไปทุกครั้ง คราวนี้ถึงตาพวกคาร์ลอส

คาร์ลอสบอก “บนเกาะร้างแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติก เราจะใช้อุปกรณ์จำลองใหม่ล่าสุดเพื่อจำลองภาพฮอโลแกรม กฎเดิม ทีมที่ตามหาสิ่งของที่กำหนดไว้เจอก่อนจะเป็นผู้ชนะ”

พูดจบเขาก็เห็นหลงเซินขมวดคิ้วมุ่น ทำท่าคิดหนัก

“นายคิดอะไรอยู่”

หลงเซินพูด “พลังปีศาจเสี้ยวหนึ่งของปาปียัสที่หลบหนีไป ตอนนี้ยังสร้างภัยคุกคามอะไรไม่ได้มาก แต่มันต้องหาโอกาสในการรวบรวมพลังใหม่แน่ ๆ”

คาร์ลอสพยักหน้า “ใช่ ปีศาจทุกตนชอบดูดสารอาหารจากลมหายใจคนเป็น มันอาจพุ่งเป้าไปยังเมืองใหญ่ที่เจริญ ๆ”

หลงเซิน “คนเป็นมีลมหายใจมากแค่ไหนก็ไม่บริสุทธิ์เท่าลมหายใจของผู้บำเพ็ญเพียร จากสันดานของปาปียัส มันคงชอบทางลัดนี้มากกว่า”

คาร์ลอสผงะไปเล็กน้อย เขาเข้าใจความหมายของหลงเซินทันที “นายหมายความว่ามันจะใช้โอกาสจากงานชุมนุมแลกเปลี่ยนระดับโลกลงมือกับคนเหล่านั้น?!”

หลงเซิน “ฉันก็แค่พูดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ขึ้นมา”

คาร์ลอสถอนหายใจ “ดูเหมือนคราวนี้ชะตาจะลิขิตให้ไม่สงบสุขอีกแล้ว โชคดีที่ฉันไม่ใช่คนนำทีม เลยโยนเรื่องปวดหัวนี่ไปให้คนอื่นได้ชั่วคราว”

หลงเซินเลิกคิ้ว “งั้นใครนำทีม”

การชุมนุมแลกเปลี่ยนระดับโลกมีวัตถุประสงค์เพื่อการแลกเปลี่ยนและการร่วมมือกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียร ช่วงการแข่งขันฝึกประสบการณ์มีกฎที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง คือ โดยทั่วไปผู้เข้าร่วมจะเป็นเด็กใหม่ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ตามหลักแล้วไม่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นครั้งที่สอง ในทีมหนึ่งมีแค่หัวหน้าทีมที่เป็นคนหน้าเก่าได้ แต่ต้องไม่เข้าร่วมการแข่งขัน แค่ไปนำทีมเฉย ๆ

คาร์ลอสบอกพร้อมรอยยิ้ม “รอบนี้ลิลิธเป็นคนนำทีม คอนเฟิร์มมาแล้ว ไม่งั้นฉันก็อยากเห็นความสามารถของลูกศิษย์นายคนนี้อยู่หรอก ยังไงเขาก็เป็นลูกศิษย์คนเดียวของนาย”

เขาไม่ปกปิดความสนใจที่มีต่อตงจื้อ ทั้งยังมองไปที่อีกฝ่ายเป็นครั้งคราว

ส่วนตงจื้อก็รักษากิริยาท่าทางของตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกเหมือนที่ผ่านมา ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มสุภาพนุ่มนวลและน่ารักเช่นทุกครั้ง

คาร์ลอสทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “หลง นายรู้ว่าตัวเองขาดอะไรไปใช่ไหม ถึงได้รับลูกศิษย์ที่มีบุคลิกลักษณะตรงข้ามกับนายอย่างสิ้นเชิงมาโดยเฉพาะ”

หลงเซินขี้เกียจตอบคำถามนี้

 

ออกจากห้องประชุมเล็กมา ทั้งสามก็เปิดประชุมย่อยกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากทั่วโลก เนื้อหาหลักเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้ ทางญี่ปุ่นเองก็ส่งนักบวชมาคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือยังไง เพราะตั้งแต่ต้นจนจบอีกฝ่ายไม่ได้พูดคุยกับพวกหลงเซินโดยตรงเลยสักครั้ง หลงเซินก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหา สองฝ่ายยังคงทำสงครามประสาทใส่กันจนกระทั่งสิ้นสุดการประชุม

เป็นครั้งแรกที่ตงจื้อได้ย่างกรายเข้ามาในสถานที่แบบนี้และได้พบผู้บำเพ็ญเพียรจากประเทศอื่น ๆ ถึงแม้ชื่อเรียกจะแตกต่างกันไป แต่ในแง่ของคำพูดคำจาและการกระทำ คนพวกนี้ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากคนทั่วไปเลย ยังไงผู้ที่ถูกส่งตัวมาก็ต้องไม่ใช่คนที่ตัดขาดจากโลกภายนอก อยู่ในป่าเก่าเขาลึกเช้าจรดเย็นอยู่แล้ว ขนาดพ่อหมอท่านหนึ่งที่มาจากแอฟริกายังสวมสูทกับรองเท้าหนัง ภาษาอังกฤษฉะฉาน ทำให้ตงจื้อเกิดภาพจินตนาการที่บรรยายแทบไม่ถูก

พวกเขาสนทนาแลกเปลี่ยนกันเรื่องที่พลังปีศาจของปาปียัสจะไปที่ไหน และเห็นพ้องต้องกันว่าการคาดการณ์ของหลงเซินมีความเป็นไปได้สูง จึงเห็นว่าควรยกระดับความระแวดระวังต่องานชุมนุมที่กำลังจะมาถึงให้มากขึ้น ส่วนคาร์ลอสออกความเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันดีในการหลอกล่อปีศาจฟ้าให้มาติดกับ หวังจะใช้โอกาสจากงานชุมนุมกำจัดปาปียัสให้สิ้นซากไปเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

ทุกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีต่อความคิดเห็นดังกล่าวแบบทันทีทันใด เพียงเห็นตรงกันว่าต้องกลับไปหารือแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ไม่นานการประชุมก็สิ้นสุดลง หลงเซินไม่ได้รั้งอยู่ในกรุงเทพฯนานนัก หลังบอกลาศรรามกับเขมทัตแล้ว เขาก็พาตงจื้อกลับประเทศมาก่อน

 

บนเครื่องบิน ตงจื้อห้ามความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เขาถามหลงเซินว่า “มีการกำหนดตัวผู้ได้รับคัดเลือกของงานชุมนุมแลกเปลี่ยนแล้วเหรอครับ”

หลงเซินพยักหน้า “กำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าที่พวกเราจะมาหาสนแล้ว ตอนแรกควรจะเป็นนาย หลี่อิ้ง หลิวชิงปัว จางซง หลิ่วซื่อ และอีกคนหนึ่ง แต่ตอนนี้หลี่อิ้งไปญี่ปุ่นแล้ว น่าจะต้องเปลี่ยนคนใหม่”

ตงจื้อสงสัย “คาร์ลอสบอกว่าให้คนเก่านำทีมได้ไม่ใช่เหรอครับ เราเป็นเด็กใหม่กันหมดเลย?”

หลงเซินบอก “ตอนนี้คนในกรมส่วนใหญ่กำลังยุ่งเรื่องศิลา โยกย้ายผู้เข้าร่วมงานที่พึ่งพาได้มาในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ได้  ถ้าเอาใครก็ได้มานำทีม แบบนั้นสู้เอาเด็กใหม่ทั้งหมดมารวมทีมกันยังจะดีกว่า ความเข้าขากันของพวกนายที่ผ่านการเคี่ยวกรำมาแล้วหลายครั้งระหว่างการฝึกอบรม ยังไงก็ได้เปรียบกว่าคนอื่น”

นั่นก็ใช่ ตงจื้อพยักหน้า

“ผมเข้าใจจุดประสงค์ของอาจารย์”

หลงเซินเลิกคิ้ว “จุดประสงค์อะไร”

“จุดประสงค์ที่พาผมมาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ไงครับ!” ตงจื้อยิ้มแฉ่ง “ถึงผมจะไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยตลอดงาน แต่ก็ได้เห็นมาเยอะ ได้ฟังมาเยอะ อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าควรจะสมาคมกับผู้บำเพ็ญเพียรประเทศอื่นยังไง”

หลงเซินยิ้มในใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า

“งั้นไหนนายลองพูดมาซิ”

ตงจื้อบอกอะไรได้มากมายจริง ๆ

“ความสัมพันธ์ของเรากับทีม 51 ค่อนข้างคล้ายกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ จะสนิทสนมก็ไม่ใช่ จะเหินห่างก็ไม่เชิง รักษาระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล ทั้งต้องร่วมมือกันและเตรียมพร้อมป้องกันด้วย ส่วนฝั่งยุโรปเป็นองค์กรอิสระประมาณสองสามแห่ง ปกติต่างคนต่างทำในสิ่งที่ตนคิดว่าถูก ยากจะร่วมมือในช่วงเวลาสำคัญ เพราะแบบนี้ ตอนนี้ปีศาจที่ยุโรปถึงได้อาละวาดหนัก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นสมาคมนักไสยศาสตร์มนตร์ขาวเป็นหลัก แต่สมาคมนี้ไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไหร่เพราะไม่ใช่องค์กรรัฐ ส่วนแวดวงผู้บำเพ็ญเพียรทางฝั่งญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ตอนนี้น่าจะถูกโอโตวะ ยาซูฮิโกะ ควบคุมไว้หมดแล้ว ตอนประชุม ผมเห็นนักบวชคนนั้นไม่ได้ทักทายพวกเรา เอาเข้าจริง ๆ ทุกคนต่างมีจุดยืนและผลประโยชน์ของตัวเอง ให้ร่วมมือกันเพื่อกำจัดปีศาจน่ะได้ แต่ศิลาเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก พวกเราต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเองอย่างเดียว”

หลงเซินเผยสีหน้าชมเชย

ความจริงสมาชิกกรมจัดการคดีพิเศษรุ่นพวกตงจื้อเป็นรุ่นที่มีคุณสมบัติโดยรวมยอดเยี่ยมที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่จริง ๆ ในความยอดเยี่ยมนั้นก็มีการแบ่งระดับด้วย อย่างเช่นจางซง จริง ๆ แล้วเขามีสติปัญญาและความสามารถสูงมาก แต่ด้วยนิสัยหุนหันพลันแล่นทำให้เขาไม่สามารถขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมได้ หลิวชิงปัวอีกคน พูดถึงความสามารถ เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าตงจื้อ แต่แข็งเกินไปก็หักง่าย ขาดความสามารถในการปรับตัว คนอื่น ๆ ยิ่งมีข้อบกพร่องในแง่ของความสามารถและด้านอื่น ๆ หากพูดถึงคนที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดก็มีแค่หลี่อิ้งกับตงจื้อสองคน

ไม่ใช่หลงเซินคนเดียวที่แอบลำเอียงเวลามองลูกศิษย์ อย่างอู๋ปิ่งเทียนกับซ่งจื้อฉุน หรือแม้กระทั่งคนที่มีตำแหน่งสูงอย่างผู้อาวุโสจง ต่างก็คิดว่าหลี่อิ้งและตงจื้ออาจกลายเป็นเสาหลักของกรมจัดการคดีพิเศษในอีกสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า ดังนั้นที่ครั้งนี้หลงเซินพาตงจื้อมาเข้าร่วมการประชุมด้วย จริง ๆ ได้ผ่านการเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงเป็นการภายในมาก่อนแล้ว

ตงจื้อ หลิวชิงปัว รวมถึงคนอื่น ๆ อาจไม่รู้ตัว แต่ใครหลายคนกำลังเฝ้าดูและคอยห่วงใยพวกเขาอยู่เงียบ ๆ ที่ตงจื้อโดนคุณไสยครั้งนี้ แม้มีหลงเซินคนเดียวที่มา แต่เขาพกยาวิเศษล้ำค่าติดตัวมาด้วยไม่ใช่น้อย ๆ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วยาวิเศษพวกนี้ไม่ได้ถูกใช้งาน แต่ด้วยระเบียบการที่มีอยู่ตอนนี้ มันจึงไม่ใช่ของที่หลงเซินนึกอยากจะเอามาก็เอาออกมาได้ตามใจ ต้องได้รับการลงนามเห็นชอบจากอู๋ปิ่งเทียนและซ่งจื้อฉุนด้วย

ตงจื้อหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่าย เขาเอียงหัวขอรับความดีความชอบ “คำตอบของผมทำให้อาจารย์รู้สึกว่าไม่ได้รับลูกศิษย์คนนี้มาเสียเปล่าใช่ไหมครับ”

“อย่าซน” ประโยคนี้ไม่มีการตำหนิแม้แต่น้อย แต่               แฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่แม้แต่หลงเซินเองก็ไม่รู้ตัว จนกลายเป็นให้อารมณ์หยอกล้อขึ้นมา

นี่น่ะเหรอเรียกว่าซน

ตงจื้อจับนิ้วอีกฝ่ายมาไว้ที่ริมฝีปากแล้วงับเบา ๆ หนึ่งที ก่อนยิ้มอย่างจงใจ “แบบนี้เรียกว่าซนด้วยหรือเปล่า”

หลงเซินพลิกมากุมมือที่อยู่ไม่สุขของเขา กดมันลงบนที่วางแขน

“นี่เรียกว่ายั่ว”

ตงจื้อหัวเราะ คนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอย่างอาจารย์เขารู้จักพูดคำว่ายั่วด้วยแฮะ

“งั้นไม่ทราบว่ารองอธิบดีหลงโดนยั่วสำเร็จหรือยังครับ”

หลงเซินส่ายหน้า ดูท่าทางอารมณ์ดี ไม่วายกล่าวติดตลก “จิตใจฉันมั่นคง”

มือตงจื้อถูกกดไว้ เลยอยากขยับเท้าแทน แต่ยังไม่ทันที่ปลายเท้าจะขยับ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะล่วงรู้ถึงเจตนาของเขา

“ถ้ายังขยับอีก จะบุกเข้าไปในห้วงสำนึกนายตรงนี้เลย”

ตงจื้อ “…”

เขาไม่อยากหน้าแดงซ่าน ตัวอ่อนยวบบนเครื่องบินแล้วถูกคนเข้าใจผิดสักนิด จึงหดมือกลับ หยุดแกล้งอาจารย์ตัวเองทันที

หลงเซินผินหน้ามายิ้มให้เงียบ ๆ

หลังศึกใหญ่ผ่านไปก็ไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่นัก บนเครื่องบินขากลับประเทศ หลงเซินนั่งอยู่ด้านข้าง จิตใจตงจื้อผ่อนคลาย จึงผล็อยหลับไปตั้งแต่ก่อนเครื่องออก เสียงอื้ออึงและแรงสั่นไหวยามเครื่องบินทะยานขึ้นไม่อาจปลุกเขาให้ตื่นจากนิทรารมณ์ได้เลย

ตอนแรกหลงเซินไม่รู้สึกง่วง แต่สงสัยเขาคงติดเชื้อมาจากตงจื้อ พอเห็นอีกฝ่ายหลับสนิทก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา ดึงผ้าห่มที่คลุมอยู่บนร่างตงจื้อขึ้น หลับตาตาม และงีบหลับไปตลอดทางโดยไม่รู้ตัว

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงพวกเขาก็กลับถึงกรมจัดการคดีพิเศษ ตงจื้อมองสิ่งปลูกสร้างที่คุ้นเคย คุณลุงเฝ้าประตูที่คุ้นตาตรงหน้า รู้สึกอบอุ่นใจเป็นที่สุด

คุณลุงนั่งกอดอกสัปหงกอยู่ตรงนั้น แต่หูกลับได้ยินเสียงพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ จึงเงยหน้าขึ้น ยังไม่ทันเก็บสายตาคมกริบลงก็เห็นหลงเซินกับตงจื้อ คุณลุงผงกหัวเล็กน้อย ก่อนก้มหน้าสัปหงกต่อ

ทุกครั้งที่ตงจื้อผ่านมา เขามักรู้สึกว่าลุงยามคนนี้ช่างน่าทึ่ง ทุกวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเขาแทบไม่จำเป็นต้องพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเวรเลย ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ตราบใดที่เขาเข้าออกประตูหลังของกรมจัดการคดีพิเศษจะต้องเห็นคุณลุงนั่งอยู่ตรงนั้นเสมอ ราวกับว่าตราบใดที่มีกรมจัดการคดีพิเศษอยู่ เขาก็จะอยู่ที่นั่นตลอด ถ้าให้คัดเลือกบุคคลลึกลับอันดับหนึ่งในกรมจัดการคดีพิเศษ คุณลุงคนนี้ต้องครองอันดับแรกอย่างแน่นอน

ตงจื้อเคยสงสัยว่าลุงยามไม่ใช่มนุษย์ แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว ปีศาจธรรมดาก็ใช่ว่าจะมีกำลังวังชาเช่นนี้เสมอไป

แผลเก่าของตงจื้อยังไม่หายดี และอีกไม่นานหลังจากนี้งานชุมนุมแลกเปลี่ยนระดับโลกก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว หลิวชิงปัวและคนอื่น ๆ ต้องมารวมตัวกันที่ปักกิ่ง หลงเซินจึงให้ตงจื้ออยู่รักษาแผลต่อที่ปักกิ่ง ไม่จำเป็นต้องเทียวไปเทียวมา เดี๋ยวนี้ยังไงอินเทอร์เน็ตก็พัฒนาไปมาก ติดต่อสื่อสารผ่านทางไกลได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว

ตอนนี้เป็นยามบ่ายพอดี ไม่มีเวลามาสวีตหวานกันอย่างที่คิด สองศิษย์อาจารย์ยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้

ตงจื้อตามหลงเซินไปพบอู๋ปิ่งเทียนกับซ่งจื้อฉุนก่อน รายงานเรื่องการเดินทางครั้งนี้ให้รองอธิบดีทั้งสองท่านทราบ เขาสังเกตว่ารองอธิบดีสองท่านซูบผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกว่าช่วงนี้พวกเขาไม่ได้อยู่เฉย ตอนนั้นหลงเซินยุ่งเรื่องจัดการช่องทางอเวจี ตงจื้อกำลังต่อสู้กับปีศาจฟ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างคนต่างเล่าเสริมให้กันพอดี บอกเล่าเรื่องราวออกไปอย่างไม่มีติดขัด แม้อู๋ปิ่งเทียนกับซ่งจื้อฉุนไม่ได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ผ่านการต่อสู้มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ มีหรือจะไม่เห็นถึงอันตรายที่อยู่ในนั้น ซ่งจื้อฉุนถอนหายใจ บอกทันทีว่า “ผมน่าจะไปกับพวกคุณตั้งแต่แรก พวกคุณไปกันครั้งนี้เกือบเอาชีวิตไม่รอด!”

หลงเซินมีสีหน้าเรียบเฉยขณะตอบอย่างตรงไปตรงมา “ในเมื่อกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้อีก ฝั่งคุณเป็นยังไงบ้าง”

ซ่งจื้อฉุนเพิ่งกลับจากเสฉวนเหมือนกัน เหน็ดเหนื่อยหนักจากการเดินทาง ไม่ทันกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่า พะเน้าพะนอภรรยา ก็ต้องรีบกลับมาประชุมที่สำนักงานใหญ่ เพราะคนของกรมจัดการคดีพิเศษเจอศิลาอีกแห่งแล้ว แต่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก

มีการค้นพบศิลาแปดหลักที่ประกอบขึ้นเป็นค่ายยันต์บนชีพจรมังกรหลายแห่ง ตอนค้นพบศิลาซึ่งตั้งอยู่ที่ตีนเขาเส้าหัว มันแตกหักไปหลายร้อยปีแล้ว ไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก หลังจากนั้นทุกคนในกรมต่างก็เร่งมือ แต่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ กลับมาทั้งสิ้น เลยจำต้องแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม ส่งพวกหลี่อิ้งไปหาโอโตวะ ยาซูฮิโกะ ที่ญี่ปุ่น ขณะค้นหาศิลาที่เหลือต่อไป

จะว่าไปก็บังเอิญ ตอนนี้มีการขุดค้นพบสุสานโบราณแห่งหนึ่งใกล้ซานซิงตุย[1] นักโบราณคดีพบศิลาครึ่งส่วนที่ชำรุดเสียหายเกินกว่าจะบูรณะได้ในห้องสุสานหลักและไม่เข้าใจอักขระยันต์บนนั้น เกือบนึกไปว่าเป็นอักษรรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน หลังสำนักงานตะวันตกเฉียงใต้ทราบข่าวก็รีบไปทันที จากการตรวจสอบเปรียบเทียบ พบว่าศิลาครึ่งส่วนนั้นเป็นหนึ่งในศิลาที่พวกเขากำลังตามหาอยู่จริง ๆ

สามร้อยสิบหกปีก่อนคริสต์ศักราช ในรัชสมัยของพระเจ้าฉินฮุ่ยเหวิน แคว้นสู่โบราณถูกกองกำลังของแคว้นฉินตีแตก พระเจ้าฉินได้แต่งตั้งเฉินจวง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขึ้นมาเป็นมหาเสนาบดีของแคว้นสู่ และเจ้าของสุสานที่ขุดพบศิลาครึ่งส่วนนี้คือผู้ช่วยของเฉินจวง น่าจะเป็นขุนนางอีกคนของแคว้นฉินในสมัยนั้น และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่โค่นล้มแคว้นสู่

ตามจารึกสุสาน ศิลาหลักนี้ได้รับสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวสู่ยกย่องว่าเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ และพระเจ้าสู่ก็คิดว่ามันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตนได้รับบัญชาจากสวรรค์ ไม่ว่ากษัตริย์สู่จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปอย่างใด ศิลาก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในวิหารบรรพชน แต่ในเมื่อชาวฉินต้องการยึดครองแคว้นสู่ไปเป็นของตน ก็ต้องทำลายชะตาฟ้าลิขิต ด้วยเหตุนี้เฉินจวงจึงสั่งทำลายศิลาหลักนี้ ศิลาครึ่งส่วนถูกลำเลียงกลับไปยังแคว้นฉินเพื่อถวายแด่พระเจ้าฉิน ส่วนอีกครึ่งที่เหลือเก็บไว้ที่เดิม

หลายสิบปีหลังจากนั้น สถานการณ์ในแคว้นสู่ค่อย ๆ สงบลง ความสำคัญทางการเมืองของศิลาอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น ผู้ช่วยของเฉินจวง ซึ่งก็คือเจ้าของสุสาน จึงขอศิลาครึ่งส่วนนั้นมาศึกษา ภายหลังเสียชีวิตจากอาการป่วยขณะดำรงตำแหน่ง จึงประกอบพิธีฝังที่นั่นและให้คนนำศิลาฝังไปข้าง ๆ พร้อมกันด้วย ถึงได้ถูกค้นพบในอีกหลายพันปีต่อมา

ทว่าสำหรับกรมจัดการคดีพิเศษแล้ว นี่เป็นข่าวร้าย ศิลากลายเป็นสองส่วน ต่อให้เจออีกครึ่งที่เหลือก็ไร้ประโยชน์ เท่ากับว่าค่ายยันต์สะกดปีศาจเสียหายไปแล้วอีกจุด

ฟังถึงตรงนี้อู๋ปิ่งเทียนก็อดยิ้มเฝื่อนไม่ได้ “แตกไปแล้วสามหลัก”

ซ่งจื้อฉุนถอนหายใจ “ศิลามีทั้งหมดแปดหลัก ถึงก่อตัวเป็นค่ายยันต์สะกดปีศาจแปดเหลี่ยมได้ ตอนนี้ขาดไปแล้วสามหลักจากแปดหลัก ผมเป็นห่วงว่าจะทำให้ค่ายยันต์อ่อนกำลังลง หวังว่าที่พวกติงหลานไปญี่ปุ่นคราวนี้จะได้อะไรกลับมาบ้างนะ ขอแค่รู้ว่าตาค่ายยันต์อยู่ที่ไหน พวกเราคงไม่ต้องมาคอยตั้งรับอยู่แบบนี้”

 

[1] ซากโบราณสถานในมณฑลเสฉวนของจีน ได้รับการขนานนามว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 9 ของโลก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า