[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 5 ตอนที่ บทที่ 115

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 115

 

แม้ฝั่งพวกตงจื้อจะรอดพ้นอันตรายมาได้ชั่วคราว แต่การต่อสู้ระหว่างสินชัยกับสนกำลังมาถึงภาวะชะงักงัน

ทั้งสองฝ่ายมีเคล็ดวิชาที่ต่างกัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งคู่ต่างก็เป็นนักไสยศาสตร์ฝีมือเยี่ยม สินชัยอาจด้อยกว่าสนเล็กน้อยในแง่ของวิธีการอันน่ารังเกียจ แต่สนก็ช่วงชิงความได้เปรียบไปไม่ได้ง่าย ๆ

ตงจื้อค่อนข้างเป็นห่วงหลงเซิน หากทางนั้นราบรื่นปลอดภัย ป่านนี้หลงเซินก็น่าจะมาปรากฏตัวแล้ว แสดงว่าทางฝั่งนั้นรับมือยากยิ่งกว่า ตงจื้อกำลังจะไปหาหลงเซิน ก็พลันเห็นระเบิดจากห้องด้านในสุดของเรือน

การระเบิดเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่เสียงดังมากพอจะสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทุกแห่งหน แม้กระทั่งสินชัยกับสนที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายจนปลีกตัวไม่ได้ก็ยังชะงักไปครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัว ตงจื้อกับเขมทัตไม่เพียงแต่เห็นการระเบิดกับตาเท่านั้น แต่ยังเห็นหลังคาห้องพังถล่ม พายุเฮอริเคนสีดำทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เมฆดำเหนือศีรษะก่อตัวไม่หยุด ขึ้น ๆ ลง ๆ ตอบสนองกัน ราวกับท้องฟ้าถูกทะลวงจนเป็นรูด้วยพายุเฮอริเคน เปิดช่องทางสู่อีกโลกหนึ่ง

“นั่นมันอะไร!” เขมทัตร้องเสียงหลง

ตงจื้อรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่หยุดคิด วินาทีนั้นเขาคิดแค่ว่าหลงเซินยังอยู่ข้างใน

สินชัยรับมือสนอยู่ทำให้ปลีกตัวออกมาไม่ได้ พอเห็นดังนั้นก็เปลี่ยนสีหน้า

มีเพียงสนที่แสดงความปีติยินดีเป็นล้นพ้น หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง “พลังของท่านปาปียัสผู้ยิ่งใหญ่! นายท่านหวนกลับมาจากนรกอเวจีแล้ว พวกมดปลวกที่กล้าดูหมิ่นนายท่านอย่างพวกแกต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด!”

ระหว่างที่พูดอยู่นั้น พายุเฮอริเคนมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ แต่พลังของมันกลับยิ่งทวีความรุนแรง ทุกที่ที่มันพัดผ่านไม่มีตรงไหนไม่พังราบเป็นหน้ากลอง เศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนหมุนคว้างปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ต้นไม้ถูกขุดรากถอนโคน น้ำในแม่น้ำข้าง ๆ ถูกสูบขึ้นมากลายเป็นหยดน้ำจำนวนมาก ก่อนระเหยเป็นไอกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมอกดำที่ปกคลุมครึ้มหนาอยู่รอบ ๆ พายุเฮอริเคน

ในสายตาของมนุษย์ นั่นเป็นภาพที่แทบปกคลุมท้องฟ้าบดบังดวงตะวัน แม้แต่สุขียังเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดในช่องท้อง คุกเข่ากับพื้น ตัวสั่นงันงก ปากพึมพำชื่อปาปียัสไม่หยุด

ตงจื้อเข้าไปใกล้ไม่ได้เลย เขาพยายามออกแรงเดินฝ่าสายลมกระหน่ำไปข้างหน้า ดวงหน้าซีดเผือด

เขารู้ว่าหลงเซินแข็งแกร่งมาก แต่ถึงยังไงร่างกายอีกฝ่ายก็มีเพียงเลือดเนื้อ ทว่าปาปียัสเป็นปีศาจในตำนานที่เคยทำให้พระพุทธเจ้าทรงหวั่นไหว ต่อให้มันเพิ่งถือกำเนิด หรือยังไม่ได้รับพลังอย่างสมบูรณ์ และฝีมือทั้งสองฝ่ายไม่ได้ต่างกันเกินไป ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการนองเลือดได้อยู่ดี เขาอยากเกิดมาพร้อมความสามารถในการเคลื่อนย้ายระยะไกลได้เป็นพันลี้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไปอยู่เคียงข้างหลงเซิน ถึงช่วยได้ไม่มากก็ยังดีกว่าอยู่ที่นี่โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

เมื่อสิ่งปลูกสร้างรอบด้านถูกทำลายเรียบ การมองเห็นจึงกว้างไกลขึ้น พายุเฮอริเคนสีดำค่อย ๆ หดเล็กลงกลายเป็นพายุไซโคลนขนาดเล็ก ทว่าความสูงของมันยังคงทัดเทียมชั้นเมฆบนฟ้าได้อยู่ ใจกลางเต็มไปด้วยหมอกดำ ทำให้มองไม่เห็นสถานการณ์ภายใน

แต่ฝีเท้าของตงจื้อกลับชะงักไปดื้อ ๆ

เขมทัตที่อยู่ด้านหลังเอาชนะหุ่นยาที่เหลืออยู่ตัวเดียวมาได้ในที่สุดและตามมาด้วย เขาเห็นตงจื้อไม่ขยับเขยื้อนก็รู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า ตัวเขาเองก็อดตกตะลึงตาค้างไม่ได้

ท่ามกลางหมอกสีดำ ชายคนหนึ่งก้าวออกมา

พูดให้ถูกคือ ผู้ชายร่างเปลือยคนหนึ่ง

เขาไม่มีเส้นผม แต่มีใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่ง เบ้าตาลึก ผิวขาวนวล เช่นเดียวกับร่างกายที่มีสัดส่วนทองคำ กล้ามเนื้อหนั่นแน่นและมีความยืดหยุ่น ทั้งตัวของอีกฝ่ายถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ

นั่นคือจุดสูงสุดที่มนุษยชาติแสวงหาชั่วชีวิต เป็นความสมบูรณ์แบบที่มีเกลันเจโลก็ไม่อาจรังสรรค์ขึ้นได้ แต่ความสมบูรณ์แบบเช่นนี้กลับไม่ได้ทำให้ผู้คนอุทานด้วยความตื่นตะลึงหรืออิจฉาแต่อย่างใด

ตงจื้อกับเขมทัตหนาวสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย รู้สึกได้แค่อาการตกใจกลัวจนตัวสั่น

เพราะความชั่วร้าย

พวกเขาเห็นความโหดเหี้ยมอำมหิตพร้อมทำลายล้างทุกสิ่งอย่างในโลกจนสิ้นจากแววตาของชายผู้นั้น รับรู้ความชั่วช้าสามานย์ทั้งที่จินตนาการได้และไม่ได้ทั้งหมดจากดวงตาและใบหน้าของเขา

ร่างมนุษย์เป็นเพียงเปลือกนอกที่สะดวกสำหรับเขาในการท่องไปบนโลกนี้ เขาเกิดมาเพื่อทำลายล้างและสร้างความพินาศย่อยยับ ที่ใดก็ตามที่เขาอยู่ย่อมเกิดสงครามและภัยพิบัติจากโรคระบาด ความทุกข์ทรมานและความโศกา ซากศพกองพะเนิน ชิ้นส่วนมนุษย์กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เลือดไหลนองท่วมแผ่นดิน ศพฟื้นคืนชีพกลายเป็นข้ารับใช้ของปีศาจร้าย คนตายเดินได้ โลกมืดมนอนธการ

วินาทีนั้นราวกับร่างของตงจื้อและเขมทัตตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว แขนขาแข็งทื่อ ขยับตัวไม่ได้

นี่ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาต้องการจะเห็น เป็นฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการให้พวกเขาเห็น

ปีศาจที่ออกมาจากขุมนรก สิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ในโลกนี้ตั้งแต่แรกจะทำลายล้างโลกใบนี้ในที่สุด

แต่ประตูบานใหญ่นี้กลับถูกเปิดออกด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง

ชายคนนั้นก้าวมาทางพวกเขาทีละก้าวอย่างไม่รีบร้อน ท่าทางสุขุมเยือกเย็น

ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มงดงามที่สุดในโลก แต่ก็น่าพรั่นพรึงที่สุดด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งเสียงก็ยังไพเราะน่าฟัง มีแรงดึงดูด อ่อนโยนจนคล้ายสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านข้างแก้ม ทำให้คนกระดูกอ่อนเปลี้ยได้ แต่ตงจื้อกับเขมทัตรู้ดี นี่คือภาพลวงตาที่ปีศาจใช้เพื่อล่อลวงใจมนุษย์

ธรรมชาติของมนุษย์จะถูกดึงดูดด้วยรูปโฉมภายนอก คนสวยกับคนอัปลักษณ์มายืนอยู่ตรงหน้า ต่อให้เป็นคนที่อ้างว่าตนยุติธรรมที่สุดในโลกหล้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองเหลือบมองคนสวยนานกว่า ปีศาจรู้จุดอ่อนในส่วนลึกของจิตใจคน มันจึงเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปในแบบที่พวกเขาชมชอบที่สุด ตามความฝักใฝ่ของมนุษย์

ปาปียัสยกมือขึ้นเล็กน้อย ก้อนหินข้างเท้าลอยไปที่มือเขา เขาประสานมือและกำเข้าหากัน หินก้อนนั้นก็กลายเป็นผุยผงร่วงลงมาตามซอกนิ้วทันที

เขาทำท่าอารมณ์เสีย คล้ายไม่ค่อยพอใจพลังของตนในตอนนี้

ตงจื้อกับเขมทัตไม่ไหวติง

ไม่ใช่พวกเขาไม่อยากขยับ แต่ขยับไม่ได้

แรงกดดันมหาศาลจากปีศาจปะทะใส่หน้า ถาโถมเข้ามาดุจพลิกทะเลทลายภูเขาให้ล้มครืน ที่พวกเขาประคองร่างกายไว้ไม่ให้ถอยหลังหรือทรุดลงไปได้ก็ยากมากแล้ว

“…หลง…เซิน…ล่ะ!”

ตงจื้อจ้องปาปียัสเขม็ง ถามทีละพยางค์แบบแทบเค้นออกจากไรฟัน

ปาปียัสเอียงคอ สีหน้างงงวย คล้ายไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร

“ท่านปาปียัส! ท่าน…ท่านคือท่านปาปียัสผู้สูงส่ง!”

สุขีวิ่งกะโผลกกะเผลกเข้ามา คุกเข่ากับพื้น หมอบคลานไปข้างหน้าทีละก้าว แหงนหน้ามองปาปียัส น้ำตาไหลอาบหน้า ประหนึ่งพานพบเทพเจ้าที่ลงมาจุติบนโลกตัวเป็น ๆ

“นายท่าน ช่วยกระผมด้วย กระผมปวดท้องเหลือเกิน…กระผมเป็นบ่าวรับใช้ที่เคารพบูชานายท่านที่สุด กระผมชื่อสุขี…”

ชายผู้นั้นถอนพลังกลับมา สุขีพลันรู้สึกว่าแรงกดบนร่างเบาบางลง เขาอดดีใจไม่ได้ เร่งความเร็วตะเกียกตะกายไปเบื้องหน้าอีกฝ่าย

ปาปียัสมองดู สีหน้าเผยความสงสัยใคร่รู้ออกมา

สุขีรู้สึกมีหวัง รีบโน้มตัวลงจูบเท้าอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวัง

“นายท่าน กระผมเต็มใจเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของนายท่าน ได้โปรดรับกระผมไว้ด้วย!”

อาการปวดท้องก่อนหน้ายังไม่หาย สุขีจึงเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น

“ข้า…รับใช้?” ปาปียัสทวนการออกเสียงของเขา

“ขอรับ!” สุขียิ้มดีใจ หันไปชี้นิ้วใส่ตงจื้อกับเขมทัต “นายท่าน พวกนั้นต่างหากที่เป็นศัตรู พวกมันนั่นแหละที่ต้องการขัดขวางการฟื้นคืนชีพของนายท่านครั้งนี้!”

เสียงเจ้าตัวหยุดลงกะทันหัน รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้าง

วินาทีสุดท้ายในชีวิตสุขี เขาได้ยินเพียงเสียงกร๊อบ ซึ่งเป็นเสียงคอที่ถูกหักของเขา

จากนั้นการมองเห็นของเขาก็ดับวูบ ลมหายใจขาดช่วงไปในพริบตา เขาไม่รู้เลยว่าศีรษะของตนถูกปาปียัสบิดลงมา เลือดพุ่งออกจากลำคอที่ถูกกระชากขาด เส้นประสาทกระตุ้นให้ร่างกายที่สูญเสียศีรษะกระตุกตอบสนองอยู่นานกว่าจะสิ้นใจ แล้วเลือดกับมันสมองที่หยดลงมาจากศีรษะก็ถูกชายผู้นั้นส่งเข้าปากทั้งหมด

กรุบกรับ ๆ ปาปียัสสวาปามอย่างตะกรุมตะกราม ไม่แม้แต่จะปรายตามองตงจื้อกับเขมทัต ส่วนที่ยัดไม่หมดทำให้เลือดไหลลงมาตามมุมปาก รอยเลือดเปรอะเปื้อนใบหน้าอันสมบูรณ์แบบ ก่อเกิดเป็นความงามที่แสนดิบเถื่อน

หากความงามเช่นนี้กลับแลกมาด้วยการเข่นฆ่า

การต่อสู้ระหว่างสินชัยกับสนดำเนินมาถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นกัน

นักไสยศาสตร์ระดับสูงทั้งสองรู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่จบหากไม่ตายกันไปข้าง จึงต่างใช้ความสามารถที่ตนถนัดที่สุด หลังมนตร์ล่องหนของสนถูกสินชัยกำราบ เขาก็อัญเชิญคุณไสยผีที่ตนใช้เวลาหลายปีในการหล่อหลอมออกมาอีก โครงกระดูกเจ็ดแปดโครงลอยออกจากบ้าน กระโจนใส่สินชัย พวกมันคงอยู่ด้วยวิชาลับ ดูดซับไอศพ ใครก็ตามที่สัมผัสจะติดพิษจากศพ ส่วนสินชัยเรียกไสยเวทหนอนออกมาต่อกรกับมัน โครงกระดูกปะทะกับฝูงหนอนกลางอากาศ หนอนทยอยล้มตายเมื่อโดนไอศพ แต่ก็มีหนอนพิษที่ไม่หวั่นเกรงคุณไสยผี กระโจนเข้าใส่สนตรง ๆ ด้วย

บัดนี้ปาปียัสฟื้นคืนชีพและกำลังสาวเท้ามาทางพวกเขาทีละก้าว ขณะที่สนยินดีสุดขีด เขาก็เห็นสุขีถูกปีศาจฟ้าฆ่าตายโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จึงรู้สึกกังขาขึ้นมา จิตใจสั่นคลอนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง สินชัยมองเห็นช่องโหว่จึงปล่อยคาถาเบญจพิษออกมาเงียบ ๆ ส่งผลให้สนกระอักเลือดล้มลงกับพื้น

โครงกระดูกเหล่านั้นทยอยร่วงลงพื้นก่อนแยกเป็นชิ้น ๆ คุณไสยผีจึงแพ้ภัยตัวเอง ไสยเวทหนอนที่สินชัยตรากตรำทำมาหลายปีก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน หนอนพวกนั้นเกิดจากการควบกลั่นเลือดบริสุทธิ์ของเขา หนอนทุกตัวที่ตายไปย่อมหมายความว่าตัวเขาได้รับผลสะท้อนกลับด้วย ตอนนี้จึงอ่อนเปลี้ยเพลียแรง บอบช้ำกันทั้งสองฝ่าย สู้ต่อไม่ได้อีก

การคุกคามของสนยุติลงชั่วขณะ แต่ศัตรูตัวฉกาจกว่านั้นกลับปรากฏขึ้น

ปาปียัสกำลังดูดศีรษะในมือด้วยความเอร็ดอร่อย

คงเพราะนี่เป็นอาหารมื้อแรกหลังจากที่เขามายังโลกมนุษย์ หรือไม่เขาก็คงหิวโหยมากจริง ๆ จึงเห็นค่ามันเป็นพิเศษ ไม่ยอมเหลือทิ้งแม้แต่เลือดหยดเดียว

ตงจื้อไม่เห็นหลงเซินเสียที อารมณ์จึงจมดิ่งลงไปถึงก้นบึ้ง เขาไม่อยากคิด แต่ก็จำต้องเผชิญหน้ากับข่าวร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้มากที่สุด

ชายหนุ่มกำกระบี่แน่น รู้สึกว่าแรงกดดันจากพลังปีศาจดูจะคลายลงไปบางส่วน ในใจรู้ดีว่าเวลานี้การป้องกันตัวของปีศาจฟ้าหละหลวมที่สุด จึงถีบตัวขึ้น ถ่ายทอดพลังปราณทั้งหมดในร่างไปที่กระบี่ทันที

ถึงขนาดที่เขารู้สึกว่าตนเข้าใจในแก่นแท้ของจิตนึกคิดของกระบี่อย่างแท้จริง เพราะนี่แทบจะเป็นวิถีกระบี่ที่ไวที่สุดเท่าที่ผ่านมาของเขาเลย

กระบี่ที่ทุ่มแรงลงไปสว่างเจิดจ้า ตงจื้อไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เขาเพิ่งรู้ว่าเวลาที่คนเราโมโหถึงขีดสุด ในหัวจะหลงเหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

กระบี่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ แสงกระบี่กลายเป็นสายรุ้งพลิ้วไหว ถึงขนาดแทงทะลุฝ่าแรงกดดันรอบตัวปีศาจฟ้าออกไปได้!

ปีศาจฟ้าที่ตอนแรกไม่เห็นศัตรูอยู่ในสายตาเงยหน้าขึ้นในที่สุด แสดงความประหลาดใจเล็กน้อย

ปาปียัสยกมือขึ้น แสงกระบี่ทะลุผ่านฝ่ามือแทงเข้าไปในทรวงอก

แรงบุกดุจม้าห้อตะบึงบนที่ราบ ยากจะต้านทานไว้ได้

แต่ตงจื้อดีใจได้ไม่นาน เพราะเขาพบว่ากระบี่ของตนไม่อาจเคลื่อนต่อไปข้างหน้าได้อีก ในขณะเดียวกัน เรี่ยวแรงมหาศาลก็ส่งผ่านมาจากฝั่งตรงข้าม ดันตัวเขาออกไปทีละน้อย

ปราณปู้เทียนกังกับพลังปีศาจปะทะกัน เกิดระเบิดเป็นกระแสพลังพวยพุ่งขึ้นฟ้า ฝุ่นผงลอยฟุ้งกระจาย ก้อนหินเศษไม้ปลิวว่อนไปทั่ว เขมทัตไม่ทันหาที่ยึดจับจึงกระเด็นออกไปด้านหลัง สนกับสินชัยหลบไม่ทัน ตามใบหน้าและลำตัวจึงมีบาดแผลเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก

ไม่กี่วินาทีให้หลัง การประมือครั้งนี้ก็จบลงด้วยความล้มเหลวของตงจื้อ เขาเจริญรอยตามเขมทัตไปทันที ร่างหงายหลังเพราะพลังปีศาจ ตกกระแทกพื้นในบริเวณที่ไกลออกไปหลายเมตรอย่างแรง!

“เจ้าดูดีกว่าเขาเยอะเลย”

ปาปียัสมองกะโหลกในมือที่ถูกดูดกินมันสมองจนหมดแล้วโยนมันทิ้งไปอย่างไม่แยแส ก่อนเดินมาทางพวกเขา อยู่ ๆ ก็พูดภาษาที่คนอื่นเข้าใจได้ออกมา

ตงจื้อเข้าใจทันที นี่มาจากการดูดกลืนเอาเลือดเนื้อของสุขีเข้าไป

‘เขา’ ที่ปีศาจฟ้าพูดถึงคือสุขีที่หัวขาดไปเมื่อครู่

เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารและน่าสังเวชใจผู้นี้หลับหูหลับตาบูชาพลังที่ยิ่งใหญ่ สุดท้ายกลับถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือปีศาจชั่วที่เขาต้องการมอบความจงรักภักดี และปีศาจตนนั้นก็ไม่เห็นมดอย่างเขาอยู่ในสายตาเลย

“ข้าชอบเจ้า” ปาปียัสคลี่ยิ้มให้ตงจื้อเล็กน้อยด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุด “ข้าจะเหลือเจ้าไว้เป็นคนสุดท้าย สนุกก่อนแล้วค่อยกิน”

แต่ความอ่อนโยนดังกล่าวแสดงออกเพียงแค่ผิวเผิน สายตาของเขาเย็นเยียบไร้ความปรานี มองตงจื้อกับเขมทัตไม่ต่างอะไรกับมองก้อนหินและเศษไม้พวกนั้น

ในสายตาของปีศาจ สิ่งมีชีวิตทั้งปวงล้วนเป็นของตาย

พวกมันเกิดมาเพื่อทำลายล้าง ความทุกข์ทรมานในโลกคือเสียงดนตรีที่จำเริญใจพวกมันที่สุด การเฝ้าดูมนุษย์ต่อสู้ดิ้นรนและจมอยู่ในความปรารถนา ร้องโหยหวนขอความเมตตาเพื่อเอาชีวิตรอด เต็มใจตกเป็นทาสของมารปีศาจ คือผลงานชิ้นเอกและความน่าอภิรมย์ที่พวกมันภาคภูมิใจที่สุด

ตงจื้อกัดฟันไม่ส่งเสียง ขณะที่กำกระบี่ฉางโส่วมั่น มืออีกข้างก็ทำมุทราเงียบ ๆ

ปาปียัสไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ในมุมของปีศาจฟ้า ตงจื้อเป็นเพียงของเล่นน่าสนใจที่เก็บไว้เล่นทีหลังได้

เขามองไปรอบ ๆ สายตาตกอยู่บนร่างเขมทัต ก่อนก้าวไปทางอีกฝ่าย

เขมทัตไม่มีทางยอมนั่งรอความตาย เขายันตัวขึ้น นั่งขัดสมาธิบนพื้น มือหนึ่งกำไม้เท้าเคาะลงกับพื้น ปากขมุบขมิบคล้ายกำลังบริกรรมคาถา

พื้นดินราวกับสั่นสะเทือนไปพร้อมการเคลื่อนไหวของเขา จากนั้นก็สงบลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

เขาเป็นลูกศิษย์ที่สินชัยภาคภูมิใจที่สุด มีพรสรรค์ทางไสยศาสตร์ ไม่อย่างนั้นสินชัยคงไม่พาเขามา คาถามนตร์ดำในขณะนี้เป็นไสยศาสตร์งูที่ทรงพลังที่สุดที่เขมทัตฝึกฝนมาหลายปี สายพันธุ์งูที่มีพิษร้ายแรงหลายร้อยตัวมารวมกัน ให้พวกมันเข่นฆ่ากันเอง งูที่รอดชีวิตมาในท้ายที่สุดทะลวงผ่านกระทั่งเพชรนิลจินดา บุกป่าฝ่าดง ฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย ใกล้เคียงกับวิชาพิษกู่ของแถบเหมียวเจียง

ปาปียัสคิ้วกระตุก หยุดนิ่งทันที

เขมทัตจ้องอีกฝ่ายด้วยความประหม่า

ปาปียัสก้มหัว ยื่นมือไปดึงงูตัวเล็ก ๆ สีทองตัวหนึ่งออกจากช่องอกของตนช้า ๆ

ฝ่ามือของเขาที่โดนกระบี่ฉางโส่วแทงทะลุเมื่อครู่ยังไม่สมานดี แต่กลับไม่มีเลือดไหลซึมออกมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน งูตัวน้อยแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ในมือเขา บนหน้าอกปรากฏรูเป็นประกายแวววาว คนอื่นเห็นแล้วเย็นเยียบถึงกระดูก แต่เขาไม่แยแส ตรงกันข้ามกลับอ้าปากกินงูพิษตัวนั้นทีละคำ

เขมทัตคำรามเสียงต่ำ พุ่งไปข้างหน้า แต่ถูกปาปียัสบีบคอไว้ทันที

ตงจื้อเล็งเห็นจังหวะ ไม่ลังเลอีกต่อไป ประสานมุทราเรียกอสนี เมฆดำบนขอบฟ้าไล่หลังกันมา สายฟ้าแลบแปลบปลาบแสบตา ทันใดนั้นอสนีสวรรค์สายหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงลงมาใส่ร่างปาปียัสเต็ม ๆ

แต่ท่ามกลางอสนีบาตได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนของเขมทัต ไร้ซึ่งเสียงของปาปียัส

ตงจื้อใจหายวาบ หนึ่งวินาทีหลังจากนั้น สายฟ้าจางหายไป ที่ท้องเขมทัตมีมือข้างหนึ่ง

คล้อยหลังอสนีสวรรค์ ปาปียัสไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ มิหนำซ้ำยังมีอารมณ์หันมายิ้มให้ตงจื้อด้วย แต่มือเรียวยาวและผิวละเอียดนุ่มข้างหนึ่งกำลังคว้านหน้าท้องเขมทัตอยู่ เขมทัตหน้าแดงก่ำ เลือดสด ๆ ไหลจากมุมปาก พยายามดิ้นรนสุดชีวิตแต่ก็เปล่าประโยชน์ อีกฝ่ายควบคุมเขาไว้ได้อยู่หมัดด้วยมือเพียงข้างเดียว

สินชัยพยายามลุกขึ้นจากพื้น ชี้ไม้เท้าให้ตาข่ายหนอนบินเข้าล้อมกรอบปาปียัส หมายจะช่วยลูกศิษย์ของตนออกมา แต่วินาทีที่หนอนเหล่านั้นสัมผัสกับตัวชายหนุ่ม มันก็พากันร่วงหล่น ตงจื้อสบโอกาส ยกกระบี่กระโจนเข้าหาปีศาจฟ้า คมกระบี่ชี้ตรงไปที่หัวฝ่ายตรงข้าม อีกด้านหนึ่ง สินชัยถือไม้เท้าจู่โจมเข้ามาเช่นกัน ทั้งคู่โจมตีขนาบข้างซ้ายขวา ปาปียัสจึงปล่อยตัวเขมทัตในที่สุด

แสงกระบี่ของตงจื้อพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว บางทีที่เขาสะสมพลังไว้เมื่อครู่ก็เพื่อจุดประสงค์ในการโจมตีครั้งนี้ พลังสังหารหนักหน่วงเกาะกุมคมกระบี่ ทะลุผ่านหมอกดำที่รายล้อมรอบตัวชายผู้นั้น รุดหน้าไปอย่างอาจหาญ ตีฝ่าวงล้อมเข้าไป

“เจ้า…กำลังตามหาผู้ชายคนเมื่อกี้รึ” จู่ ๆ ปาปียัสก็พูดกับตงจื้อยิ้ม ๆ

สำเนียงค่อนไปทางแข็งทื่อ แต่ออกเสียงชัดเจน ไม่กำกวม

“เขาโดนพลังปีศาจบดขยี้ไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก เสียดายจริง ๆ ตอนแรกข้าอยากลิ้มลองรสชาติของเขาสักหน่อย” กล่าวถึงตรงนี้ ปาปียัสก็เลียริมฝีปากหนึ่งทีคล้ายอดใจไม่ไหว ใบหน้ามีแววเสียดายเล็กน้อย

ปลายกระบี่ตงจื้อชะงัก

ปาปียัสยิ้ม ราวกับกำลังรอจังหวะนี้

มืออีกฝ่ายคว้าจับกระบี่ บิดมือเขาโดยไม่สนใจกระบี่ฉางโส่ว ทิ้งรอยแผลลึกจนเห็นกระดูกบนข้อมือ พลังปีศาจถาโถมเข้ามามืดฟ้ามัวดิน แสงกระบี่แตกกระจายทันที ตงจื้อลอยหวือออกไป

อีกด้านหนึ่ง สินชัยเบิกตาโพลง

ไม้เท้าที่อยู่กับเขามานานสามสิบปีแตกเป็นเสี่ยง ๆ ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นตรงหน้าคือมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาทางตน

“อาจารย์!” เขมทัตคำราม นัยน์ตาสองข้างแดงก่ำ

เห็นเพียงมือของปาปียัสทะลวงเข้าไปในกะโหลกศีรษะของอาจารย์เขา บีบกะโหลกจนแหลกละเอียด ประคองวัตถุร้อนระอุที่อยู่ในนั้นออกมา ก่อนเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อยเต็มที

แม้เลือดที่ช่วงกลางลำตัวของเขมทัตจะหยุดลงชั่วคราว และเจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งเพื่อขยับเข้าไป แต่สุดท้ายก็ไม่มีกำลังพอจะช่วยเหลืออะไรได้ ได้แต่เบิกตากว้างมองอาจารย์ของตนสิ้นใจลงด้วยเงื้อมมืออันชั่วร้ายของปีศาจฟ้าเพื่อช่วยเหลือเขา

สนตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น ไม่ได้พุ่งเข้าไปแสดงความภักดีอย่างโง่เขลาเหมือนสุขี เขายืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ราวกับกำลังสังเกตว่าปาปียัสยังจำบ่าวผู้ภักดีคนนี้ได้หรือไม่ แต่ตงจื้อสังเกตเห็นตำแหน่งที่อีกฝ่ายอยู่ ไม่ว่าจะรุกเข้ามาโจมตีหรือถอยหลังหลบฉากก็ย่อมได้ นับว่าฉลาดมาก

แค่ฆ่าสนก็จะถอนคุณไสยดอกท้อหน้าผีบนร่างตัวเองออกไปได้ หากเป็นเมื่อก่อน ตงจื้อคงลงมือไปแล้ว แต่บัดนี้การตายของหลงเซินทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เขาต้องออมแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเอาไว้ ถึงจะมีหวังโจมตีให้สำเร็จในครั้งเดียว ต่อให้ต้องตายตกไปพร้อมกับปีศาจฟ้าก็ตาม

จะให้ปีศาจฟ้าไปจากที่นี่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องเกิดพายุฝนคาวเลือดพัดกระหน่ำแน่ ๆ ขนาดสินชัยยังสิ้นชีพอยู่ที่นี่ คนธรรมดามือเปล่าด้านนอกพวกนั้น สำหรับปีศาจฟ้าแล้วยิ่งเหมือนหั่นผักผ่าแตง หากพวกเขาพลาดท่าที่นี่ ข้างนอกนั่นต้องกลายเป็นนรกบนดินแน่นอน

ดวงตามืดมัวไร้แววของเขาลืมขึ้นช้า ๆ มองผ่านเขมทัตที่กำลังทุกข์ระทมทว่ายังไม่ยอมแพ้ ขยับไปทางปีศาจฟ้าทีละนิด มองผ่านพายุหมุนสีดำที่ยังเคลื่อนที่ไม่หยุดอยู่เบื้องหลังปีศาจฟ้า แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ประเทศที่เขาคุ้นเคย แต่ยังคงเป็นโลกที่หลงเซินต้องการจะปกป้อง และเป็นโลกที่เขาเกิดและเติบโตขึ้นมา

ตงจื้อหลับตา เพ่งพลังปราณทั้งหมดไปที่กระบี่ฉางโส่ว ปลายกระบี่ธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษเรืองแสงน้อย ๆ ทันที และแสงนั้นยังแรงกล้าขึ้นทีละนิดด้วย

อีกด้านหนึ่ง ปาปียัสโยนศีรษะในมือทิ้งในที่สุด เขาเหลือบมองเขมทัตอย่างไม่แยแส สุดท้ายก็หยุดนิ่งบนร่างสนที่อยู่ไม่ไกลออกไป

เมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาไม่ยินดียินร้ายคู่นั้น สนก็แข้งขาอ่อน คุกเข่าลงทันที

“ท่านปาปียัส…ท่านยังจำกระผมได้ไหม กระผมคือสน บ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ช่วยให้ท่านหวนคืนมายังโลกมนุษย์ยังไงล่ะขอรับ!”

ปาปียัสยิ้มให้เขา ไม่รู้ว่าจำได้หรือไม่ได้

สนกระวนกระวาย น้ำเสียงจึงยิ่งนุ่มนวลและจริงใจมากขึ้น

“คืนพระจันทร์เต็มดวงเมื่อยี่สิบปีก่อน กระผมเป็นคนอัญเชิญท่านมายังโลกนี้ด้วยความภักดีสูงสุด ยี่สิบปีมานี้ ไม่มีวันไหนเลยที่กระผมไม่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเสาะหาภาชนะที่เหมาะสมมาจากทั่วทุกสารทิศ ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อสกัดวิญญาณ เสาะแสวงหาอาหารมาบำรุงท่าน ท่านยังบอกด้วยว่า ไว้ถึงวันที่ท่านฟื้นคืนชีพเมื่อไหร่ จะทำให้กระผมกลายเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดใต้บัลลังก์ของท่าน!”

“ข้า…เคยพูดเช่นนั้นหรือ” ปาปียัสถามพร้อมรอยยิ้ม เสียงนุ่มนวลละมุนละไม แต่ใบหน้า ลำคอ และมือสองข้างที่เปรอะเปื้อนเลือดกลับยิ่งทำให้ดูขัดกัน

สนใจหายวาบ พยายามเค้นรอยยิ้มออกมา “ขอรับ หรือว่าท่านลืมไปแล้ว”

ปาปียัสกวักมือเรียกเขา “เจ้า…มานี่”

สนไม่ขยับ

ปาปียัสหรี่ตา

“เจ้าบอกไม่ใช่รึ ว่าจะเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของข้า”

สนทำหน้าลังเล “ท่าน…จำได้หมดแล้วหรือขอรับ”

“แน่สิ” ปาปียัสเผยยิ้มพริ้มพรายชวนให้มึนเมาตาพร่า “บ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของข้า สน ถูกต้องไหม”

“ใช่ ๆ ขอรับ!” สนรู้สึกยินดี ขยับไปข้างหน้าสองสามก้าว มองไปทางปาปียัสแล้วค่อย ๆ คุกเข่าลง สีหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและซาบซึ้ง “ในที่สุดท่านก็กลับมาจากนรกอเวจี กระผมดีใจเหลือเกิน จากนี้ไป กระผมเต็มใจติดตามเคียงข้างท่าน เชื่อฟังคำสั่งของท่าน และบุกทำลายศัตรูเพื่อท่านขอรับ!”

ปาปียัสเดินเข้าไปช้า ๆ มองดูสน พลางยื่นมือออกไป

ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือบังเอิญ สนก้มหัวคุกเข่าหมอบลง หน้าผากแนบดินโคลน เลี่ยงมือของปาปียัสไปได้พอดี

ปาปียัสยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นมือของเขาก็ขยับรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ นิ้วมือทั้งห้าเปรียบเสมือนกรงเล็บแหลมคมที่ทิ่มแทงไปยังศีรษะสน!

สนเหมือนมีตาที่ท้ายทอย เขากระถดร่างถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่เงยหน้า เอื้อมมือไปจับสวรรค์ ลูกศิษย์ที่หายใจรวยรินอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาโยนใส่ปาปียัส

ปีศาจฟ้ารับไว้ด้วยมือข้างเดียว บิดคอสวรรค์หักดังกร๊อบ เขาก้มลงไปดม ก่อนโยนสวรรค์ทิ้งไม่ต่างกับโยนตุ๊กตาผ้าขาด ๆ เหมือนรังเกียจ และเดินเข้าไปหาสนต่ออย่างไม่ไยดี

แววตาที่โหดเหี้ยมอำมหิตมาตลอดของสน บัดนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าปีศาจฟ้าที่ตนมุ่งมั่นจะฟื้นคืนชีพให้ เมื่อถึงที่สุดแล้วจะฆ่าตัวเองด้วย แต่เขาตอบสนองเร็วไว ถึงใจไม่อยากเชื่อแต่ก็ยังหมุนตัวกลับหลังหันหนี วิ่งออกไปด้านนอกด้วยความเร็วสุดชีวิต

แต่ท้ายที่สุดเกมแมวไล่จับหนูก็จบลง ปาปียัสขยับร่างทีเดียว จังหวะที่สนกำลังจะวิ่งออกไปนอกเรือน ความเจ็บปวดรุนแรงระลอกหนึ่งพลันแล่นปราดมาจากต้นคอ สนไม่อาจหันหัวกลับไปได้ด้วยซ้ำ รู้สึกได้ว่ามือข้างหนึ่งทะลุผ่านแผ่นหลังตน หัวใจที่เต้นรัวกระหน่ำถูกกระชากออก สนรู้สึกเย็นวูบที่แผ่นหลังและช่องอก ลำตัวสูญเสียเรี่ยวแรง ล้มคะมำลงไปกับพื้นข้างหน้าอย่างจัง

“ข้าไม่ต้องการข้ารับใช้” ปีศาจฟ้าหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนเรียกข้ามาจากอเวจี ข้าก็จะกินหัวใจของเจ้าซะ ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่เจ้าคอยดูแลเอาใจใส่”

ท่ามกลางสติที่รางเลือน สนคล้ายได้ยินคนพูดข้างหูเช่นนั้น หากมีเสียงก็เหมือนไม่มี ไม่นานมันก็ลอยไปในที่ห่างไกลซึ่งเขาไม่รู้จัก

ส่วนตัวเขาอ้าปากพะงาบ ๆ พ่นคำเสียใจหรือคำก่นด่าด้วยความโมโหออกมาไม่ได้ หมดลมหายใจไปเพียงเท่านี้ มีแค่ตาสองข้างที่เบิกกว้างกับความสมเพชเวทนาตัวเองที่ยังค้างเติ่ง

นักไสยศาสตร์มนตร์ดำที่เที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ในไทยและพม่ามานับสิบปี พรากชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน ไม่นึกเลยว่าต้องมาจบชีวิตลงในแบบที่น่าสังเวชใจและชวนให้ขบขันเช่นนี้

ขณะเดียวกัน ตงจื้อรู้สึกเย็นวาบที่หว่างคิ้ว คล้ายมีอะไรบางอย่างถูกถอนออกไปจากตรงนั้น เขาอดเอื้อมมือไปลูบมันไม่ได้ แต่ไม่เจออะไรเลย

ทว่าชายหนุ่มเข้าใจดี การตายของสนหมายความว่าคุณไสยของตนก็ถูกถอนออกไปด้วย

ปาปียัสกินหัวใจของสนทีละคำจนหมด เขายังไม่หายอยาก จึงเบือนหน้ามองไปรอบ ๆ ในที่สุดก็พุ่งความสนใจไปที่ตงจื้อ

เลือดที่อาบตัวเขาไหลหยดลงไปเบื้องล่างราวเพิ่งกลับจากดินแดนอสุรกาย รอยยิ้มโฉดชั่วประดับบนใบหน้า เรือนร่างสมบูรณ์แบบกับคราบเลือดในที่เกิดเหตุก่อเกิดภาพที่ดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง ดอกบัวสีดำดอกแล้วดอกเล่าผุดขึ้นจากดินโคลนไปตามย่างก้าวของอีกฝ่าย ตั้งแต่ผลิบานไปจนเหี่ยวเฉา ก่อนจะกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา ความงามอันน่าสยดสยองอาจมีคนชื่นชมและใฝ่หา แต่คนคนนั้นไม่มีทางเป็นตงจื้อเด็ดขาด

เขาร่ายคาถาเงียบ ๆ แสงกระบี่ในมือสว่างโรจน์ขึ้นทุกขณะ

ปาปียัสไม่ใส่ใจ ไม่ชะลอฝีเท้าแม้แต่นิด

ในสายตาของปีศาจฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์ สนก็ดี ตงจื้อก็ดี รวมถึงต้นไม้ใบหญ้า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นแค่ของเล่นที่เขาบดขยี้ได้ตามอำเภอใจ ความหมายเดียวสำหรับของเล่นเหล่านี้คือให้เขาทำลายสูญสิ้นเท่าไหร่ก็ย่อมได้

นี่คือปีศาจที่ชั่วช้าสามานย์ถึงขีดสุดซึ่งเดิมทีไม่ได้ดำรงอยู่ในโลกใบนี้ แต่สนกลับใช้อำนาจดันทุรังฉีกกระชากช่องว่างในอากาศและอัญเชิญมายังโลกมนุษย์ ทำให้เกิดคลื่นถาโถมโหมกระหน่ำ สร้างทะเลโลหิตมหึมา

ปาปียัสเอื้อมมือไปทางตงจื้อ ในขณะที่แสงกระบี่ของตงจื้อก็ถูกส่งออกไปด้วย

เมฆอสนีปั่นป่วนอยู่บนขอบฟ้า ประกายสายฟ้าสาดส่องทำให้ขอบฟ้าสว่างไปครึ่งหนึ่ง แสงกระบี่พร้อมด้วยอสนีสวรรค์สว่างโรจน์ฉับพลัน ก่อนแทงเข้าไปในอกปาปียัส

“ทำแบบนี้เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก เจ้าโง่”

ตงจื้อตกใจ ไม่เชื่อว่าอสนีสวรรค์ติดต่อกันสองสายของตนจะไม่ส่งผลอะไรกับอีกฝ่ายเลย

หรือปีศาจฟ้าในตำนานจะไม่มีใครต่อกรได้จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นยังมีวิธีไหนในโลกที่จะกำจัดมันได้อีก?!

ปีศาจฟ้ายิ้ม เอื้อมมือมาบีบคอตงจื้อ

แรงบีบบนต้นคอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตงจื้อหน้าเขียว มือหนึ่งจับข้อมือที่บีบคอตนอยู่อย่างทำอะไรไม่ได้ มืออีกข้างออกแรงส่งกระบี่เข้าไป ด้วยพลังอำนาจของอสนีสวรรค์ หมอกดำรอบตัวปาปียัสถูกทำลายติด ๆ กัน พลอยทำให้ร่างอีกฝ่ายไหวตามจวนเจียนจะไม่มั่นคงไปด้วย

ในที่สุดปีศาจฟ้าก็เผยสีหน้ารำคาญออกมาเสี้ยวหนึ่ง เขาเบื่อจะเล่นกับ ‘ของเล่น’ ชิ้นนี้แล้ว การยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่าของตงจื้อทำให้เขาหมดความอดทนจนได้ เขาอยากไปจากที่นี่ เพราะข้างนอกยังมีอาหารอันโอชะกำลังรอเขาอยู่อีกมาก

จังหวะนั้นเอง พายุหมุนสีดำด้านหลังก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน!

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พายุหมุนแตกกระเจิงกลายเป็นประกายไฟนับไม่ถ้วน และท่ามกลางประกายไฟนั้น ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางเวหา มือถือกระบี่ยาว ราวกับเทพบนสรวงสวรรค์ลงมาเยือน

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า