[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 5 ตอนที่ บทที่ 113

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 113

 

เพราะการสู้รบที่ยืดเยื้อและการยึดครองดินแดนจากกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ จนถึงตอนนี้ชายแดนพม่าจึงยังไม่กลับคืนสู่ความสงบ บางพื้นที่มักมีการยิงปืนใหญ่ติดต่อกันหลายวัน สู้รบตอนกลางวัน ด่าทอกระทบกระทั่งกันตอนกลางคืน ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอันสงบสุขยากจะจินตนาการว่าบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างสองประเทศจะมีผู้ลี้ภัยหลายแสนคนมารวมตัวกัน คนเหล่านี้ไม่มีที่อยู่อาศัย ได้แต่ทำมาค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่แถบชายแดนท่ามกลางสถานการณ์อันตราย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ

แต่หมู่บ้านแสนตาตั้งอยู่ตรงตีนเขาสูงแห่งหนึ่งบริเวณชายแดน ที่นั่นมีแต่ป่าทึบทั่วทุกหัวระแหง หากไม่มีคนในพื้นที่คอยชี้แนะก็ยากมากที่คนนอกจะไม่หลงทางอยู่ในนั้น อย่าว่าแต่เจอตัวสนเลย ต่อให้หลงเซินกับตงจื้อเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ก็ไม่ใช่เทพเซียนที่ทำได้ทุกอย่าง ต้องถามทางก่อนเป็นธรรมดา แต่หมู่บ้านแสนตามีประชากรน้อยและไวต่อคนนอกมาก เผลอ ๆ สนอาจรู้ล่วงหน้าและทำให้พวกตงจื้อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายตั้งรับเอาได้

เวลานี้ตงจื้อจึงเสนอให้พวกเขาทั้งสี่แยกกันไปสองทาง คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง สามคนอยู่ในที่ลับ แบบนี้แล้วจะได้หันเหความสนใจของเป้าหมาย อีกทั้งยังเหลือแผนสำรองเผื่อไว้ป้องกันเรื่องไม่คาดฝันอีกด้วย

อาจารย์สินชัยจึงบอกว่า “แยกกันเป็นวิธีที่ดี ฉันให้เขมทัตไปกับเธอแล้วกัน”

ตงจื้อกลับส่ายหน้า “พวกคุณเป็นคนในประเทศทั้งคู่ อีกอย่าง พวกเขาเห็นการแต่งตัวของพวกคุณก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่คนธรรมดา ผมไปคนเดียว แกล้งทำเป็นไปขอความช่วยเหลือจากสน จะลดความระแวดระวังของพวกเขาได้มากกว่า พวกคุณเว้นระยะห่าง ถ้าเจอเส้นทางอื่นให้เข้าไปได้จะดีที่สุด ถ้าสนเดาได้ว่าเราจะหาตัวฉีหรุ่ยเจอ เขาก็ต้องรอให้เราไปหาถึงที่อยู่แล้ว”

ฝ่ายตรงข้ามคงเดาได้ว่าหลงเซินจะมา แต่คงคาดไม่ถึงเรื่องสินชัย เวลาแบบนี้ยิ่งพวกเขามีไพ่ตายเท่าไหร่ โอกาสชนะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะข้างหน้าเป็นถิ่นของสน ต่อให้มังกรที่ข้ามแม่น้ำไปดุร้ายแค่ไหนก็โดนอุบายของงูเจ้าถิ่นหลอกได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

เห็นเขาพูดจามีเหตุผล สินชัยจึงพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการนี้

“อย่าประมาท” หลงเซินบอกตงจื้อ

ตงจื้อส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเมื่อรับรู้ถึงความห่วงใยในนั้น เขาโบกมือแล้วหมุนตัวเดินไปทางหมู่บ้าน

เมื่อเขาเดินออกไประยะหนึ่งและหันกลับมาอีกครั้ง พวกหลงเซินก็หายไปแล้ว

 

รถแล่นมาถึงสถานีปลายทางซึ่งเป็นอำเภอเล็ก ๆ หลังผ่านอำเภอที่มีประชากรอยู่ไม่มากไปก็เป็นทางภูเขาขรุขระยากแก่การสัญจร มีพืชพรรณมากมาย มองเห็นทางเล็ก ๆ บนพื้นดินซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการเหยียบย่ำของมนุษย์ แต่ระหว่างทางไม่เห็นร่างคนเลย เขามองเห็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปรำไรที่หัวมุมข้างหน้า แต่ก็แค่ดูเหมือนเท่านั้น ตงจื้อเดินมาครึ่งชั่วโมงเต็มก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางเสียที

เที่ยงวัน ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะพอดี อุณหภูมิที่นี่สูงกว่าประเทศจีนมาก เขาเลยต้องพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อคลายความร้อนอบอ้าว บริเวณที่กล่องพิณใส่กระบี่ฉางโส่วแนบติดกับเสื้อบนแผ่นหลังมีเหงื่อออกเหนียวเหนอะหนะ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่

ตอนนั้นเอง เสียงร้องด้วยความตกใจก็ลอยมาจากเบื้องหน้า คล้ายมีคนถูกอะไรบางอย่างกัด

ในที่สุดก็ได้ยินเสียงคน ตงจื้อหูผึ่ง เร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไป

เลี้ยวพ้นหัวมุมตรงหน้าไปไม่นาน เขาก็เห็นใครบางคนนั่งอยู่ที่พื้น

แค่เห็นก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นคนในพื้นที่ สีผิวเข้มเกรียมแดด เด็กวัยรุ่นอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี กางเกงตัวโคร่งถลกขึ้นจนเห็นน่อง สีหน้าเขายับยู่บอกความเจ็บปวด

อีกฝ่ายหันหน้ามาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า พอเห็นตงจื้อก็รู้ว่าเป็นคนนอก จึงแสดงท่าทีระแวดระวังไม่เป็นมิตรทันที

ตงจื้อชี้ไปที่ขาของเด็กหนุ่ม ทำมือไม้ประกอบ พลางเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ “ขานายเป็นอะไร ต้องการความช่วยเหลือไหม”

เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าจะเปิดแอปแปลภาษาขึ้นมาหากอีกฝ่ายฟังไม่เข้าใจ คิดไม่ถึงว่าฝ่ายนั้นก็ใช้ภาษาอังกฤษตอบกลับมาเช่นกัน “เมื่อกี้ผมถูกงูกัด เหมือนจะมีพิษ ตอนนี้ลุกไม่ขึ้น คุณประคองผมไปที่บ้านทีได้ไหม อยู่ข้างหน้านี่เอง”

ตงจื้อมองดู บนขาเด็กหนุ่มมีรอยแผลโดนกัดจริง ๆ ปากแผลมีเลือดไหลซึม แต่เด็กหนุ่มใช้แถบผ้าผูกขาเอาไว้เพื่อไม่ให้พิษแล่นไปทั่วร่างกาย

“ได้สิ ต้องพานายไปโรงพยาบาลไหม”

เด็กหนุ่มส่ายหัว “ที่บ้านเรามียาสมุนไพรแก้พิษ”

เขายกแขนเด็กหนุ่มขึ้นวางพาดบนบ่าตน พยุงอีกฝ่ายไปทางหมู่บ้านตามทิศทางที่ฝ่ายนั้นชี้บอก พลางสอบถามสถานการณ์ในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยสีหน้าเหมือนไม่ใส่ใจไปด้วย

เขารู้จากปากว่าเด็กหนุ่มชื่อสุขี เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านแสนตา หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ติดชายแดน ในอดีตสมัยที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่ายังไม่ลงรอยนัก หมู่บ้านได้รับผลกระทบไม่น้อย ผู้ลี้ภัยจากพม่าจำนวนมากหลบหนีเข้ามา แต่ไม่ได้รับการต้อนรับจากรัฐบาลที่นี่ ครอบครัวสุขีเป็นผู้ลี้ภัยที่หลบหนีเข้ามาเนื่องจากสงครามในพม่า แต่หลังจากที่อาจารย์สนมาถึงที่นี่ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป คนจำนวนมากเดินทางมาไกลเพื่อขอพบอาจารย์ พลอยทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้รับผลประโยชน์มากมายตามไปด้วย แม้แต่พ่อค้ายาเสพติดที่ในอดีตควบคุมที่นี่ยังไม่กล้าเที่ยวก่อความวุ่นวายไปทั่วอีก

ตงจื้อกวาดตามองทุ่งดอกฝิ่นที่อยู่กว้างไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา เขารู้ว่าในบางพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการปลูกพืชชนิดนี้ในฐานะพืชเศรษฐกิจและพึ่งพามันในการดำรงชีวิต เขายังได้ยินมาด้วยว่า หลายสิบปีก่อน รัฐบาลท้องถิ่นถูกแรงกดดันจากนานาชาติจนต้องกำจัดทุ่งฝิ่นไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้การค้ายาเสพติดในที่แจ้งยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ไม่เคยหายไปจากในที่ลับ รัฐบาลท้องถิ่นพยายามให้ชาวบ้านเปลี่ยนมาปลูกเมล็ดกาแฟและดอกไม้สด ใช้สิ่งนี้เปลี่ยนความคิดของพวกเขา แต่การปลูกพืชทดแทนไม่สามารถทำเงินให้พวกเขาได้เร็วเท่าฝิ่น อีกทั้งในสถานที่ที่ห่างไกลและสถานการณ์ซับซ้อนอย่างหมู่บ้านแสนตาก็ทำให้เห็นผลไม่มาก

ระหว่างที่สุขีแนะนำต้นฝิ่นที่ชูช่อตูมและกำลังแบ่งบานอยู่ในที่ไกล ๆ ให้เขาฟังด้วยความกระตือรือร้น สิ่งที่ตงจื้อคิดถึงกลับเป็นเขตพรมแดนของจีนที่รักษาความสงบร่มเย็นภายในประเทศเอาไว้ได้ แต่นอกพรมแดนออกไปก็ยังมีต้นฝิ่นปลูกต่อเนื่องไม่ขาดสาย สำหรับคนในพื้นที่ มันคือแหล่งที่มาของรายได้ที่ใช้ในการยังชีพ แต่ผลิตผลจากพวกมันกลับถือเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ล่อลวงให้ความเป็นมนุษย์เสื่อมทรามลง ทำให้ตำรวจต้องวิ่งเต้นปราบปรามเหน็ดเหนื่อย สละชีพอย่างเงียบ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้หลาย ๆ ครอบครัวต้องพบกับความสูญเสีย

“ต่ง คุณเหม่ออะไรอยู่ หรือว่าดอกไม้พวกนั้นไม่สวย” สุขีแยกความแตกต่างระหว่างเสียง ‘ตง’ กับ ‘ต่ง’ ไม่ออก การออกเสียงจึงผิดไป และตงจื้อก็ไม่ได้แก้

เขายิ้ม ไม่อยากพูดมาก จึงหันไปถามแทนว่า “หมายความว่าพวกนายรู้จักอาจารย์สนกันหมดเลยเหรอ ถ้าฉันอยากไปพบท่าน นายช่วยแนะนำฉันได้ไหม”

“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณมาหาเขา แต่ละปีมีคนมาขอพบอาจารย์ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ พวกเขามีความปรารถนามากมาย อยากให้อาจารย์ช่วยให้สมหวัง คุณก็ด้วยเหรอ” สุขีเผยยิ้มเจ้าเล่ห์

ตงจื้อแสร้งทำเป็นถอนหายใจกลัดกลุ้ม “แหงสิ แฟนฉันทิ้งฉันไป ฉันอยากให้เธอเปลี่ยนใจกลับมา ได้ยินว่าอาจารย์สนช่วยให้ร่ำรวยขึ้นได้ ถ้ามีเงินแล้ว ฉันก็จะเอาชนะคนที่ตามจีบเธอ เอาเธอกลับมาได้!”

สุขีพยักหน้า “อาจารย์สนจะช่วยคุณ เขาเป็นคนดีมาก”

สำหรับชาวบ้านที่นี่ คนที่คุ้มครองพวกเขาอย่างสนย่อมต้องเป็นคนดี

ระหว่างที่คุยกัน ตงจื้อกับสุขีก็มาถึงบ้านหลังหนึ่ง หญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าประตู พออีกฝ่ายเห็นบาดแผลของสุขีก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปทันที ผ่านไปครู่เดียวก็หยิบชามใบหนึ่งออกมา ทาสมุนไพรที่บดละเอียดในนั้นพร้อมด้วยน้ำสกัดลงบนบาดแผล

สุขีพูดกับเธอสองสามประโยค ก่อนชี้ไม้ชี้มือมาที่ตงจื้อ คล้ายกำลังอธิบายจุดประสงค์ที่ตงจื้อมาที่นี่ หญิงชราพยักหน้าให้เขา ยิ้มอย่างมีเมตตา ประนมมือสองข้างซึ่งเป็นมารยาทในการพบปะของคนในพื้นที่ ตงจื้อตอบกลับด้วยการประกบนิ้วมือทั้งสิบเช่นกัน ก่อนเอ่ยคำพูดทักทายหนึ่งประโยค

“นี่ย่าผมเอง ชื่อสราญ ผมบอกย่าว่าคุณเป็นคนพยุงผมกลับมา ย่าไปเตรียมกับข้าวเที่ยงให้เราแล้ว หลังกินข้าวเสร็จผมจะพาคุณไปพบอาจารย์” สุขีอธิบาย

 

อาหารกลางวันเรียบง่ายมาก เป็นข้าวสวยกับปลาย่างซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปที่นี่ รสชาติไม่ถึงกับอร่อย แต่ตงจื้อรู้สึกหิวนิดหน่อยจริง ๆ จึงกล่าวขอบคุณสุขีกับย่า และกินอาหารกับพวกเขาจนหมด

พอกินข้าวเสร็จสุขีก็ยกน้ำสองแก้วออกมาและบอกเขาว่า “นี่เป็นน้ำจากพืชที่ชื่อว่ากระเจี๊ยบ พวกเราที่นี่ชอบใช้ทำเครื่องดื่ม อร่อยมาก”

ตงจื้อจิบไปหนึ่งอึก รสหวานชื่นใจดีจริง ๆ แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย แม้แต่จะนั่งนิ่ง ๆ ก็ยังทำไม่ได้ ต้องใช้มือยันขอบโต๊ะ เมื่อมองไปที่สุขีอีกครั้ง บัดนี้เด็กหนุ่มผู้ดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใดกลับเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา

“นายใส่อะไรลงไปในนั้น” ตงจื้อกุมหน้าผาก สีหน้าหวาดหวั่น

สุขีหัวเราะหึ ๆ “นายไม่ได้มาขอให้อาจารย์สนทำธุระให้สินะ ฉันมองออกตั้งนานแล้ว นายมีจุดประสงค์ไม่ดีกับอาจารย์ คนเลว ๆ อย่างนาย จงมองฉันตัดมือตัดเท้านายทีละข้างโดยที่ยังมีสติแต่ขยับตัวไปไหนไม่ได้เสียเถอะ หลังจากนั้นฉันค่อยเอาหัวนายไปมอบให้อาจารย์ เขาจะได้เอาหัวนายไปทำคุณไสย นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่นายจะอุทิศให้อาจารย์ได้”

ตงจื้อขมวดคิ้ว “นายอายุยังน้อย ทำไมถึงใจดำอำมหิตขนาดนี้ ย่านายรู้หรือเปล่าว่านายทำแบบนี้”

สุขีแค่นยิ้ม “รู้สิ อาจารย์สนเป็นผู้มีพระคุณของเรา ใครอยากทำร้ายเขาก็เท่ากับเป็นศัตรูของเราด้วย! ตอนนี้นายเริ่มรู้สึกชาไปทั้งร่าง ขยับแขนขาไม่ได้แล้วใช่ไหมเล่า”

ตงจื้อ “เปล่านี่นา”

สุขี “???”

ตงจื้อบิดขี้เกียจ แบมือใส่อีกฝ่าย “ดูสิ ยังขยับได้อยู่เลย ยาพิษของนายใช้ไม่ได้ผลหรือเปล่า”

สุขี “…”

ตงจื้อบอกอย่างใสซื่อ “ฉันว่าที่เมื่อกี้เวียนหัวคงเพราะกินอิ่มเกินไป นายกินยาพิษนั่นเข้าไปเองหรือเปล่า”

สุขีโมโหใหญ่ “จะเป็นไปได้ยังไง ฉันทำคุณไสยใส่นายนะ!”

พูดไม่ทันขาดคำ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนทันใด มือกุมท้องตัวงอ เปล่งเสียงโอดครวญออกจากปาก

หญิงชราที่ไม่รู้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนวิ่งออกมาทันที เธอประคองสุขี ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พูดภาษาถิ่นกับตงจื้อหลายคำ แต่ตงจื้อไม่เข้าใจและไม่ได้สนใจเธอ

“ฉันบอกแล้วไงว่านายต้องทำของใส่ตัวเองแหง ๆ ไม่งั้นนายก็พาฉันไปหาสน ให้เขาช่วยแก้ของให้สิ” เขายิ้มแป้นมองสุขีพลางบอก

“ไม่มีทาง เมื่อกี้ฉันเห็นนายดื่มเข้าไปแล้วแท้ ๆ ในกับข้าวก็มี!” สุขีไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะพลาด

ตงจื้อยักไหล่ สีหน้าบอกความเสียดาย “ขอโทษที ฉันกินยากันเอาไว้ก่อนมาที่นี่แล้ว ได้ยินว่าพวกนายได้รับการคุ้มครองจากสน และให้ความเคารพเขามาก เขาคงต้องสอนกลอุบายอะไรให้พวกนายบ้างอยู่แล้ว นายเติบโตอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่เล็ก หนำซ้ำพื้นที่ตรงเมื่อกี้ยังโล่งกว้าง แต่ดันมาถูกงูกัดได้ นายว่ามันสมเหตุสมผลหรือไง บอกได้แค่ว่าฉันฉลาดกว่านายก็เท่านั้น”

สถานที่นี้ยากจะป้องกันตัวให้รัดกุม แม้พวกเขามาด้วยความเร่งรีบ แต่ก็ไม่ลืมเตรียมตัว นอกจากที่นี่จะไม่สงบแล้ว งูมดแมลงหนูยังชุกชุมอีกด้วย แม้ไม่โดนคุณไสยก็ง่ายต่อการติดเชื้อโรค สินชัยเตรียมการป้องกันให้พวกเขาล่วงหน้า สอนแม้กระทั่งวิธีการตอบโต้กลับ แม้ไม่อาจรับรองว่าจะได้ผลกับวิชาไสยศาสตร์ที่ลึกลับซับซ้อน แต่กับลูกไม้ตื้น ๆ ทั่วไปก็ไม่ใช่ปัญหาเลย

อย่างไรก็ตาม ในร่างกายเขาก็มีคุณไสยดอกท้อหน้าผีที่ชั่วร้ายผิดแผกอยู่แล้ว ต่อให้มีเรื่องลำบากกว่าเดิมก็ไม่เดือดร้อน เทียบกับสน การกระทำของสุขีนับเป็นเพียงเรื่องขี้เล็บ

ขณะพูด สุขีรู้สึกปวดท้องเหมือนถูกมีดคว้านไส้ เขากดท้องตัวเองและกลิ้งไปมากับพื้น หญิงชราร้อนใจจนเหงื่อผุดซึมเต็มหน้า ได้แต่โขกศีรษะให้ตงจื้อติด ๆ กัน ปากเอ่ยถ้อยคำที่เขาไม่เข้าใจ แต่ไม่ต้องเข้าใจตงจื้อก็รู้ว่านั่นน่าจะเป็นการขอความเมตตาจากตน

หากเป็นยามปกติตงจื้อคงใจอ่อน แต่เมื่อกี้รู้ทั้งรู้ว่าหลานชายตนทำของใส่เขา หญิงชราก็ไม่ได้ห้ามปราม เห็นชัดว่าเธอเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก ด้วยเหตุนี้ตงจื้อจึงไม่แยแสคำวิงวอนของเธอ พูดกับสุขีว่า “ตอนนี้มีทางเลือกให้นายสองทาง ไม่พาฉันไปหาสนแล้วเอายาถอนพิษจากฉัน ก็พาฉันไปหาสนแล้วให้สนถอนพิษให้”

สุขีอยากถามว่าสองตัวเลือกนี้มันต่างกันตรงไหน แต่เขาเจ็บจนอ้าปากไม่ไหวแล้ว จึงได้แต่ใช้สายตาเชือดเฉือนมองตงจื้ออย่างเคียดแค้น

ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต สุขีทรมานจนรู้สึกว่าตายไปยังดีเสียกว่า เขาทนไม่ไหวจริง ๆ จึงจำต้องตกปากรับคำข้อเรียกร้องของตงจื้อ

“ฉันพานายไป…”

ตงจื้อชี้ไปทางหญิงชรา “ให้ย่านายพาฉันไป เจอสนแล้วฉันจะเอายาถอนพิษให้เธอ”

สุขีเอ่ยกระท่อนกระแท่น “มีแค่ฉันที่รู้ว่าอาจารย์อยู่ที่ไหน ฉันเป็นคนที่อาจารย์เชื่อใจที่สุดในหมู่บ้านนี้…”

ตงจื้อถามด้วยความสงสัย “ตอนนี้นายยังเดินไหวหรือไง”

สุขีบอก “เดินไม่ไหว นายถอนพิษให้ฉันก่อน”

ตงจื้อ “อ้อ งั้นไม่ไปแล้ว นายปวดตายไปเลยก็แล้วกัน”

สุขี “…”

ขนาดหลิวชิงปัวยังโดนตงจื้อยั่วโมโหปางตายได้ แล้วกับคนตัวเล็ก ๆ อย่างสุขีจะเหลือหรือ สุดท้ายเขาทำได้แค่ฝืนความเจ็บ เอามือกุมท้อง โซซัดโซเซนำทางตงจื้ออยู่ข้างหน้า

 

สุขีเดินนำตงจื้ออ้อมป่าทึบหลังหมู่บ้าน และพาเขาเดินผ่านป่าทึบเข้าไป เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ในที่สุดก็มาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง

เห็นแม่น้ำก็หมายความว่าออกจากป่าทึบมาแล้ว ทางเบื้องหน้าสว่างโล่ง เป็นการชักนำความรู้สึกคุ้นเคยที่ตงจื้อมีต่อที่นี่ออกมาด้วย

เพราะตอนที่อยู่กับเชอไป๋ เขาเคยมาที่นี่ในรูปของดวงจิตมาก่อน แถมยังได้ปะทะกับปีศาจฟ้าอยู่ครู่หนึ่งด้วย

แน่นอนว่าเป็นการเผชิญหน้ากันสั้น ๆ ระหว่างเชอไป๋กับปีศาจฟ้าที่ยังไม่คืนร่าง

ในฐานะปีศาจฟ้าในตำนาน ปาปียัสไม่เพียงแต่ชั่วช้าสามานย์ หากยังทรงพลังมาก เดิมทีมันไม่ควรฟื้นคืนชีพในโลกใบนี้ แต่สน ปีศาจร้ายที่ใฝ่หาความมืด กลับดันทุรังจะทำลายสมดุลของโลก พยายามอัญเชิญและคืนชีพปาปียัส หากรอให้มันมีรูปมีร่างสมบูรณ์ เกรงว่าถึงตอนนั้นคงไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้ ยิ่งกับทางญี่ปุ่นด้วยแล้ว ยังมีโอโตวะ ยาซูฮิโกะ ที่จ้องทำลายศิลา ต้องการปลุกปีศาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าขึ้นมาอีกคน ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลยจริง ๆ

ดังนั้นหากต้องการสังหารปีศาจฟ้าระหว่างที่มันยังไม่มีร่างสมบูรณ์ ตอนนี้จึงเป็นโอกาสเหมาะที่สุด

พอมาถึงจุดนี้ จริง ๆ ตงจื้อไม่จำเป็นต้องให้สุขีนำทางก็หาตำแหน่งคร่าว ๆ เองได้แล้ว

เรือนสองชั้นชานเปิดโล่ง ในป่าอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ นั่นคือที่อยู่ของสน

เขาไม่มีเวลาคิดว่าพวกหลงเซินกับสินชัยกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือเข้าไปในเรือนก่อนหน้าตนแล้ว ตงจื้อได้ยินสินชัยบอกว่า ในถิ่นของนักไสยศาสตร์ระดับสูง ทุกแห่งหนย่อมเต็มไปด้วยอันตราย มีกับดักทั่วทุกพื้นที่ อีกทั้งฝ่ายนั้นรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะมา จึงนึกถึงผลที่จะตามมาได้โดยไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญให้ลึกซึ้งแต่อย่างใด

ชายหนุ่มตามหลังสุขี เดินไปด้วย โรยผงยาที่สินชัยให้ไว้ก่อนหน้านี้รอบ ๆ ตัวโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงไปด้วย

ตอนแรกสุขีอยากให้ตงจื้อสังเกตเห็นกับดักและแสดงอาการออกมาเอง ใครจะรู้ว่าพอเขาหันไปมอง อีกฝ่ายกลับยังเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงอดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้

ตงจื้อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ จากที่ตอนแรกยังไม่แน่ใจว่ามีกับดัก มาถึงตอนนี้เขาแน่ใจแล้ว

“นายก็เป็นนักไสยศาสตร์เหมือนกัน? มาหาอาจารย์เพื่อท้าสู้?” ใบหน้าสุขีปรากฏแววกริ่งเกรงในที่สุด

“ใช่!” ตงจื้อพูดไปเรื่อย “เมื่อก่อนมีนักไสยศาสตร์มาขอท้าประลองฝีมือกับเขาเหมือนกันเหรอ”

“เยอะแยะ แต่ไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาได้สักคน” สุขีหัวเราะหึ ๆ “ตอนพวกนั้นไป ท่าทางหยิ่งผยองกว่านายอีก แต่ตอนนี้กลายเป็นภาชนะฝึกวิชาของอาจารย์ไปแล้ว หนึ่งในนั้นมีตรีศูลด้วย!”

เขาเอ่ยชื่อใครคนหนึ่งซึ่งตงจื้อไม่รู้จัก แต่เดาได้ว่าคงเป็นนักไสยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก

สินชัยเคยบอกกับพวกตงจื้อว่า สองสามปีมานี้สนฆ่านักไสยศาสตร์ไปเยอะ สร้างศัตรูมากมายนับไม่ถ้วน และมีนักไสยศาสตร์มีชื่ออยู่หลายคนที่เคยร่วมมือกันหมายจะปราบสน แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว เสียชีวิตไปสองคนจากห้า และจากการต่อสู้ครั้งนั้นทำให้สนมีชื่อเสียงขึ้นมาทันที ภายหลังเขาพอใจกับการอาศัยอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ไม่ได้ออกมาสร้างปัญหา ทุกคนเลยปิดหูปิดตาข้างหนึ่ง ถือเสียว่าคนคนนี้ไม่มีตัวตนอยู่

แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเขากำลังอัญเชิญปีศาจฟ้ากลับมาอย่างลับ ๆ แม้แต่สินชัยเองก็นั่งไม่ติด ทันทีที่ปีศาจฟ้าปรากฏตัวบนโลก หนังหน้าไฟที่ต้องกลายเป็นทะเลโลหิตและเนินฝังศพก็คือดินแดนใต้เท้าของมันส่วนนี้อย่างแน่นอน ไม่มีใครอยากเห็นเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

“อาจารย์ ผมสุขีครับ ขออภัยด้วยที่ผมพาศัตรูของท่านมาหาถึงที่นี่ ผมถูกบังคับ!”

ทั้งคู่มาถึงด้านนอกตัวเรือน สุขีคุกเข่ากับพื้นดังตุบ เอามือกุมท้อง ส่งเสียงโอดครวญด้วยภาษาถิ่น

จากนอกรั้วไม้เตี้ย ๆ ตงจื้อเห็นคนสองสามคนกำลังปัดกวาดลานบ้านอยู่ พวกเขาได้ยินเสียงตรงนี้แท้ ๆ แต่ยังก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไปเหมือนไม่ได้ยิน

แต่ทันใดนั้นสุขีก็ลุกพรวดหลังกล่าวประโยคนี้จบ ระหว่างที่ตงจื้อยังไม่ทันขัดขวางอีกฝ่าย เด็กหนุ่มก็พุ่งเข้าไปในลาน ยืนบนขั้นบันไดนอกประตูเรือน หันหลังพิงกำแพงหอบหายใจ เผยรอยยิ้มแปลก ๆ ให้ตงจื้อแล้ว

ตงจื้อไม่มีเวลามองรอยยิ้มอีกฝ่าย เพราะในตอนนั้นเอง งูตัวเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนเลื้อยออกมาจากดินโคลนใต้เท้า มันมีลวดลายเป็นวงสีทองเหลืองและสีดำขลับ ส่งเสียงขู่ฟ่อ ไม่เกรงกลัวอานุภาพของผงยาแต่อย่างใด มันชูคออ้าปากจะกัดน่องเขา

ตงจื้อกระโดดถอยหลังไปหลายก้าว แต่ไม่ช้าจำนวนงูร่างเพรียวบางก็แน่นขนัด โอบล้อมเขาไว้จากทุกด้าน ซ้ำมันยังเคลื่อนที่เร็วมาก พริบตาเดียวฝูงงูที่อยู่หน้าสุดก็อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงครึ่งฝ่าเท้า และอาจใช้เวลาเพียงครึ่งวินาทีในการฉกเหยื่อ

สุขีรู้เรื่องกับดักนี้ เขาเคยเห็นนักไสยศาสตร์หลายคน รวมถึงศัตรูบางคนที่อาจหาญดูหมิ่นอาจารย์สนล้มลงอยู่ในแนวป้องกันนี้ ถูกงูนับหมื่นเขมือบ เต็มไปด้วยรูพรุนเหวอะหวะ ตายแบบไม่เหลือศพมาก่อน

ไม่ต้องสงสัยเลย เขานึกว่าคราวนี้ตงจื้อหนีไม่พ้นแล้วแน่ ๆ

แต่วินาทีต่อมารอยยิ้มชั่วร้ายของสุขีก็นิ่งค้างอยู่บนใบหน้า

เพราะเขาเห็นมือสองข้างของตงจื้อควักกระดาษสีเหลืองออกมาสองแผ่น ปากร่ายคาถางึมงำ จากนั้นก็ขว้างกระดาษสองแผ่นนั้นไปทางด้านหน้าและด้านหลัง ผลคือจังหวะที่กระดาษยันต์สองแผ่นสัมผัสตัวฝูงงู มันกลับลุกไหม้ขึ้นเองโดยไม่มีเปลวไฟ ไม่นานก็ม้วนสูบฝูงงู กลืนกินพวกมันจนสิ้นซาก

“นี่มันวิชามนตร์ดำอะไร!” สุขีร้องเสียงหลงอย่างตื่นตระหนก

ในความทรงจำของเขา อาจารย์สนเป็นผู้มีฝีมือสูงส่งเลิศล้ำที่สุด และเขาก็ภาคภูมิใจในเรื่องนี้จนแทบอดใจรอไม่ไหวอยากให้ตงจื้อตายไปทั้งอย่างนั้น ใครจะรู้ว่านอกจากอีกฝ่ายจะไม่เป็นไปตามที่เขาหวังแล้ว กลับกัน ยังทำลายแนวป้องกันด่านแรกของเรือนลงอีก

ตงจื้อรู้ตัวแล้วเช่นกัน หลังจากที่เชอไป๋ระงับคุณไสยบนตัวเขาไว้ ไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็เจ็บจนกะปลกกะเปลี้ยขึ้นมาอีก ดูเหมือนความสามารถแต่เดิมก็ยกระดับขึ้นมาบางส่วนด้วย หลงเซินบอกว่าเป็นเพราะยาซั่งชิงเป็นสมุนไพรชั้นดีที่ปรับสภาพร่างกายตั้งแต่แรก แต่ตอนนั้นเขารีบกินมัน เมื่อแผลเก่ายังไม่ได้รับการเยียวยาจึงทำให้ผลของยาไม่ออกฤทธิ์ ตอนนี้เชอไป๋ช่วยระงับคุณไสยไว้ชั่วคราว ต่อให้ผิดพลาดยังไงมันก็ช่วยสางพลังปราณที่ยุ่งเหยิงของเขา เมื่อแผลเก่าหายดีเป็นปกติย่อมสำแดงศักยภาพออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ไว้คุณไสยถูกกำจัดเมื่อไหร่ก็ไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลังอีก

ระหว่างที่ฝูงงูไม่รู้จะทำยังไงกับตงจื้ออยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากในบ้าน สุขีผินหน้ามอง ก่อนร้องด้วยความยินดี “อาจารย์สวรรค์!”

สวรรค์ผู้เป็นลูกศิษย์ของสนไม่ได้สนใจสุขี สายตาเขาตกอยู่บนร่างตงจื้อ มุมปากเหยียดยิ้มเย้ยหยันราวกับกำลังมองซากศพ

“นายมาจริง ๆ”

ตงจื้อแบมือ “พวกนายให้ฉันมาไม่ใช่หรือไง สนล่ะ หรือว่าตกใจจนแอบไปซุกหัวอยู่ในบ้านแล้ว”

สวรรค์แค่นยิ้ม “แค่จัดการกับนาย ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์ฉันลงมือหรอก เรียกตัวช่วยของนายออกมาให้หมด ฉันจะได้ไม่ต้องไล่ตามเก็บทีละคน!”

“นายหมายถึงฉันเหรอ”

เขมทัต ลูกศิษย์ของสินชัยปรากฏตัวขึ้นที่รั้วด้านหน้าเรือน ในมือคว้างูตัวใหญ่ลำตัวหนาเท่าแขนของชายเต็มวัยไว้ ทั่วลำตัวของงูนั้นดำเมื่อมเป็นมันระยับ มีเพียงดวงตาที่เป็นสีแดงก่ำราวโลหิต แค่เห็นก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่สัตว์เชื่อง แต่เมื่ออยู่ในมือเขมทัตลำตัวกลับตรงทื่อ เชื่อฟังจนน่าตกใจ

สวรรค์ทำหน้าเคียดขึ้ง “ปล่อยมัน!”

เขมทัตเหวี่ยงงูดำขลับตัวใหญ่ลงกับพื้น งูยักษ์กระตุกสองที สุดท้ายก็แน่นิ่งหมดลมหายใจไปอย่างสมบูรณ์

“แกเป็นใคร!” เห็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายแบบนี้ สวรรค์โกรธจนหน้าดำหน้าแดง

เขมทัตพนมมือพลางเดินเข้ามา “ฉันไม่บอกชื่อกับคนชั่ว ๆ”

เขากระซิบบอกตงจื้อ “คุณหลงไปหาปีศาจฟ้าก่อนแล้ว เราร่วมมือกันล่อให้สนออกมาก่อน”

ตงจื้อพยักหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจเจตนาของเขมทัต ศัตรูอยู่ในที่ลับ เราอยู่ในที่แจ้ง ด้วยความที่ปิดเรื่องอาจารย์สินชัยไว้ การปรากฏตัวออกมาช้าหน่อยจะลดการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่า

สวรรค์เห็นพวกเขากระซิบกระซาบกันก็ยิ่งโมโห งอนิ้วชี้กับนิ้วโป้งงับใส่ปากแล้วเป่าหนึ่งที ร่างสี่ร่างก็วิ่งออกมาจากด้านหลังบ้านแล้วกระโจนใส่ตงจื้อกับเขมทัต

ตั้งแต่หัวจรดเท้าของสี่คนนั้นเงาเลื่อมเป็นมัน สีหน้าปราศจากอารมณ์ใด ๆ ตงจื้อยังไม่ทันสังเกตให้ถี่ถ้วนก็ได้ยินเขมทัตตะโกนก้อง “พวกนั้นเป็นหุ่นยา ต่อให้ยิงปืนใส่ก็ไม่มีประโยชน์ อย่าปะทะตรง ๆ!”

ไม่นานตงจื้อก็เข้าใจว่ายิงปืนใส่ไม่มีประโยชน์หมายความว่าอะไร เนื่องจากกระบี่ฉางโส่วของเขาปาดไปโดนต้นคอของฝ่ายตรงข้ามทันทีที่หลุดจากฝัก เดิมบริเวณนี้เป็นส่วนที่เปราะบางที่สุด แต่กลับไร้ร่องรอยเสียหายเมื่อถูกฟันด้วยกระบี่คม ตรงกันข้าม มันยังถือโอกาสนั้นคว้ากระบี่ฉางโส่วฉุดลากตงจื้อเข้าหาด้วย!

กระบี่ฉางโส่วไม่มีทางถูกกระชากจนหักสะบั้น ตงจื้ออาศัยแรงดีดตัวขึ้นไป ยืมไหล่อีกฝ่ายพุ่งตัวผ่านไปหาอีกร่าง ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่กึ่งกลางหน้าผาก

ปลายกระบี่ที่พุ่งไปด้วยความเร็วสูงแทงหว่างคิ้วจนเป็นรูในที่สุด แต่ก็เท่านั้น ไม่นานข้างตัวเขาก็มีหุ่นยาอีกสองตัวเข้ามาโจมตี ตงจื้อจำต้องชักกระบี่ออกเพื่อถอยหนี ไหล่เกือบถูกพวกมันฉีกกระชากจนขาด

สิ่งที่เรียกว่าหุ่นยาพวกนี้คือผู้ที่ถูกผ่าร่างตอนกำลังจะตายแหล่มิตายแหล่ อัดยาพิษที่ทำขึ้นด้วยศาสตร์ลับต่าง ๆ เข้าไป และร่ายคุณไสยใส่ ทำให้พวกมันสูญเสียความตระหนักรู้ในตนเอง และกลายเป็นเสมือนหุ่นเชิด

ผู้ที่ถูกจัดการด้วยวิธีนี้บางส่วนเป็นศัตรูของสน บางส่วนเป็นคนที่มาขอความช่วยเหลือถึงที่และบังเอิญล่วงเกินเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ รวมถึงชาวบ้านในหมู่บ้านแสนตาที่สุขีอยู่ เนื่องจากไม่ยอมศิโรราบและรับการคุ้มครองจากเขา จึงถูกเล่นงาน ที่นี่ไม่เคยขาดภาชนะปรุงยาต่าง ๆ วิชามนตร์ดำทุกชนิดที่หลายคนนึกไม่ถึงมีให้เห็นหมดที่นี่

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า