[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 5 ตอนที่ บทที่ 118

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 118

 

อู๋ปิ่งเทียนยกมือลูบหน้า ราวกับตั้งใจสลัดเอาความเหนื่อยล้าจากการอดหลับอดนอนทิ้งไป

“ผมยังไม่ทันบอกพวกคุณ เมื่อวันก่อนผมเข้าประชุมกับพวกผู้อาวุโสจงกับผู้อาวุโสจาง ทั้งคู่คิดว่าตาค่ายน่าจะอยู่ที่เขาคุนหลุน เพียงแต่เขาคุนหลุนใหญ่เกินไป จึงยืนยันตำแหน่งที่แน่นอนไม่ได้ ตอนนี้เลยทำได้แค่ขยายการค้นหาไปทีละนิดก่อน ผู้อาวุโสจงกับผู้อาวุโสจางจะเข้าร่วมการค้นหาด้วย”

เขาคุนหลุนไม่ใช่ภูเขาลูกเดียว แต่เป็นเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด ถูกยกให้เป็นบรรพบุรุษแห่งขุนเขาทั้งปวงในจีน และเป็นจุดเริ่มต้นของชีพจรมังกร ตำนานและเทพนิยายนับไม่ถ้วนล้วนถือกำเนิดขึ้นจากที่นี่ ไม่เคยขาดหายตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นที่อยู่ของตาค่ายจริง ๆ

แต่สถานที่แห่งนี้ ลำพังแค่ยอดเขาสูงกว่าหกพันเมตรขึ้นไปก็มีอยู่สิบเก้าแห่งแล้ว หิมะปกคลุมยอดเขาตลอดปี ทั้งยังมีใจกลางของขุนเขาลึกที่ไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้าไปอีก เวลาสามถึงห้าปีใช่ว่าจะค้นหาได้ทั่ว ไม่ต้องพูดถึงปรากฏการณ์ภัยธรรมชาตินับไม่ถ้วนเลย

หลงเซินถาม “ตอนนี้มีข่าวอะไรจากพวกติงหลานบ้างไหม”

อู๋ปิ่งเทียนส่ายหัว “ผมให้พวกเขายึดถือความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลัก ถ้าไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องติดต่อกันตลอดเวลา”

หลี่อิ้งค่อนข้างขาดประสบการณ์ แต่การไปครั้งนี้เขาไม่ใช่ผู้นำ มีติงหลานกับอวี๋ปู้หุ่ยอยู่ด้วย ก็เพียงพอแล้วที่จะปรับตัวไปตามสถานการณ์ แต่โอโตวะ ยาซูฮิโกะ เตรียมการมาหลายปีดีดัก ไม่มีทางเดาไม่ออกว่าพวกเขาจะไปเยือน การเดินทางครั้งนี้ของพวกติงหลานจึงมีอันตรายร้ายแรงแฝงเร้นอยู่ในความสงบไม่แพ้กัน

หลงเซินหันไปบอกตงจื้อ “นายกลับไปพักก่อนเถอะ”

ตงจื้อนั่งฟังข้าง ๆ อยู่นาน ได้รับข้อมูลมาไม่น้อย แต่เขาช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง เมื่อเห็นบรรยากาศค่อนข้างหนักอึ้ง ใจก็ทรมานไปด้วย ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าลุกขึ้นทันที

“เดี๋ยวก่อน”

ซ่งจื้อฉุนเรียกเขาไว้ ยื่นแฟ้มเอกสารตรงหน้าไปให้ “นี่เป็นข้อมูลของงานชุมนุมแลกเปลี่ยนปีที่ผ่านมา เธอลองดู ๆ ไปก่อน ไว้รอคนมาครบแล้วฉันค่อยบอกทุกคน แต่เรื่องแบ่งงานยังต้องให้เธอทำอยู่”

ตงจื้อผงะ เขานึกว่าเรื่องที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ยังต้องผ่านการประเมินเป็นการเฉพาะอีก แต่ฟังจากความหมายของซ่งจื้อฉุนตอนนี้ เหมือนจะกำหนดไว้แน่นอนแล้ว

จิตใต้สำนึกสั่งให้เขามองไปที่หลงเซิน ฝ่ายหลังผงกศีรษะเล็กน้อย สายตาให้กำลังใจ

ความสงบนิ่งและความกล้าหาญบังเกิดขึ้นในชีวิตตงจื้อทันที เขารับเอกสารมา บอกลาพวกซ่งจื้อฉุนแล้วผละไป

ซ่งจื้อฉุนมองอีกฝ่ายปิดประตูเบา ๆ ก่อนเผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันในที่สุด

“คุณเลือกลูกศิษย์มาดีจริง ๆ ตอนนี้ผมชักเสียใจแล้วสิ ถ้าตอนนั้นชิงลงมือตัดหน้าคุณ ไม่แน่วันนี้เขาคงเรียกผมว่าอาจารย์ไปแล้ว”

อู๋ปิ่งเทียนก็พูดติดตลกพลางอมยิ้มไปด้วย “นั่นสิ ผมยังนึกว่าเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกจริง ๆ เสียอีก ที่ไหนได้ ไม่ใช่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่แค่ต้องพบคนที่ทำให้ใจสั่น”

คำพูดพวกนี้ได้ยินแล้วชวนให้เข้าใจผิดได้ง่ายก็จริง แต่ที่พวกเขาแซวเล่นมีแค่เรื่องการรับลูกศิษย์เท่านั้น

หลงเซินยิ้มเล็กน้อย หัวคิ้วคลายลงไปมาก

เขาไม่คิดที่จะเป็นฝ่ายปริปากเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของตนกับตงจื้อ แต่ก็ไม่ได้จงใจปกปิดมัน

“ตงจื้อดีจริง ๆ นั่นแหละ”

ซ่งจื้อฉุนกล่าวยิ้ม ๆ “ก่อนหน้านี้ผมยังเป็นห่วงอยู่เลย หลี่อิ้งไปคนหนึ่งแล้ว ตงจื้อยังมาถูกคุณไสยอีก ตอนนี้หลิวชิงปัวหรือจางซงยังไม่พร้อมรับหน้าที่เป็นผู้นำทีม ดีไม่ดีต้องเลือกคนใหม่อีก คราวนี้ดีเลย ตงจื้อกับหลิวชิงปัวร่วมงานกันมาแล้วหลายครั้ง มีตงจื้ออยู่ด้วย เขาเอาหลิวชิงปัวอยู่ จางซงก็ไม่น่าเป็นปัญหา”

อู๋ปิ่งเทียนพูดขึ้นด้วยว่า “ไว้พวกเขากลับจากไปแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็ให้แบกรับภาระหน้าที่ที่หนักกว่าเดิมได้แล้ว”

ทั้งสามคนอาศัยหัวข้อนี้ในการผ่อนคลายสักพัก หลงเซินถึงค่อยบอกผลการประชุมกับคาร์ลอสและคนอื่น ๆ ที่กรุงเทพฯครั้งนี้

“เศษเสี้ยววิญญาณของปีศาจฟ้าอาจอาศัยช่วงการแลกเปลี่ยนครั้งนี้แฝงตัวเข้าไปในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียร ผมขอแนะนำให้ส่งกำลังคนไปเพิ่มอีกสองคนเพื่อแทนหลี่อิ้ง”

อู๋ปิ่งเทียนบอก “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ผมจะหาผู้เข้ารับการคัดเลือกที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด ฉือปั้นเซี่ยล่ะเป็นไง”

ซ่งจื้อฉุนรับหล่อนเป็นลูกศิษย์แล้ว จึงมีสิทธิ์พูดในประเด็นนี้มากกว่า

แต่เขากลับส่ายหน้าและบอกว่า “เธอยังไม่พร้อม การฝึกประสบการณ์แบบนี้ทีมเวิร์คสำคัญที่สุด แล้วเธอก็คบหากับหลี่อิ้งด้วย ตอนนี้หลี่อิ้งเป็นตายยังไม่รู้ ผมกลัวว่าเธอจะเป็นกังวลจนไม่มีสมาธิ”

 

ตงจื้อไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพวกหลงเซินคุยอะไรกันต่อ เขาออกจากห้องประชุมก็กลับมาที่หอพัก

เขาไม่ได้กลับมาที่นี่กว่าครึ่งปีแล้ว ที่นอนยังอยู่ในสภาพพับเก็บไว้ตามเดิมเหมือนตอนที่เขาจากไป เรียบร้อยทว่าวังเวง แต่โต๊ะกับเก้าอี้ไม่ได้สกปรกเท่าไหร่ หน้าต่างเปิดแง้มเล็กน้อย ต้นไม้สองสามกระถางที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างได้รับการดูแลอย่างดี เมื่อมองไปที่โต๊ะชา บนนั้นมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งเขียนว่า ‘ฝากแมวไว้ร้านสัตว์เลี้ยงที่หนานเซี่ยงเป่ยเจี่ยว เลขที่ 175 จ่ายค่าฝากเลี้ยงไปแล้วครึ่งปี’ อยู่ด้วย

นี่คงเป็นโน้ตที่หลงเซินเขียนไว้ก่อนไปเซี่ยงไฮ้ ตอนนั้นเขาน่าจะนึกว่าตัวเองคงไม่ได้กลับมาเร็วขนาดนี้ เป็นไปได้สูงว่ากระดาษโน้ตมีไว้ให้คนที่ฝากดูแลอ่าน

ตงจื้อนึกย้อนกลับไป พวกเขาสองคนได้พบกันอีกครั้งที่เซี่ยงไฮ้ หลังจากนั้นก็ไปไหหลำ ผ่านไปไทยและพม่า ฆ่าสน กำจัดปีศาจฟ้า เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาเพิ่งตระหนักว่าตัวเองผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากมายยามที่มองไปยังกระดาษโน้ตและทบทวนความทรงจำทีละเรื่องในเวลานี้

ตอนที่เขาออกจากปักกิ่งและมุ่งหน้าไปลู่เฉิง ตอนแรกเตรียมใจไว้แล้วว่าคงไม่ได้กลับปักกิ่งอีกหลายปี หลังจากบอกลาหลงเซิน เขายิ่งรู้สึกว่าชาตินี้คงไม่ได้กลับมาอีก ใครจะไปนึกว่าชีวิตคนเรามักเกิดปาฏิหาริย์และจุดพลิกผันเสมอ เมื่อก่อนเคยนึกว่าชั่วชีวิตคงหมดหวังในความรักไปแล้ว แต่กลับได้รับการตอบรับที่ริมชายหาดซานย่า ชีวิตนั้นช่างไม่แน่นอน เมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้งจึงยากที่จะไม่ให้หลงผิดคิดไปว่าราวกับผ่านไปแล้วชาติหนึ่ง

ไม่จำเป็นต้องเก็บกวาดอะไรในห้อง ตงจื้อนั่งลงข้างโต๊ะทำงานแล้วโทรศัพท์ไปหาหลิวชิงปัวก่อน

ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย ไม่รอให้เขาพูด เจ้าตัวก็ถามออกมาเป็นชุดเสียก่อน “ตอนนี้นายอยู่ไหน กลับประเทศแล้ว? แก้ของหรือยัง รองอธิบดีหลงอยู่กับนายหรือเปล่า”

ตงจื้อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นายจะให้ฉันตอบข้อไหน”

หลิวชิงปัวหงุดหงิด “ตอบมาทีละข้อ!”

“ก็ได้ ๆ ๆ” ตงจื้อบอกอย่างอารมณ์ดี “ตอนนี้ฉันอยู่ปักกิ่ง แก้คุณไสยแล้ว งานชุมนุมแลกเปลี่ยนจะจัดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ฉันบาดเจ็บ อาจารย์เลยไม่ให้ฉันไป ๆ มา ๆ ให้ทรมาน เลยอยู่รักษาตัวที่ปักกิ่ง รอพวกนายมาที่นี่ นายจะมาเมื่อไหร่”

หลิวชิงปัวบอก “อีกสองวันมั้ง มู่ตั่วอยากวิดีโอคอลกับนายเพื่อรายงานสถานการณ์ทางนี้ ตอนนี้นายสะดวกไหม”

“สะดวกสิ!” ถึงเขาไม่บอก ตงจื้อก็ว่าจะถามอยู่พอดี

ทั้งคู่วางสาย ก่อนเปลี่ยนไปใช้แอปสื่อสารเพื่อคุยผ่านวิดีโอออนไลน์ ไม่นานตงจื้อก็เห็นมู่ตั่วกับจางชงจากในวิดีโอ ทุกคนไม่เปลี่ยนไปเลย จางชงยังคงเฮฮาไม่คิดอะไรมาก มู่ตั่วยังเหมือนกับที่ตงจื้อเห็นก่อนจากมา ส่วนหลิวชิงปัวก็ยังคงลุคคุณชายใหญ่เหมือนเดิม

“ช่วงที่ฉันไม่อยู่ ขอบคุณทุกคนที่ทำงานหนักเพื่อที่ทำการลู่เฉิงนะ ไว้กลับไปแล้วฉันจะเลี้ยงข้าวพวกนายแน่นอน” ตงจื้อบอกด้วยความจริงใจ

หลิวชิงปัวกลอกตา “พวกเราลำบากมาตั้งนาน มีค่าแค่ข้าวมื้อเดียวหรือไง”

ตงจื้อยิ้มแป้น “งั้นนายอยากได้อะไรล่ะ นอกจากร่างกายแล้ว ฉันรับปากได้หมด”

หลิวชิงปัวทำเสียงขึ้นจมูก “ชิ ใครเขาอยากได้กัน! ให้มู่ตั่วเล่าสถานการณ์ช่วงนี้ให้นายฟังก่อน!”

ตงจื้อได้ยินก็รู้ทันทีว่ารองหัวหน้าคนนี้คงเอาแต่ชี้นิ้วสั่งงานคนอื่นเป็นแน่

หลิวชิงปัวไม่มีความอดทนต่อการจัดการงานเป็นชิ้นเป็นอันมาแต่ไหนแต่ไร และขี้เกียจเกินกว่าจะไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่มีแต่อะไรจุกจิกหยุมหยิมด้วย ดังนั้นต่อให้ความสามารถยอดเยี่ยมแค่ไหนก็นำทีมเหมือนหลี่อิ้งกับตงจื้อไม่ได้เสียที ถ้าไม่ฉายเดี่ยวก็ต้องมีคนคอยนำเท่านั้น และนี่เป็นข้อเสียของเขา

กรมจัดการคดีพิเศษไม่เคยขาดพวกลุยเดี่ยว ส่วนใหญ่สามารถแบกรับหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะได้ แต่ผู้ที่นำทีมได้มีไม่เยอะ ในรุ่นพวกเขา คนที่ได้รับความไว้วางใจก็คือหลี่อิ้ง ตอนนี้มีตงจื้อเพิ่มมาอีกคนแค่นั้นเอง

มู่ตั่วเริ่มรายงานสถานการณ์ให้ตงจื้อฟัง

ร้านชานมตกแต่งเรียบร้อยแล้ว และเริ่มเปิดบริการแล้วด้วย กิจการในแต่ละวันไม่ถือว่าคึกคัก เดือนแรกยังขาดทุนด้วยซ้ำ แต่หลังจากอยู่ตัวแล้ว ส่วนใหญ่ก็จัดว่าพอไปได้ จริง ๆ ร้านนี้เป็นแค่ฉากบังหน้าของที่ทำการ ไม่มีใครคาดหวังว่ามันจะทำเงินก้อนโต กำไรทั้งหมดจะถูกนำไปใช้ในการดำเนินงานของที่ทำการ

อย่างไรก็ตาม เห็นชัดว่าข้อเสนอตั้งแต่แรกเริ่มของตงจื้อเป็นข้อเสนอที่ดี ที่นี่อยู่ติดโรงเรียน มีนักเรียนเข้ามาซื้อเครื่องดื่มเป็นประจำ บางครั้งมู่ตั่วกับจางชงยุ่งมือเป็นระวิงจึงจ้างเด็กผู้ชายมาช่วยสองคน อ้างไปว่าเจ้าของร้านกำลังเขียนนิยาย ชอบรวบรวมเรื่องราวลี้ลับ ให้พวกเขาหมั่นพูดคุยสอบถามจากลูกค้าหน่อย การพูดคุยแลกเปลี่ยนดังกล่าวทำให้ได้ยินเรื่องแปลกพิสดารมากมายตามคาด จริงบ้างเท็จบ้าง ต้องให้พวกมู่ตั่วคัดกรอง

ถึงยังไงผู้หญิงก็มีความละเอียดรอบคอบ มู่ตั่วพบความผิดปกติจากข่าวลือซุบซิบพวกนี้ สุดท้ายพบว่าเป็นคดีลักลอกขนยาเสพติดข้ามประเทศ หลังส่งมอบงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วยังประสานงานเพื่อเข้าจับกุมพ่อค้ายาเสพติดด้วย ถึงขั้นที่ทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกันด้วยกระสุนปืน ตำรวจนายหนึ่งเกือบได้รับบาดเจ็บ ได้ยินว่าตอนนั้นหลิวชิงปัวอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย กระบี่ออกไปไวกว่ากระสุนปืน จึงขวางลูกกระสุนไว้ได้ทัน หลังเกิดเรื่อง สายตาที่ทุกคนมองเขาเลยเหมือนมองมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ปาน

ที่ทำการยังได้รับคำชมจากเบื้องบน รวมถึงคำขอบคุณจากแผนกพี่น้องเพราะเหตุนี้ด้วย อู๋ปิ่งเทียนเห็นว่าสมควรบอกต่อวิธีตบตาคนของที่ทำการลู่เฉิงให้ที่ทำการทุกแห่งทราบ จึงให้พวกเขาเขียนสรุปรวบยอดประสบการณ์มากมาย แน่นอนว่าหลิวชิงปัวไม่มีความอดทนในการทำเรื่องพวกนี้ ส่วนสำนวนเขียนของจางชงก็ถูกมู่ตั่วปฏิเสธเสียทุกครั้งตั้งแต่เริ่ม จนตอนนี้เขียนสรุปจนแทบอ้วกกว่าจะผ่านไปได้แบบพอถูไถ

มู่ตั่วเล่าเรื่องพวกนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตงจื้อก็รับฟังด้วยอาการตกตะลึงอ้าปากค้าง

เขานึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ตนจากมา ที่ทำการจะเกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ แบบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าหัวหน้าที่ ‘บกพร่องต่อหน้าที่’ อย่างเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง

มู่ตั่วเห็นเขาทำหน้ารู้สึกผิดจึงเอ่ยยิ้ม ๆ “การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่นายมาที่ที่ทำการ ถ้าไม่มีนาย ตอนนี้พวกเราคงยังซึมกะทือกันเหมือนเดิม หัวหน้า พวกนายไปแลกเปลี่ยนครั้งนี้ต้องเอาเกียรติยศกลับมาให้ที่ทำการของเราให้ได้เลยนะ!”

ตงจื้อชี้ไปที่หลิวชิงปัว “มีรองหัวหน้าหลิวอยู่ทั้งคน ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

หลิวชิงปัวพ่นลมออกทางรูจมูก บอกเป็นนัยว่าคำเยินยอของเขาช่างปราศจากความจริงใจ “ได้ยินว่างานแลกเปลี่ยนครั้งที่แล้วพวกเราได้ที่สอง? คราวนี้ฝรั่งพวกนั้นไม่มีโอกาสแล้ว!”

ตงจื้อบอกมู่ตั่วและจางชงอีกว่า “ฉันกับเหล่าหลิวไม่อยู่ลู่เฉิงทั้งคู่ มีเรื่องอะไรพวกนายก็รายงานไปที่ผู้อำนวยการถังทันที อย่าฝืนตัวเอง ไว้ฉันจะส่งยันต์แสงจันทราไปให้พวกนายจำนวนหนึ่ง ไม่มีเรื่องอะไรก็เก็บไว้กับตัว ใช้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย สงบจิตใจได้”

มู่ตั่วเข้าใจเจตนาอันดีของเขาจึงกล่าวขอบคุณทันที รวมถึงอวยพรให้การเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาราบรื่นทุกอย่างและกลับมาอย่างสมเกียรติด้วย

ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนที่เป็นคุณชายใหญ่ เชื้อสายวงศ์ตระกูลไม่ธรรมดา ยโสโอหังจนแม้แต่การชิงไหวชิงพริบกับคนอื่นก็รู้สึกว่าไม่มีค่าคู่ควรแบบหลิวชิงปัว ส่วนคนที่ถลำลึกแบบเฉิงหยวนนั้นมีเป็นส่วนน้อย ส่วนมากแล้วจะเป็นเหมือนเซียวฉีกับเหยียนนั่วจากที่ทำการลู่เฉิงในอดีต ที่มีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไป แต่ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์อยู่ พวกเขาจึงรู้สึกโกรธ รู้สึกอิจฉา รู้จักปัดภาระให้พ้นตัว รู้จักผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง

มู่ตั่วเข้ามาในกรมหลายปี จากปณิธานอันยิ่งใหญ่สู่การใช้ชีวิตไปวัน ๆ กระทั่งเคยมีความคิดที่จะลาออก ทว่าในที่สุดหล่อนก็ได้พบกับตงจื้อ

ชายหนุ่มผู้นี้ยังอ่อนวัย ไร้ประสบการณ์ แต่เขาฉลาดและตั้งใจเรียนรู้ รู้เรื่องหนึ่งก็เชื่อมโยงไปถึงเรื่องอื่น ๆ ได้มากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติในการกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่น ที่หายากยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาเต็มใจที่จะแบกรับความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหา หลังจบเรื่องก็ไม่ยึดเอาความดีความชอบ แต่ยินดีที่จะแบ่งปันผลงาน

การร่วมงานกับเขาทำให้มู่ตั่วรู้สึกเพลิดเพลินจำเริญใจอย่างยิ่ง หากต้องมีคนให้เปรียบเทียบ หล่อนคงต้องบอกว่าตงจื้อแข็งแกร่งกว่าเหยียนนั่วและเซียวฉี คนแบบนี้ต่างหากที่จะนำพาทุกคนไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง ทำให้คนยินยอมพร้อมใจฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม ขึ้นสวรรค์ลงนรกไปพร้อมกับเขา

คุยกับพวกหลิวชิงปัวอีกสองสามประโยค ตงจื้อก็ปิดวิดีโอ นวดหัวคิ้ว ก้มหน้าอ่านเอกสารที่ซ่งจื้อฉุนยื่นให้เขาตอนออกมาเมื่อครู่

ความจริงแล้วชื่อที่ถูกต้องของงานชุมนุมแลกเปลี่ยนระดับโลกคืองานชุมนุมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในเขตแดนซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักของโลก เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ไม่ได้จัดขึ้นทุก ๆ สองปี ระหว่างนั้นเคยระงับการจัดไปหลายครั้งเนื่องด้วยเหตุผลบางประการ จนถึงปัจจุบันนี้ ประเทศที่เป็นกรรมการบริหารผลัดกันเป็นเจ้าภาพสองปีครั้ง

อันที่จริง วัฒนธรรมในเขตแดนซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักก็คือคำเรียกทั่วไปสำหรับโลกบำเพ็ญเพียร ตั้งแต่วิชาเต๋า วิชาองเมียว วิชาพิษกู่ของทางตะวันออก รวมถึงวิชาไสยศาสตร์ของเอเชียอาคเนย์ ไปจนถึงผู้สื่อวิญญาณ อัญเชิญวิญญาณ นักล่าปีศาจ พ่อมดของทางตะวันตก ฯลฯ ครอบคลุมหมดทุกอย่าง จึงเป็นธรรมดาที่ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากเต็มใจใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจและขยายอิทธิพลของตัวเอง

จนถึงวันนี้ งานชุมนุมแลกเปลี่ยนได้กลายมาเป็นเวทีแข่งขันสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรจากทั่วทุกมุมโลกไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม เมื่อก้าวขาออกจากที่นี่ชื่อเสียงก็ขจรขจายไปทั่วโลก แน่นอนว่าต้องมีผู้ที่ตกต่ำและเสียชีวิตอยู่ที่นี่ด้วย

โดยทั่วไปแล้วงานชุมนุมเป็นการจัดทีมเข้าร่วมจากประเทศหรือภูมิภาค ไม่อนุญาตให้เข้าร่วมในนามบุคคล ประเทศจีนเข้าร่วมมาแล้วห้าครั้ง หลงเซินเคยนำทีม แต่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน

ตงจื้ออดยิ้มไม่ได้เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้

เขารู้ว่าทำไมหลงเซินถึงไม่เข้าร่วม เพราะหลงเซินแข็งแกร่งเกินไป หากผู้ชายคนนี้เข้าร่วม ไม่มีโอกาสที่ผู้อื่นจะเอาชนะได้เลย ในฐานะบุคลากรระดับสูงของกรมจัดการคดีพิเศษ ความจริงหลงเซินไม่จำเป็นต้องออกไปแสดงตัวด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าคาร์ลอสตระหนักในความสามารถของหลงเซินดี เพราะแบบนั้นถึงได้มีท่าทีเสียดายที่ครั้งนี้ตนไม่ได้เห็นลูกศิษย์ของหลงเซินแสดงความสามารถด้วยตาตัวเอง

ด้วยความสามารถของหลงเซิน ต่อให้เขาไม่จงใจเผยมันออกมา แต่ชะตาก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีทางกลืนหายไปในฝูงชน ตงจื้อจินตนาการได้เลยว่าช่วงเวลาในอดีตของหลงเซินที่ตนไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้นั้น ผู้ชายคนนี้ต้องเคยเปล่งประกาย ชวนให้ตาพร่าลายอย่างน่าทึ่งมากขนาดไหน ความแข็งแกร่งกับความหนักแน่นของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกชื่นชมจากใจจริงมากเพียงใด

บนเขาฉางไป๋ หลงเซินมีแผลเก่า แต่ยังต่อสู้กับมังกรกระดูกได้อย่างสูสี ครั้งนี้ถึงขนาดผนึกช่องทางอเวจีได้ด้วยกำลังของตัวเอง มิน่าล่ะเขาถึงกล้าพาลูกศิษย์บุกเข้าไปถึงรังของสนตามลำพัง แม้ตงจื้อถือได้ว่าเป็นคนใกล้ชิดของอีกฝ่าย ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าขีดจำกัดพลังของผู้ชายคนนี้สิ้นสุดลงตรงที่ใด

อดีตของหลงเซิน เขาพลาดมาเยอะแล้ว แต่อนาคตของหลงเซิน ในช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีทางพลาดอีกเด็ดขาด

ปลายนิ้วสัมผัสชื่อที่คุ้นเคยนั้น แล้วตงจื้อก็อ่านต่อไป

เหออวี้เคยเข้าร่วมครั้งหนึ่ง คั่นเฉาเซิงไม่เคย แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความสามารถของคั่นเฉาเซิงไม่พอ แต่กรมจัดการคดีพิเศษกังวลว่าคั่นเฉาเซิงจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง อดใจไม่ไหวเปิดเผยร่างจริงออกมาในสถานการณ์บางอย่าง และนำมาซึ่งความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น

ในครั้งที่เหออวี้เข้าร่วม งานจัดขึ้นที่ทุ่งน้ำแข็งในไซบีเรีย ผู้เข้าร่วมจำเป็นต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดบนทุ่งน้ำแข็ง และตามหาสิ่งของที่ทางผู้จัดกำหนดไว้มาให้ได้ในที่สุด ครั้งนั้นพวกเหออวี้ได้รับชัยชนะในตอนจบ ผู้ที่เข้าร่วมกับเขามีจางหางกับอวี๋ปู้หุ่ยด้วย ชื่อที่คุ้นเคยเหล่านี้ปรากฏบนเอกสาร ทุกอย่างบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองในตอนนั้น

แต่หลังจากนั้นมา ซึ่งก็คือการแลกเปลี่ยนครั้งล่าสุด การแข่งขันจัดขึ้นในทวีปแอฟริกา ที่นั่นเป็นดินแดนที่วิชามนตร์ดำแพร่หลาย ทุกคนเอาชีวิตรอดและต่อสู้กันในสภาพแวดล้อมที่ทุกแห่งเต็มไปด้วยกับดักมนตร์ดำ ผู้ชนะในตอนท้ายคือทีมจากสหรัฐอเมริกา ตงจื้อดูรายชื่อบุคลากรที่เข้าร่วมครั้งที่แล้ว ในกลุ่มนั้นมีคนรู้จักจากสำนักงานสาขาตะวันออกเฉียงเหนือด้วยสองคน เจิ้งซุ่ยกับหวังจิ้งกวน

แน่นอนว่าเหล่าเจิ้งกับพี่หวังไม่ใช่เด็กใหม่แรกเข้าของกรมจัดการคดีพิเศษ แต่ตงจื้อเข้ามาอยู่ในกรมนานแล้ว และเข้าใจดีว่าพวกเขาไม่ถือเป็นอัจฉริยะของกรมแต่อย่างใด ที่พวกเขาเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนครั้งที่แล้ว บอกได้แต่เพียงว่าตอนนั้นทางกรมไม่มีคนฝีมือดีที่ควรค่าแก่การส่งตัวไป ถึงได้ส่งพวกเขาออกไปแค่พอให้ครบจำนวนคน

ได้ยินว่าทีมที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้เยอะกว่าทุกครั้งที่เคยมีมา ที่กรมจัดการคดีพิเศษให้พวกตงจื้อไปเข้าร่วมก็ต้องคาดหวังว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะกลับมาแน่ ๆ

เขาปิดเอกสารลงก่อนถอนหายใจเบา ๆ

ตงจื้อไม่นึกเลยว่าตัวเองจะได้รับหน้าที่นำทีม ความไว้วางใจนี้เข้ามากะทันหันเกินไปจนร่างกายรู้สึกได้แต่ความหนักอึ้ง พานทำให้ความรู้สึกเป็นเกียรติที่ควรจะมีในตอนแรกลดทอนลงไป

หลิวชิงปัว จางซง หลิ่วซื่อ คนเหล่านี้ไม่มีใครที่ไม่ใช่อัจฉริยะของกรมจัดการคดีพิเศษในอนาคต พวกเขาทำผลงานได้โดดเด่นพอ ๆ กันในการฝึกอบรมและการลงสนามจริง หากไม่มีอะไรผิดพลาด กรมจัดการคดีพิเศษในอนาคตก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเขาเช่นกัน หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ตงจื้อไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะมีที่ที่เป็นของตัวเองอยู่ในนั้นด้วย

ตอนแรกเขาถูกดึงดูดด้วย ‘รูปลักษณ์อันงดงาม’ จากนั้นก็ถูกสีสันพร่างพราวของโลกใบใหม่รั้งไว้และถอนสายตาออกมาไม่ได้อีกเลย ตอนแรกเขารู้ข้อบกพร่องของตัวเองดี คิดว่าตัวเองเป็นแค่พนักงานพลาธิการธรรมดาคนหนึ่งอยู่ในกรมจัดการคดีพิเศษ ได้เห็นเทพบุตรบ่อย ๆ ก็พอใจแล้ว แต่ต่อมาเมื่อทุก ๆ เรื่องมาอยู่ตรงหน้า เขาก็แค่อยากพยายามให้ถึงที่สุด ไม่อยากให้คนอื่นมาดูถูก และไม่อยากให้ตัวเองต้องรู้สึกละอายใจด้วย ถึงได้เดินมาทีละก้าวจนถึงจุดที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปอีกครั้งก็อดเผยยิ้มออกมาไม่ได้

ตลอดทางที่เขาเดินมานี้ เขามุ่งมั่นที่จะมองไปข้างหน้าอย่างเดียว คล้ายกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ ร่างกายสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว แต่แล้วเมื่อหันกลับไป เขาก็พบว่าตัวเองหว่านเมล็ดพืชลงไปในแผ่นดินผืนใหญ่โดยไม่ตั้งใจ เมล็ดพวกนั้นโผล่พ้นดิน ผลิบานเป็นดอกไม้นานาชนิดปรากฏแก่สายตา เป็นความยินดีในความไม่คาดฝัน และเป็นรางวัลตอบแทนความขยันหมั่นเพียรจากสวรรค์ด้วย

ความกังวลอยู่ในใจตงจื้อตลอดเวลา เขานึกเป็นห่วงว่านิสัยแบบจางซงคงไม่ยอมลงให้ตัวเองแน่ จึงยากที่ทีมจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ กังวลด้วยว่าครั้งนี้พวกเขาจะเอาชนะการแข่งขันไม่ได้ ทั้งยังกลัวว่ากรมจัดการคดีพิเศษจะต้องมาขายหน้า ประเทศต้องมาขายหน้า แต่ในเมื่อทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว เขาก็ไม่เคยคิดที่จะปัดภาระหรือถอยหนี แต่กลับเริ่มใคร่ครวญว่าจะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้ยังไง

หลังจากกลับมาตงจื้อยังไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่ เขาจึงเผลอฟุบหลับคาโต๊ะ

ลมหนาวพัดเข้ามาจากทางนอกหน้าต่าง ตงจื้อจามหนึ่งที เขาขยี้ตา พบว่าผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว

ห้องพักตรงข้ามเงียบสงัด แปลว่าหลงเซินยังไม่กลับมา เขาสวมเสื้อคลุม ออกไปกินข้าวเย็นข้างนอกก่อนและถือโอกาสรับหลงหลงกลับมาด้วย

 

ไม่เจอกันครึ่งปี หลงหลงตัวโตขึ้นเท่าหนึ่ง มันได้รับการดูแลจนเส้นขนเรียบลื่นเงางาม เผยลักษณะเด่นของแมวสีขาวออกมาอย่างเต็มที่ ตอนที่ตงจื้อเห็นหน้ากลม ๆ ไร้เดียงสาของมัน เขาเกือบบอกเจ้าของร้านสัตว์เลี้ยงไปแล้วว่าพวกเขาจำแมวผิดตัว

“ตอนคุณหลงพามันมา ได้เจาะจงเป็นพิเศษว่าจะเอาอาหารแมวยี่ห้อไหน ช่วงนี้พวกเราให้มันกินอาหารแมวยี่ห้อนี้ตลอดค่ะ สัปดาห์ละหนึ่งกระป๋อง สัปดาห์ที่แล้วเพิ่งตรวจร่างกายมา แข็งแรงดีทุกอย่าง” พนักงานร้านบอกยิ้ม ๆ พลางยื่นผลตรวจสุขภาพมาให้ ตงจื้อเห็นปุ๊บก็อดไม่ได้ ต้องทอดถอนใจให้กับการดูแลอย่างพิถีพิถันของพวกเขา

แน่นอนว่าการดูแลอย่างเอาใจใส่นี้ราคาไม่ใช่ถูก ๆ ตงจื้อเห็นว่าอาหารแมวที่พวกเขาให้หลงหลงเป็นยี่ห้อเดียวกับที่ตัวเองซื้อไว้ก่อนไป

ความละเอียดรอบคอบของหลงเซินมักปรากฏออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ยากจะสังเกตเห็นเสมอ

หลังเจ้าของร้านยืนยันตัวตนของเขาแล้วก็ชื่นชมความเลี้ยงง่าย ความเชื่อฟัง ความสนิทสนมกลมเกลียวของหลงหลงกับแมวทุกสายพันธุ์ในร้านหนึ่งจบ หล่อนยังจำได้แม้กระทั่งรูปร่างหน้าตาของหลงเซินด้วยซ้ำ แถมยังเข้าใจผิดไปว่าตงจื้อเป็นน้องชายอีกฝ่าย บอกว่าพวกเขาสองคนพี่น้องหน้าตาดีมากทั้งคู่ แค่เห็นผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม

ตงจื้อไม่คิดอธิบายเพิ่ม พูดคุยยิ้มแย้มตามน้ำไปสองสามประโยค ก่อนไป เจ้าของร้านไม่เพียงใจกว้างให้ส่วนลด 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังแถมอาหารแมวให้อีกหนึ่งถุง บอกด้วยว่าคราวหน้าถ้ามีเวลาว่างให้พวกเขาแวะมานั่งเล่นบ่อย ๆ

ตงจื้อชูกรงขึ้นสูง บอกกับหลงหลงที่อยู่ด้านในเมื่อออกจากร้านมาว่า “อาหารแมวของแก ฉันสละตัวเพื่อแลกมาเลยนะ”

หลงหลงร้องเหมียว ยื่นอุ้งเท้าอ้วนป้อมมาวางทาบบนมือเขา คล้ายยังไม่ลืมเจ้าของที่มันได้มาฟรี ๆ คนนี้

ตงจื้อแตะหัวมัน “เดี๋ยวพาแกกลับไปหาเจ้านายอีกคน”

 

ใกล้ค่ำ หนึ่งคนหนึ่งแมวกลับถึงกรมจัดการคดีพิเศษ

หลงเซินกลับมาแล้ว ประตูห้องพักแง้มเปิด แสงไฟลอดออกมาจากภายใน

“อาจารย์?” ตงจื้อผลักประตูเยี่ยมหน้าเข้าไป

“กลับมาแล้วเหรอ” หลงเซินเพิ่งออกจากห้องน้ำ อยู่ห่างออกไปสองสามเมตรก็ยังรู้สึกได้ถึงไอน้ำที่ปกคลุมร่างเขา

“ผมรับหลงหลงกลับมาแล้วครับ”

ตงจื้อเปิดกรง ปล่อยแมวออกมา

หลงหลงไม่กลัวคนแปลกหน้าสักนิด มันเดินวนรอบ ๆ ข้อเท้าพวกเขาสองคนหลายรอบ ก่อนจะพาดหางไว้บนขาพวกเขา

“กระบี่ฉางโส่วเก็บไว้ที่ฉันก่อน ช่วงนี้มันผ่านการต่อสู้หนักหน่วงกับนายมาเยอะ จะให้กระบี่ไม่ปนเปื้อนไอสกปรกเลยคงเลี่ยงไม่ได้ ฉันจะเอาไปชำระล้างแล้วค่อยคืนให้” หลงเซินกล่าว

ตงจื้อไม่ขัดข้องอยู่แล้ว ต่อให้หลงเซินไม่อธิบาย ขอแค่เอ่ยปากบอกว่าจะเอา เขาก็จะยื่นกระบี่ให้ไปโดยไม่ลังเล มันเป็นความไว้วางใจที่ไม่จำเป็นต้องมาขบคิด

“อาจารย์ ครั้งที่แล้วที่คุณผนึกช่องทางอเวจีได้รับบาดเจ็บด้วยใช่หรือเปล่าครับ ผมไม่ได้จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ พักเรื่องกระบี่ฉางโส่วไว้ก่อนก็ได้”

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า