แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 143
หลี่อิ้งยังสับสนมึนงง แต่หลงเซินเข้าใจดีว่างูยักษ์แปดหัว ตัวนี้โผล่มาได้ยังไง
พูดให้เคลียร์ มันคือการรวมร่างของชิกิงามิในวิชาองเมียวกับ พลังปีศาจ
เห็นกันอยู่ว่าโอโตวะ ยาซูฮิโกะ มีเค้าความวิปริตมาตั้งแต่ครั้งยัง เป็นมนุษย์ นิสัยต่อต้านมนุษย์กับสังคมโดยกำเนิดแบบนี้ เมื่อถึงคราวที่ กลายเป็นปีศาจอย่างแท้จริงเลยกำแหงหนักข้อขึ้นอีกเป็นธรรมดา อย่างที่ คนทั่วไปยากจะเข้าใจจุดประสงค์ที่เขาต้องการเปิดช่องทางนรก เปลี่ยนโลก ให้เป็นสถานที่ล้างบาปโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั่นแหละ
สำหรับโอโตวะ ยาซูฮิโกะ เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตดำมืดไปนานแล้ว และตั้งหน้าตั้งตารอการมาถึงของความมืดมนอนธการในทุกสิ่งอย่างไม่ต้อง สงสัย เขาไม่ได้ต้องการครองโลกอย่างเดียว แต่ยังต้องการให้พื้นที่ทั้งหมด เชื่อมโยงถึงกัน เสริมสร้างพลังของตนด้วยพลังปีศาจที่เต็มเปี่ยมยิ่งขึ้นด้วย ครั้นแล้วเขาก็จะอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เอาเข้าจริง มันคือผลจากความ ปรารถนาที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ด้วยเหตุนี้โอโตวะ ยาซูฮิโกะ จึงฝักใฝ่ในตัวสัตว์ปีศาจโบราณกาล เขาจะใช้งูยักษ์แปดหัวเป็นต้นแบบเพื่อสร้างงูยักษ์แปดหัวตัวใหม่ขึ้นมาอีกก็ไม่แปลก
หลงเซินไม่เคยเห็นงูยักษ์แปดหัวในตำนานมาก่อน แต่ในมุมของเขา ความสามารถของสัตว์ปีศาจตรงหน้านี้ทรงพลังมาก ทรงพลังยิ่งกว่ามังกร กระดูกบนเขาฉางไป๋ตอนนั้นด้วยซ้ำ ดูท่าหลายสิบปีมานี้มันคงได้รับ การกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูจากโอโตวะเป็นอย่างดี
แสงกระบี่ทะลุผ่านหัวหนึ่งไป หัวงูใหญ่ยักษ์ขานตอบก่อนตกใส่พื้น กระแทกผิวทะเลสาบอย่างแรง เป็นการยั่วโมโหมันอย่างสมบูรณ์ มัน ตวัดหางมาทางหลงเซิน อีกเจ็ดหัวที่เหลือแยกกันไล่งับชายหนุ่ม ล้อมเขา ไว้เป็นวงกลม
ลมคาวเหียนโชยปะทะใบหน้า ขนาดหลี่อิ้งยังโดนไปด้วย ความรู้สึก คลื่นไส้พะอืดพะอมผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่หลงเซินไม่เปลี่ยนสีหน้า ร่างเคลื่อนไหวไปมาระหว่างแสงกระบี่ที่ฉวัดเฉวียนไปมาอย่างอิสระ หัวงู ทั้งเจ็ดกับหางอีกแปดทำอะไรเขาไม่ได้ชั่วขณะ
แม้อู๋ปิ่งเทียนซึ่งถนัดการใช้ยันต์มาอยู่ตรงนี้ก็อาจจัดการสัตว์ยักษ์ ตัวนี้ไม่ได้เสมอไป แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แหลมคมนั้นไร้เทียมทาน ที่เขาฉางไป๋ หลงเซินมีแผลเก่าติดตัวยังสยบมังกรกระดูกได้ ตอนนี้อาการบาดเจ็บหาย เป็นปลิดทิ้ง งูยักษ์แปดหัวดูน่ากลัว ทรงพลังไร้เทียมทานก็จริง แต่พอ ปะทะกับหลงเซินแล้วเหมือนได้เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ผิวทะเลสาบ เงียบสงบอันตรธานหายไปท่ามกลางเสียงเคลื่อนไหวที่สะเทือนเลื่อนลั่น ไปทั้งปฐพีนานแล้ว น้ำทะเลสาบไหลย้อนกลับ คลื่นยักษ์ถาโถม ลมแรง ม้วนเข้าหา พื้นหญ้ากลายเป็นพื้นชุ่มน้ำ หลี่อิ้งจำต้องคว้าจับต้นไม้ข้าง ลำตัวไว้แน่นถึงป้องกันไม่ให้ถูกน้ำทะเลสาบพัดไปได้
เขาแหงนหน้ามอง ม่านราตรีมาเยือนโดยไม่รู้ตัว มีเพียงเสี้ยว สีโลหิตบนขอบฟ้าที่ถูกเกลี่ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป คล้ายบ่งบอกถึงลางร้าย บางประการ เสียงร้องโหยหวนของหลงเซินลอยมา หัวงูหัวหนึ่งคาบร่างเขา ไว้กลางอากาศ เขี้ยวงูขบเข้าหากัน หัวกับลำตัวหลงเซินแยกไปคนละทิศ ละทาง แขนขาที่เหลืออยู่ตกฮวบลงมา
ไม่!
เมื่อถือเอาความจริงเป็นเรื่องโกหกก็ย่อมเป็นเช่นนั้น และเมื่อถือเอาการโกหกเป็นเรื่องจริงก็ย่อมกลายเป็นเรื่องจริง
หลี่อิ้งพึมพำประโยคนี้ในใจ เขาหลับตาลงและลืมขึ้นอีกครั้ง
หลงเซินยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย เขายังคงสู้พัวพันกับงูยักษ์แปดหัว ท้องฟ้าก็ไม่ใช่สีเลือด หากเป็นสีน้ำเงินเข้มยามพลบค่ำ
หลี่อิ้งสูดลมหายใจ เขารู้ว่าถึงแม้ตัวเองไม่ต้องเข้าร่วมศึกนี้ แต่ สงครามไม่เคยห่างไปจากตัวเขาเลย เขายังต้องทำสงครามกับภาพลวงตา อยู่ทุกนาทีจนกว่าจะเอาชนะพวกมันได้
ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิ เริ่มขับเคลื่อนคาถาจิตของสำนัก
หลงเซินเสียสมาธิ
เขาเห็นตงจื้อวาดกระบี่พุ่งมาทางตน แต่พริบตาเดียว ตงจื้อก็ กลายเป็นหัวงูดุร้าย ง้างคมเขี้ยวเรียงรายแน่นขนัด หมายมั่นที่จะทำให้เขา กลายเป็นอาหารในท้อง!
หลงเซินส่งแสงกระบี่ออกไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ฟันหัวงูขาดไป อีกหัว
สัตว์ร่างใหญ่ทรงพลังอำนาจมากก็จริง แต่ข้อบกพร่องก็ชัดเจนด้วย ปฏิกิริยาทางร่างกายช้ากว่าสมองไปไกล
แต่ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากพลังปีศาจส่งผลกระทบต่อตัวเขาตลอด เวลา หรืออีกนัยหนึ่ง สภาพแวดล้อมทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากภาพลวงตา มีแค่งูยักษ์แปดหัวเท่านั้นที่เป็นของจริง ความจริงแล้วพวกเขายังถูกขังอยู่ ในมิติของกระจกสะท้อน เพียงแต่เข้ามาในชั้นที่ลึกกว่าชั้นผิวเมื่อครู่
หลงเซินมองหาวิธีทำลายกระจกสะท้อนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุด ตอนนี้เขาก็เจอ
นั่นคือการสังหารงูยักษ์แปดหัว!
แสงสีขาวเปล่งประกายเป็นลำแสงสีม่วงจาง หลงเซินอยู่ที่ใจกลาง แสงกระบี่ ร่างแทบล่องหน งูยักษ์แปดหัวแยกเขี้ยว ร้องคำรามพลางโผน เข้าหา แต่กลับกระโจนใส่ความว่างเปล่า วินาทีถัดมาหลงเซินปรากฏตัว ขึ้นด้านหลังมัน คมกระบี่เฉือนหัวงูตกลงไป เลือดสดสาดกระเซ็นเต็มตัวเขา
แต่ในสายตาหลงเซินกลับเห็นเป็นตงจื้อที่ถูกเขาตัดหัวกับมือ กะโหลกศีรษะลอยขึ้น สีหน้านิ่งค้างอยู่ในวินาทีที่หวาดกลัวสุดขีด มือที่ กำกระบี่ของหลงเซินสั่นไหวเล็กน้อย ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งพลัน แล่นปราดมาจากแผ่นหลัง หางงูหวดเข้าใส่ด้านหลังเขาอย่างแรง เรี่ยวแรง มหาศาลแทบทำให้กระดูกมนุษย์แหลกละเอียด มีเพียงสังขารที่ไม่ธรรมดา ของหลงเซินเท่านั้นที่ทำให้รอดพ้นจากหายนะนี้ไปได้ เขาอาศัยจังหวะนั้น ถีบตัวขึ้น แสงกระบี่พุ่งออกไปอีกครั้ง ตัดหางสองหางขาดสะบั้นไป พร้อม ๆ กัน!
ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา สติของหลงเซินบอกตัวเองอย่างแจ่มชัด ในเรื่องนี้ แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าอารมณ์ความรู้สึกก็สั่นไหวได้เหมือนกัน เขาเคยนึกว่าตนคงไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์เหมือนมนุษย์ง่าย ๆ แต่พอ มาเกิดขึ้นกับตัวถึงได้รู้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาเขายังไม่ได้พบ คนคนนั้น ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
หากความรักไม่ลึกซึ้ง ไม่หนักแน่นดั่งภูผาแล้วไซร้ ที่อันเกิด จิตปฏิพัทธ์ แม้เล็กน้อยก็เห็นรอยหวั่นไหว
ตั้งแต่วันที่เขาแปลงกายจากกระบี่มาเป็นมนุษย์ รับรู้ได้ถึงฝน ในฤดูใบไม้ผลิ น้ำค้างแข็งในฤดูใบไม้ร่วง เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งแล้ว
เมื่อเป็นมนุษย์ ย่อมมีจุดอ่อน มีรักมีเกลียด มีความลำเอียง
เขามอบจุดอ่อนนั้นให้ตงจื้อ ยกความรักให้ตงจื้อ ความลำเอียงก็ให้ ตงจื้อด้วย
หลงเซินกระจ่างแจ้งแก่ใจ กระบี่ในมือนิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แม้สิ่งที่เห็น เมื่อลืมตาขึ้นจะมีแค่ตงจื้อ เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
กระบี่ตวัดขึ้นลง แสงเงาโผนทะยานไปอย่างอิสระ งูยักษ์แปดหัว เต้นเร่า ๆ แผดเสียงคำรามอยู่เหนือผิวทะเลสาบราวกับจะแหวกทะลวง ท้องฟ้าให้เป็นรู ผืนหญ้าทั้งหมดถูกพลิกขึ้น เศษหญ้าหมุนคว้างในอากาศ ไม่หยุด แม้มิตินี้เป็นเพียงภาพลวงตา แต่ตอนนี้ถูกงูยักษ์แปดหัวทำลายไป เกือบหมดแล้ว หลงเซินพบว่าสิ่งที่รับมือด้วยยากที่สุดสำหรับงูยักษ์แปดหัวตัวนี้ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายอันใหญ่โตหรือพลังทำลายล้างของมัน แต่เป็นหัวงู กับหางงูที่งอกขึ้นมาใหม่หลังถูกตัดขาดอย่างไม่รู้จบ และการต่อสู้ครั้งนี้ คงไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นเขาต้องทำลายมันให้ได้อย่างสมบูรณ์ก่อนที่หัวงู จะงอกขึ้นมาใหม่
“หลี่อิ้ง!”
“ครับ!” หลี่อิ้งสะดุ้งเล็กน้อย ลืมตาโพลง
หลงเซินถีบตัวขึ้นไปกลางอากาศ ร่อนลงบนร่างงูแผ่วเบา เสียงลอย มาจากที่ไกล ๆ
“ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนาย ใช้ไฟอาคมเผาปากแผลหัวงู ที่ขาดให้หมด ไม่ให้มันงอกใหม่ สถานการณ์นายตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่มีปัญหาครับ!” หลี่อิ้งเอามือยันต้นไม้พลางลุกขึ้นยืน เขายังเห็น ภาพลวงตาอยู่ หัวงูมักแปลงกายไปเป็นฉือปั้นเซี่ย ก่อนถูกหลงเซินฟันฉับ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาผ่านการปรับลมปราณมาแล้ว ตอนนี้จิตวิญญาณแจ่มชัดขึ้นมาก ขอเพียงใจเชื่อมั่นว่านั่นไม่ใช่ตัวจริง เขาก็ลงมือได้โดยไม่ลังเล
หลงเซินยกมือกวัก แสงกระบี่ลำหนึ่งแฉลบจากหน้าลำตัวเขาไป ที่หลี่อิ้ง จิตใต้สำนึกสั่งให้หลี่อิ้งยื่นมือออกไปรับ แล้วก็พบว่ามีกระบี่ยาว เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
ตัวกระบี่ดูเหมือนน้ำพุใสบริสุทธิ์ สะท้อนใบหน้าของเขาออกมาอย่าง ชัดเจน
หลี่อิ้งมองเห็นความเหนื่อยล้า ความไม่มั่นใจ รวมถึงความอยากรู้ อยากลองของตน
เขากำด้ามกระบี่มั่น สูดหายใจเข้าลึก ออกแรงที่เท้าก่อนวิ่งไปทาง หัวงู มือหนึ่งคีบยันต์ที่ก่อนหน้านี้ยังใช้ไม่หมดออกจากกระเป๋า
“รองอธิบดีหลง ผมมาแล้ว!”
พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อตัวเองและเพื่อคนที่รัก
พยายามให้ถึงที่สุด
ถังจิ้งกับอวี๋ปู้หุ่ยไล่ตามคิตาอิเคะ เอโกะ มาถึงด้านนอกลานบ้านแห่งหนึ่ง พวกเขาเห็นร่างของหล่อนหายลับไปจากหน้าประตูลานบ้านจากที่ไกล ๆ อวี๋ปู้หุ่ยส่งสัญญาณให้ถังจิ้ง ถามว่าจะตามไปไหม ถังจิ้งครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย ทำมือเป็นสัญญาณ บอกเป็นนัยว่าตนจะเข้าไปก่อน ให้อวี๋ปู้หุ่ยคอยระวังหลัง จากนั้นก้าวเข้าไปในลานบ้านทันที
ท้องฟ้ามืดสนิท โคมแขวนในลานบ้านถูกจุด เปลวเทียนส่องแสง ผ่านผ้าโปร่งส่ายไหวไม่หยุดนิ่ง ที่นี่ไม่ใช้ไฟฟ้า แต่ใช้เทียนแบบโบราณ มันส่องประกายระยิบระยับเป็นจุด ๆ คล้ายดวงดาวที่กระจัดกระจายอยู่บน ท้องฟ้า เพิ่มความโรแมนติก
แต่ถังจิ้งไม่มีอารมณ์มาชื่นชม เขารู้เพียงว่ากลิ่นอายของคิตาอิเคะ เอโกะ หายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อมาถึงที่นี่ เสียงพิณแผ่ว ๆ ที่เข้ามาแทนที่ ลอยออกมาจากห้องด้านใน
เสียงพิณเรียบง่ายสไตล์โบราณ ท่วงทำนองไม่เป็นจังหวะ ทว่า แต่ละเสียงสะเทือนไปถึงใจถังจิ้ง
ราวกับมีแรงดึงดูดอยู่ในความมืด เชื้อเชิญให้เขาเปิดประตูตรงหน้า ไปค้นหา
ถังจิ้งยิ้มเยาะเล็กน้อย ขี้เกียจทำเรื่องง่ายให้ซับซ้อนเพื่อตบตา อีกฝ่าย เขาโบกมือทีเดียว ประตูบานเลื่อนสไตล์ญี่ปุ่นก็เลื่อนออกด้านข้าง อัตโนมัติ เผยให้เห็นคนที่นั่งอยู่ในห้อง
คนคนนั้นกอดพิณไว้ เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขา
ถังจิ้งนิ่งค้าง ท่าพร้อมลงมือจู่โจมในคราแรกชะงักกึก แต่สีหน้า กลับเย็นเยียบลง
“ไม่เจอกันตั้งนาน” อีกฝ่ายยิ้มเล็กน้อย “ถังถัง นายสบายดีไหม”
ถังจิ้งเอ่ยด้วยความเย็นชา “นายไม่ใช่เขา”
หมิงเสียนทำหน้าสนใจ เลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
ถังจิ้ง “เขาตายไปแล้ว”
หมิงเสียนอมยิ้ม “วันนั้นฉันเคยบอกนายแล้วนี่ โอโตวะควบคุม จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของฉันไว้ ส่วนที่ตายไปแล้วก็ตายไป แต่ส่วนที่ยังอยู่ ก็ยังอยู่ เขาใช้ส่วนที่เหลือทำให้ฉันฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้น ฉัน ก็ยังเป็นฉัน”
ถังจิ้ง “ถ้าเป็นเขาจริง คงไม่อยากให้ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ เขาอยาก ไปจากโลกนี้อย่างหมดจดไร้ราคี แต่นายยังดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ยอม ก้มหัวให้ปณิธานของโอโตวะ กลายเป็นเครื่องมือเข่นฆ่าคนให้เขา นาย ไม่ใช่หมิงเสียน!”
เสียงของเขาดังขึ้นทุกขณะ ถังจิ้งลงมือจู่โจมทันควันพร้อมกับ ที่พ่นประโยคสุดท้ายออกไป เศษชิ้นส่วนเจิดจ้านับไม่ถ้วนลอยไปทาง หมิงเสียนดุจสายฝน ฝ่ายหลังกระโดดขึ้นไปในอากาศฉับพลัน ทะลุผ่าน เพดานห้อง อุ้มพิณลอยปราดลงมาจากหลังคา สายพิณแยกเป็นห้าสาย พุ่งใส่ถังจิ้ง!
ถังจิ้งยื่นมือไปจับมันไว้สายหนึ่ง ไม่สนว่ามือจะถูกสายพิณคม ๆ บาดจนเลือดออก อาศัยแรงนั้นถีบตัวขึ้นไปกลางอากาศ ริบบิ้นที่ทอ จากไหมฟ้าคล้องข้อมือหมิงเสียนก่อนรัดแน่น เขาฉุดตัวอีกฝ่ายเข้ามาใน อ้อมกอด ทั้งคู่เผชิญหน้ากันใกล้เพียงคืบ ถังจิ้งไม่เพียงรับรู้ได้ถึงลมหายใจ ของอีกฝ่าย แต่ยังเห็นแม้กระทั่งเงาสะท้อนของตนในดวงตาหมิงเสียน อย่างชัดเจน
“หมิงเสียนตายไปแล้ว เพราะฉะนั้น นายก็ตายไปด้วยเถอะ” เขา พูดประโยคนี้เรียบ ๆ มือที่มีเลือดไหลซึมยื่นไปบีบคอหมิงเสียนก่อน กระชับอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“นายพูดแบบนี้ทำฉันเสียใจนะ” หมิงเสียนพูดยิ้ม ๆ ร่างหายไปจาก อ้อมแขนเขาทันควัน
“ฉันเตรียมโต๊ะจัดเลี้ยงต้อนรับการมาถึงของนายไว้เยอะเลย นาย พร้อมจะสนุกกับมันหรือยัง” เสียงอีกฝ่ายดังขึ้นจากทุกทิศทาง ว่างเปล่า เลื่อนลอยดุจภาพฝันลวงตา เหมือนอยู่ใกล้ แต่ก็คล้ายอยู่ไกล
วินาทีต่อมามือจำนวนมากที่แปลงมาจากไอปีศาจสีดำก็โผล่ขึ้นมาจาก พื้นกระเบื้อง พลังปีศาจซึ่งอยู่ใกล้ถังจิ้งที่สุดพันรัดรอบข้อเท้าเขาทีละชั้น เป็นอันดับแรก ตรึงร่างของถังจิ้งไว้กับพื้นไม่ให้ขยับเขยื้อน
จังหวะนั้นร่างที่อยู่ข้าง ๆ ก็พุ่งโฉบออกมาดุจแสงสว่าง ทุกที่ที่มันไป พลังปีศาจทั้งหมดในลานบ้านแตกกระเจิง พื้นกระเบื้องปริแตกและระเบิด ตัว เศษชิ้นส่วนปลิวว่อนในอากาศ กลายเป็นใบมีดแหลมคมที่โจมตีถังจิ้ง กับอวี๋ปู้หุ่ย
ทั้งคู่หันหลังชนกัน คนหนึ่งใช้กระบี่ คนหนึ่งใช้ไหมฟ้า คุ้มกัน รอบตัวอย่างไร้ช่องโหว่ เศษชิ้นส่วนถูกลมปราณชะล้างสะท้อนกลับดีดกลับ ไปในบ้านทั้งหมด
“นายรีบออกมาเร็วเกินไป ฉันรับมือได้น่า!” ถังจิ้งหมดคำพูด คิดในใจว่าไม่เคยต่อสู้ร่วมกันเลยไม่รู้ใจกันแบบนี้ อย่าว่าแต่หลงเซินกับ อู๋ปิ่งเทียนเลย ต่อให้เป็นมือซ้ายมือขวาของเขาที่สำนักงานสาขายังเข้าขากัน มากกว่า “ทีแรกนายเป็นหมากลับของฉัน ในช่วงเวลาคับขันทำประโยชน์ ได้มากกว่านี้ ดันมาเผยตัวตอนนี้ก็เท่ากับเผยไพ่ตายให้ศัตรูรู้น่ะสิ!”
อวี๋ปู้หุ่ยบอกอย่างรำคาญ “เลิกบ่นจู้จี้ได้แล้ว นายไม่ได้บอก สักหน่อยว่าให้ออกมาตอนไหน ฉันก็ต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์สิ ตอนนี้เอาไง”
ถังจิ้งไม่สบอารมณ์ “ตีฝ่าวงล้อมออกไปแล้วกัน จะทำอะไรได้ อีกเล่า! นายไปซ้าย ฉันไปขวา นายอยู่ข้างหน้า ฉันอยู่ข้างหลัง!”
กล่าวไม่ทันขาดคำ ทั้งสองก็พุ่งออกไปพร้อมกัน แสงเงาแทรกสลับ ตัดผ่าน กระแสพลังมหาศาลหมุนวนจากรอบตัวทั้งคู่ สร้างความโกลาหล ทั่วทั้งบริเวณลานบ้านไปหมด ประตูหน้าต่างทุกบานพลิกกลับ ภายใน ว่างเปล่าไร้ผู้คน
“เขาหนีไปแล้วเหรอ” อวี๋ปู้หุ่ยใช้ศอกถองถังจิ้ง “แฟนเก่านายหนี ไปแล้ว?”
ถ้าตอนนี้ไม่ใช่เวลา ถังจิ้งอยากเย็บปากเขาจริง ๆ
เพราะหลังจากอวี๋ปู้หุ่ยเพิ่งพูดจบ ทั้งคู่ก็ได้ยินหมิงเสียนเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อกี้เป็นแค่ของหวานก่อนมื้ออาหาร ต่อไปถึงจะเป็นจานหลัก”
ถังจิ้งสรุปไปแล้วก็จริงว่าหมิงเสียนไม่ใช่หมิงเสียนคนเดิมอีก ทว่าความจริง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้แน่ชัด คนที่เรียกเขาว่าถังถัง พอยิ้มแล้วเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยนคนนั้นยังใช่หมิงเสียนอยู่หรือเปล่า
เขารู้ดีกว่าใครเรื่องความปรารถนาในอิสรภาพของหมิงเสียนก่อนตาย หมิงเสียนไม่ได้อยากเป็นหุ่นเชิดของโอโตวะสักนิด เดิมภูตวัตถุกลายร่าง เพราะได้รับโชคมาแบบไม่คาดคิด แต่สำหรับหมิงเสียน มันเป็นเพียง จุดเริ่มต้นของโชคชะตาตลกร้าย
หากเป็นอย่างที่หมิงเสียนบอกจริง ๆ คือโอโตวะใช้จิตวิญญาณ ที่เหลืออยู่คืนชีพให้เขาใหม่ นั่นก็หมายความว่าถังจิ้งต้องฆ่าอีกฝ่ายอีกครั้ง
ถังจิ้งหลับตา มองวิญญาณร้ายในชุดขาวที่โผล่มาในลานบ้านจาก แปดทิศตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เผยดวงหน้าซีดเซียวกับเส้นผมสีดำยาว ถึงบั้นเอว ปราศจากดวงตากับจมูก มีแค่ปากที่ดูคล้ายกำลังแสยะยิ้ม มองเผิน ๆ ยิ่งน่ากลัว
“นี่มันตัวอะไร” อวี๋ปู้หุ่ยไม่เคยเจอคู่ต่อสู้แบบนี้มาก่อนจึงรู้สึก แปลกใหม่อยู่บ้าง
“ทัพฮันเนียแปดทิศ” ถังจิ้งบอก
ฮันเนียในที่นี้ไม่ใช่คำนามในศาสนาพุทธ แต่หมายถึงวิญญาณร้าย ประเภทหนึ่งของญี่ปุ่น ตอนมีชีวิตอยู่ความคิดชั่วร้าย จิตใจพยาบาท หลังตายไปความเคียดแค้นยิ่งมากขึ้นไม่มีสิ้นสุด ล่อลวงจิตใจมนุษย์ ฆ่าคนเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน แต่ฮันเนียแปดตัวนี้คงผ่านการหลอมจาก โอโตวะ ยาซูฮิโกะ กลายเป็นร่างรวมของปีศาจกับวิญญาณร้าย รับมือได้ ยากยิ่งกว่าแน่นอน
“สิ่งที่รับมือด้วยยากที่สุดสำหรับค่ายกลลักษณะนี้คือพลังชีวิต ของฮันเนียทั้งแปดเชื่อมถึงกันหมด วนเวียนไม่จบสิ้น ฆ่าแค่ตัวเดียว ไม่ได้”
อวี๋ปู้หุ่ยเพิ่งฟันฮันเนียตัวหนึ่งที่พุ่งมาทางเขาก็ได้ยินคำพูดถังจิ้ง
แทบจะทันทีหลังจากที่เขาเห็นแสงสีขาวสลายไป มันก็ฟื้นคืนชีพใหม่ ตรงที่เดิมอย่างรวดเร็วตามคาด
“ไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ งั้นจะทำลายค่ายกลยังไง!”
ถังจิ้งเอ่ย “ฆ่าไปพร้อม ๆ กัน!”
ไม่ต้องพูดให้มากความ ทั้งสองคนไล่หลังกันไป ลงมือพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย!
แม้ถังจิ้งรู้ว่าในลานบ้านนี้มีทั้งของจริงและของปลอม นอกจาก ค่ายกล สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่ของจริงเสมอไป แต่บางทีเขาคงเดาไม่ออกว่า หมิงเสียนก็ยืนอยู่นอกค่ายกล ในบริเวณที่ห่างจากเขาไปไม่ไกลด้วย
หมิงเสียนมองดูคนทั้งสองทำลายค่ายกลโดยไม่ขยับเขยื้อน คิตาอิเคะ เอโกะ ที่อยู่ข้างกันกล่าวเสียงเย็น “ตามคำสั่งของนายท่าน นี่เป็นโอกาส ดีที่สุดที่จะฆ่าพวกมัน”
หมิงเสียนบอกเรียบ ๆ “ฉันรู้ตัวเองดี”
คิตาอิเคะ เอโกะ ผุดลุกขึ้น จะเดินไปในค่าย แต่หมิงเสียนคาดเดา การเคลื่อนไหวของหล่อนได้ก่อนหนึ่งก้าวจึงเอื้อมมือไปขวาง พริบตาเดียว ทั้งคู่ก็ประมือกันหลายกระบวนท่า คิตาอิเคะ เอโกะ เอ่ยเสียงเรียบเย็น “นายจะทรยศนายท่านหรือไง”
หมิงเสียนฉวยคอเสื้ออีกฝ่าย ออกแรงดึงเข้ามาใกล้ ๆ ปลายจมูก ของทั้งคู่ชนกัน ใบหน้าราวตุ๊กตาพอร์ซเลนของเด็กสาวเรียบเฉย ไม่มีรอย หวั่นไหวแม้แต่น้อย หล่อนสูญเสียคลื่นอารมณ์ความรู้สึกขั้นพื้นฐานที่สุด ของมนุษย์ไปแล้ว
“เธอฆ่าอาจารย์ของตัวเอง?”
คิตาอิเคะ เอโกะ ยังคงนิ่งเฉย “สละชีวิตเพื่อแผนการที่ยิ่งใหญ่ ของนายท่าน เขาไม่เสียทีที่เกิดมา”
ทันใดนั้นหมิงเสียนก็หัวเราะ
มีแววถากถางเจืออยู่ในเสียงหัวเราะนั้น หัวเราะให้กับความไร้ค่าของ ฟุจิคาวะ รวมถึงเย้ยหยันตัวเองด้วย
ทันทีที่คิตาอิเคะ เอโกะ ตื่นขึ้นมา หล่อนก็ไม่ใช่คิตาอิเคะ เอโกะ ในอดีตอีกแล้ว หล่อนถูกพลังปีศาจสิงร่าง กลายเป็นอาวุธสังหารของ โอโตวะ ยาซูฮิโกะ เรื่องแรกที่ทำเมื่อตื่นขึ้นมาคือการควักหัวใจของฟุจิคาวะ ผู้เป็นอาจารย์ที่เลี้ยงดูหล่อนมาจนเติบใหญ่ออกมากินเพื่อเติมพลัง ปฏิบัติ ตามคำสั่งของโอโตวะ มาที่นี่เพื่อจัดการถังจิ้งและอวี๋ปู้หุ่ย
เทียบกับตัวหล่อนที่เปลี่ยนไปเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิง หมิงเสียน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสินค้าที่ล้มเหลวจากการผลิต หรือไม่ก็เป็นสินค้า กึ่งสำเร็จรูปมากกว่า
เมื่อชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง สิ่งที่มาสู่เขาไม่ใช่ความยินดีที่ได้ฟื้นคืน จากความตายแต่อย่างใด หากคือความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
“ฉันอิจฉาเธอจริง ๆ” เขาบอกคิตาอิเคะ เอโกะ เสียงแผ่ว
โอโตวะใช้วัสดุเทียมของพิณจินอิ๋นผิงเหวินในการซ่อมแซมพิณ ของจริง จากนั้นนำจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตนที่ยึดครองไว้ตั้งแต่แรกมา ทำการฟื้นคืนชีพให้หมิงเสียน ในระหว่างนี้ก็เป็นธรรมดาที่มีการถ่ายทอด พลังปีศาจเข้าไปเป็นจำนวนมาก และใช้วิญญาณของติงหลานที่เตรียมไว้ เพื่อชดเชยข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นได้ในการฟื้นคืนชีพพิณจินอิ๋นผิงเหวิน แต่หมิงเสียนที่ฟื้นคืนชีพมายังไม่อาจกลายเป็นอาวุธสังหารที่เชื่อฟังคำสั่งได้ เหมือนคิตาอิเคะ เอโกะ อย่างที่โอโตวะคาดหวัง เขาคาบเกี่ยวอยู่ระหว่าง ความดีกับความชั่วสองด้าน ความคิดสับสนบ่อยครั้ง
อย่างเช่นในตอนนี้ เสียงสองเสียงยื้อยุดอยู่ในใจไม่หยุด ชั่ววูบหนึ่ง บีบบังคับให้เขาปูค่ายกลเพื่อล่อลวงถังจิ้งไปฆ่า วูบหนึ่งก็อยากไว้ชีวิตถังจิ้ง อย่างควบคุมไม่อยู่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองยังเป็นหมิงเสียนคนเดิมอยู่ หรือเปล่า หรือแค่สืบทอดความรู้สึกและความทรงจำส่วนหนึ่งของหมิงเสียน มา แต่ความจริงได้กลายเป็นคนที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เขาทาบมือบนต้นคอคิตาอิเคะ เอโกะ แล้ว แต่กลับชักช้าไปชั่วอึดใจ ไม่นานก็ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสดิ้นหลุด ผลักตัวเขาอย่างแรง
“โอโตวะ หมิงเสียน อย่าลืมหน้าที่ของนาย” คิตาอิเคะ เอโกะ เอ่ย เสียงเย็น “ถ้านายไม่ฟังคำสั่ง นายท่านจะฆ่านายแน่”
“ฉันก็อยากให้เขาฆ่าฉันจริง ๆ กลัวก็แต่เขาจะใช้ฉันเป็นหนูทดลอง อีก” หมิงเสียนยิ้ม ขัดเท้าที่ต้องการก้าวเข้าไปในค่ายกลของหล่อน
“หมิงเสียนลูกพ่อ แกไม่เชื่อฟังอีกแล้วงั้นเหรอ”
เสียงโอโตวะ ยาซูฮิโกะ ดังขึ้นในหัวหมิงเสียนโดยไม่มีสาเหตุ ทำเอาชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย แววตาถูกไอปีศาจสีดำครอบงำทันที สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน มันเรียบเฉย ไร้ความเมตตาเช่นเดียวกับคิตาอิเคะ เอโกะ
พลังปีศาจกลับมาอยู่เหนือกว่าอีกครั้ง หมิงเสียนอ้าปากพะงาบ ๆ คล้ายอยากพูดอะไร แต่ตัวเขาเองยังลืมแม้กระทั่งคำที่อยากพูดเมื่อหนึ่ง วินาทีก่อน
“เข้าไปในค่ายกล ฆ่าพวกมันซะ” โอโตวะ ยาซูฮิโกะ พูดขึ้น
หมิงเสียนมองแผ่นหลังคิตาอิเคะ เอโกะ เหมือนอยากสาวเท้าไป ข้างหน้า แต่มีพลังที่มองไม่เห็นส่วนหนึ่งหยุดยั้งเขาไว้
เดิมเขาไม่ควรเป็นแบบนี้ ราวกับว่าส่วนลึกในสมองมีจิตสำนึก ส่วนหนึ่งกำลังต่อต้านอยู่รำไร
แต่ตอนแรกเขาเป็นแบบไหนล่ะ
ภาพมากมายแวบผ่านหน้าหมิงเสียนไป เขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่านั่น ใช่สิ่งที่ตัวเขาคนเดิมประสบมาก่อนหรือเปล่า หรือเป็นสิ่งที่โอโตวะยัดเยียด เข้ามา หรือมันเป็นความทรงจำของติงหลาน
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเหยเก ครึ่งหนึ่งดี ครึ่งหนึ่งชั่วร้าย ครึ่งหนึ่ง เจ็บปวดเห็นใจดุจพระพุทธเจ้า แต่อีกครึ่งคลี่ยิ้มประหลาดอย่างโหดเหี้ยม ดุดัน
“ฆ่าพวกมัน!” เสียงโอโตวะ ยาซูฮิโกะ ดังขึ้นกว่าเดิมด้วยความ โมโห ดุจมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งกระชากเส้นประสาทของเขาออกมาดึงทึ้ง อย่างแรง
หมิงเสียนก้าวไปข้างหน้าอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ยกมือขึ้นช้า ๆ เส้นไหมพุ่งไปยังถังจิ้งที่อยู่ในค่ายกลทันที
อู๋ปิ่งเทียนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นท่ามกลางโครงกระดูก และทะเลโลหิต
มือที่กำกระบี่ยังอยู่ดี แต่มืออีกข้างถูกกัดกินไปแล้วกว่าครึ่ง เหลือ เพียงแขนเสื้อว่างเปล่ากับคราบเลือดเป็นปื้นบนแขนครึ่งหนึ่ง
ผีร้ายที่เกิดจากการรวมตัวของพลังปีศาจจ้องมองเขาอยู่รอบ ๆ เอื้อมมือมาทางเขาอย่างหิวโหย หมายจะเขมือบกินเลือดเนื้อของเขา ถ้า ไม่ใช่เพราะอู๋ปิ่งเทียนมีปราณคุ้มกันกาย ป่านนี้เขาคงไม่เหลือศพไปแล้ว
ถึงกระนั้นเขาก็อ่อนล้าลงทุกที ฝีเท้าเฉื่อยชาลงเรื่อย ๆ ยังไงเขา ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ปราณกระบี่กวาดล้างทุกสรรพสิ่ง กระบี่ กับยันต์ชะล้างทะเลโลหิต แต่เขาหาวิธีออกไปจากเขตอาคมในเวลาสั้น ๆ ไม่ได้ ดังนั้นพลังปีศาจเหล่านั้นจึงรวมตัวกันใหม่ ล้อมเขาไว้เป็นกลุ่ม ๆ กัดเซาะพลังของอู๋ปิ่งเทียนไปทีละน้อย จนกระทั่งรุกคืบกินแขนเขาไป ในตอนที่สมาธิหย่อนยาน
อู๋ปิ่งเทียนใจเด็ด เขากัดปลายลิ้น พ่นเลือดไปที่กระบี่
แม้เป็นเลือดจากลิ้น แต่ลิ้นเชื่อมต่อกับหัวใจ จึงเท่ากับเป็นเลือด จากหัวใจด้วย ถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ เขาไม่มีทางใช้มันง่าย ๆ หรอก
แสงสีแดงวาบผ่าน เขาชูกระบี่ขึ้นสูง ถีบตัวขึ้น ปากร่ายมนตรา เก้าอักษร แสงสีแดงแหวกทะลุอากาศ ผ่าจากบนลงล่างไปข้างหน้าด้วย ความรุนแรง!
ไอกระบี่เย็นยะเยือกพวยพุ่งออกไปก่อนสูงขึ้นฉับพลัน จากจุด กลายเป็นลำ แล้วค่อยกระจายออกเป็นเสี้ยว ๆ ปกคลุมทะเลโลหิต ไร้ขอบเขตทั้งผืน ภายใต้แสงสว่าง ผีทุกตัวคร่ำครวญโหยไห้ ปีศาจ ทั้งหลายครางกรีดร้องระงมด้วยความโศกสลด พลังปีศาจและวิญญาณ ชั่วร้ายทั้งมวลระเบิดกระจายออกไปทุกทิศทุกทางกลายเป็นผุยผง
แต่ไม่รอให้อู๋ปิ่งเทียนหอบหายใจ ในความมืดเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา พลังปีศาจแผ่ขยายช้า ๆ เคลื่อนตัวมาจากซอกหลืบ ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง ราวบุรุษที่เยื้องย่างเชื่องช้า สตรีที่หมอบคลานไปข้างหน้า เนื่องจากพวกมัน ได้รับความทุกข์ทรมานจากโลก ไม่ได้รับการปลดปล่อย ถูกกักขังอยู่ที่นี่ ทุกชาติภพ จิตใจชั่วช้าทะยานอยากเพราะความปรารถนา หลงระเริงใน ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ทรัพย์สินเงินทอง ความรักที่ไม่อาจครอบครอง ความโลภไม่รู้จักพอ สุดท้ายเหลือแค่พลังปีศาจไร้จิตสำนึก ถูกโอโตวะ หล่อหลอม ข่มเหงกัดกร่อนเพื่อความเพลิดเพลิน ไร้ที่สิ้นสุด วนเวียนไม่รู้จบ
อู๋ปิ่งเทียนรำคาญจนทนไม่ไหว เขาก็อยากสยบมารสี่ทิศตามแบบวชิรปาณีโพธิสัตว์[1]ในศาสนาพุทธไปเลยเหมือนกัน แต่เขาไม่มีแรงแล้ว กระบี่ที่เพิ่งฟาดฟันไปเมื่อครู่กินเรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น ไม่สามารถรวบรวม ลมปราณแท้ใด ๆ ในเวลาสั้น ๆ ได้ ตอนแรกเขาก็อยากสู้ให้ถึงที่สุด ลองดูว่า กระบี่ที่เหวี่ยงออกไปนี้จะกำจัดปีศาจชั่วร้ายเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปได้หรือไม่ ผลลัพธ์ย่อมเป็นเขาที่แพ้เดิมพัน ไม่รู้โอโตวะ ยาซูฮิโกะ ใช้วิธีอะไรในการ โยงเขตอาคมให้เป็นเงื่อนตายกลมดิกไร้จุดสิ้นสุด หาช่องทะลุออกไป ไม่ได้เลยได้อย่างไร
ปีศาจพูดกรอกอยู่ข้างหู สรรพเสียงอึงอลไม่หยุด พวกมันพยายาม ฉกฉวยจังหวะเข้ามา ค้นหาความปรารถนาหรือความรู้สึกที่ขาดหายไปในใจ ขยายมันให้ใหญ่ขึ้น ยั่วยุเขาให้พลัดตกสู่วิถีมาร
เวรเอ๊ย! อู๋ปิ่งเทียนอดสาปแช่งแรง ๆ ไม่ได้
เขาจะไม่รู้จุดอ่อนของตัวเองได้ยังไง เขาอยากเป็นข้าราชการ จะให้ ดีที่สุดคืออยู่ในตำแหน่งไปตลอดชีวิตด้วย แต่นั่นมันเรียกว่าความปรารถนา ได้เหรอ มันเรียกว่าอุดมคติโว้ย!
[1] ยักษ์ธรรมบาลผู้พิทักษ์พระพุทธเจ้า คอยปกป้องพระศาสดาและพระธรรมวินัย นอกจากนี้ ยังปรากฏในปางยักษ์ดุร้ายเพื่อกำราบผู้มีมิจฉาทิษฐิ ยักษ์วัชรปาณีจึงเป็นต้นกำเนิดของทั้งเทพธรรมบาล และปางพิโรธของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา