แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 144
น้ำเสียงแสดงความรำคาญ เหลืออดเหลือทน เขาวาด กระบี่ไปอีกครั้ง แต่คราวนี้พลานุภาพไม่สูงเท่าไหร่ ท่ามกลางแสงสีแดง ภูตผีปีศาจร้ายเหล่านั้นแค่ถูกดีดถอยไปหลายก้าว ครู่เดียวก็ตีกรอบเข้ามา ใหม่ แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะสนุกกับกายเนื้อที่นาน ๆ ครั้งจะได้เจอนี้
เขายังไม่ทันขึ้นเป็นอธิบดีใหญ่ก็ต้องมาตายอยู่ที่นี่แล้วงั้นเหรอ
อู๋ปิ่งเทียนไม่ยินยอม เขาเหนื่อยจนต้องใช้กระบี่ยันพื้น แสงกระบี่ ขัดขวางพวกปีศาจที่กระโจนเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ได้อีกแล้ว เขาเปรียบ เสมือนอาหารโอชะ ส่งกลิ่นหอม ทำให้ปีศาจเหล่านั้นอยากสวาปามให้ หมดสิ้นแม้ต้องเป็นดั่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟก็ตาม
อู๋ปิ่งเทียนเหวี่ยงกระบี่ออกไปอีกหน คราวนี้แสงกระบี่หม่นหมองลง มาก พวกปีศาจไม่เกรงกลัวอีก ตัวหน้าเพิ่งถูกปราณกระบี่กำจัดทิ้งไป ตัวหลังก็หวีดร้องพร้อมกระโจนเข้าใส่
ความดำมืดแผ่ปกคลุมเหนือศีรษะ อู๋ปิ่งเทียนยกกระบี่ในมือขึ้น อย่างอ่อนแรง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง แต่หัวใจเต้นถี่รัว สมองสับสนวุ่นวาย เขาหลับตา ปล่อยให้ความไม่ ยินยอมที่อัดแน่นเต็มอกวิ่งพล่านไปทั่ว ในใจคิดว่าต่อให้ครั้งนี้ล้มเหลว แล้วกลายเป็นผี ก็จะสับแกเป็นชิ้น ๆ ให้ได้ โอโตวะ
ไอร้อนโชยปะทะใบหน้า แต่กลับไร้ซึ่งความเจ็บปวดจากการถูก ปีศาจกัดกินร่างอย่างที่จินตนาการไว้ เขารู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนกับ แสงสว่างนอกเปลือกตาบางเบา ทำให้ต้องลืมตาขึ้นอย่างอดไม่ได้
ทางข้างหน้าสว่างโร่ ปีศาจทั้งหมดมลายหายไปภายใต้แสงสว่าง
คนสองคนเดินเข้ามาช้า ๆ
เริ่มจากโครงร่างที่เลือนรางก่อน จากนั้นค่อย ๆ ชัดขึ้น คนที่เดิน นำหน้ามามีรูปร่างสูงใหญ่ คุ้นตามาก
“หลงเซิน!”
“รองอธิบดีอู๋!” นี่คือเสียงของหลี่อิ้ง
อู๋ปิ่งเทียนไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อน ต้อนรับการมาถึงของ หลงเซินจากใจจริง
ตอนทั้งคู่อยู่ในกรมจัดการคดีพิเศษเคยขัดแย้งกันมาไม่น้อย อย่าคิดว่าหลงเซินเป็นคนละซึ่งกิเลส ท่าทางประหนึ่งผู้วิเศษนอกโลก แล้ว จะไม่ต่อปากต่อคำอู๋ปิ่งเทียนเชียว คนนอกมักคิดว่าอธิบดีใหญ่ไม่สนใจ การงาน รองอธิบดีอู๋คงจะวางอำนาจบาตรใหญ่ในกรมแน่ ๆ แต่ที่จริงแล้ว ภายในกรมมีเสาหลักอยู่สามเสา พวกเขาสามคนรักษาสมดุลซึ่งกันและกัน อู๋ปิ่งเทียนเคยขัดใจเพราะหลงเซินมาก็หลายครั้ง อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เรื่องจัดการเด็กใหม่รุ่นนี้ ทั้งสองก็ปะทะฝีปากกันมาไม่น้อย
แต่นั่นเป็นเรื่องภายใน กระทบกระทั่งกันบ้างก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ อู๋ปิ่งเทียนกำลังเอาตัวไม่รอดเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แล้ว ทันใดนั้นหลงเซินก็โผล่มา จะไม่ให้เขาดีใจได้ยังไง
คนที่ต่อให้ไม่กลัวตายแค่ไหน ถ้าเลือกไม่ต้องตายได้ย่อมไม่มีทาง ปฏิเสธผลลัพธ์นี้
“คุณเข้ามาได้ยังไง!” อู๋ปิ่งเทียนถามเสียงหอบ
“เราฆ่ายามาตะ โนะ โอโรจิ ฉีกเขตอาคมแล้วมาถึงที่นี่เลย” หลงเซินบอกสั้น ๆ หลี่อิ้งเผยตัวทางด้านหลังเขา
“ยามาตะ โนะ โอโรจิ ในตำนานตัวนั้นน่ะเหรอ” ใบหน้าอู๋ปิ่งเทียน มีรอยหวั่นสะท้านเมื่อได้ยิน
“คงใช่ครับ สัตว์ปีศาจตัวนั้นมีแปดหัวแปดหาง ต้องกำจัดหัวกับ หางให้หมดในคราวเดียวถึงจะฆ่ามันได้อย่างสมบูรณ์!” ดวงหน้าหลี่อิ้ง เต็มไปด้วยคราบเลือด ดูไปแล้วสะบักสะบอมกว่าอู๋ปิ่งเทียนเสียอีก
เขาไม่อยากนึกทบทวนการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อกี้อีกแล้ว เพื่อฟัน หัวงูยักษ์พร้อมกันทั้งแปดหัว หลี่อิ้งต้องเสกไฟอาคมแปดดวงออกไป พร้อมกันในจังหวะเดียวกับที่หลงเซินส่งแสงกระบี่แปดลำออกไปใน คราวเดียว เผาไหม้ร่างที่ขาดวิ่นทั้งแปดนั้นไม่ให้มันเกิดใหม่ได้อีก
หากเป็นยามปกติ หลี่อิ้งแค่กัดฟัน ไฟอาคมแปดดวงก็ออกมาแล้ว แต่ตอนนั้นร่างกายเขาบาดเจ็บสาหัส ใช้งานกระบี่ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ กว่าจะ เรียกยันต์ทั้งแปดออกมาได้ หัวใจแทบกระอักเลือด
เพราะแสงสว่างจ้า อู๋ปิ่งเทียนเลยไม่มีอารมณ์มองไปที่หลี่อิ้งมากนัก ไม่อย่างนั้นหากเขาสำรวจอย่างถี่ถ้วนก็จะพบว่าเวลานี้ฝีเท้าของหลี่อิ้ง เลื่อนลอย หน้าซีดเป็นกระดาษ ที่ทรงตัวอยู่ได้ก็อาศัยยาวิเศษที่หลงเซิน นำมาด้วยล้วน ๆ ยาวิเศษกำใหญ่ราคาหลายแสนหลายล้านในตลาดมืด ลงไปอยู่ในท้องเขา เทียบกันแล้ว ยาซั่งชิงที่พวกตงจื้อกินดูไม่มีค่าไปเลย
“สงสัยเขตอาคมจะเชื่อมถึงกัน!” รองอธิบดีสองคนเจอหน้ากัน อู๋ปิ่งเทียนได้ข้อสรุปทันทีที่ได้ฟังเหตุการณ์ที่พวกหลงเซินพบเจอมา
“ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน คุณยังมีแรงเหลืออยู่ไหม” หลงเซิน เอ่ย
“ผมไม่มีแขนแล้ว แต่ใช้ยันต์ได้ คุณใช้กระบี่เปิดทาง ผมใช้ยันต์ ตามประกบหลังเอง” อู๋ปิ่งเทียนบอก เก็บกระบี่เข้าฝักที่หลัง ก่อนควัก ยันต์ออกจากกระเป๋า “หลี่อิ้งเป็นยังไงบ้าง”
หลี่อิ้งบอกด้วยความละอาย “ผมอาจจู่โจมช้า”
ถึงยังไงเขาก็บาดเจ็บหนัก ขนาดกระบี่ยังยกไม่ขึ้น เลยส่งผลกระทบ ต่อประสิทธิภาพของการใช้ยันต์ด้วย
อู๋ปิ่งเทียนไม่ได้จู้จี้ร่ำไรมาก อีกทั้งไม่มีเวลามาปลอบใจอีกฝ่าย “งั้นนายอยู่ตรงกลาง อย่าออกไปจากวงป้องกันของเรา”
หลงเซินพูดขึ้น “โอโตวะใช้กระจกแอบดูพวกเราอยู่ เขาน่าจะรู้แล้วว่าเรามาที่นี่”
อู๋ปิ่งเทียนแสยะยิ้ม “ไอ้ของพรรค์นั้นถูกผมทำลายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้มันตามดูการเคลื่อนไหวของเราไม่ได้!”
หลงเซินพยักหน้า ได้ยินดังนั้นก็หมดห่วงทันที มือเหวี่ยงกระบี่ฟาดฟันพลังปีศาจนับหมื่นนับพันตรงหน้า เสียงครวญครางจำนวนมากลอยมาจากทั่วทุกสารทิศทันใด มันหวีดแหลมชวนสังเวช มีเสียงร่ำไห้ของเด็ก เสียงเศร้าสลดวิงวอนด้วยความตรอมตรมของสตรี ทั้งสามไม่สะทกสะท้าน เดินไปข้างหน้าทีละก้าว
อู๋ปิ่งเทียนแสยะยิ้ม “ไอ้ของพรรค์นั้นถูกผมทำลายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้มันตามดูการเคลื่อนไหวของเราไม่ได้!”
หลงเซินพยักหน้า ได้ยินดังนั้นก็หมดห่วงทันที มือเหวี่ยงกระบี่ ฟาดฟันพลังปีศาจนับหมื่นนับพันตรงหน้า เสียงครวญครางจำนวนมาก ลอยมาจากทั่วทุกสารทิศทันใด มันหวีดแหลมชวนสังเวช มีทั้งเสียงร่ำไห้ ของเด็ก เสียงเศร้าสลดวิงวอนด้วยความตรอมตรมของสตรี ทั้งสาม ไม่สะทกสะท้าน เดินไปข้างหน้าทีละก้าว
อู๋ปิ่งเทียนอยู่หลังสุด แขนที่ว่างเปล่าไม่ได้จำกัดการเคลื่อนไหว ของเขา เขาใช้มืออีกข้างที่เหลืออยู่ซึ่งยังสมบูรณ์ดีดึงยันต์ออกมา ร่ายคาถา ทำมุทรา กระดาษยันต์ร่วงลงพื้นก่อนกลายเป็นทหารเกราะกลุ่มใหญ่ พุ่งสังหารไอปีศาจทันที
ส่วนหลี่อิ้งถือยันต์คุ้มกันอยู่ตรงกลาง เมื่อเห็นพลังปีศาจเข้าใกล้ ก็ใช้ไฟอาคมแผดเผา
หลงเซินเปิดทางอยู่ข้างหน้า เกิดกระแสพลังหวีดหวิวมืดฟ้ามัวดิน ทันทีที่แสงกระบี่พุ่งออกไป ไม่มีพลังปีศาจใดเล็ดลอดไปได้ หลังทำลายมิติ ในกระจกสะท้อน ช่วยหลี่อิ้งออกมาและสังหารงูยักษ์แปดหัวติด ๆ กัน มือที่กำกระบี่ของเขายังคงนิ่ง สายตายังแน่วแน่ แม้แต่พลังลมปราณของ แสงกระบี่ก็ยังแข็งแกร่ง ไม่มีสิ่งใดทัดเทียมได้ ตลอดทางที่หลี่อิ้งตามมา เขาไม่รู้เลยว่าขีดจำกัดของหลงเซินอยู่ที่ไหน เรียกได้ว่าความสามารถของ ผู้ชายคนนี้ช่างน่ากลัว
“ฆ่าแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์พลังปีศาจพวกนั้นมีมาไม่จบไม่สิ้น!” อู๋ปิ่งเทียนอดพูดไม่ได้
“รองอธิบดีอู๋ เมื่อกี้รองอธิบดีหลงเจอช่องโหว่ของเขตอาคมแล้วครับ ตอนนี้เรากำลังจะไปที่นั่น!” หลี่อิ้งอธิบาย
อู๋ปิ่งเทียนหูผึ่ง “อยู่ตรงไหน”
หลงเซิน “ไม่ไกล”
ในเขตอาคมนี้ เวลากลายเป็นเครื่องประดับตกแต่งไร้ความหมาย อู๋ปิ่งเทียนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ในนี้มาหนึ่งชั่วโมงหรือสองชั่วโมง หรือว่าสองวันแล้ว แต่เขารู้ว่า ‘ไม่ไกล’ ของเขากับ ‘ไม่ไกล’ ในความคิดของ หลงเซินต้องแตกต่างกันอย่างมาก
ทั้งสามคนเดินอยู่นาน มือที่เหลืออยู่ข้างเดียวของเขาเริ่มรู้สึกเจ็บ เหมือนโดนเข็มทิ่มแทง มันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าถึงขีดสุด แม้แต่ประสิทธิภาพการใช้ยันต์ก็ลดต่ำลงไปมาก อู๋ปิ่งเทียนจำต้องเอ่ยขึ้น อย่างอดไม่ได้
“รองอธิบดีหลง ตกลงยังอีกไกลแค่ไหน”
หลงเซินหัวเราะเบา ๆ
เสียงไม่ดัง แต่อู๋ปิ่งเทียนกับหลี่อิ้งได้ยินทั้งคู่
“นึกไม่ถึงเลยว่าความอดทนของรองอธิบดีอู๋จะต่ำขนาดนี้”
เป็นครั้งแรกที่หลี่อิ้งได้รู้ว่าหลงเซินพูดจาด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าแบบนี้ ก็เป็นด้วย
อู๋ปิ่งเทียนไม่สบอารมณ์ “ลองคุณมาเสียแขนไปข้างหนึ่งดูบ้างไหมล่ะ นี่ผมก็เค้นแรงออกมาหมดไส้หมดพุงแล้วนะ!”
ถึงยังไงก็ทำงานร่วมกันมาหลายปี พอเขาได้ยินน้ำเสียงสบาย ๆ ของหลงเซินจึงรู้ทันทีว่าทางออกของเขตอาคมอยู่ไม่ไกลแล้ว
เป็นอย่างที่คิด เขาเพิ่งพูดจบไปหยก ๆ หลงเซินก็คำราม “ทลาย!”
ถ้อยคำดังกล่าวเสมือนจับต้องได้ ทะลวงเยื่อแก้วหูอีกสองคนที่เหลือ อย่างรุนแรง
เนื่องจากอู๋ปิ่งเทียนกำลังอ้าปากพูดพอดี อาการคลื่นไส้กับแรง สะเทือนจึงเบาลงไปมาก แต่หลี่อิ้งไม่ได้โชคดีขนาดนั้น หูของเขาดังอื้ออึง เสียงกระแทกตรงเข้ากลางใจ กระอักเลือดออกมาทันที
“อ้าปาก”
หลี่อิ้งอ้าปากตามจิตใต้สำนึกเมื่อได้ยินเสียงหลงเซิน กลืนยาวิเศษ เม็ดหนึ่งผ่านปลายลิ้นเข้าไปในลำคอ อาการปวดแสบปวดร้อนในทรวงอก บรรเทาลงทันที
“โอ้ นี่ของสะสมส่วนตัวของรองอธิบดีหลงนี่นา!” อู๋ปิ่งเทียนตาแหลม
ตอนแรกหลี่อิ้งอยากถามชื่อยา พอได้ยินประโยคนี้ก็กลืนคำถาม ที่จ่ออยู่ที่ริมฝีปากกลับลงไปเงียบ ๆ แสร้งทำเป็นนกกระทาใสซื่อ กลัวว่า ถึงเอาตัวไปขายก็ยังชดใช้คืนไม่ได้
แน่นอนว่าหลงเซินไม่ได้เรียกร้องจากเขา รอบด้านคล้ายมีไฟถูกจุด พึ่บขึ้นพร้อมเสียงตะโกน ม่านสีดำร่วงผล็อยลงมา สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือ ประกายไฟเป็นจุด ๆ และไอหมอกสีขาว
หลี่อิ้งหรี่ตาวิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่กว่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วประกายไฟ พวกนั้นคือโคมไฟ ส่วนหมอกขาวก็คือวิญญาณร้ายที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์
“รองอธิบดีหลง!”
เขามองไปตามเสียง เห็นถังจิ้ง ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาตะวันออก และอวี๋ปู้หุ่ย
ในที่สุดทุกคนก็กลับมารวมกันอีกครั้ง หลี่อิ้งตื่นเต้นมาก เขาเห็น ความยินดีจากใบหน้าของอู๋ปิ่งเทียนเช่นกัน
“พวกนายเป็นยังไงบ้าง!” อู๋ปิ่งเทียนถาม ไม่นานพวกเขาห้าคน ก็มาอยู่กันพร้อมหน้า
“พวกเราไม่เป็นไร!” ถังจิ้งบอก เขาเห็นแขนข้างหนึ่งของอู๋ปิ่งเทียน ที่แหว่งหายไปแทบจะในทันที เสียงพลันชะงักค้าง
“อย่าใจลอย กำจัดศัตรูก่อน!” ดูเหมือนหลงเซินจะสังเกตเห็น อารมณ์ที่แปรปรวนของอีกฝ่าย จึงเตือนเสียงหนัก
ค่ายฮันเนียแปดทิศมุมหนึ่งเชื่อมต่อกับเขตอาคมของอู๋ปิ่งเทียน เมื่อ เขตอาคมพังทลาย ฮันเนียแตกสลาย สูญเสียตำแหน่งค่ายกลไปหนึ่งจาก แปด พลังจึงลดฮวบ ถังจิ้งกับอวี๋ปู้หุ่ยตื่นตัว ถือโอกาสลงมือจู่โจม กำจัด ฮันเนียไปอีกสองตัว
แต่หลี่อิ้งพยุงตัวไม่ไหวแล้ว เขาเซล้มไปข้างหน้า หลงเซินที่มือไว ตาไวใช้มือข้างหนึ่งฉุดตัวอีกฝ่ายไว้ กดให้เขานั่งลงกับพื้น
“เขาจะไม่ไหวแล้ว” อู๋ปิ่งเทียนชำเลืองมองหลี่อิ้งพลางบอก
ไม่มีใครคิดว่าหลี่อิ้งอ่อนแอ ในสถานการณ์ที่ติงหลานเสียชีวิตไป ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะยืนหยัดอยู่ได้จนกำลังเสริมมาถึง แม้มีเหตุผลที่ โอโตวะ ยาซูฮิโกะ ต้องการใช้เขาเป็นเหยื่อล่ออยู่ก็ตาม แต่ถ้าเป็นคนอื่น คงไม่สามารถตีฝ่าวงล้อม ตามหลงเซินกับอู๋ปิ่งเทียนออกมาได้
“นายไม่ต้องขยับ หลับตาพักไป ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเรา” ถังจิ้งพูดรัวเร็ว
หลี่อิ้งนั่งขัดสมาธิ เอนตัวลงไป พยักหน้าอย่างอ่อนแรง
ตอนนั้นเอง พยัคฆ์ขาวสามตัวกระโจนลงสนาม แผดเสียงขู่คำราม พลางโผนเข้าใส่ทุกคน
หางตาถังจิ้งแลเห็นร่างผอมบางร่างหนึ่ง
“เหมือนจะเป็นคิตาอิเคะ เอโกะ!”
อู๋ปิ่งเทียนแปลกใจ “เธอบาดเจ็บสาหัสไม่ได้สติไม่ใช่เหรอ”
ถังจิ้งแค่นหัวเราะ อธิบายเรื่องราวจนชัดเจนในไม่กี่คำ “ฟุจิคาวะ อัญเชิญพลังปีศาจจากโอโตวะไปชุบชีวิตลูกศิษย์ แต่ดันถูกคิตาอิเคะ เอโกะ ควักหัวใจตาย!”
ใครก็ตามที่เห็นจุดจบของฟุจิคาวะ ล้วนต้องเอ่ยคำว่าไม่มีใคร หนีกรรมตัวเองพ้น ไม่รู้ฟุจิคาวะที่อยู่ในปรโลกจะรับรู้ได้ไหม นึกเสียใจ หรือเปล่าที่ตัวเองไปขอหนังเสือมาจากเสือ[1]
ไม่มีองเมียวจิคนไหนเรียกชิกิงามิออกมาพร้อมกันสองตัวขึ้นไปได้ แต่คิตาอิเคะ เอโกะ ทำได้ สาเหตุที่หล่อนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น เด็กสาวอัจฉริยะของคนรุ่นนี้ก็เนื่องมาจากผลงานอันโดดเด่นในด้านวิชา องเมียว ทว่าตอนนี้สาวสวยที่กลายเป็นหุ่นเชิดของโอโตวะไปแล้วกำลัง ควบคุมชิกิงามิสามตัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ร่วมมือกับทัพฮันเนีย พยายาม กักขังพวกหลงเซินไว้ภายใน
ระหว่างที่ทุกคนกำลังมุ่งมั่นทำลายค่ายกลอยู่นั้น ถังจิ้งก็ได้ยินเสียงคุ้นหู “ตามฉันมา!”
ร่างของหมิงเสียนกระโดดตามเข้ามาในค่าย สีหน้ากระวนกระวายบอกพวกถังจิ้งด้วยความรีบร้อน
“ฉันรู้ช่องโหว่ของค่ายกล ตามฉันมา!”
ถังจิ้งตกตะลึง เขารู้สึกแปลกใจจึงเอื้อมมือไปจับอีกฝ่าย หมิงเสียน ก็ไม่ได้ปัดป้อง ทำเพียงย่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อถูกเขาบีบแขนแน่นโดยไม่ได้ ขัดขืน
“โอโตวะถ่ายทอดพลังปีศาจเข้ามาในตัวฉัน แต่ฉันยังเหลือจิตสำนึก เดิมอยู่ส่วนหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้อีกนานแค่ไหน รีบตามฉัน ออกไปก่อนที่ฉันจะเสียสติไปโดยสิ้นเชิง!”
ถังจิ้งเดินตามอีกฝ่ายไปสองก้าวตามจิตใต้สำนึก ก่อนนึกขึ้นได้ และหันไปมองคนอื่น
เวลาสั้น ๆ สองก้าวนี้นี่เองที่ทำให้เขาพลันตระหนักถึงความพิเศษ ของหมิงเสียนที่อยู่ในใจตน
ในอดีตถังจิ้งเคยดูถูกเหยียดหยามสังคม เห็นชีวิตคนเป็นเกม ทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในใจ แต่หมิงเสียนเป็นข้อยกเว้น เขาเป็น หนามในใจถังจิ้ง หนามนั้นแม้ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่มันทิ่มแทงเข้าไป ในเลือดเนื้อเป็นระยะ ทำให้เขารู้สึกเจ็บ
หลงเซินขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นถังจิ้งหันกลับมามองตนแวบหนึ่ง โดยไม่พูดอะไร
สถานการณ์เร่งด่วน อวี๋ปู้หุ่ยไม่ทันคิดอะไรมาก เห็นถังจิ้งตาม อีกฝ่ายไป เขาก็รีบตามหลังไปด้วย
หมิงเสียนคุ้นเคยกับค่ายกลอย่างที่คิด เจ้าตัวพาพวกเขาเดินไปที่ บ้านหลังหนึ่งในลานบ้านซึ่งดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับไม่มีฮันเนีย หรือชิกิงามิตามเข้ามา เหมือนพวกมันเผชิญกับอุปสรรคที่มองไม่เห็น หยุดชะงักอยู่ตรงไหนสักแห่ง ทำได้แค่ร้องคำรามอยู่กับที่ไม่หยุด จ้องมอง พวกเขาอย่างอาฆาตแค้น
ลานบ้านดูไม่ใหญ่ก็จริง แต่ความจริงแล้วทุกคนเดินอยู่นานมาก หลี่อิ้งเริ่มทนไม่ไหว อวี๋ปู้หุ่ยเห็นดังนั้นจึงให้อีกฝ่ายขี่หลัง ส่วนอู๋ปิ่งเทียน ถึงจะเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่สมาธิยังดีอยู่ ไม่ต้องให้คนอื่นประคอง
“เดี๋ยวก่อน” อยู่ ๆ หลงเซินก็เอ่ยขึ้น
ทุกคนหยุดโดยอัตโนมัติ
หมิงเสียนกระอักเลือดคำโตทันที เลือดกระเซ็นไปบนโคมไฟที่เจ้าตัว ถืออยู่ พลอยทำให้แสงเทียนริบหรี่
“หมิงเสียน!” ถังจิ้งตกใจหน้าซีด พยุงร่างอีกฝ่ายที่อ่อนยวบไว้ได้ พอดี
ท่ามกลางแสงสะท้อนของเทียนที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เขาเห็นมุมปาก เปื้อนเลือดของอีกฝ่ายยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังฉีกยิ้ม
“หมิง…”
วินาทีต่อมาถังจิ้งรู้สึกเจ็บหน้าอก เขาก้มลงไป มือของหมิงเสียน ชำแรกเข้ามาในตัว เลือดสดอาบชุ่มนิ้ว หยดลงพื้นทีละหยด ผสมกับ เลือดที่หมิงเสียนเพิ่งพ่นออกมา แยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร
เหตุการณ์เกิดขึ้นในชั่วพริบตา กว่าอู๋ปิ่งเทียนกับอวี๋ปู้หุ่ยจะสังเกต เห็นความผิดปกติและลงมือ ร่างของหมิงเสียนก็หายวับไปจากที่เดิม ถอยห่างออกไปหลายสิบเมตรแล้ว หนำซ้ำในมือยังควักหัวใจครึ่งดวงของ ถังจิ้งติดไปด้วย
หัวใจหายไปครึ่งดวง มนุษย์ยังจะมีชีวิตอยู่ได้ไหม
ถังจิ้งไม่รู้ วินาทีนั้นเขาคิดว่าตัวเองเป็นภูตวัตถุที่กลายร่างมา ไม่แน่ บางทีอาจยังมีชีวิตรอดต่อไปได้จริง ๆ
เสียงตะโกนของเพื่อนพ้องคนอื่นดังขึ้นข้างหู แต่เสียงเหล่านั้น ค่อย ๆ ลอยห่างถังจิ้งไปไกล เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองล้มลงกับพื้น รู้สึกได้ เพียงความเจ็บแปลบที่แล่นปราดมาจากทรวงอก แต่ในความเจ็บปวดยังมี ความเย็นสบายอยู่ด้วย ราวกับแช่ร่างที่เพิ่งห่มคลุมมิดชิดจนร้อนระอุ ในน้ำแข็งเดือนหนาว
ติดกับจนได้ความรู้สึกลม ๆ แล้งๆ พวกนั้นกลายเป็นอาหารหมาหมด ถังจิ้งนึกเยาะเย้ยตัวเอง
จนกระทั่งนิ้วมือข้างหนึ่งแตะที่หว่างคิ้วเขา
ถังจิ้งได้สติราง ๆ เขาลืมตาขึ้น เห็นหลงเซินอยู่ตรงหน้า
“ผมไม่เป็นไร…” ถังจิ้งอ้าปาก กระอักเลือดออกมาอีกคำ แต่ฝืน ยันตัวขึ้น “เขตอาคมเชื่อมต่อกันหมด โอโตวะจงใจล่อพวกเรามาที่เดียวกันเพื่อฆ่าทิ้ง”
ไม่ต้องพูดให้มากความ คนอื่นก็เข้าใจดี จนแล้วจนรอดโอโตวะ ก็ไม่โผล่หน้ามา ใช้หลี่อิ้งเป็นเหยื่อล่อ ให้หมิงเสียนมาปรากฏตัว ทั้งหมด ก็เพื่อสร้างกับดักที่ใหญ่ขึ้น สะดวกในการจัดการพวกเขารวดเดียว
ไม่ทันขาดคำก็มีเสียงฟ้าถล่มแผ่นดินทลายดังขึ้นรอบตัวพวกเขา พื้นแตกระแหง บ้านเรือนพังพินาศ ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เกิดฟ้าร้องฟ้าแลบอยู่ในชั้นเมฆ พื้นกระเบื้องดินเผาลอยขึ้นไปบนฟ้า หมุนคว้างในอากาศอย่างรวดเร็วดุจวังวนที่อยู่ใจกลางพายุเฮอริเคน ก่อน หยุดนิ่งกะทันหัน ขอบคม ๆ ลอยแฉลบเข้าหาทุกคน
ร่างของหมิงเสียนซึ่งเดิมยืนมองพวกเขาอยู่ไม่ไกลค่อย ๆ พร่าเลือน
“ตรงนั้นเป็นทางออก!” อู๋ปิ่งเทียนตะโกน
“อวี๋ปู้หุ่ย พาพวกเขาออกไป!” หลงเซินทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แล้ว ถีบตัวขึ้น
เขาเร็วมากจริง ๆ เร็วจนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่แสง ในอากาศ หลี่อิ้งไม่ทันเห็นชัดด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรลงไป ก็เห็นชิ้นส่วน กระเบื้องพวกนั้นหยุดกะทันหัน ม้วนตัวเป็นกระแสคลื่นพุ่งไปทางหมิงเสียน อย่างรวดเร็ว
ทางเปิดแล้ว!
“ไป!” อวี๋ปู้หุ่ยหนีบตัวหลี่อิ้งด้วยมือซ้าย มือขวาฉุดตัวถังจิ้ง ก้าว ไปตามเส้นทางที่หลงเซินเปิดพร้อมอู๋ปิ่งเทียน
หมิงเสียนหรี่ตาราวกับคาดไม่ถึง ตอนแรกตนอยากกำจัดพวกนั้นทิ้ง แต่หลงเซินกลับทำเสียเรื่อง ชายหนุ่มโบกมือทีเดียว คิตาอิเคะ เอโกะ กระโดดขึ้นจากด้านหลังพร้อมด้วยฮันเนียและชิกิงามิ โจมตีเข้าใส่ถังจิ้ง กับหลี่อิ้งซึ่งบาดเจ็บหนักที่สุดในกลุ่ม
ต่อให้อวี๋ปู้หุ่ยเก่งกาจแค่ไหน แต่มือหอบหิ้วตัวคนเจ็บหนักข้างละ หนึ่งคน เขาไม่มีทางดูแลทั้งคู่พร้อมกันได้
หลี่อิ้งสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่รุกคืบเข้ามาที่ท้ายทอย มันเสียดแทงกระดูกถึงขนาดแช่แข็งลำคอเขา ส่งผลให้หันกลับไปมองไม่ได้ ร่างกายของเขาหนักอึ้งถึงขีดสุด มือเท้ายกไม่ขึ้นเลย หลี่อิ้งรู้ว่าสาเหตุ มาจากพลังปีศาจที่คืบคลานเข้ามาใกล้และกดทับตัว หากเป็นยามปกติ เขาไม่มีทางได้รับผลกระทบ แต่ตอนนี้เขาถูกกำหนดให้กลายเป็นภาระ ของทุกคนเท่านั้น
หลี่อิ้งกัดฟัน กำลังคิดจะให้อวี๋ปู้หุ่ยทิ้งตัวเองไว้ ก็เห็นถังจิ้ง เคลื่อนไหวเร็วกว่าใครทั้งหมด อีกฝ่ายหมุนตัวลอยโฉบไปด้านหลัง ระหว่างที่ฝ่ามือพลิกกลับไปมา ลำแสงเจิดจ้าบาดตาก็ออกจากซอกนิ้ว ปีศาจฮันเนียก็ดี ชิกิงามิก็ดี ล้วนถูกลำแสงที่ราวกับจับต้องได้สะกดร่างไว้ ก่อนแผดเสียงคำรามพร้อมมลายหายเป็นควัน
ถังจิ้งกระอักเลือดคำใหญ่ หลี่อิ้งเผลอเหลือบไปเห็น ในเลือดนั้น มีสีทองเจืออยู่จาง ๆ เขาอดสะดุ้งไม่ได้ ถังจิ้งหมดแรง ทรุดลงไปแล้ว
หลี่อิ้งไม่รู้ว่าแสงสว่างที่ถังจิ้งเพิ่งใช้ประหัตประหารศัตรูไปคืออะไร แต่หมิงเสียนเห็นชัดถนัดตา กระจกโบราณสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ มันคือแสงกระจกจากร่างจริงของถังจิ้ง เขาบีบให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนัก สูญสิ้นพละกำลัง แม้กระทั่งร่างจริงยังต้องเอาออกมาใช้อย่างเสียไม่ได้ เรียกได้ว่าจนตรอกแล้ว
มีเพียงคิตาอิเคะ เอโกะ ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากแสงสว่างของถังจิ้ง หล่อนชะงักไปเพียงอึดใจเดียวก็โผนเข้าใส่อีกครั้ง และเป้าหมายก็คือหลี่อิ้ง ผู้ไม่มีแรงต่อต้านใด ๆ!
อวี๋ปู้หุ่ยเคลื่อนไหวทันท่วงที ขยับเข้าไปขวางหน้าหลี่อิ้ง ปะทะกับ คิตาอิเคะ เอโกะ อยู่ในวังวน
“พาพวกเขาออกไปก่อน!” อวี๋ปู้หุ่ยคำราม
อู๋ปิ่งเทียนได้ยิน แต่ตอนนี้เขามีมือเดียว กำลังตกที่นั่งลำบาก เขา กัดฟัน แบกถังจิ้งขึ้นหลัง มืออีกข้างคว้าตัวหลี่อิ้งขึ้นมา พาพวกเขาสองคน ออกไป
ทว่าด้านนอกหมิงเสียนกำลังรอพวกเขาอยู่
เขายิ้มให้อู๋ปิ่งเทียนพลางเอ่ย “รองอธิบดีอู๋ท่าทางลำบากน่าดู”
เมื่อพิศให้ถี่ถ้วน รอยยิ้มดังกล่าวเป็นการยิ้มแค่ครึ่งเดียว ใบหน้า อีกซีกเยียบเย็นไร้อารมณ์ ภายใต้แสงโคมสลัวราง ใบหน้าฝั่งที่เปื้อนยิ้ม นัยน์ตาเหมือนจะเป็นสีแดงด้วย
อู๋ปิ่งเทียนขนหัวลุกไปกับรอยยิ้มอีกฝ่าย
แม้อู๋ปิ่งเทียนประเมินสถานการณ์ว่าตนรับมือหมิงเสียนได้ แต่เขา ไม่มั่นใจว่าจะดูแลหลี่อิ้งกับถังจิ้งควบคู่กันในระหว่างจัดการกับหมิงเสียน ได้หรือเปล่า
แต่หมิงเสียนไม่ให้เวลาเขาไตร่ตรองมากนัก พูดไม่ทันไรก็ชิงลงมือ แล้ว
ในขณะเดียวกัน หลงเซินอยู่ในค่ายกลตามลำพัง หลังจากเปิดทาง ให้คนอื่นแล้ว เขาไม่ได้รีบร้อนออกไป ทว่ากลับร่อนลงจากอากาศ พลิกมือ เสียบกระบี่ไปที่พื้นแตกระแหงหลังจากกระเบื้องดินเผาเพิ่งถูกทำลายไป
เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น กระแสพลังมหาศาลแผ่กระจายออกไป เป็นวงโดยมีตำแหน่งที่กระบี่กับพื้นเชื่อมกันเป็นศูนย์กลาง!
ไม่มีการแบ่งแยกศัตรูหรือพวกเดียวกัน ทุกคนหงายหลังอย่าง ควบคุมไม่อยู่ มีเพียงหลงเซินที่กำด้ามกระบี่มั่น ไม่สั่นคลอนแต่อย่างใด
คิตาอิเคะ เอโกะ กับหมิงเสียนได้รับผลกระทบจากคลื่นเสียง ร่างกระแทกเข้ากับเสาก่อนตกลงมา คนอื่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก อวี๋ปู้หุ่ย ทรงตัวโดยปักกระบี่เข้ากับพื้น ถือโอกาสกระชากตัวหลี่อิ้งเข้ามาด้วย ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายประสบกับชะตากรรมกลายเป็นก้อนอิฐปลิวว่อนไปใน อากาศ แต่ถังจิ้งไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เขาถูกพัดหงายขึ้นไปกระแทกกำแพง อย่างแรงไม่ต่างกัน แรงกระแทกบนแผ่นหลังสะท้อนกลับไปที่อวัยวะ ภายใน ความปวดแปลบช่วงกลางลำตัวทำให้เขาตระหนักว่าอาการบาดเจ็บ ของตนคงทวีความรุนแรงขึ้นแน่ ๆ
ถังจิ้งยิ้มเจื่อน เห็นหมิงเสียนเอื้อมมือไปจับท้ายทอยหลี่อิ้ง เขา ทำได้แค่พยายามพยุงตัวขึ้น เอื้อมมือไปขัดขวาง
รัศมีแสงสาดส่องแรงกล้า ณ บริเวณจุดตัดของกระบี่กับพื้น มันคือ จุดเริ่มต้นของเขตอาคมทั้งหมด และเป็นจุดจบของความยุ่งเหยิงทุกอย่าง
เป้าหมายของหลงเซินคือโอโตวะ ยาซูฮิโกะ มาตั้งแต่แรก!
พายุเฮอริเคนที่ยกตัวขึ้นจากคลื่นแสงทำลายล้างลานบ้านจนพังราบ สิ่งมีชีวิตดำมืดทุกอย่างไร้ที่หลบซ่อนท่ามกลางแสงเจิดจ้า พวกมันกรีดร้อง โหยหวน หนีหัวซุกหัวซุนไปทั่ว แต่ท้ายที่สุดก็ถูกพายุเฮอริเคนที่พัดเข้ามา ม้วนสูบ บิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่สมประกอบ
คิตาอิเคะ เอโกะ สับมือบนไหล่อวี๋ปู้หุ่ย พลังปีศาจกัดกร่อนเสื้อผ้า และผิวเนื้อของเขาทันที เผยให้เห็นรอยแผลไหม้เกรียม อวี๋ปู้หุ่ยเจ็บ จนต้องสูดลมเข้าปาก แต่เขาก็ยกเท้าถีบคิตาอิเคะ เอโกะ พอดี จังหวะ ที่อีกฝ่ายกระเด็นออกไปก็ถูกพายุเฮอริเคนดูดเข้าไป เสียงร้องโหยหวน หายไปในแสงสว่างโชติช่วง
ไม่นานอวี๋ปู้หุ่ยก็พบว่าพื้นที่ทั้งหมดถูกแสงแรงกล้าฉีกทึ้งเป็นชิ้น ๆ รอยลึกลุกลามออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีตำแหน่งใต้เท้าของหลงเซินเป็น จุดเริ่มต้น ประดุจมือใหญ่ที่มองไม่เห็นกำลังฉีกกระชากรอยแตก
“กระบี่ชีซิงหลงยวนช่างสมคำร่ำลือจริง ๆ!”
สุดปลายทางของรอยแตก ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาทุกคน อีกฝ่ายหลังค่อม ตัวเล็กเตี้ย เดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ท่ามกลางแสงเจิดจ้า เขาสวมชุดญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม มีลักษณะจำเพาะทุกอย่างแบบที่ชาวญี่ปุ่น ในสมัยก่อนพึงมี ร่องแก้มลึก ใบหน้าเข้มงวด ไม่โดดเด่นสะดุดตาเมื่อ อยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ตอนนี้สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่บนร่างเขา
โอโตวะ ยาซูฮิโกะ ซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังม่านมาโดยตลอด เปิดเผย โฉมหน้าที่แท้จริงออกมาในที่สุด
สายตาแฝงแววละโมบและปีติยินดีโดยไม่ปกปิดของอีกฝ่ายสอดส่าย ไปมาบนร่างหลงเซินอย่างถี่ถ้วน
“ภูตวัตถุของฉันไม่มีความสง่าผ่าเผยกับความหยิ่งทะนงแบบคุณ เลย รองอธิบดีหลง คุณพอจะบอกเคล็ดลับในความแข็งแกร่งของคุณให้รู้ ได้ไหม” โอโตวะ ยาซูฮิโกะ ไม่เหลือบแลใครทั้งนั้น สายตาเกาะติด หลงเซินแนบแน่นราวกับไม่อาจถอดถอนสายตาออกไปได้อีกแล้ว
หลงเซินไม่สนใจคำถามอีกฝ่าย ถามเสียงเย็นว่า “วิญญาณติงหลานล่ะ”
“กระบี่ชีซิงหลงยวนก็ต้องมีท่าทางเช่นนี้แหละ!” โอโตวะ ยาซูฮิโกะ จุปากชมเชย ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว “สง่าราศีเช่นที่รองอธิบดีหลงมี ฉัน ไม่เคยเห็นในตัวหมิงเสียนมาก่อน เวลาอยู่ต่อหน้าฉัน เขาเป็นเหมือนสุนัข ตัวหนึ่งที่ก้มหัวรับคำสั่ง ฉันคิดทบทวนมานับครั้งไม่ถ้วนว่าส่วนไหนกันแน่ ที่ผิดพลาด ถึงได้ทำให้เขาไม่เพียงแต่ไม่มีสง่าราศีเหมือนอย่างรองอธิบดี หลง ทั้งยังเอาแต่ทรยศครั้งแล้วครั้งเล่า”
ถังจิ้งอดหัวเราะประชดประชันไม่ได้เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
[1] หมายถึง ความต้องการในสิ่งที่ขัดต่อผลประโยชน์ของผู้อื่นที่มีกำลังเหนือกว่า ย่อมไม่สมหวัง