แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนที่ 3
เหออวี้พาเขากลับมายังที่นั่งที่พวกเขานั่งก่อนหน้า คลำหาใบอนุญาตทำงานออกมาให้ดู อีกฝ่ายทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ ราวกับเป็นสายให้องค์กรลับใต้ดินอย่างไรอย่างนั้น
บนนั้นเขียนว่า ‘กรมจัดการคดีพิเศษ รหัสพนักงาน 2491 เหออวี้’
ตงจื้อมึนงงไปชั่วขณะ ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น “พวกนายเป็นคนของหน่วยงานพิเศษ?”
เหออวี้เก็บบัตรไปก่อนบอกยิ้ม ๆ “หน่วยงานพิเศษ? ชื่อน่าสนใจดีนะ จะเรียกแบบนั้นก็ได้ มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นบนรถไฟ พวกเราได้รับข่าวก็เลยขึ้นมาตรวจสอบ”
เขาไม่วายปลอบต่อว่า “แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกนะ ไม่ต้องกังวล พวกเราจะจัดการให้เรียบร้อย”
ตงจื้อได้ยินคำว่า ‘จัดการ’ สองคำนี้แล้วก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก “ถ้าอย่างนั้นฉันจะโดนลบความทรงจำหรือเปล่า”
เหออวี้งงเป็นไก่ตาแตก “ลบความทรงจำอะไร”
ตงจื้อตอบ “ซีรี่ส์ฝรั่งกับในหนังก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น ประชาชนทุกคนที่รู้เห็นเรื่องมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งมีชีวิตที่ระบุไม่ได้ โดนแท่งลบความจำของตัวเอกส่องเข้าทีเดียวก็จำอะไรไม่ได้แล้ว”
เหออวี้ให้ความสนใจอย่างออกนอกหน้า “มีหนังแบบนี้ด้วยเหรอ ชื่ออะไรล่ะ ฉันจะกลับไปดูบ้าง!”
ตงจื้อบอก “หนังเรื่อง Men in Black และซีรี่ส์อเมริกันเรื่อง The X-Files ก็อธิบายเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน ดังมากเลยนะ”
เหออวี้ลูบจมูก “ก่อนหน้านี้ฉันอยู่บนเขาตลอด มีแต่บำเพ็ญเพียรแล้วก็บำเพ็ญเพียร เพิ่งลงจากเขามาเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง พอมีเวลาว่างนิดหน่อยก็หมดไปกับการเล่นเกม แท่งลบความจำอะไรนั่นที่นายบอก ตอนนี้ฉันยังไม่เคยเห็น แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกแยงกี้จะมีจริง ๆ คราวก่อนที่ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ฉันก็เห็นอุปกรณ์ล้ำสมัยของพวกนั้นมาไม่น้อย ทางภาครัฐก็บอกอยู่ว่าจะนำเข้า ตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้างแล้ว!”
พูดไปพูดมาก็ออกจากหัวข้อสนทนาไปไกล แม้สิ่งที่อีกฝ่ายพูดจะน่าสนใจมากแค่ไหน แต่รีบวกกลับเข้าเรื่องหลักจะดีกว่า “พูดแบบนี้แสดงว่าพวกนายบังคับลบความทรงจำของผู้เห็นเหตุการณ์ไม่ได้เหรอ แล้วถ้ามีคนแพร่งพรายออกไปจะทำยังไงล่ะ”
เหออวี้ยักไหล่ สีหน้าไม่แยแส “แต่นั่นก็ต้องมีคนเชื่อก่อน ระหว่างนายออกไปบอกคนอื่นว่านายเจอปีศาจ กับนายถูกวางยาหลอนประสาท นายคิดว่าคนจะเชื่อแบบไหน เขาต้องคิดว่านายเป็นโรคประสาทอยู่แล้ว!”
ตงจื้อ: …มีเหตุผลทีเดียว เขาเถียงไม่ออก
หากย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ถ้ามีคนมาบอกเขาว่าบนรถไฟขบวนนี้มีภูตผีปีศาจ เขาก็คงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นโรคประสาทเช่นกัน
แสร้งทำเป็นใจเย็นได้ไม่กี่วินาที ตงจื้อก็สะกดกลั้นความสงสัยที่อัดแน่นเต็มหัวใจไม่อยู่ จึงถามไปว่า “พวกนั้นมันคือตัวอะไร ทำไมถึงมาปรากฏบนรถไฟ”
ตอนแรกเขาอยากถามถึงสถานะของผู้ชายคนนั้น แต่ฝ่ายนั้นคงเป็นเจ้านายของเหออวี้ ถามแบบนั้นดูจะปุบปับไปหน่อย แม้คำพูดจะขึ้นมาจ่อถึงริมปากแล้ว แต่ก็บังคับให้เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน
เหออวี้กลับไม่อ้อมค้อม “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ เบื้องหลังพวกมันอาจมีคนคอยควบคุมอยู่ก็ได้ แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับนาย นายอย่ารู้มากไปจะดีกว่า กลางคืนจะได้ไม่ต้องฝันร้าย”
ตงจื้อกะพริบตา “ถ้าอย่างนั้นนอกจากฉันแล้ว บนรถไฟยังมีคนอื่นเจอเรื่องแปลก ๆ ทำนองนี้อีกไหม แล้วถ้าฉันเจออีกจะทำยังไงล่ะ”
“จนถึงตอนนี้ ที่เกิดเรื่องขึ้นมีแต่นายคนเดียว” เหออวี้คิดก่อนบอก “เอางี้แล้วกัน ฉันจะให้ยันต์มงคลกับนาย”
ว่าพลางเปิดกระเป๋าเป้ของตนแล้วลงมือค้นหาของในนั้น
ตงจื้อมองกระเป๋าริลัคคุมะขนนุ่มใบนั้น ดวงตารูปถั่วเขียวบ้องแบ๊วลืมกว้างอยู่บนหัวหมี กำลังจ้องสบกับดวงตาทั้งสองของเขา
“กระเป๋าใบนี้ของนาย?”
“ใช่ ทำไมเหรอ” เหออวี้ถามกลับโดยไม่เงยหน้า
“ฉันคิดว่าของแฟนนายเสียอีก” ตงจื้อขำแห้ง
ชายชาตรีรูปร่างกำยำล่ำสันสะพายกระเป๋าหมีบ้องแบ๊ว ช่างเป็นภาพที่งดงามอะไรเช่นนี้
เหออวี้บอกแกมตลก “ฉันก็อยากมีแฟนสักคนเหมือนกัน ได้ยินว่าสาว ๆ ที่บริษัทเกมสวย ๆ กันทั้งนั้น ถ้างั้นนายก็แนะนำให้ฉันสักคนสิ”
ตงจื้อส่ายหัว “ถ้าฉันแนะนำให้นายได้ ตัวเองคงไม่โสดแบบนี้หรอก”
เหออวี้งมหาของอยู่นานแต่ไม่เจอเสียที เขาร้อนใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้าไปหมด “ก่อนออกจากบ้านฉันใส่มาแล้วแท้ ๆ! แล้วก็ไม่ได้เอาไปใช้เป็นกระดาษเช็ดก้นในห้องน้ำเหมือนครั้งก่อนด้วย! หมดกัน ๆ ต้องโดนบอสด่าอีกแน่!”
ตงจื้อ “…”
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าประสิทธิภาพยันต์ของเหออวี้อาจจะมีขีดจำกัด
“ช่างเถอะ ๆ !” เหออวี้ควักพู่กันหนึ่งด้ามกับผงชาดหนึ่งกล่องออกมา “ไม่ได้เอากระดาษเหลืองมาด้วย แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน นายเอากระดาษมาไหม”
เรื่องแบบนี้ก็แก้ขัดได้ด้วย?
ตงจื้อควักกระดาษร่างภาพสีขาวปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้
“กระดาษขาวก็ได้?”
“ได้ แต่ประสิทธิภาพจะแย่ลงหน่อย”
เหออวี้รับมาหนึ่งแผ่น จับมันพับครึ่ง ก่อนตัดให้ได้ขนาดหนึ่งในสามของขนาดเดิม รูดให้เรียบ วางบนโต๊ะ เปิดกล่องผงชาด ใช้พู่กันจุ่มลงไป ตั้งสมาธิกลั้นลมหายใจ ก่อนก้มหน้าเขียนอักษรยาวเป็นพืด
ตงจื้อเรียนวาดภาพมา โดยธรรมชาติแล้วจึงมีความฉับไวต่อรูปภาพทุกรูปแบบ เขาเห็นว่าภาพบนนั้นดูเผิน ๆ เหมือนจะไม่มีความหมายอะไร วงกลมหนึ่งวงคล้องกับวงกลมอีกวง แต่พอพินิจพิเคราะห์รายละเอียด กลับดูเหมือนได้เชื่อมต่อจักรวาลมืดมนไร้ขอบเขตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุดจักรวาลแล้วจักรวาลเล่าไว้ด้วยกัน
สีหน้าท่าทางตั้งอกตั้งใจของเหออวี้ ดู ๆ ไปแล้วเหมือนกำลังสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกแห่งยุค
ภายในตู้โดยสาร แม้จะเป็นเวลากลางดึกและค่อนข้างเงียบสงบ แต่ก็ยังมีคนกระซิบกระซาบกันอยู่ เสียงรบกวนของล้อรถที่กลิ้งอยู่บนรางไม่ได้ทำให้จิตใจเหออวี้ว่อกแว่ก เจ้าตัวไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ปากบริกรรมคาถา ได้ยินไม่ชัดว่าท่องอะไรอยู่
สุดท้าย จังหวะที่เส้นขีดถูกลากยาว เหออวี้ก็กัดนิ้วมืออย่างเร็วแล้วดีดใส่กระดาษยันต์
การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายรวดเร็วฉับไว ระหว่างที่ตงจื้อเห็นเลือดกระเซ็นไปบนรอยขีดผงชาดนั่น ดูเหมือนจะเกิดขึ้นพร้อมกับแสงสีทองรำไรที่วาบขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เหออวี้วาดยันต์เสร็จหนึ่งแผ่นในอึดใจเดียว จริง ๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนผ่านไปนานเหลือเกิน
“เสร็จแล้ว!”
เจ้าตัวถอนหายใจยาว เช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก เป่ายันต์ให้แห้ง จากนั้นจึงพับมันเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าแล้วส่งให้ตงจื้อ
“นี่คือยันต์แสงจันทรา ยันต์ขับไล่ผีรูปแบบหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด นายเก็บไว้กับตัว จะช่วยรักษาสติและความเยือกเย็นสุขุมให้กับจิตใจ ไม่ให้ถูกปีศาจร้ายรุกราน” เหออวี้เอามือจับผม “เดิมทีใช้กระดาษเหลืองวาดจะได้ผลดีที่สุด แต่ตอนนี้ไม่มี ช่วยไม่ได้ ฉันใช้เลือดของตัวเองเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับยันต์แล้ว น่าจะช่วยเสริมประสิทธิภาพได้บ้าง นายพกติดตัวไว้ ดีที่สุดเวลาไปเข้าห้องน้ำก็อย่าให้ห่างจากตัว”
อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ปรารถนาดี ตงจื้อรู้สึกขอบคุณจากใจจริง เขาเก็บยันต์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ท่าทางเหออวี้เหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก เริ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเกมต่อ พลางคุยเรื่องการพัฒนาเกมกับการตั้งค่าเกมกับเขาไปด้วย
ตงจื้อว่างมากจนรู้สึกเบื่อ นึกไปถึงยันต์ที่เหออวี้วาดเมื่อครู่ จึงเขียนสะเปะสะปะไปบนกระดาษร่างภาพ
เหออวี้เหลือบตามองก่อนร้องเอ๋
ตงจื้อกำลังวาดยันต์ที่เหออวี้วาดเมื่อครู่นี้ อักขระยันต์ซับซ้อนขนาดนั้น แต่เขามองปราดเดียวก็ลงมือวาดได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับแล้ว แม้รูปร่างภายนอกจะคล้ายคลึง แต่วิญญาณภายในยังไม่เหมือน นับประสาอะไรกับผลลัพธ์ แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหออวี้คาดไม่ถึง
“ยันต์ที่ฉันใช้เวลาเรียนหนึ่งวันกว่าจะวาดออกมาได้ แต่นายกลับมองแค่แวบเดียวก็วาดเป็นเลย!”
“ยังไงฉันก็มีพื้นฐานด้านการวาดรูปแหละน่า” ตงจื้อลำพองหน่อย ๆ แต่มิวายถ่อมตน ขนตากะพริบไหวไปตามการเคลื่อนไหวของดวงตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน่ารักมากแค่ไหน
เหออวี้ทั้งอิจฉาทั้งชื่นชม “ดีนะที่นายไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือของท่านอาจารย์ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องฟังเขาพูดถึงนายทุกวันแน่ ๆ!”
ไม่ทันขาดคำ ใจเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะสอนเคล็ดลับการวาดยันต์แสงจันทราให้นาย ครั้งต่อไปนายจะได้ใช้กระดาษเหลืองกับผงชาดวาดเอง”
ตงจื้ออยากลอง แต่ก็บอกด้วยความลังเลว่า “แต่แบบนี้จะถือว่านายเปิดโปงความลับของสำนักหรือเปล่า”
เหออวี้โบกมือใหญ่ กล้าได้กล้าเสียยิ่ง “ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่ยันต์แผ่นเดียว ใครใช้ให้นายเป็นนักออกแบบที่ฉันชอบเล่า!
“คนมีหัวมีเท้า ยันต์ก็เหมือนกัน แบ่งเป็นหัวยันต์ ท้องยันต์ อกยันต์ เท้ายันต์ ขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว อักขระยันต์ที่เอาชนะปีศาจได้ทุกชนิด รักษาครอบครัวให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ ปกติส่วนหัวของยันต์จะเป็นยันต์บัญชา ยันต์บางอย่างเป็นยันต์อัญเชิญเทพ และต้องเพิ่มเทพเจ้าที่ต้องการอัญเชิญด้วย แต่ละสำนักจะมีวิชาลับที่แตกต่างกันไป ยันต์ประเภทเดียวกันแต่คนละสำนักก็จะมีข้อแตกต่างกัน…”
เหออวี้สาธยายยืดยาว รวมถึงแนะนำเคล็ดลับการวาดยันต์ให้ฟัง
“การวาดยันต์มักจะไม่ได้ผล นายไม่ได้ฝึกกำลังภายในก็ยิ่งต้องใช้แรงมากแต่ได้ผลน้อย เมื่อกี้ทำได้แค่วาดเค้าโครง ยังห่างไกลจากการอัญเชิญเทพมาประทับ ไว้ฉันค่อยวาดยันต์แสงจันทราให้นายอีกรอบ นายกลับไปแล้วก็ฝึกวาดตามนั้น จำไว้ว่าตอนวาดยันต์ต้องเพ่งสมาธิไปที่จุดตันเถียน [1] ความคิดกับจิตใจรวมเป็นหนึ่ง…”
ตงจื้อขอคำแนะนำอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “ตันเถียนอยู่ตรงไหน จะเพ่งสมาธิไปได้ยังไง”
เหออวี้หยุดคิดก่อนตอบ “นายลองจับความรู้สึกตอนตดดู แต่ไม่ต้องตดออกมานะ”
ตงจื้อ “…”
เหออวี้บอก “ยันต์ที่คนธรรมดาวาดออกมามีแต่รูปร่างแต่ไร้วิชา แต่ถ้านายสามารถวาดยันต์รูปนี้ออกมาได้เหมือนต้นฉบับจริง ๆ ต่อให้มีแต่รูปยันต์ แต่ถ้าสยบภูตผีตัวเล็ก ๆ ได้ก็เพียงพอแล้ว หากคราวหน้าเจอเหตุการณ์แบบนั้นอีก แม้แต่ยันต์ก็ไม่ช่วยอะไร ให้กัดนิ้ววาดยันต์แสงจันทรากลางอากาศไปเลย ขอเพียงตั้งจิตให้มั่น ไม่แน่ว่าอำนาจอาจจะเพิ่มพูนขึ้นบ้าง”
กล่าวถึงตรงนี้เจ้าตัวก็ชะงักไป ก่อนหันไปถามตงจื้อ “นายยังเป็นหนุ่มบริสุทธิ์อยู่สินะ”
ตงจื้อไม่อยากตอบคำถามนี้เลย
เหออวี้หัวเราะฮ่า ๆ ตบไหล่เขาพลางยักคิ้วหลิ่วตา “ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ! ถ้าใช่ก็ยิ่งดีเลย เวลาตกฟากแบบนาย เดิมทีก็ควรระวังอยู่แล้ว”
ตงจื้องุนงง “เวลาตกฟากของฉันมันทำไมเหรอ”
เหออวี้บอก “ตงจื้อเป็นช่วงเวลาที่หยางจะเพิ่ม หยินจะลด พูดอีกอย่างก็คือเท้าเหยียบหยินหยางพอดี ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ชื่อของนายก็ดันเป็นตงจื้อด้วยเนี่ยสิ ถ้าฉันเดาไม่ผิด ในวิชาทำนายดวงชะตาแปดอักษร หยินหยางมาบรรจบกันพอดี ต่างฝ่ายต่างรักษาสมดุลไว้เหมือนกัน ความจริงถ้าพูดกันถึงเรื่องผีห่าซาตานแล้ว อย่างนายไม่นับว่าแย่ที่สุดหรอก ยังมีคนที่ดวงชะตาแปดอักษรแย่ ๆ ต่อแถวอยู่ข้างหน้านายอีกเยอะ แต่สำหรับคนที่มีใจคิดร้ายแล้ว ดวงชะตาแปดอักษรของนายก็ใช่จะใช้ไม่ได้ผลเสียทีเดียว”
เขาไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการเจาะจงอีก แต่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ตงจื้อพยักหน้ารับคำสอนอย่างเต็มใจ
เหออวี้เห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายของเขาแล้วก็อดยกมือลูบผมอีกฝ่ายไม่ได้ “เด็กดี”
จากนั้นก็ฉีกยิ้มด้วยความรู้สึกขัดเขิน “ฉันมีนิสัยเสียอยู่อย่าง เห็นสัตว์น่ารักขนฟูทีไร ทนไม่ได้ทุกที”
มุมปากคนฟังกระตุกยิก “ฉันขนฟูตรงไหน”
เหออวี้กล่าวเต็มปากเต็มคำ “ผม!”
ตงจื้อวาดอักขระยันต์ตามที่เหออวี้วาดอีกหลาย ๆ ครั้ง เขาวาดได้คล่องขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่เหออวี้ก็ยังรู้สึกว่าเขามีพรสวรรค์ด้านการวาดยันต์ จนอดบ่นด้วยความเสียดายไม่ได้
“ถ้าอาจารย์ฉันมาเจอนายเร็วกว่านี้สักสิบปี บางทีนายคงได้มาเป็นศิษย์น้องฉัน”
ตงจื้อสงสัย “สมัยนี้ยังมียอดฝีมือที่ตัดขาดจากโลกภายนอกแบบนั้นอยู่จริง ๆ เหรอ พวกนายเป็นคนของสำนักอะไร ปกติเร้นกายอยู่ที่ไหน แต่ฉันเห็นเขาเอ๋อเหมย เขาชิงเฉิงอะไรพวกนี้ ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวแน่นขนัดทุกวันเลยนี่นา พวกนายยังมีที่ไหนให้ฝึกบำเพ็ญอีก”
ไม่ถามก็แล้วไป แต่พอถามขึ้นมาก็น้ำไหลไฟดับ ยิ่งกับคนสนิทด้วยยิ่งช่างจำนรรจา
เหออวี้เป็นคนช่างพูดเหมือนกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าทั้งคู่จะเพิ่งเจอกัน แต่ก็รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานปีแล้ว
คำถามพวกนี้ไม่เกี่ยวกับความลับสำคัญอันใด เหออวี้ก็ไม่คิดปิดบัง จึงตอบไปว่า “สำนักพวกเราชื่อสำนักเก๋อเจ้า…”
ไม่ทันขาดคำ ตงจื้อก็ร้องเอ๊ะ
“ฉันเห็นพี่สวีกับลูกแล้ว!”
เหออวี้ดีดตัวลุกพรวด “อยู่ไหน!”
ตงจื้อชี้ไปตรงทางเดินของตู้โดยสารด้านหน้า “เพิ่งเดินไป ฉันคุ้นมาก น่าจะเป็นพวกเธอนั่นแหละ!”
“นายรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะรีบไปรีบกลับ นั่งเฉย ๆ อย่าขยับ!” เหออวี้กำชับเสร็จก็หายลับไปไม่เหลือเงา
รถไฟยังคงมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูงเท่าเดิม แสงและเงานอกหน้าต่างสะท้อนวิบวับทับกัน รู้สึกคล้ายกำลังทะลุผ่านมิติเวลา
หูฟังกำลังเล่นเพลง เธอต้องเป็นเด็ก ของไช่ฉิน เสียงสตรีหนานุ่มเพราะพริ้งเรื่อยเฉื่อย แรงบันดาลใจตงจื้อพรั่งพรู อดไม่ได้ต้องหยิบดินสอขึ้นมาขีดเขียนภาพวาดลงบนกระดาษ
พนักงานรถไฟเข็นรถขายอาหารเคลื่อนที่เข้ามา
ล้อสัมผัสกับพื้นห้องโดยสาร ก่อให้เกิดเสียงเคลื่อนไหวที่ไม่เบานัก
“เครื่องดื่ม ขนม ผลไม้ ของกินเล่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีใครจะรับอะไรไหมคะ”
ได้ยินเสียงตะโกนขายของดังกล่าวทุกสามถึงห้านาทีตั้งแต่ก้าวขึ้นมาบนรถไฟ ตงจื้อฟังจนใยไหมเกาะหูไปหมดแล้ว ปกติจึงไม่ได้เงยหน้ามอง
แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไม ผีหรือเทวดาที่ดลใจเขา ตงจื้อถึงได้แหงนศีรษะขึ้น
พนักงานหน้าตาคุ้น ๆ
ตงจื้อความจำดี ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็นึกออก
เมื่อครู่นี้ในตู้เสบียง พนักงานคนนี้แหละที่เข้าเวรอยู่
แต่ทำไมเธอถึงโดดมาเข็นรถขายอาหารได้ล่ะ
ปกติแล้วงานเข็นรถขายอาหารเคลื่อนที่กับงานในตู้เสบียงจะไม่ใช้พนักงานคนเดียวกันนี่นา!
ขณะที่คิดมาถึงตรงนี้ พนักงานรถไฟคนนั้นก็มองมาทางเขาพอดี
ดวงตาสองคู่สบกัน แววตาของอีกฝ่ายราวกับจะเพิ่มความน่าพิศวงขึ้นอีกหลายเท่าตัวเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟขมุกขมัว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังส่งยิ้มให้เขา
ตงจื้อขนหัวลุก!
[1] จุดศูนย์กลางที่รวบรวมพลังงานภายในร่าง