แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 62
ตงจื้อยังจำได้ จงอวี๋อีเคยพูดไว้ว่าระหว่างอัญเชิญวิญญาณขาวมักจะพบเจอสถานการณ์หนึ่ง นั่นคือ วิญญาณขาวตนที่ต้องการอัญเชิญมานั้นไม่สามารถมาได้ เหมือนก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเขาเข้าเรียนที่บ้านไร่ในเขตชนบท จงอวี๋อีล้มเหลวในการอัญเชิญเทพกวนอูกับงักฮุยติด ๆ กัน ไม่ใช่เพราะความสามารถของจงอวี๋อีสู้ตงจื้อไม่ได้ แต่เป็นเพราะเทพทั้งสองที่เขาอัญเชิญมานั้น ประการแรกมีชื่อเสียง สถานะสูงส่ง ย่อมเจ้าอารมณ์เป็นธรรมดา ไม่ใช่คิดอยากจะอัญเชิญก็อัญเชิญมาได้เลย ประการที่สอง เทพผู้ทรงธรรมจะสังเกตและรับฟังเหตุการณ์รอบด้าน ใช่ว่าจะ ‘ได้ยิน’ คำร้องขอของคุณตลอดเวลา ประการที่สาม ต่อให้ได้ยิน แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดีหรือไม่ถูกใจคุณก็ไม่มาอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้การอัญเชิญเทพเจ้าประสบความสำเร็จทุกครั้ง ร่างทรงที่อัญเชิญเทพเจ้าในหมู่ชาวบ้านบางคนที่พอมีความสามารถอยู่บ้าง ไม่นับพวกลิงหลอกเจ้า ล้วนไม่เจาะจงอัญเชิญวิญญาณขาวตนใดตนหนึ่งมา แต่เชิญตนไหนได้ก็จะเชิญตนนั้น และนี่ก็กลายมาเป็นลูกไม้ที่ ‘ปรมาจารย์’ บางส่วนในโลกใช้เพื่อตบตาคน ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาคุยโวกับลูกค้า ตบอกรับประกันว่าตนอัญเชิญเทพเจ้าตนใดมาได้ แต่ความจริงอย่างมากก็แค่อัญเชิญพวกเทพจิ้งจอกหรือเทพเพียงพอนมาเท่านั้น ร้ายกว่านั้นหน่อยก็อัญเชิญผีป่าหรือวิญญาณไร้ญาติมาสักตน สวมรอยเป็นญาติของคนอื่นเสียเลย
ตอนนั้นทุกคนฟังจงอวี๋อีเล่าถึงชาวบ้านคนหนึ่งที่ต้องการอัญเชิญเทพเจ้า แต่ดันบังเอิญเจอคดีสิบแปดมงกุฎเข้า ทุกคนรู้สึกตลกมาก แต่ละคนสรวลเสเฮฮาเลยจำได้แม่น
แต่เวลานี้ ที่ตงจื้อนึกถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมากะทันหัน ไม่ใช่เพราะรู้สึกขบขันอะไร
ตอนนี้ไม่มีกระถางธูปหรือโต๊ะบูชา แขนขาของเขาถูกมัด ประสานมุทราไม่ได้ มีแต่ปากเท่านั้นที่ขยับได้
ท่องคาถาอย่างเดียวจะได้ผลไหม
ได้ผล
อาจารย์ฟางหยางเคยบอกเขาว่า คาถาและอักขระยันต์เป็นวิธีที่มนุษย์ใช้สื่อสารกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก และเป็นวิธีที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ความซื่อสัตย์จริงใจย่อมได้รับคำอวยพร ตราบใดที่เจตจำนงบรรลุถึง ใช่ว่าจะอัญเชิญเทพผู้ทรงธรรมมาไม่ได้ วิธีการจุดธูปประสานมุทราเหล่านั้นเป็นเพียงตัวช่วย
หมื่นคำจำนรรจาไม่เท่าลงมือทำ เรื่องมาถึงขั้นนี้ มีแต่ต้องดับเครื่องชนแล้ว
ตงจื้อหลับตา เริ่มท่องคาถาในใจ
ตงจื้อ ศิษย์สำนักเก๋อเจ้า วันนี้มายังที่แห่งนี้พร้อมพวกพ้องเพื่อหยุดยั้งแผนการร้ายของชาวญี่ปุ่น ลงทัณฑ์มารกำจัดปีศาจ คืนสุขสงบแก่สามภพ พิชิตความสามานย์ เอาชนะเภทภัย ขอวิงวอนต่อเทพเจ้าทั่วทุกสารทิศที่ผ่านเข้ามา โปรดหยิบยื่นกำลังส่วนหนึ่งแก่ข้าพเจ้า ศิษย์ยินดีน้อมรับคำบัญชาท่านเทพผู้สูงส่งด้วยใจอันซื่อสัตย์สุจริต!
ภายในถ้ำใต้ดินแห่งนี้มีคนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก หากจะบอกว่ามีอะไรมากที่สุด ย่อมไม่พ้นวิญญาณพยาบาท แต่ตงจื้อไม่ต้องการอัญเชิญพวกมันมา คิดดูอีกที สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ คนเหล่านี้ก็เป็นเพียงคนธรรมดา แต่เพราะตายไปด้วยความทุกข์ทรมาน ความอาฆาตพยาบาทจึงมาเกาะกลุ่มรวมกัน ณ ที่แห่งนี้ หล่อหลอมกลายเป็นภูตผีและหุ่นปีศาจพันศพ วิญญาณขาวประเภทนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้ ยังมีแนวโน้มที่จะทำให้เสียงานอีกด้วย
แต่ที่นี่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน จะมีวิญญาณขาวที่ช่วยได้ผ่านมาและได้ยินคำวิงวอนของเขาจริง ๆ หรือ
ถึงตอนนั้นอย่าได้อัญเชิญจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซีเซี่ยมาเชียว ถ้าอัญเชิญหลี่หยวนเฮ่า [1] อะไรนั่นมา แล้วถึงเวลาเอาแต่พูดพร่ำเป็นชุดจะมีประโยชน์อะไร ต้องเอาคนที่สู้เป็น!
ตงจื้อพยายามปลดปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่า หยุดคิดฟุ้งซ่าน พยายามโยนปัจจัยรบกวนความรู้สึกทั้งห้าประสาทสัมผัสทั้งหก [2] รอบกายทั้งหมดทิ้งไป
เสียงอึกทึกครึกโครม เสียงต่อสู้ค่อย ๆ ห่างออกไป การคุกคามของหุ่นปีศาจพันศพและศพผีดูราวกับจะเงียบหาย การต่อสู้สุดชีวิตระหว่างหลงเซินกับปีศาจมนุษย์ถูกลืมเลือน การคุกคามของบุคคลลึกลับที่อยู่ใกล้เพียงคืบ เขาก็ลืมไปเสียสนิท สมองถูกครอบครองด้วยคาถาที่ท่องอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งอื่นใดนอกไปจากนี้
เส้นไหมที่รัดแน่นอยู่บนตัวดูราวกับจะไม่รู้สึกถึงมันอีกต่อไปแล้ว ร่างกายของเขาค่อย ๆ เบาโหวง รู้สึกเหมือนกำลังลอยละล่องไปด้านบนอย่างเชื่องช้า แต่ไม่ได้ผละไปจากกายหยาบทั้งหมด ตงจื้อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สติของเขายังคงอยู่ หากแต่ในกายหยาบนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มีเพียงสติสัมปชัญญะของเขาเท่านั้น
มันเป็นความรู้สึกที่ลึกล้ำมาก ต่อให้เขาอัญเชิญวิญญาณขาวมาแล้วสองหนก็ยังปรับตัวให้คุ้นกับความรู้สึกนี้ไม่ได้อยู่ดี
จิตสำนึกอีกส่วนมีอำนาจเหนือร่างกาย ส่วนจิตสำนึกของตนเหมือนถูกจำกัดให้อยู่อีกด้าน ไม่เป็นตัวของตัวเอง เห็นอะไรได้ยินอะไรก็ดูเหมือนจะถูกกันห่างออกไปอีกชั้น
ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง
พูดให้ถูกคือเสียงนี้เปล่งออกมาจากในหัวเขา คล้ายการส่งกระแสจิตของหลงเซิน แต่ก็มีส่วนที่ต่างกัน
มันหนาหนัก มีอานุภาพน่าเกรงขาม นำมาซึ่งเสียงก้องกังวานดุจเสียงจากโบราณกาล เฉกเช่นเสียงจากฟากฟ้าไกล
“คำร้องขอของเจ้าคือการลงทัณฑ์ความชั่วร้าย กำจัดปีศาจ ย่อมเป็นไปตามนั้น”
วินาทีที่คำว่า “ย่อมเป็นไปตามนั้น” จบลง ตัวเขาก็เบาโหวง เส้นไหมนับไม่ถ้วนขาดสะบั้นทันที
พร้อม ๆ กับที่ศพผีจำนวนมากทะลักออกจากใต้ร่อง จนใต้ร่องนั้นเริ่มว่างเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีศพผีปรากฏขึ้นอีก ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจึงก้าวเท้าเดินตรงไปยังบริเวณร่องหินในที่สุด ที่ร่องหินมีพื้นที่สามตารางฟุต อยากลงไปก็ทำได้ ถึงกระนั้นเขากลับไม่ได้รีบร้อนลงไป แต่ย่อตัวลงที่ริมขอบ ก้มหน้ามองสำรวจด้านในครู่หนึ่ง จากนั้นจึงควักของสิ่งหนึ่งออกจากกระเป๋าที่นำติดตัวมาด้วย
ระเบิด
แถมยังเป็นระเบิดที่มีน้ำหนักไม่น้อยเลย ทันทีที่มันระเบิด ไม่เพียงแต่ด้านในร่องหินเท่านั้น คาดว่าพื้นดินบริเวณนี้ทั้งหมดคงได้รับความเสียหายไปตาม ๆ กัน แม้แต่สุสานจักรพรรดิก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
แต่ชายหนุ่มไม่เปลี่ยนสีหน้า ราวกับว่าสิ่งที่ถืออยู่ในมือเป็นแค่ถุงอาหารชุดหนึ่งหรือดอกไม้ช่อหนึ่งซึ่งสุดแสนจะธรรมดาเท่านั้น เขาหยิบถุงใส่ระเบิดขึ้นมาได้ก็โยนลงไปในร่องทันที
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ใครคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็กระโดดตัวลอย เตะระเบิดออกไป
ถุงใส่ระเบิดลอยไปตกอยู่ตรงซอกมุมถ้ำทันที
ชายหนุ่มไม่ได้รีบร้อนไปเก็บ แต่กลับเหลียวหน้ามอง ก่อนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “นายหลุดจากเส้นไหมพวกนั้นมาได้ยังไง”
เพิ่งถามประโยคนี้จบ เขาก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตงจื้อได้ในทันที
ตงจื้อที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เด็กใหม่ของกรมจัดการคดีพิเศษที่เพิ่งแสดงฝีมือเมื่อครู่นี้
“นายเป็นใคร” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงหนัก
ใบหน้าตงจื้อมั่นคงดุจน้ำแข็งพันปี ปราศจากคลื่อนอารมณ์ แต่แววตาที่มองเขากลับมีแววสมเพชเวทนา
“เดิมทีสายเครื่องดนตรีที่ทำมาจากไหมเป็นสิ่งไร้หัวใจ ในเมื่อโชคดีบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว เหตุใดจึงไม่ฝึกฝนไปในทางที่ถูกที่ควร กลับเอาตัวมาคลุกคลีกับหายนะทางโลก ให้ความช่วยเหลือปีศาจร้ายเล่า”
สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไป เขาร้องตะโกน “นายเป็นใครกันแน่!”
ตงจื้อมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่เอ่ยสิ่งใด
ชายหนุ่มตอบสนองฉับไว หัวเราะทันที “ฉันรู้แล้ว ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็อัญเชิญวิญญาณขาวมาประทับร่างนี่เอง นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเขายังพอมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่ทราบว่าท่านคือวิญญาณขาวตนใด เหลียงเหวยชี เจ้าของสุสานนี้ หรือจักรพรรดิองค์ไหนของซีเซี่ยล่ะ”
ตงจื้อ “สมญานามของเรา เจ้าอย่าได้ถามถึง ไปเสียเถิด อย่าได้มารบกวนความเงียบสงบของที่นี่ แล้วเราจะไว้ชีวิตเจ้า”
ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “เห็นแก่ที่นายใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเป็นพันปีหรอกนะ ฉันถึงได้ถามเป็นมารยาท ไม่บอกก็ช่างปะไร ฉันต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด เรื่องวันนี้ ฉันต้องทำให้สำเร็จ”
เขากล่าวไม่ทันจบ ร่างก็พุ่งปราดมาทางตงจื้อแล้ว นิ้วมือทั้งสิบกางออก เส้นไหมโปร่งแสงดีดพุ่งออกมาพร้อมกัน เพิ่งมาเติมประโยคหลังให้จบเมื่อเส้นไหมใกล้ถึงหน้าอีกฝ่ายแล้ว
การโจมตีดังกล่าวรวดเร็วถึงขีดสุด
เส้นไหมทั้งสิบในมือเขาสามารถตัดทองกับเหล็กได้ทั้งหมด แบ่งออกเป็นส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง แยกเป็นสามทางเพื่อจู่โจม ตีวงโอบล้อมศัตรูไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้ตงจื้อมีสามหัวหกมือก็ไม่อาจหลบหลีกได้หมด เส้นไหมเหล่านี้มาพร้อมกับสายลมกรรโชกแรง แตกต่างจากเมื่อครู่ที่ต้องการมัดตัวเขาเฉย ๆ ตราบใดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งแตะโดนร่างของศัตรู มันจะตัดร่างของฝ่ายตรงข้ามให้ขาดทันที
แต่เมื่อเส้นไหมเคลื่อนมาถึงหน้าของศัตรู อีกฝ่ายกลับหายวับไปเฉย ๆ ชายหนุ่มตะลึงงัน การเคลื่อนไหวพลอยชะงักตามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ แต่เขาตอบสนองเร็วไว หันกลับไปทันที เป็นอย่างที่คิด ตงจื้อปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ในมือกุมกระบี่ฉางโส่วซึ่งถูกทิ้งไว้ข้าง ๆ ตอนแรก ก่อนเสียบเข้าไปในร่างชายหนุ่มด้วยความเร็วที่ไม่อาจประเมินได้
ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายโถมไปข้างหน้า ไม่กล้าหยุดนิ่งแม้แต่เสี้ยววินาที กระบี่ฉางโส่วเล่มที่หลงเซินมอบให้ตงจื้อย่อมไม่ใช่อาวุธธรรมดาทั่วไป พลังอำนาจของตัวกระบี่บวกกับพลังเทพที่วิญญาณขาวผสานไว้บนกระบี่ ทำให้กระบี่ยาวแทงผ่านร่างของชายหนุ่ม เลือดสดกระเซ็นไปรอบทิศ
เขาถลาล้มลงกับพื้น มองท่าทางของตงจื้อที่ถือกระบี่ ยืนตัวตรง สีหน้าเฉยเมยด้วยความหวาดผวา รู้สึกได้ว่าเลือดสดทะลักขึ้นมาที่ลำคอเป็นระลอก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ และยิ่งไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม
แต่สำหรับตงจื้อ เขา ‘สำนึก’ ได้ว่าร่างกายตนกำลังยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่ได้ไล่ตามอย่างไม่ลดละเพื่อกำจัดศัตรูให้ตายตกไป ไม่ใช่เพื่อเสแสร้งหรือเจตนาสร้างความสับสนเพื่อตบตาคน หากแต่เป็นเพราะร่างกายของตนกำลังจะรองรับไม่ไหวแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถึงแม้วิญญาณขาวตนนี้จะทรงพลังมาก ขนาดที่ชายหนุ่มคนนั้นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา แต่ช่วยไม่ได้ที่ ‘ภาชนะ’ อย่างตงจื้ออ่อนแอเกินไป วิญญาณขาวไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าไม่ใช่ร่างกายที่ต้องทนรับความเสียหาย ก็ต้องเป็นวิญญาณขาวที่จากไป
นอกจากนี้ เขายังสัมผัสได้ว่าวิญญาณขาวตนนี้ดูเหมือนไม่ได้คิดกำจัดชายหนุ่มคนนี้ให้สิ้นซากอยู่แล้ว
“สวรรค์มีคุณธรรมและเมตตาต่อสรรพชีวิต คนผู้นี้ฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก เราไม่อยากฆ่าเขา”
“เขาเป็นใครครับ” ตงจื้ออดถามในหัวไม่ได้
แต่วิญญาณขาวไม่ได้ตอบเขา กลับเอ่ยขึ้นว่า “เราเป็นเพียงจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่ง หาใช่ร่างจริงขององค์เทพไม่ เราอยู่ที่นี่มานับพันปี ใกล้ครบกำหนดแล้ว วันนี้มาช่วยเจ้าอีกแรง หลังจากหนนี้ไปก็จะดับสลาย หวังว่าเจ้าจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี”
ตงจื้อตะลึงงัน ยังไม่ทันสอบถามก็รู้สึกร่างกายหนักอึ้งกะทันหัน เขาล้มลงกับพื้นอย่างควบคุมไม่อยู่ เลือดลมในอกปั่นป่วน ทุกข์ทรมานถึงขีดสุด ทนไม่ไหวจนกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ
การต่อสู้ระหว่างหลงเซินกับปีศาจมนุษย์ดำเนินมาถึงช่วงสำคัญเช่นเดียวกัน
ความรัก ความเกลียดชังไม่เคยขาดหายไปจากโลก พลังแห่งความอาฆาตแค้นขยายลุกลามอยู่ตลอดเวลา พอนานวันเข้ามันจึงเกาะกลุ่มรวมกันเป็นไอปีศาจ ดังนั้นปีศาจมนุษย์จึงไม่เคยสูญสลาย ทุก ๆ ช่วงเวลาหนึ่งมันจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าปีศาจมนุษย์ในครั้งนี้จะเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก จงใจแปลงกายนับครั้งไม่ถ้วน โดนกำจัดไปหลายครั้งก็ยังหลงเหลือไอปีศาจส่วนหนึ่งอยู่เหมือนเดิม ผ่านไปช่วงระยะหนึ่งก็กลับมารวมตัวใหม่ ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง และศพผีกับหุ่นปีศาจพันศพทั้งหมดที่อยู่ใต้ดินนี้ก็คือแหล่งบำรุงตามธรรมชาติของปีศาจมนุษย์ พลังปีศาจของมันได้รับการชดเชยอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ณ ที่แห่งนี้ ที่นี่จึงเทียบเท่าสมรภูมิหลักของมัน
หลงเซินอยู่ท่ามกลางวงล้อมของไอปีศาจซึ่งทะลักเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ ความรู้สึกที่ได้รับลึกล้ำกว่าพวกซ่งจื้อฉุน เพราะยิ่งกำลังต้านทานของตนยอดเยี่ยมเพียงใด การกดอัดของไอปีศาจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นดุจเพชรตัดเพชร ไอดำพลุ่งพล่านโหมซัดสาดอยู่รอบตัวเขาราวกับเสียงหัวเราะกำเริบเสิบสานที่ปีศาจร้ายเปล่งออกมา พยายามบอกให้เขาเลิกต่อต้าน จำนนต่อวิถีแห่งมาร กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังปีศาจอย่างสมบูรณ์
เขาอยู่นิ่ง ๆ พลังชีวิตทั่วตัวควบแน่นเป็นกระบี่แสงที่กลางฝ่ามือ แสงสว่างเสี้ยวนั้นโรมรันกับไอปีศาจที่ตลบอบอวลไปแล้วครึ่งถ้ำและโถมกระหน่ำไม่มีที่สิ้นสุดโดยไม่จางหายไปตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงแม้จะมีขนาดเล็กลง แต่กลับสว่างโรจน์ขึ้นเรื่อย ๆ
“ตาแก่ในกรมจัดการคดีพิเศษพวกนั้นจะทำประโยชน์อะไรให้นายได้ มีปัญหาอะไรวัน ๆ ก็เอาแต่ให้นายออกหน้า ให้นายวิ่งเต้นให้ แต่จนถึงตอนนี้ แม้แต่ตำแหน่งอธิบดีใหญ่ก็ยังไม่ยอมยกให้นาย!”
“หลงเซิน นายเป็นถึงร่างครึ่งเซียน แต่กลับต้องมาขอข้าวจากมือคนอื่นกิน เพื่อเอาตัวรอดไปวัน ๆ ไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีบ้างหรือไง!”
“พลังปีศาจสามารถมอบพลังที่แข็งแกร่งเป็นอมตะให้กับนายได้ ตราบใดที่มีโลกมนุษย์อยู่ พลังปีศาจก็จะคงอยู่สืบไป นายไม่จำเป็นต้องเป็นสุนัขรับใช้ให้กรมจัดการคดีพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น นายไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของคนอื่นด้วย นายก็คือนาย นายสามารถบรรลุถึงขั้นสูงสุดของพลังในใต้หล้าได้! ร่วมมือกับพวกฉัน หลงเซิน พลังอยู่รอบตัวนาย ทำไมถึงไม่ลองผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมันเสียล่ะ!”
เสียงเหล่านี้ไม่ใช่เสียงที่ปีศาจมนุษย์เอ่ยออกมา หากแต่เป็นเสียงปีศาจจากไอปีศาจที่ตรงเข้าสู่หัวใจโดยตรง และเป็นอุบายที่ปีศาจใช้เพื่อล่อลวง
อารมณ์ชั่ววูบทำให้กลายเป็นปีศาจ อารมณ์ชั่ววูบทำให้บรรลุสัจธรรม ผู้ที่ฝึกปรือจนมีฝีมือลึกล้ำกี่คนแล้วที่ตกสู่บ่วงปีศาจภายในชั่วพริบตา ไม่มีทางฟื้นคืนได้ตลอดไป เนื่องจากไม่อาจต้านทานแรงขับเคลื่อนแห่งความปรารถนาของตน ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีตำนานอ้างอิงถึงเทพเจ้าเลวทรามไม่เคยขาด นับประสาอะไรกับบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกมนุษย์ พวกเขาอ่อนแอ เปราะบาง ถูกชักจูงด้วยความลุ่มหลงในชีวิตฟุ้งเฟ้ออย่างง่ายดาย โหยหาความร่ำรวยและเกียรติยศสูงส่ง ชอบที่จะเสวยสุขอย่างเต็มที่ แต่เกียจคร้าน ไม่ยินดีทำงาน หวังใช้เส้นทางลัด หวังสร้างผลงานมีชื่อเสียงโดยไม่ต้องเปลืองแรง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นจุดอ่อนให้ปีศาจรุกรานหัวใจของผู้คนได้
ปีศาจมนุษย์ไม่เชื่อว่าหลงเซินไม่มีจุดอ่อน
สายลมกรรโชกทำให้ชุดคลุมถลกขึ้นสูง ภายใต้เสื้อคลุม ใบหน้าของปีศาจมนุษย์ปรากฏให้เห็นราง ๆ หากตงจื้อกับเหออวี้อยู่ตรงนี้ พวกเขาอาจตกตะลึงตาค้างไปแล้ว เพราะภายใต้หมวกคลุมนั้นปราศจากใบหน้าของคน ไม่มีอวัยวะบนหน้า หากแต่เป็นไอสีดำหนาทึบกลุ่มหนึ่ง ไอดำไหลทะลักออกมาไม่หยุด มันดูดซับพลังปีศาจจากร่างศพผีตลอดเวลา หลอมรวมกลายเป็นร่างเดียว
ทันใดนั้นหลงเซินก็เคลื่อนไหว
เขาดันกระบี่รุกคืบไปด้านหน้าช้า ๆ ทีละก้าว จมหายเข้าไปในไอดำหนาทึบ แต่แสงสว่างกลับไม่จางไป
ในสายตาของคนนอก จริง ๆ แล้วการเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก ร่างกายกับกระบี่แสงผสานกัน กลายเป็นเส้นรัศมีวงกลม พุ่งโจมตีไปทางปีศาจมนุษย์
ฝ่ายซ่งจื้อฉุนกับหลี่อิ้งกำลังแย่งชิงความได้เปรียบมาอย่างเชื่องช้าและลำบากยากเย็น
ศพผีล้มลงไปทีละตัวสองตัว ทุกคนหันหลังชนกัน ล้อมวงอยู่ตรงกลาง ยกอาวุธเข่นฆ่าศพผีที่ไหลบ่าเข้ามารอบด้าน
หลิ่วซื่อหวดแส้หนึ่งใส่ หัวศพผีกระเด็นหลุดจากบ่าทันที แส้ของเขาแทบไม่เคยหยุดนิ่ง แขนข้างหนึ่งชาหนึบจนสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว
ปาซางกับกู้เหม่ยเหรินร่วมแรงกัน คนหนึ่งรุก คนหนึ่งป้องกัน ประสานงานกันได้อย่างไร้ช่องโหว่
ส่วนหลี่อิ้งร่วมด้วยช่วยกันกับจางซงและหลิวชิงปัวต่อกรกับฟุจิคาวะ อาโออิ และองเมียวจิอีกสองสามคน แม้พวกเขาจะเป็นมือใหม่ แต่ความกล้าหาญไม่ยิ่งหย่อน ไม่มีความคิดที่จะล่าถอยเมื่ออยู่ภายใต้วงล้อมของชิกิงามิหลายตัว หลิวชิงปัวมีมีดสั้นเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ถึงแม้จะไม่สะใจเท่ากระบี่เฟยจิ่ง แต่ชิกิงามิหลายตัวก็ได้แผลไปไม่น้อย เหนื่อยจนหอบหายใจฮัก ๆ
หากเป็นเมื่อก่อน ฟุจิคาวะ อาโออิ ไม่มีทางเห็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพวกนี้อยู่ในสายตาเด็ดขาด แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหลงเซิน เหออวี้ และคนอื่น ๆ ที่เขาฉางไป๋ ตอนนี้อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี
ผู้ที่คอยเป็นลูกมืออยู่ข้างกายเขาก็ไม่ใช่คิตาอิเคะ เอโกะ ลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุดด้วย หากแต่เป็นทานิ ทามากิ ลูกศิษย์ชายอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ทานิจะเป็นผู้ช่วยมากความสามารถของเขา แต่หากพูดถึงเรื่องพรสวรรค์ยังสู้คิตาอิเคะไม่ได้ ที่ออกมากับเขาครั้งนี้ ประการแรกคือข้างกายฟุจิคาวะจำเป็นต้องมีผู้ช่วยหนึ่งคน ประการที่สองคือทานิต้องการแก้แค้นให้คิตาอิเคะศิษย์น้อง ท่าทีของอีกฝ่ายเหิมเกริม หมายล้างแค้นศัตรูด้วยน้ำมือตน
ไม่นึกว่ายังไม่ทันสังหารศัตรูสำเร็จ ตอนนี้แม้แต่ตัวเองก็ต้องตกอยู่ในอันตรายไปด้วย ชิกิงามิของทานิโดนกระบี่ของจางซงซัดกระเด็นลอยไปชนกำแพงหิน เสียงปะทะดังครึกโครม ชิกิงามิสลายกลายเป็นผงกลางอากาศ ทานิร้องเสียงดัง กระอักเลือดพลางล้มลง
เมื่อเห็นฝ่ายพวกหลี่อิ้งควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ชั่วคราว ซ่งจื้อฉุนจึงหอบหายใจเฮือกหนึ่ง แล้ววิ่งปราดไปทางหลงเซินกับปีศาจมนุษย์
“หลงเซิน ผมช่วยคุณเอง!” เขาคำราม สองมือประสานมุทราอจละพลางกระโดดหวือ ฟาดมือลงไปกลางแสกหน้าปีศาจมนุษย์
“ประจัน!”
ถึงแม้เขาจะเคยร่ำเรียนวิชาเต๋ามาจากผู้อาวุโสท่านหนึ่งในหลงหู่ซาน แต่ฝ่ามือพิฆาตปีศาจนี้ เขาศึกษามาจากพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งที่บังเอิญพบขณะออกทัศนาจรในมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว ผ่านการขัดเกลา เคี่ยวกรำ และดัดแปลงโดยซ่งจื้อฉุนเอง จึงไม่ต้องสงสัยในพลังอำนาจของมันเลย
เสียงคำรามดังกล่าวเปรียบเสมือนเสียงระฆังเตือนสติ พลังความสามารถเกือบเก้าส่วนของซ่งจื้อฉุนมารวมกัน ทะลุทะลวงพลังปีศาจมหาศาลได้ในทันที แหวกเขตอาคมของปีศาจมนุษย์ ผ่าเอาพลังชีวิตไปแบบดื้อ ๆ!
กระบี่แสงรุกเข้ามาตรงหน้า ฝ่ามือพิฆาตปีศาจฟาดลงที่ด้านหลัง ลำแสงสีขาวสองสายปะทะกับไอปีศาจสีดำอย่างดุเดือด ตีตลบไปมา ไอหมอกสีดำร้องโหยหวน พยายามอย่างยิ่งที่จะขยายวงกว้างออกไป แต่กลับโดนลำแสงสีขาวสองสายสะกดไว้มั่น สีดำกับสีขาวพัวพันกันสุดฤทธิ์ในระลอกคลื่นของกระแสพลังนั้น
หมอกดำหดตัวถอยกลับ ตีวงโอบล้อมปีศาจมนุษย์ หลงเซิน และซ่งจื้อฉุนเป็นกลุ่มก้อนอย่างรวดเร็ว เพื่อสกัดกั้นแสงสีขาว มันพยายามเต็มที่เพื่อรวบรวมพลังสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ทว่าแสงสีขาวไม่ยอมถอยร่นอยู่ในหมอกดำซึ่งปกคลุมไปทั่ว พลังของหลงเซินกับซ่งจื้อฉุนรวมเป็นหนึ่งเดียว ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง ทุกคนถูกคลื่นกระแทกจากกระแสพลังรุนแรงปะทะกระเด็นไปด้านหลัง ล้มลงอย่างแรง
แสงสีขาวสว่างวาบครอบคลุมทั่วพื้นที่ ดุจกลางวันที่รอคอยมาเนิ่นนาน ขับไล่ความมืดออกไปจนหมด คืนแสงสว่างให้กับโลกมนุษย์ในที่สุด
ทั้งถ้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เศษหินร่วงกราวตกลงมา พลอยทำให้พื้นดินสั่นไหวไปด้วย ทุกคนยืนทรงตัวไม่ได้ ลุกขึ้นไม่ทันไรก็ล้มลงไปอีกครั้ง
ผ่านไปนานกว่าทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสงบ
เมื่อฝุ่นควันจางลง คนญี่ปุ่นกลับเป็นฝ่ายเปลี่ยนสีหน้า
หลงเซินกับซ่งจื้อฉุนต่างล้มอยู่กับพื้น แต่ปีศาจมนุษย์หายไปแล้ว ไอดำทั้งหมด รวมถึงชุดคลุมตัวนั้นจางหายไปไม่เหลือร่องรอย
ศพผีและหุ่นปีศาจพันศพกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น โครงกระดูกสีขาวแน่นิ่งไร้ซึ่งสรรพสำเนียงไปโดยสิ้นเชิง
ทานิ ทามากิ รู้สึกเจ็บข้างในทรวงอก กระแสพลังเมื่อครู่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บภายใน ไม่อาจอัญเชิญชิกิงามิออกมาได้อีก แต่เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ฝ่ายศัตรูเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ สายตาของเขาหยุดนิ่งที่ถุงระเบิดซึ่งตกอยู่มุมหนึ่งของถ้ำ เขากัดฟัน ฝืนตะเกียกตะกายลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซเข้าไปหยิบถุงระเบิดขึ้นมา โยนมันลงไปในร่อง และไปหยิบรีโมตควบคุมที่ถูกสลัดตกพื้นเมื่อครู่
เขาเกร็งน่องขา เซล้มไปที่พื้นโดยไม่ทันตั้งตัว หันกลับไปมอง ที่แท้เป็นตงจื้อที่กอดขาเขาจนทำให้สะดุดล้ม ทานิ ทามากิ อัดกำปั้นชกเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ โดยไม่เสียเวลาคิด
ตงจื้อกล้ำกลืนความเจ็บ โจมตีกลับ อัดกำปั้นใส่หน้าท้องอีกฝ่ายเช่นกัน สองฝ่ายกอดรัดฟัดเหวี่ยง ต่างคนต่างมีบาดแผลสาหัสที่ตัว ใช้พลังไปจนหมดสิ้น เมื่อไม่อาจใช้วิชา ทั้งสองจึงใช้วิธีการต่อสู้แบบดั้งเดิมที่สุดของมนุษย์ นั่นก็คือการชกต่อย
รูปร่างของทานิ ทามากิ แข็งแรงบึกบึนกว่าตงจื้อเล็กน้อยย่อมได้เปรียบกว่าเป็นธรรมดา หน้าท้องตงจื้อถูกชกติด ๆ กันหลายหมัด เขาเจ็บจนต้องงอตัว เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะคว้ารีโมตควบคุมไปอีกครั้งก็โถมตัวขึ้นไปกอดรัดแผ่นหลังแน่นอย่างไม่ลังเล จับบิดไปข้าง ๆ ยกเข่าถองใส่จุดอ่อนไหวกลางหว่างขาอีกฝ่าย
“โอ๊ย!!!” ทานิ ทามากิ เจ็บจนต้องร้องตะโกน
ตงจื้อกำลังจะถองซ้ำ ฉับพลันความเจ็บปวดรุนแรงระลอกหนึ่งก็แล่นปราดมาจากท้ายทอย
ภาพตรงหน้ามืดลง เขาซวนเซสองสามก้าวเข้าไปพิงกำแพงหิน
ชาวญี่ปุ่นที่ลอบทำร้ายเขากำลังคิดจะเล่นงานซ้ำ แต่กลับโดนหลิวชิงปัวที่เข้ามาข้างหลังใช้มีดแทงทะลุแผ่นหลัง ล้มตึงกับพื้น หมดลมหายใจไปในทันที
“นะ…นี่ถือว่าฉันได้ตอบแทนน้ำใจนายแล้วใช่ไหม” หลิวชิงปัวใช้มือยันเข่าพลางหอบหายใจบอก
ตงจื้อฝืนทนอาการเวียนหัวตาลาย พูดกระท่อนกระแท่นว่า “ถุงระเบิดอยู่ใต้ร่อง จะให้คนญี่ปุ่นกดระเบิดไม่ได้ รีบไปเอามา!”
หลิวชิงปัวได้ยินดังนั้นก็เห็นทานิ ทามากิ ตะเกียกตะกายไปข้างหน้า หมายจะเอื้อมมือไปให้ถึงรีโมตควบคุม จึงเดินเข้าไปใช้เท้าถีบอีกฝ่ายจนหมดสติไปในทันที จากนั้นเขาก็กระโดดเข้าไปในร่อง หยิบถุงระเบิดออกมา เห็นซ่งจื้อฉุนกับหลงเซินพักหายใจและลุกขึ้นเดินมาทางนี้ก็บอกด้วยความภาคภูมิใจ “รองอธิบดีหลง รองอธิบดีซ่ง ผมได้มาแล้ว…”
ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือน กินรัศมีกว้างขึ้นเรื่อย ๆ รอยแยกบนพื้นลุกลามมาถึงใต้รูปปั้นหินอย่างรวดเร็ว
ซ่งจื้อฉุนเปลี่ยนสีหน้า บอกหลิวชิงปัว “รีบหนี!”
ตงจื้อโซซัดโซเซ วิ่งหัวซุกหัวซุนไปเก็บรีโมตควบคุมที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขากำมันไว้ในมือแน่นด้วยความระมัดระวัง เกรงว่าจะเผลอกดโดนปุ่มระเบิดเข้า
ที่ด้านหลังเขา รูปปั้นหินขนาดมหึมาโยกโคลงเคลง รอยแตกร้าวบนลำตัวส่วนบนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ลำตัวขาดท่อน ร่วงลงมาเหนือหัวตงจื้อ
“หลบไป!” หลิวชิงปัวเพิ่งปีนออกจากใต้ร่องหิน เห็นฉากดังกล่าวพอดี แต่จะวิ่งเข้าไปก็ไม่ทันแล้ว จึงได้แต่แหกปากตะโกนสุดเสียง
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ร่างหนึ่งโฉบผ่านเอวตงจื้อ นำตัวเขาหลบเข้ามุม
วินาทีถัดมา ส่วนหัวของรูปปั้นหินตกกระแทกพื้นอย่างแรง ฝุ่นดินจำนวนมากฟุ้งตลบ
“…อาจารย์?” แรงกระแทกเมื่อครู่ทำให้ตงจื้อวิงเวียนศีรษะ เบื้องหน้าเกิดภาพทับซ้อน มองเห็นตัวคนไม่ชัด
“เอารีโมตมาให้ฉัน!” หลงเซินบอก
ตงจื้อยื่นรีโมตให้อีกฝ่ายโดยไม่ลังเลสักนิด หลงเซินผลักตัวเขาออกไปด้านนอกพลางบอกเสียงสูง “ที่นี่กำลังจะถล่มแล้ว รีบออกไป!”
การสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น รูปปั้นหินพังทลายลงมากว่าครึ่ง หินภูเขาที่ร่วงกราวลงจากผนังหินรอบด้านก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกคนพากันถอยร่นออกไป
ทว่าหลงเซินกลับหันหน้าวิ่งไปทางร่องหิน ควักอะไรก็ไม่รู้ออกจากกระเป๋าเสื้อ หมอบตัวข้างร่อง มือข้างหนึ่งขยับไปมาอยู่ด้านล่าง
ตงจื้อเหลียวกลับไปมอง เห็นร่างหลงเซินราง ๆ เขาวกกลับไปโดยไม่เสียเวลาคิด
หลงเซินลุกขึ้นเมื่อจัดวางของเรียบร้อยแล้ว เห็นเขาวิ่งกลับมาก็ดุเสียงดัง “กลับมาทำอะไรอีก!”
ตงจื้อ “จะไปก็ไปด้วยกันครับ!”
หลงเซินไม่มีเวลามาตำหนิต่อ โอบเอวยกตัวเขาขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันที
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น รูปปั้นหินพังทลายลงมาหมด หล่นทับลงบนตัวทานิ ทามากิ ที่ไม่ทันได้หลบหนี
หมอกควัน ฝุ่นดิน และก้อนหินกลบฝังอีกฝ่ายจนมิด
หลิวชิงปัวหอบถุงระเบิดวิ่งตามออกไปด้านนอก สีหน้าราวกับคนสติแตก
“รองอธิบดีซ่ง ทำยังไงกับไอ้นี่ดี!”
ซ่งจื้อฉุนคว้าของมา ทุกคนวิ่งไปตามทางจนถึงริมสระน้ำแห่งเดิม เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉีกถุงกันน้ำนอกตัวถุงใส่ระเบิดออกแล้วโยนลงไปทันที
“รีบ ๆ ลงน้ำ ตรงนี้อาจจะถล่มแล้วเหมือนกัน!”
เขาพูดไม่ทันขาดคำ ถ้ำที่อยู่ด้านหลังทุกคนก็สั่นสะเทือน ปิดกั้นเส้นทางไปสู่ห้องโถงหลักเมื่อครู่
ทุกคนทยอยลงน้ำ ตงจื้อถูกหลงเซินกระชากลงน้ำไปด้วย มือเท้าของเขาว่ายสะเปะสะปะไม่กี่ทีก็หมดแรง เป็นหลงเซินที่ดันตัวเขาพาว่ายไปข้างหน้า ในที่สุดก็โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่ตงจื้อจะหายใจไม่ออก
สถานที่ที่โผล่ขึ้นมาเป็นแม่น้ำที่พวกเขาทำต่อกรกับงูเหลือมก่อนหน้านี้
“ตื่น ๆ!” หลงเซินตบแก้มเขา ตงจื้อหน้าซีดขาวราวกระดาษ ลำตัวเปียกโชก แน่นิ่งไม่ไหวติง
เมื่อครู่หลังจากอัญเชิญวิญญาณและต่อสู้กับทานิ ทามากิ ตงจื้อได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายไปหมดแล้ว เขาในตอนนี้อย่าว่าแต่แขนเลย แม้แต่นิ้วมือสักนิ้วยังยกไม่ขึ้น
หลงเซินหมดหนทาง จำต้องแบกตัวอีกฝ่ายขึ้นหลัง
“ตกลงตอนนี้เป็นภาพหลอนหรือเป็นความจริงกันแน่” มีคนไม่มั่นใจ ชะเง้อมองไปรอบ ๆ
ความรู้สึกถึงพื้นดินที่สั่นสะเทือนยังคงดำเนินต่อ การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดคือระดับน้ำเริ่มสูงขึ้น น้ำในแม่น้ำเริ่มไหลบ่า ซ่งจื้อฉุนขมวดคิ้ว มองซ้ายขวา ทันใดนั้นก็เห็นดวงไฟเรืองแสงสีแดงขนาดใหญ่ห้าดวงอยู่ในความมืด กำลังใกล้เข้ามาจากที่ไกลออกไป จึงพูดขึ้นทันทีว่า “เป็นความจริง รีบตามฉันมา งูเหลือมยักษ์ตามมาแล้ว!”
งูเหลือมยักษ์ตัวนั้นถูกพวกเขาเล่นงานจนตาบอดไปข้างหนึ่ง ทั่วตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เมื่อเห็นพวกเขาก็เหมือนเห็นศัตรูคู่อาฆาต หากสังหารทุกคนไม่ได้ก็จะไม่มีวันยอมเลิกราเด็ดขาด จริงดังคาด ดูเหมือนมันจะแอบเห็นเงาร่างของพวกซ่งจื้อฉุนในความมืด ‘ดวงไฟ’ ห้าดวงนั้นเร่งความเร็ว ย่นระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายให้สั้นลงในพริบตา
ทุกคนวิ่งหนีเตลิด ใช้พลังทั้งหมดวิ่งเลาะแม่น้ำออกไปด้านนอก
ตงจื้อถูกหลงเซินแบกขึ้นหลัง ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น จึงไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
‘ดวงไฟ’ เหล่านั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หัวงูขนาดใหญ่โน้มลงมา มันอ้าปากกว้างเท่าอ่างโลหิต งับไปทางกู้เหม่ยเหรินซึ่งอยู่ท้ายสุด ปาซางหันกลับไป ยื่นมือกระชากตัวเด็กสาวมาข้างหน้าได้ทันเวลา หัวงูกระโจนใส่ความว่างเปล่า ร่างของทั้งสองหายวับไปในทางเดินเล็กแคบ งูเหลือมแหกปากคำราม กระแทกหัวใส่โดยไม่ยั้งคิด
ครืน!
ไม่ใช่เสียงเคลื่อนไหวที่เกิดจากงูเหลือมยักษ์ หากแต่เป็นถ้ำใต้พื้นดินที่ได้พังทลายลงมาอย่างสมบูรณ์แล้ว
ก้าวข้ามเส้นธรณีประตูจากทางเดินกลับมาที่ห้องสุสานหลัก นี่ต่างหากคือความสงบสุขในท้ายที่สุด
ทุกคนหันกลับไปมอง ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นในความมืด ได้ยินเพียงเสียงหินภูเขาถล่มดังแว่วมา
แต่ละคนทรุดลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน มองหน้าสบตากัน ยังไม่หายตกใจ
ซ่งจื้อฉุนกล่าวด้วยความกังวล “ใต้ร่องหินนั่น…”
หลงเซินบอก “ผมใช้ตราผนึกที่นักพรตหลี่กับผู้อาวุโสจงให้มา ปิดผนึกพื้นที่ส่วนนั้นไปแล้ว แรงถล่มไม่น่ากระทบไปถึงตรงนั้น หลังเสร็จเรื่องค่อยมาขุดใหม่เถอะ”
ซ่งจื้อฉุนถอนหายใจ “ก็คงทำได้แค่นี้แหละ สุดท้ายก็ไม่ได้ปล่อยให้คนญี่ปุ่นระเบิดมันทิ้ง”
หางตาหลิวชิงปัวเหลือบไปเห็นร่างคนคนหนึ่งกำลังขยับออกไปที่ทางออกของห้องสุสานเงียบ ๆ
เขาไม่เสียเวลาคิด ขว้างมีดออกไปปักสะบักของฝ่ายตรงข้ามทันที ฝ่ายหลังร้องโหยหวนพลางเอนตัวล้มลงกับพื้น
“ยังคิดจะหนีอีก ไอ้สารเลว!” หลิวชิงปัวร้องเหอะ
เซี่ยงหย่งเหนียนถลกแขนเสื้อ เดินไปทางฟุจิคาวะ อาโออิ ที่หมดสติ “ให้ตายเถอะ ตอนอยู่ข้างล่าง คนญี่ปุ่นกลุ่มนี้ทำพวกเราเสียเรื่องไปตั้งเท่าไหร่ เกือบฆ่าพวกเราตายไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าวันนี้ฉันไม่ฆ่าเขาก็ไม่ใช่คนแซ่เซี่ยงแล้ว!”
“หยุด!” ซ่งจื้อฉุนปราม “ฟุจิคาวะยังมีประโยชน์ ฆ่าทิ้งไม่ได้ พวกเธอพันแผลให้เขาลวก ๆ ก่อน ไว้กลับไปแล้วค่อยพาไปส่งโรงพยาบาล”
เซี่ยงหย่งเหนียนไม่พอใจ “รองอธิบดีซ่ง เมื่อกี้พวกมันพยายามจะฆ่าเราตั้งหลายครั้ง แถมยังเกือบระเบิดที่นั่นไปแล้วด้วย ขนาดนี้แล้วพวกเรายังต้องคิดหน้าคิดหลังอีกเหรอครับ!”
ซ่งจื้อฉุนบอกด้วยความโมโห “เธอเป็นคนของกรมจัดการคดีพิเศษ ไม่ใช่นักเลงข้างถนน! หรืออันธพาลหัวไม้ที่คิดจะตอบแทนบุญคุณสะสางความแค้นเมื่อไหร่ก็ทำได้เลย เขาเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงองเมียวญี่ปุ่น พรรคพวกของเขาตายอยู่ข้างล่างกันหมด มีเขาคนเดียวที่รอดชีวิตครั้งนี้ ถ้าเขาตายไปอีกคน พวกเราจะเอาอะไรมาเป็นเงื่อนไขต่อรองเรียกร้องผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้ามล่ะ”
เซี่ยงหย่งเหนียนไม่ได้คำนึงถึงขั้นนี้ เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
เมื่อทุกคนออกจากห้องเก็บโลงศพและกลับจากเส้นทางขุดปล้นขึ้นมาบนพื้นแล้ว ซ่งจื้อฉุนก็กวาดตามองพวกเขา ถือโอกาสสั่งสอนก่อนที่คนจากสำนักงานสาขาที่มารับช่วงต่อจะมาถึง “ตอนนี้เธอสะใจที่ได้ฆ่าเขา แต่พอรู้ว่าต้องเสียผลประโยชน์ไปเท่าไหร่ แล้วจะมานั่งเสียใจทีหลัง! ต่อไปเวลาพวกเธอออกไปปฏิบัติงาน ต่างคนก็ต่างแบกชื่อเสียงของสำนักงานใหญ่กับชื่อเสียงของประเทศไว้ เพราะฉะนั้นทุกเรื่องต้องมองการณ์ไกล อย่ามองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า มัวแต่ห่วงความสะใจชั่วครู่ชั่วยามของตัวเองแบบนั้น ไม่มีวันก้าวขึ้นเป็นคนเก่งมีฝีมือได้หรอก!”
จริง ๆ ไม่ต้องให้เขาพูด ยังไงคนที่มุทะลุไร้เหตุผลก็มีแค่ส่วนน้อยอยู่แล้ว อีกทั้งทุกคนยังผ่านความเป็นความตายครั้งนี้มา ได้เติบโตขึ้นมาก อย่าเพิ่งไปเทียบกับคนเก่า ๆ ในกรมจัดการคดีพิเศษ อย่างน้อยนี่ก็นับว่าผ่านเกณฑ์แล้ว
ทะเลทรายโกบีสีเหลืองปกคลุมไปทั่ว ปลายเทือกเขาพลิ้วเป็นลูกคลื่นยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา ฟ้าสีครามกระจ่างราวถูกชะล้างด้วยน้ำสะอาด ยิ่งหลบหนีเอาชีวิตรอดมาจากความมืดใต้พื้นดิน ยิ่งชวนให้รู้สึกถึงคุณค่าของแสงสว่าง
ชั่วเวลาระทึกขวัญกับความเป็นความตายเฉียบพลันเหล่านั้น กลายเป็นอดีตที่ทุกคนไม่อยากจดจำไว้ในใจหลังกลับขึ้นมาบนพื้นดิน
เนื่องจากพวกเขายังมีเพื่อนอีกสองคนที่ยกทัพจับศึกไม่ทันคว้าชัยก็ต้องมาตายเสียก่อนกำลังหลับอย่างสงบอยู่เบื้องล่าง
ไม่มีใครรู้สึกว่าแสงอาทิตย์กำลังแผดเผา ทุกคนยอมตากแดดอยู่ที่นี่หนึ่งชั่วโมง ยังดีกว่าให้ลงไปสัมผัสข้างล่างแค่หนึ่งนาที
[1] พระนามเดิมของจักรพรรดิเซี่ยจิงจง ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซีเซี่ย (เซี่ยตะวันตก)