[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 4 ตอนที่ 91

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 91

 

ตงจื้อที่ถูกจางชงพาดพิงถึงจามหนึ่งที ขดตัวซุกใต้ผ้าห่มเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ

หลิวชิงปัวเหลือบมองอีกฝ่าย เห็นเขาหลับลึกจึงไม่ได้ปลุก กวาดตาผ่านหน้าหนังสือในมือตนต่อไป

ตอนแรกพวกเขาอยากจองรถไฟความเร็วสูง แต่เวลากระชั้นชิดเกินไปเลยไม่มีที่นั่งว่าง ต้องเปลี่ยนมาเป็นเครื่องบินแทน

เมื่อทั้งคู่นั่งลงเรียบร้อยดีแล้ว ตงจื้อไม่พูดพร่ำทำเพลง งีบหลับทันที

แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้หลับสบายเลย

เงาตะคุ่มหรุบหรู่ในความฝัน ภาพมากมายแวบผ่านไปราวกับโคมม้าวิ่ง สับสนวุ่นวาย เอื้อมมือไปไล่จับ แต่กลับคว้ามาไม่ได้สักภาพ

คลับคล้ายคลับคลาเหมือนยังอยู่บนถนนเส้นที่คุ้นเคยนั้น ไฟกลางคืนมืดสลัว เขาเดินเคียงข้างหลงเซินไปยังสถานที่บางแห่งข้างหน้า

และหวังว่าถนนสายนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด

คนที่อยู่ข้างตัวไม่พูดมากมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าไม่มีใครเริ่มบทสนทนาก่อน อีกฝ่ายก็จะยังคงรักษาความนิ่งเฉยได้ตลอดเวลา

ตงจื้ออดพูดขึ้นไม่ได้ “อาจารย์ เดินช้าลงหน่อยเถอะครับ ผมมีเรื่องอยากคุยกับอาจารย์”

คนข้างตัวรับคำเสียงแผ่ว ก่อนชะลอฝีเท้าลงตามคาด

ตงจื้อยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยความรู้สึกในใจที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ไม่อาจเปิดเผยในโลกของความเป็นจริงได้ง่าย ๆ “อาจารย์ ผมชอบอาจารย์ครับ”

“ชอบฉัน?” อีกฝ่ายทวนซ้ำด้วยความกังขา

“ครับ ชอบ…แบบคนรัก”

“ชอบแค่ไหน” อีกฝ่ายถาม

“ผมไม่รู้ แต่…คงเรียกว่าความรักได้เลยละมั้ง” ตงจื้อรวบรวมความกล้าพูดออกไป

อีกฝ่ายถามอีกครั้ง “งั้นนายยอมสละชีวิตตัวเอง เพื่อฉันได้ไหม”

ตงจื้อผงะ อยากบอกไปว่าผมเต็มใจ แต่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติน้อย ๆ

อาจารย์ของเขา แค่ได้ยินคำว่าชอบยังถอยหนี ไม่น่าถามอะไรแบบนี้ออกมา

นี่คืออาจารย์ของเขาจริง ๆ เหรอ

คิดได้ดังนั้น เขาก็อดเหลียวมองไม่ได้ อยากดูหน้าตาของคนข้างตัวให้ชัด

อีกฝ่ายก็กำลังมองมาที่เขา คลี่ยิ้มน้อย ๆ พอดี

รูปหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ใกล้เคียงกับปีศาจ ทว่า…

ไม่ใช่หลงเซิน!

ตงจื้อสะดุ้งโหยง หมายจะก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่ลำคอกลับถูกอีกฝ่ายบีบรัดรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

“นายบอกว่าฉันเป็นอาจารย์นายไม่ใช่หรือไง”

แรงจากมือข้างเดียวที่บีบลำคอเขารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง ตงจื้อทำยังไงก็สลัดไม่หลุด เขาเอื้อมมือไปคว้ากระบี่ฉางโส่ว แต่กลับคว้าได้อากาศเปล่า อยู่ดี ๆ ยันต์ในกระเป๋าเสื้อก็หายไปเฉย ๆ ทำได้เพียงเบิกตากว้างมองใบหน้างดงามราวกับไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้ เผยรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งยวดให้แก่เขา

ไม่มีที่ให้หลบหนี ไม่มีที่ให้ถอยหลัง การหายใจของเขาเริ่มติดขัด สีหน้าเปลี่ยนจากแดงเป็นม่วง ตงจื้อจับข้อมือฝ่ายตรงข้ามแน่นโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือทั้งห้าจิกลึก แต่ในสายตาอีกฝ่าย การดิ้นรนของเขาเป็นเพียงการใช้ไข่กระทบหิน เปราะบางจนเพิกเฉยได้โดยไม่ต้องคำนึงถึง

“อาจารย์นายไม่อยู่แล้ว ให้ฉันมาแทนเขาดีกว่า” ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดใบหน้าตงจื้อ สมจริงจนราวกับไม่ใช่ความฝัน “ฉันรับรองว่าจะปฏิบัติต่อนายอย่างดี เอาวิญญาณของนายมาหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างฉัน”

ไม่

พันธนาการที่คอค่อย ๆ รัดแน่น อีกฝ่ายเพลิดเพลินไปกับความสนุกสนานในการเล่นกับเหยื่อ ไม่รีบร้อนสังหารเขาในทันที ต้องการเห็นเขาถลำลึกลงไปในความทุกข์ทรมานทีละน้อย

ไม่มีกระบี่ ไม่มียันต์ ทำยังไงดี

ตงจื้อหลับตา ท่องคาถาอัญเชิญวิญญาณในใจ

ตงจื้อศิษย์สำนักเก๋อเจ้า บัดนี้ขอวิงวอนต่อวิญญาณขาวทั้งหลายด้วยใจจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม โปรดช่วยเป็นกำลังส่วนหนึ่งแก่ศิษย์ด้วย 

ตงจื้อศิษย์สำนักเก๋อเจ้า บัดนี้ขอวิงวอนต่อวิญญาณขาวทั้งหลายด้วยใจจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม โปรดช่วยเป็นกำลังส่วนหนึ่งแก่ศิษย์ด้วย 

รอบนี้เขาไม่ได้ดึงดันร้องหาเทพผู้ทรงธรรมอีก จะเชิญอะไรมาก็สุดจะรู้ ขอแค่ขับไล่ศัตรูผู้นี้ไปให้ได้ก่อน

เลือดทะลักขึ้นมาที่ลำคอ ชายหนุ่มฝืนทนจนกระทั่งท่องคาถาเสร็จสมบูรณ์ ถึงค่อยเลิกฝืนตัวเอง พ่นเลือดคำนั้นออกมาจนหมด

หน้าอกโล่งสบาย คล้ายหินหนัก ๆ ถูกถ่มออกมาด้วย เลือดสดสาดกระเซ็นไปบนใบหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อย รอยยิ้มปีศาจของชายผู้นั้นนิ่งค้างไปในทันที ตงจื้อถือโอกาสตบมือที่ประสานมุทราเรียบร้อยแล้วไปที่ตัวฝ่ายตรงข้าม!

ลำแสงตรงหน้าสาดกระจายออกทันใด มันสว่างจ้าจนเขาลืมตาไม่ขึ้น คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเห็นเงาของกระบี่ฉางโส่วลอยลิ่วผ่านเหนือศีรษะไป

ท่ามกลางแสงเจิดจ้า ใบหน้าของชายผู้นั้นสั่นไหวบิดเบี้ยว คล้ายแสดงถึงความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนถูกลำแสงปกคลุมทันที

แรงที่ต้นคอคลายลง ร่างตงจื้อร่วงหล่นลงไปโดยไม่รู้ตัว

ภายในครรลองสายตา ระหว่างสวรรค์กับโลก ขาวซีดยิ่งกว่าหิมะ กว้างไกลไร้ขอบเขต

ไม่ว่าศัตรูจะเป็นหรือตาย เอาเป็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถคุกคามตนได้อีก เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ ใจเขาก็รู้สึกผ่อนคลาย ปล่อยให้ร่างกายทรุดฮวบลงไปอย่างรวดเร็ว

 

ห่างออกไป ณ ปักกิ่ง หลงเซินที่ตอนแรกนั่งขัดสมาธิ หลับตาปรับลมหายใจ ลืมตาขึ้นฉับพลัน!

เขาจ้องไปบนกำแพงตรงหน้านิ่ง คล้ายมองทะลุผ่านไปยังความว่างเปล่าที่อยู่แสนไกล

 

บนเครื่องบิน หลิวชิงปัวมองเลือดที่ไหลออกจากมุมปากตงจื้อช้า ๆ รวมถึงรอยบีบบนต้นคอที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่ทราบ พลางสะดุ้งโหยง

ตอนแรกเขานึกอยากปลุกอีกฝ่าย แต่นึกขึ้นได้ว่าตนเคยได้ยินเกี่ยวกับอวิชชาประเภทหนึ่งมา เป็นอวิชชาที่โจมตีศัตรูได้ในยามหลับฝัน การผลีผลามปลุกอาจทำให้เจ้าตัวเสียชีวิตกะทันหันก็ได้ คิดได้ดังนั้นเขาเลยไม่กล้าขยับ ขณะที่กำลังคิดหาวิธีอยู่เต็มหัวด้วยความร้อนรนนั้น ตงจื้อกลับค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นเอง

“เวรเอ้ย…” เขาอดสบถคำหยาบไม่ได้

“นายโอเคนะ!” เทียบกับที่ตงจื้อได้รับบาดเจ็บ หลิวชิงปัวแปลกใจมากกว่าที่อีกฝ่ายมีช่วงเวลาด่าเปิงเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาด้วย อดสงสัยไม่ได้ว่านี่ใช่ตัวจริงหรือเปล่า “บอกฉันมา ฉันชื่ออะไร”

ตงจื้อกลอกตาอย่างเสียไม่ได้ “หลิวปัวปัว!”

หลิวชิงปัวขมวดคิ้ว ท่าทางสงสัยหนักกว่าเก่า

ตงจื้อปัดมืออีกฝ่าย ไอโขลกสองสามที “กระบี่เฟยจิ่งกับงูเหลือมยักษ์สามหัว ฉันไม่ได้ความจำเสื่อม ไม่ได้ผีเข้าด้วย…”

สีหน้าหลิวชิงปัวเป็นสีเขียวสลับขาว ข่มความต้องการอยากถีบคนออกไปนอกเครื่องบินก่อนบีบข้อมืออีกฝ่าย

ชีพจรเต้นเร็วไปหน่อย แต่ยังถือว่าปกติดี

ตงจื้อรู้สึกปวดคอ จึงยื่นมือออกไปสัมผัสอย่างอดไม่ได้

“ฉันเพิ่งเกือบโดนบีบคอตายในความฝันมา” เสียงของเขาแหบพร่า ราวกับเป็นคนละคนกับช่วงก่อนหลับฝัน

“ที่คอนายมีรอยช้ำจริง ๆ” หลิวชิงปัวมีสีหน้าเคร่งขรึม “เห็นหน้าฝ่ายตรงข้ามชัดไหม”

ตงจื้อบอก “ก็เห็นชัดอยู่หรอก แต่แปลกมาก ฉันไม่เคยเจอคนคนนี้มาก่อน”

“ครั้งสุดท้ายที่นายรับมือกับยามาโมโตะ สุดท้ายปล่อยให้ฝ่ายนั้นหนีไปได้ไม่ใช่เหรอ เขากลับมาแก้แค้นหรือเปล่า ฝ่ายนั้นใช้คาถาอาคมอะไรในฝัน แล้วนายสู้กลับไม่เป็นหรือไง ต้องรอให้ฝ่ายนั้นบีบคอนายให้ตายก่อนหรือไง!” หลิวชิงปัวยิ่งพูดยิ่งโมโห อยากกระโดดเข้าไปในความฝันเมื่อกี้ บีบคออีกฝ่ายให้ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ตงจื้อหมดเรี่ยวแรง “พี่ใหญ่ ถ้าฉันไม่สู้กลับ นายคิดว่าฉันจะยังตื่นขึ้นมาได้อีกเหรอ เหมือนอีกฝ่ายจะบาดเจ็บเพราะแสงจากกระบี่ฉางโส่วด้วยเหมือนกัน แค่ไม่รู้ว่าโดนเข้าไปมากน้อยแค่ไหน”

หลิวชิงปัวกัดฟัน “แม่งเอ๊ย ไม่รักตัวกลัวตายจริง ๆ กล้าลงมือแม้กระทั่งคนของกรมจัดการคดีพิเศษ ถ้าฉันเจอนะ จะหักคอมันลงมาสับให้ได้สิบแปดชิ้นเลย!”

ตงจื้อเอียงหัว “…ฉันงีบสักพัก เครื่องลงจอดเมื่อไหร่นายค่อยเรียกฉันนะ!”

“นายเป็นหมูหรือไง เวลาแบบนี้ยังจะนอนอีก ถ้าเผื่อ!”

หลิวชิงปัวเผลอตัวเพิ่มระดับเสียง เรียกสายตาจากคนรอบข้าง เลยได้แต่กดเสียงลง “ถ้าเผื่อถูกคนลอบทำร้ายอีกล่ะ!”

ตงจื้อปลอบ “ไม่เป็นไร ฉันไม่นอน แค่หลับตาฟื้นฟูพลังปรับลมหายใจเฉย ๆ”

ว่าแล้วก็หลับตาลง

หลิวชิงปัวทำอะไรไม่ได้นอกจากเริ่มไล่นับจำนวนคนที่อาจลอบทำร้ายตงจื้ออยู่ตรงนั้นทีละคน

ถ้าไม่นับคงไม่มีวันรู้ แต่พอนับแล้วก็ต้องตกใจ แม้พวกเขาเพิ่งเข้ากรมจัดการคดีพิเศษไม่นาน ทว่าพูดถึงศัตรูแล้วก็มีไม่น้อยเลยจริง ๆ

ที่อยู่ไกลไม่ขอพูดถึง เอาแค่ครั้งล่าสุด ตงจื้อทำยามาโมโตะ คิโยชิ ปางตาย หยุดยั้งแผนการชั่วร้ายไว้ได้ทัน แต่อีกฝ่ายมีทางหนีทีไล่ เตรียมร่างอวตารไว้ที่อื่น ลากลมหายใจเสี้ยวหนึ่งหลบหนีไป ต่อให้ยังมีชีวิต คงอยู่แบบตายทั้งเป็นแน่ ๆ ถ้าบอกว่าเขาจัดอยู่ในลำดับที่สองของบรรดาคนที่แค้นตงจื้อเข้ากระดูกดำแล้วละก็ งั้นคงไม่มีใครอยู่อันดับหนึ่ง

ไหนจะเรื่องหานฉี แม้พวกเขาสังหารทารกปีศาจนั่นไปแล้ว และหานฉีก็เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน ตามหลักแล้วเรื่องควรจบแต่เพียงเท่านี้ แต่หงรุ่ยกับต่งเฉี่ยวหลานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ดันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย สองคนนี้เป็นภัยแฝงไม่มากก็น้อย ใครจะรู้ว่าพวกนั้นกำลังวางแผนก่อเรื่องอะไรอยู่ในที่ลับหรือเปล่า

ไหนจะครั้งที่แล้ว ๆ มาอีก ที่ด้านหลังสุสานเหลียงเหวยชี พวกเขาลงมือจัดการงูเหลือมยักษ์สามหัวอย่างไร้ความปรานี งูเหลือมยักษ์ก็ต้อง…ช่างเถอะ อันนี้ข้าม ไหนจะคนญี่ปุ่นพวกนั้นอีก ก็ไหนว่าสุดท้ายมีคนหนึ่งหลบหนีออกไปจากสุสานไม่ใช่เหรอ จะเป็นเขาที่กลับมาแก้แค้นหรือเปล่า แต่ตอนนั้นพวกเขาอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ถ้าจะแก้แค้นก็ไม่น่าพุ่งเป้ามาที่ตงจื้อแค่คนเดียวหรอกมั้ง แถมยังเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเอาง่าย ๆ อีก แต่ก็ไม่แน่…

 

ในที่สุดก็อดทนรอจนถึงเวลาลงจอด ไม่รู้เป็นเพราะปรับลมหายใจพักฟื้นมาแล้วรอบหนึ่งหรืออย่างไร สีหน้าตงจื้อจึงดีขึ้นมาก เว้นแต่รอยบีบบนต้นคอที่ยังน่าสยดสยองอยู่เหมือนเดิม ชายหนุ่มหยิบผ้าพันคอผืนหนึ่งจากในกระเป๋าเป้มาพัน จะได้ไม่ทำให้ผู้ที่ผ่านไปมาตกใจกลัว

กลับกัน หลิวชิงปัวเสียอีกที่ครุ่นคิดอย่างหนักมาตลอดทาง แต่ก็นึกต้นสายปลายเหตุไม่ออก จิตใจจึงเหี่ยวเฉาเล็กน้อย

รอบนี้พวกเขาใช้ช่องทางพิเศษ นำอาวุธขึ้นเครื่องบินมาได้ในที่สุด แต่เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารคนอื่นแตกตื่น ตลอดทางมานี้เลยเก็บกระบี่ไว้ในกล่องพิณ

ตอนนี้ตงจื้อกำลังหยิบกระบี่ฉางโส่วออกมาลูบไล้แผ่วเบา

“ขอบใจนะ” เขาเอ่ยเสียงเบา

กระบี่ที่หลงเซินมอบให้เขา แน่นอนว่าไม่ใช่ของธรรมดา ตงจื้อเคยเห็นหลงเซินเดินทางรอนแรมมุ่งหน้าไปถึงยอดเขาหิมะเพื่อรับเอาหัวใจของภูผามาหลอมเข้ากับกระบี่ฉางโส่วในนิมิต รู้ว่าถึงกระบี่เล่มนี้ไม่อาจเทียบหลงเซินได้ แต่ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิตจิตใจแน่นอน

แล้วเมื่อกี้มันก็ช่วยชีวิตเขาไว้จริง ๆ

“คนคนนี้ลอบทำร้ายนายได้ครั้งหนึ่งก็อาจลอบทำร้ายนายได้อีกเป็นครั้งที่สอง” หลิวชิงปัวเตือน

ตงจื้อบิดขี้เกียจ “ฉันรู้ แต่ต้องรู้ให้ชัดก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน ถึงจะสืบสาวราวเรื่องไปถึงต้นตอและจับตัวคนมาได้…”

ขณะที่กำลังพูด โทรศัพท์ของเขาที่เพิ่งเปิดเครื่องก็มีคนโทร.เข้ามา

บนหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบ คำว่า ‘อาจารย์’ ตัวใหญ่ ๆ สองคำเข้าสู่สายตาทันที

ใจเขากระตุก แต่มือไปไวกว่าสมอง กดปุ่มรับสายไปแล้ว

“อาจารย์?”

“นายอัญเชิญวิญญาณอีกแล้วใช่ไหม” อีกฝ่ายถามตรง ๆ ทันที

“ครับ เมื่อกี้ในความฝัน…” ตงจื้อเล่าความฝันเมื่อครู่ออกไปตามจริง เตรียมใจรับคำดุด่าไว้แล้ว

แต่หลงเซินไม่ได้ต่อว่าเขา แค่ถามเขาว่าตอนนี้รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง

ตงจื้อจึงบอกไปว่าช่วงนี้รู้สึกเพลียง่าย แต่ไม่มีปัญหาอื่น

หลงเซินฟังจบก็บอก “หลังนายไปเซี่ยงไฮ้ ถังจิ้งให้อะไรนาย ก็รับไว้ทั้งหมด อีกสักพักพอฉันไปเซี่ยงไฮ้แล้วจะช่วยดูให้”

ตงจื้อรู้สึกดีใจเล็กน้อย แต่ไม่กล้าแสดงออกมากเกินไป ทำได้แค่แสร้งทำเป็นขานรับอย่างใจเย็น เห็นอีกฝ่ายไม่มีอะไรฝากฝัง ถึงค่อยวางสาย

หลงเซินรู้เรื่องที่เขาอัญเชิญวิญญาณจากในระยะทางหลายพันไมล์ออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่แปลกใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่บอกก็แปลว่ามีเหตุผลที่ไม่พูด เขาถามไปก็อาจไม่ได้อะไรขึ้นมา

แต่ที่ทำให้ตงจื้อรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าคือ แต่ก่อนหลงเซินเอาแต่ออกคำสั่ง ห้ามไม่ให้เขาอัญเชิญวิญญาณเด็ดขาด แต่คราวนี้กลับไม่โดนตำหนิ หรือหลงเซินก็สังเกตเห็นความไม่ธรรมดาของศัตรูด้วยเหมือนกัน?

ความสงสัยวนเวียนอยู่ในใจ ตงจื้อทบทวนภาพเหตุการณ์ในความฝันครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากใบหน้าของชายหนุ่มที่ทิ้งภาพจำลึกซึ้งไว้ให้เขาแล้วก็ไม่มีเบาะแสอื่นใดอีก

 

ทางสำนักงานสาขาทราบข่าวล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะมาจึงจัดเตรียมโรงแรมที่พักไว้ให้พวกเขาเรียบร้อย อยู่ข้าง ๆ สำนักงานสาขานี่เอง สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ในระดับเดียวกับโรงแรมเอ็กซ์เพรสทั่วไป แต่ก็ไม่มีอะไรให้เลือก พวกเขาซึ่งเป็นพนักงานของที่ทำการสองคนมารายงานคดีกับผู้บังคับบัญชาของสำนักงานสาขา ไม่มีทางให้พักในโรงแรมห้าดาวอยู่แล้ว แค่ทำเรื่องเบิกค่าใช้จ่ายได้ก็ดีถมเถ แต่นิสัยคุณชายใหญ่อย่างหลิวชิงปัว เจ้าตัวขมวดคิ้วทันทีที่เห็นโรงแรมเอ็กซ์เพรส อยากควักกระเป๋าตัวเองไปโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ได้ ตงจื้อขี้เกียจมาต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายเพราะเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ จึงปล่อยให้เขาทำตามใจ

คนของสำนักงานสาขาไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามา มีแค่คนที่ชื่อซูเฮ่อโทรศัพท์เข้ามาเพื่อให้การต้อนรับพวกตงจื้อ และบอกว่าพวกเขาเองก็ลำบากกับการเดินทางครั้งนี้เหมือนกัน พรุ่งนี้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนหนึ่งวัน ไปเที่ยวเล่นรอบ เมืองได้ ไว้วันมะรืนค่อยไปรายงานตัวกับผู้อำนวยการถังที่สำนักงานสาขา

เขาพูดเป็นมารยาทไม่กี่ประโยค จบแล้วก็วางสายทันที มาแบบเงียบ ๆ และจากไปแบบเงียบ ๆ

หลิวชิงปัวรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย คิดว่าต่อให้พวกเขาแค่มารายงานตัวก็เถอะ แต่สำนักงานสาขาดูจะไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขาเกินไปหน่อย

ตงจื้อรู้อะไรมากกว่าเขา จึงบอกไปว่า “ซูเฮ่อเป็นผู้ช่วยของผู้อำนวยการถัง ผู้ช่วยของผู้อำนวยการสำนักงานสาขาคนหนึ่ง ระดับอาวุโสสูงกว่าพวกเราอีก โทร.มาทักทายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ถ้าเขามาตามประกบจริง ๆ พวกเราก็อึดอัดอีก พรุ่งนี้พักผ่อนตามอัธยาศัย มาลองคิดกันดีกว่าไหมว่าจะไปเที่ยวไหนดี”

หลิวชิงปัวกลอกตา “เซี่ยงไฮ้ฉันมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ยังมีอะไรน่าเที่ยวอีก”

ตงจื้อหยิบโบรชัวร์โปรโมตกิจกรรมในโรงแรมมาพลิกดู

“เดือนนี้เซี่ยงไฮ้มีกิจกรรมเยอะเลยนะ พรุ่งนี้มีเทศกาลการ์ตูนและแอนิเมชั่น ที่หอศิลป์ส่วนบุคคลอีกแห่งมีนิทรรศการโบราณวัตถุยุคถัง-ซ่ง ที่นี่มีงานประมูลด้วย นายอยากไปงานไหน”

หลิวชิงปัวหยิบโบรชัวร์มาอย่างไม่เห็นสำคัญ ไร้ซึ่งความสนใจ ตอนแรกอยากบอกส่ง ๆ ไปว่าเทศกาลการ์ตูนและแอนิเมชั่น แต่ดันเห็นชื่อคนรู้จักโดยบังเอิญ จึงอดแสยะยิ้มไม่ได้ “ไปงานประมูลกันเถอะ!”

งานประมูลพ่วงด้วยงานจัดแสดงวัฒนธรรมคลาสสิคจีน หลัก ๆ เป็นการจัดแสดงเครื่องประดับกับของโบราณจำนวนหนึ่ง ดูเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตงจื้อไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ หลิวชิงปัวถึงนึกสนใจขึ้นมา

มองแขกรับเชิญพิเศษอีกรอบ เฉินกั๋วเหลียง

มุมปากเขากระตุก เข้าใจทันที

พูดถึงเฉินกั๋วเหลียง ในสายตาพวกตงจื้อ อีกฝ่ายเป็นสิบแปดมงกุฎที่ไม่มีความสามารถจริง ๆ แม้แต่น้อย อาศัยแค่ลมปากในการทำมาหากิน สู้ไม่ได้แม้แต่หลัวหนานฟางกับจางหาน ช่วยไม่ได้ที่เขาคารมดี มหาเศรษฐีกลุ่มหนึ่งในเซียงเจียงจึงหลงกล ยกย่องเขาเป็นปรมาจารย์ไม่ว่า แต่ยังสมัครใจเอาเงินไปประเคนให้ถึงหน้าประตู เข้าแถวนัดหมายเพียงเพื่อรอให้อีกฝ่ายชี้แนะตัวเองสักครั้ง

หลังเหตุการณ์ของหานฉีครั้งที่แล้ว พวกตงจื้อพาตัวเฉินกั๋วเหลียงกลับไปด้วย ตั้งใจจะสั่งสอนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่กลับพบว่าจริง ๆ แล้วอีกฝ่ายไม่ได้โลดแล่นอยู่ในสังคมโดยใช้นามของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยหรือโหราศาสตร์แต่อย่างใด หากแต่เป็นการเปิดบริษัทเผยแพร่วัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมในบ้าน สวมหน้ากากนักปรับสภาพแวดล้อมในตัวบ้านเพื่อช่วยดูฮวงจุ้ยให้คน มิหนำซ้ำอาชีพนี้ก็ไม่ผิดกฎหมายในเซียงเจียงอยู่แล้ว พูดให้ถูกคือฝ่ายหนึ่งหวังเอารัดเอาเปรียบ ฝ่ายหนึ่งเต็มใจให้ใช้ประโยชน์ พวกเขามีเงินมากจนไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร ยินดียกให้เฉินกั๋วเหลียง ใครก็ว่าไม่ได้

แต่หลังผ่านเหตุการณ์ของหานฉีครั้งนั้นมา เฉินกั๋วเหลียงก็สงบเสงี่ยมลงมากหลังถูกพวกตงจื้อขู่ขวัญ ไม่กล้าใช้ชื่อปรมาจารย์อะไรอีก ในฐานะแขกรับเชิญพิเศษครั้งนี้ คำนำหน้าชื่อของเขาก็เปลี่ยนจากปรมาจารย์ฮวงจุ้ยมาเป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านวัตถุโบราณแทน ชวนให้ทั้งโมโหและขบขัน

ถือเป็นคราวซวยของเฉินกั๋วเหลียงด้วยที่ได้มาเจอตงจื้อกับหลิวชิงปัวตอนอยู่ลู่เฉิง ตอนนี้เขาได้รับเชิญมาเซี่ยงไฮ้ พวกตงจื้อก็ตามมาอีก หลิวชิงปัวมองอีกฝ่ายมุมไหนก็รู้สึกขัดหูขัดตา ไม่ฉวยโอกาสข่มขวัญเสียบ้างคงไม่มีทางยอมเลิกรา

 

วันถัดมายังเป็นวันพักผ่อนเหมือนเดิม

ระหว่างที่ตงจื้อกับหลิวชิงปัวมุ่งหน้าไปที่งานประมูล อีกด้านหนึ่งของเมือง งานเทศกาลการ์ตูนและแอนิเมชั่นก็กำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของนิทรรศการและเป็นวันที่มีคนมากที่สุดด้วย ดูเหมือนทุกคนต้องการถือโอกาสนี้มาเที่ยวเล่นกันให้สุดเหวี่ยงก่อนกิจกรรมและวันหยุดจะสิ้นสุดลง

ฝ่ายเข้าร่วมนิทรรศการของเทศกาลการ์ตูนและแอนิเมชั่นในเซี่ยงไฮ้ปีนี้ดีขนาดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นธรรมดาที่จำนวนคนเข้าร่วมกิจกรรมทำลายสถิติสูงสุดไปด้วย ฝ่ายจัดกิจกรรมให้ความสำคัญมาก เพิ่มกำลังคนเข้ามาทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยเป็นกรณีพิเศษ

หมิงเสียนดูแอนิเมชั่นกับอ่านการ์ตูนเหมือนกัน แต่ไม่เคยเข้าร่วมงานเทศกาลการ์ตูนและแอนิเมชั่นมาก่อน สำหรับเขา โดยทั่วไปสถานที่แบบนี้มักมีคนพลุกพล่าน แทนที่จะมาเบียดเสียดกันให้เหงื่อออกเพียงเพราะอยากร่วมสนุก สู้ซื้อสินค้าที่ออกวางจำหน่ายสำหรับสะสมนิด ๆ หน่อย ๆ อยู่บ้านอ่านการ์ตูน ดูแอนิเมชั่นสบาย ๆ ดีกว่า แต่เมื่อนึกถึงหน้าตาสวยสดงดงาม มือเท้าเรียวยาวของถังจิ้งที่แต่งตัวเป็นอวี๋จีแล้ว เขาก็รู้สึกหมกมุ่นอยู่บ้าง จึงอุทิศตัวมาเป็น “ครั้งแรก” โดยไม่ลังเลใจใด ๆ

มือกำตั๋วที่ถังจิ้งให้มา หมิงเสียนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างยากลำบากท่ามกลางฝูงชน แถมยังต้องสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาวี่แววของถังจิ้งอีก ใจเริ่มนึกเสียดายขึ้นมาแล้ว

เขาพลิกหลังตั๋วขึ้นมา บนนั้นมีหมายเหตุที่เขาตั้งใจเขียนไว้ด้วยลายมือ

C606 ตำแหน่งบูธของเกม ดินแดนไกลโพ้น

เลขมงคล แต่…

หมิงเสียนเหลือบมองบูธที่อยู่ใกล้ตน ตรงนั้นคือ 208 หรืออีกนัยหนึ่ง ที่นี่ยังห่างจาก C606 เป็นระยะทางอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสถานที่จัดงาน

พอมองไปจากจุดที่เขาอยู่ ศีรษะคนมากมายดุจมหาสมุทรสีดำไม่มีที่สิ้นสุด ภาพตรงหน้าหมิงเสียนเต็มไปด้วยสีดำ เขานึกอยากให้ตนเป็นเหมือนปรมาจารย์วิชาตัวเบาในนิยายกำลังภายใน กระโดดตัวลอยขึ้นไป ใช้ศีรษะเหล่านี้เป็นที่วางเท้า โบยบินไปให้รู้แล้วรู้รอด

ภายใต้ความสิ้นหวัง เขาทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกและตะโกนเสียงดัง “แม่เจ้าโว้ย กระเป๋าใครตก ข้างในมีเงินสดอยู่หมื่นหนึ่งด้วย!”

ตอนแรกเขาอยากบอกไปว่าหนึ่งแสน แต่คิดดูอีกที เงินสดหนึ่งแสนมันเว่อร์เกินไปหน่อย หมื่นหนึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า

ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เสียงดังจอแจ ระดับเสียงนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนรอบข้างได้ยิน

แต่ปรากฏว่ารอบด้านไม่มีใครสะดุ้งสะเทือน ขี้เกียจแม้แต่จะขยับหัวด้วยซ้ำ หมิงเสียนคิดในใจว่าหรือเขามาเจอกลุ่มคนที่มองว่าเงินเป็นสิ่งไม่มีค่า?

จังหวะนั้นเองก็มีคนหัวเราะเยาะ “ลูกไม้ของนายถูกใช้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ใครจะไปติดกับอีก! นิทรรศการก็คนแน่นแบบนี้แหละ ค่อย ๆ เดินไปเถอะ! ถ้าอยากอยู่เงียบ ๆ ก็ไปห้องสมุดนู่น ที่นั่นเงียบพอเลยละ!”

หมิงเสียน “…”

 

ระยะทางที่ในยามปกติใช้เวลาไม่กี่นาทีถึง เขาใช้เวลากว่าสิบนาทีเต็มกว่าจะเบียดผู้คนมาถึงบูธที่ถังจิ้งบอกได้ในที่สุด

เกม ดินแดนไกลโพ้น ได้รับความนิยมล้นหลาม บริษัททำกำไรและมีอิทธิพล เช่าพื้นที่บูธขนาดใหญ่ โดดเด่นอย่างมากภายในสถานที่จัดงาน เช่นเดียวกับจำนวนคนที่อยู่รอบข้าง ขยับเท้าไปไหนไม่ได้ หมิงเสียนชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ บนเวทีบูธมีนักคอสเพลย์หลายคนแต่งตัวเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์หรือตัวละครในเทพนิยายโบราณแล้ว ทุกคนแต่งตัวงามหยาดเยิ้ม แยกไม่ออกเลยว่าเดิมเป็นชายหรือหญิง นับประสาอะไรกับที่จะระบุตัวถังจิ้งได้

ทันใดนั้นก็มีคนตบไหล่เขาเบา ๆ หมิงเสียนหันไป ก่อนทำหน้าประหลาดใจ “นายอยู่นี่เองเหรอ ทำไมไม่เข้าไปล่ะ”

ถังจิ้งยังอยู่ในสภาพเดียวกับตอนที่ได้พบกันครั้งล่าสุด ผิวขาวกระจ่าง เสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงขายาวสีดำ แต่งตัวแบบนี้รูปร่างยิ่งสูงเพรียว เรียกสายตาของเด็กสาววัยรุ่นหลายคน แน่นอนว่าไม่ใช่มองแค่ถังจิ้งเท่านั้น แต่รวมถึงหมิงเสียนด้วย

หมิงเสียนลูบเส้นผมชื้นเหงื่อของตน มองไปที่รอยยับย่นตามร่างกายตนอีกครั้ง สภาพห่างไกลจากอีกคนที่เข้ามาอย่างกระฉับกระเฉงและสบาย ๆ

“ฉันก็เพิ่งมา ยังไม่ทันแต่งหน้าเลย แต่ไม่รีบหรอก ยังไงฉันก็แค่มาช่วย แค่ออกไปยืนตอนหลัง ๆ ก็พอ”

ถังจิ้งหยิบทิชชูห่อหนึ่งให้เขา ก่อนพาอีกฝ่ายมาที่ห้องพักด้านหลังเวที เมื่อเห็นเขามีเหงื่อเม็ดโตอาบเต็มหน้าผากก็หลุดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “แค่เห็นก็รู้เลยว่านายเพิ่งมางานนิทรรศการแบบนี้ครั้งแรก!”

หมิงเสียนเขิน “ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”

ถังจิ้งชี้ไปที่เสื้อบนตัวเขา “นิทรรศการแบบนี้มีแต่คนเบียดกัน นายใส่เสื้อสีขาว กลับไปซักยังไงก็ไม่สะอาด อีกอย่าง นายดื่มน้ำหมดไปค่อนขวด ไว้เดี๋ยวต้องเข้าห้องน้ำขึ้นมา นายคิดว่าจะทนไหวจนกว่าจะไปถึงที่นั่นเหรอ”

หมิงเสียนนึกถึงสภาพตอนมาอันน่าสังเวชของตนแล้วอดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้

“โชคดีที่นายมาเจอฉัน ในห้องพักมีห้องน้ำอยู่ ไม่ต้องให้นายวิ่งวน” ถังจิ้งบอกยิ้ม ๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ฉันก็คงไม่มาที่แบบนี้หรอก หมิงเสียนพึมพำในใจ

“นายไปทำงานเถอะ ฉันพักอยู่ที่นี่สักพักก็ได้”

ถังจิ้งต้องไปแต่งหน้าเปลี่ยนชุด ไม่มีเวลาทักทายเขามากนัก และหมิงเสียนก็ไม่อยากออกไปเผชิญกับกระแสคลื่นคนนั่นอีก ต่อให้ห้องพักคับแคบแค่ไหน สำหรับเขาแล้วยังไงก็ดีกว่าข้างนอก

ขณะที่กำลังถือโทรศัพท์เล่นเกมอยู่นั้น ทีมงานสองคนก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก

“เขาบอกไม่มาก็ไม่มาเฉยเลย? เมื่อวานไม่ได้ขอลาหรือไง”

“เมื่อวานเขาบอกว่าเสี่ยวหนงอยู่ก็เลยไม่มาแล้ว ฉันนึกว่าเขาล้อเล่น ใครจะไปรู้ว่าไม่มาจริง ๆ ตอนนี้โทรศัพท์ก็โทร.ไม่ติดด้วย!”

บทสนทนาชะงักกลางคัน เด็กสาวมองหมิงเสียน ก่อนเอ่ยด้วยความสงสัย “นายเป็นใคร นี่มันห้องพักหลังเวทีของ ดินแดนไกลโพ้น ไม่ให้คนนอกเข้า”

หมิงเสียนรีบลุกขึ้นพลางบอก “ถังจิ้งบอกให้ฉันรอเขาอยู่ที่นี่”

เด็กสาวหมดความสงสัย “ที่แท้ก็เพื่อนพี่ถังนี่เอง…”

จากนั้นดวงตาหล่อนก็เป็นประกายฉับพลัน มองพิจารณาหมิงเสียนหัวจรดเท้า ก่อนพูดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน “เป็นไงบ้าง”

เพื่อนที่มาด้วยพยักหน้า “ฉันว่าได้”

หมิงเสียนถูกพวกเธอมองจนขนลุกขนพอง รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

เด็กสาวบอกพร้อมรอยยิ้มหวาน ๆ “พี่ชาย วันนี้พวกเราขาดไท่อี่เจินเหรินคนหนึ่งพอดี พี่จะลองดูหน่อยไหม มีเงินให้ด้วยนะ ชั่วโมงละสองร้อยหยวน ว่ายังไง”

หมิงเสียนส่ายหน้า “ขอโทษที ฉันมาดูเพื่อน ไม่ใช่นักคอสเพลย์มืออาชีพ”

เด็กสาว “งั้น สามร้อย?”

หมิงเสียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน ฉันไม่เคยทำมาก่อน ไม่รู้ด้วยว่าต้องโพสท่าอะไรตอนไปโถงจัดแสดงหน้าเวที อีกอย่างก็ต้องยืนอยู่ตรงนั้นนานเลยด้วย”

อีกฝ่ายรีบบอก “ไม่ต้องยืนค่ะ! ข้างนอกมีเก้าอี้ พี่นั่งสบาย ๆ ก็พอ มีคนอยากมาถ่ายรูปด้วยก็แค่ถ่ายรูปกับพวกเขา ขอแค่สองชั่วโมงเอง ถือว่าช่วยพวกเราเถอะนะคะ พี่รูปร่างหน้าตาดี แต่งหน้าแต่งตัวแล้วต้องดูดีแน่ ๆ เดี๋ยวไว้จบเรื่องฉันจะเลี้ยงชานมพี่ด้วยเอาไหม”

เขาอยากหาข้ออ้างมาบอกปัด แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ลอยมาจากด้านใน

“เขาเป็นเพื่อนที่ฉันพามาด้วย ไม่ได้รับแต่งคอสเพลย์ พวกเธออย่าไปกวนเขา”

จิตใต้สำนึกสั่งให้หมิงเสียนหันหน้าไป แล้วเขาก็ต้องตะลึงงันทันที

ชายเสื้อกับผ้าผูกเอวโบกสะบัด แขนเสื้อกว้าง ผมเกล้าเป็นมวยสูง

สภาพของถังจิ้งตอนแต่งเป็นผู้หญิงมัน

เหมือนนางฟ้าจังเลยแฮะ

ความจริงอีกฝ่ายไม่ได้หน้าตาเหมือนผู้หญิง มากสุดแค่ดูโดดเด่นเป็นสง่า แต่พอลงเครื่องสำอางเข้าคู่กับมาดเย็นชาแล้ว ก็กลายเป็นคนที่ดูสูงส่งงดงาม ลอยละล่องดุจเทพเซียนทันที

ทันใดนั้นหมิงเสียนก็นึกขึ้นได้ อีกฝ่ายแต่งตัวเป็นอวี๋จีใน ดินแดนไกลโพ้น แม้ไม่เหมือนอวี๋จีตัวจริงในประวัติศาสตร์ แต่หน้าตากับออร่าแบบนี้ ต่อให้ซีฉู่ป้าหวังตัวจริงเสียงจริงมาอยู่ที่นี่ก็คงต้องโค้งกายคำนับให้เช่นกัน

อย่าว่าแต่หมิงเสียน ขนาดเด็กสาวสองคนที่เห็นถังจิ้งแต่งตัวทำผมแบบนี้มาแล้วหลายครั้งยังอดมองนาน ๆ ไม่ได้

“คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ให้พี่ถังมานั่งคุมที่นี่ มีพี่อยู่ด้วย วันนี้บูธเราต้องได้ที่หนึ่งแน่ ๆ เดี๋ยวฉันจะไปบอกรปภ.ให้คอยระวังหน่อย จะได้ไม่มีคนกระโจนใส่พี่จนล้ม!”

ถังจิ้งมองเด็กสาวสองคนลนลานวิ่งออกไปอีกครั้ง ก่อนยิ้มให้หมิงเสียนหนึ่งที “นายอย่าไปถือสาเลย วันนี้พวกเขาคงขาดคนน่ะ แต่ฉันต้องออกไปแล้ว นายจะพักอยู่ที่นี่ต่อหรือจะออกไปพร้อมกับฉัน”

พอออกไปด้านนอก ถังจิ้งเป็นนักคอสเพลย์ในบูธจัดแสดง หมิงเสียนไม่อาจมองอีกฝ่ายในระยะประชิดได้ แถมยังต้องกลับไปเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาในฝูงชนอีก

“จริง ๆ ก็ใช่ว่าจะลองทำดูไม่ได้” เขาพึมพำ

“อะไรนะ” ถังจิ้งได้ยินไม่ถนัด

หมิงเสียนรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย สายตากล่อกแล่กไปทั่ว “ฉันบอกว่า ฉันก็ช่วยแต่งคอส เป็นทัพเสริมให้ได้เหมือนกัน”

ถังจิ้งเลิกคิ้ว “คิดว่าน่าสนุก?”

ไม่ใช่ ศิโรราบในความสวยของนายต่างหาก อยากจะชื่นชมใกล้ ๆ มากกว่านี้ หมิงเสียนอายที่จะยอมรับ จึงทำเพียงพยักหน้า

ถังจิ้งยิ้มมีเลศนัย ไม่ได้พูดแทงใจเขา

“งั้นนายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ฉันจะให้ช่างแต่งหน้ามาลงเครื่องสำอางให้”

หมิงเสียนต้องแต่งเป็นไท่อี่เจินเหริน สวมวิกผมสีขาว เสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่ลำบากไม่ต่างกัน หมิงเสียนไม่เคยแต่งคอสเพลย์มาก่อน จะผูกเสื้อยังไงก็ยังไม่รู้ มือเท้าพันกันยุ่ง ถังจิ้งเลยต้องช่วยอีกฝ่าย ปากไม่ลืมเอ่ยล้อไปด้วย

“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ หุ่นนายใช้ได้เลยนะเนี่ย!”

หมิงเสียนภูมิใจหน่อย ๆ “เวลาว่าง ๆ ฉันก็ฟิตร่างกายตลอดเหมือนกัน!”

ถังจิ้งจงใจตบหน้าท้องอ่อนนุ่มของเขา “ตอนไหนที่ว่าง”

ร่างหมิงเสียนอ่อนปวกเปียกทันที “ก็ ทุกเดือนมั้ง”

ช่วยอีกฝ่ายสวมวิกผมเสร็จ แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ถังจิ้งก็พูดขึ้น “ฉันต้องออกไปแล้ว นายบอกให้ช่างแต่งหน้าแต่งหน้าให้นายนะ แต่งเสร็จก็ออกมาได้เลย”

ว่าพลางหมุนตัวเดินออกไป ชายแขนเสื้อพลิ้วไหว ไม่เหมือนอวี๋จีผู้ที่ในชีวิตมีแต่มรสุมความรักความแค้น ทว่าเหมือนเซียนที่ไม่เคยแปดเปื้อนกลิ่นอายโลกีย์มากกว่า

ตัวละครที่หมิงเสียนต้องแต่งเป็นเซียนที่บรรลุเต๋าเหมือนกัน เขาคิดว่าต่อให้ตัวเองกินยาอายุวัฒนะเข้าไปก็คงไม่มีสง่าราศีแบบถังจิ้ง

แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกเขาเท่านั้น

เมื่อเขาเดินไปที่หน้าเวทีในสภาพที่แต่งหน้าเรียบร้อยดีแล้ว สายตาหลายคู่ก็ตวัดมองมาทันที หมิงเสียนยังได้ยินคนอื่นอุทานเบา ๆ ด้วยความตกตะลึงด้วยว่า บูธของ ดินแดนไกลโพ้น รอบนี้ นักคอสเพลย์งานดีจริง ๆ ขนาดไท่อี่เจินเหรินยังหล่อลากขนาดนี้ แม้แต่ถังจิ้งยังฉายแววประหลาดใจทางสีหน้า

เมื่อถูกอีกฝ่ายมอง หมิงเสียนก็ยิ่งประหม่า เดินไปไม่กี่ก้าว เท้าก็เผลอเหยียบชายเสื้อ ทั้งร่างเสียหลักล้มไปข้างหน้าทันที โชคดีที่แขนข้างหนึ่งคล้องเอวรั้งเอาไว้ ถึงรอดพ้นชะตากรรมที่ต้องลงไปก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์มาได้

“ฉากเหวี่ยงตัวเข้าไปในอ้อมกอดคนอื่นแบบนี้เชยชะมัดเลย คุณหมิง”

ได้ยินน้ำเสียงล้อเลียนจากอีกฝ่าย หน้าหนา ๆ ของหมิงเสียนก็เห่อร้อนขึ้นมา เขาอดโต้กลับไม่ได้ “อวี๋จีกอดเทพบุตรเซียน รวมฉากน้ำเน่าทั้งทะลุมิติ รักสามเศร้า แฟนตาซีเทพเซียน สาวงามช่วยวีรบุรุษไว้ในคราวเดียว ไม่ใช่พล็อตเชย ๆ แล้ว”

แต่จะว่าไป หมิงเสียนนึกไม่ถึงเลย เห็นท่าทางถังจิ้งดูสูงเพรียวแบบนี้แต่เรี่ยวแรงไม่ใช่น้อย ๆ เมื่อครู่แทบจะรองรับน้ำหนักตัวของเขามากกว่าครึ่ง แต่ไม่เห็นมีอาการสั่นสักนิด หน้าตายังไม่สะทกสะท้านไม่สะดุ้งสะเทือนเลย

บูธได้รับความนิยมมากกว่าเดิมเมื่อมีถังจิ้งกับหมิงเสียน ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมก็ดี ผู้ชมที่เดินผ่านมาก็ดี ต่างทยอยกันเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย หมิงเสียนแค่นั่งขัดสมาธิโพสท่านั่งเข้าฌานเฉย ๆ แต่พอนานเข้าก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน เขาถือโอกาสตอนที่คนค่อนข้างน้อย ลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างอดไม่ไหว ก่อนทำหน้าเลื่อมใสถังจิ้งที่มีท่าทางผ่อนคลาย

“ยืนแบบนี้ทั้งวัน นายทนได้ยังไง งานอย่างพวกนายนี่เหนื่อยจริง ๆ!”

ถังจิ้งพูดยิ้ม ๆ “ฉันแค่มาช่วยเพื่อน ไม่รับเงิน ทำไปเพราะความสนใจล้วน ๆ อาชีพหลักของฉันไม่ใช่อาชีพนี้หรอก แต่เดี๋ยวถ้าพวกเขาให้เงินนายละก็ นายห้ามปฏิเสธเชียว”

หมิงเสียนสงสัย “งั้นอาชีพหลักนายคืออะไร”

ถังจิ้งยิ้มแฝงนัย “นายอยากรู้จักฉันขนาดนี้เชียว? ชอบฉันแล้วใช่ไหมล่ะ”

หมิงเสียนแบมือ “เวลาอยู่ต่อหน้านาย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเปิดเผยทุกอย่าง แต่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายสักอย่าง”

“บางครั้ง การไม่รู้อะไรเลยนั่นแหละคือความสุข”

ถังจิ้งยื่นมือมาลูบผมสีขาวบนบ่าอีกฝ่าย ภาพที่อวี๋จีกับไท่อี่เจินเหรินเอาศีรษะเกยกันพลางสนทนาเบา ๆ ยิ่งกว่าคำว่ากุ๊กกิ๊ก หลายคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปฉากนี้ไว้

หมิงเสียนทำปากยื่น ไม่เก็บมาใส่ใจ “ฉันว่านายเหมือนนักเขียนนิยายมากกว่าฉันเสียอีก!”

ถังจิ้งเห็นท่าทางไร้กระดูกของอีกฝ่ายที่เหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว จึงบอกไปว่า “นายออกไปเดินเล่นรอบ ๆ สิ อย่าไปไกลเกินก็พอ”

หมิงเสียนเริ่มอารมณ์ดีขึ้นจริง ๆ เขาสอดมือเข้าแขนเสื้อเดินลิ่วไปข้าง ๆ ทันที แต่เนื่องจากการแต่งตัวของเขาดูดีเกินไปจึงมีคนจำนวนมากเข้ามาขอถ่ายรูป สอบถามเขาว่าเป็นนักคอสเพลย์จากไหน หลังหมิงเสียนชี้ทางให้พวกเขาแล้ว จู่ ๆ ก็รู้ตัวว่านี่อาจเป็น ‘แผนการร้าย’ ของถังจิ้งที่ใช้เขามาเป็นเด็กเรียกแขก แบบนี้คงเพิ่มความนิยมให้บูธได้อีกมากเลยไม่ใช่หรือไง

เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อดทอดถอนใจไม่ได้ว่าความคิดผู้ชายคนนี้ชักจะลึกซึ้งเกินไปแล้ว พลางใคร่ครวญว่าคราวหน้าจะใส่อีกฝ่ายเข้าไปในนิยายตัวเอง เอาให้เป็นวายร้ายเสียเลย

รู้ตัวอีกทีก็เดินไปตามกระแสผู้คนมาค่อนข้างไกล หมิงเสียนเงยหน้าขึ้นไปเห็นบูธการ์ตูนแห่งหนึ่ง อีกฝ่ายใช้ภาพลักษณ์ของอวี๋จีมาเป็นจุดขายเช่นกัน แต่การแต่งตัวของนักคอสเพลย์ยังห่างชั้นจากถังจิ้ง บูธก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ นักคอสเพลย์สองสามคนนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีใครสนใจ ให้อารมณ์วังเวงเล็กน้อย

คนที่เป็น ‘อวี๋จี’ ใช้แขนเสื้อโบกพัด มองไปรอบ ๆ อย่างเหนื่อยหน่าย ‘ซีฉู่ป้าหวัง’ ข้าง ๆ กันอยู่ในชุดเกราะทอง เอามือเท้าแก้มนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น นิ่งไม่ไหวติง มองยังไงก็รู้สึกตลก

หมิงเสียนสาวเท้าเข้าไปอย่างอดไม่ได้ อยากลูบพู่ยาว ๆ สองเส้นที่ส่ายไหวไปมาบนหมวกเกราะของซีฉู่ป้าหวังดู

‘อวี๋จี’ คงทนมองภาพอาการป่วยของ ‘ป้าหวัง’ ไม่ไหวเหมือนกัน ถึงได้เอื้อมมือไปผลักอีกฝ่ายทีหนึ่ง ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงอะไรมาก แต่ป้าหวังกลับล้มลงไปด้านข้างทันที หมวกเกราะหนักอึ้งหลุดออกจากศีรษะ กลิ้งหลุน ๆ ไปตามพื้นหลายตลบ รวมทั้งพู่ยาวสองเส้นนั้นด้วย ทำให้เกิดเสียงดังโครมครามยกใหญ่

แม้สถานที่จัดงานมีเสียงดังจอแจ แต่ภาพนี้ยังทำให้คนรอบข้างหลายคนหันมามองอยู่ดี

นักคอสเพลย์ที่แต่งเป็นอวี๋จีตะลึงงันไปเช่นกัน รีบเข้าไปพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้น แต่กลับพบว่าร่างของ ‘ป้าหวัง’ อ่อนปวกเปียก หล่อนนึกว่าอีกฝ่ายร้อนจนเป็นลมไป จึงลนลานเรียกเพื่อนเข้ามาช่วย จนกระทั่งหมิงเสียนเดินเข้ามา ตรวจดูลมหายใจกับชีพจรของอีกฝ่าย แล้วบอกเธอว่า “เหมือนเขาจะ…ตายแล้ว”

อวี๋จีนิ่งอึ้งไปสามวินาที ทันใดนั้นก็หวีดร้องเสียงแหลม!

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า