你能不能不撩我
นายหยุดแกล้งฉันได้ไหม
焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน
สีน้ำ แปล
JYUN (Kang Jiyun) วาด
— โปรย —
ราชันนักขับฟอร์มูล่าวัน ‘วอห์น วินสตัน’ สูญเสียคู่แข่งและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว
ไปในอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด ทว่าหลังค่ำคืนวันแต่งงานของเพื่อนนักขับในวงการคนหนึ่ง
เขากลับตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าได้ย้อนเวลากลับไปตอนที่เจอ ‘อีวาน ฮันท์’ เป็นครั้งแรกอีกครั้ง!
ในวินาทีนั้นกาลเวลาที่หยุดนิ่งพลันแล่นรี่ขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ครั้งนี้เขาจะชดเชยช่วงเวลา
ทั้งหมดที่มีและใช้โอกาสที่ได้มาอย่างคุ้มค่า ทุกนาที ทุก ๆ วินาที จะไม่สูญเปล่าอีกต่อไป
เพราะเขาไม่เคยอยากเป็น ‘เพื่อน’ กับฮันต์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…
ทว่านักขับหนุ่มมือใหม่กลับคิดว่าวินสตันก็แค่ ‘แกล้ง’ เขาเล่น คนที่ได้ฉายาจากสื่อว่า
‘ดาบน้ำแข็งแห่งความเร็ว’ คนนั้นน่ะเหรอที่จะอยากเป็นเพื่อนกับคนท้ายตารางอย่างเขา
และอีกอย่างถ้าอยากเป็นเพื่อนกันจริงๆ เขาจะพูดออกมาได้ยังไงว่า ‘ฉันอยากเอานาย’
เพื่อนกันเขาเล่นมุกใต้สะดือพรรค์นี้กันที่ไหนเล่า
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4 กางเกงในสิบล้านดอลลาร์
ถ้าเป็นคนอื่น บางทีตอนนี้คงกระอักกระอ่วนและลังเลมากว่าจะหันกลับไปดีไหม หรือควรขอโทษอย่างไรดี แต่ฮันต์ไม่ได้กังวล เรื่องพวกนี้เลยสักนิด
เขาล้วงกระเป๋าพลางหันกลับไปแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย “ฉันแค่ปลอบผู้หญิงคนนั้นที่สะเทือนใจเพราะซื้อเสื้อซับเหงื่อ…อ่า…เสื้อยืดตัวนั้นของนายไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”
“อ้อ งั้นเหรอ”
เสียงของวินสตันเบากว่าที่จินตนาการไว้ และมุมปากที่ค่อย ๆ โค้งขึ้นของเขาก็ทำให้ฮันต์ตระหนักได้ทันที… อีกฝ่าย ยิ้มแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นเปรียบเสมือนดอกไม้พรีเซิร์ฟ[1]ผู้โดดเดี่ยวที่ถูกเปิดออกจากการคุมขังในครอบแก้วและผลิบานอย่างช้า ๆ…
“งั้นนายรู้ไหมว่าเพราะอะไรตัวเองถึงโดนมองเป็นบริกร”
“ทะ…ทำไม”
ฮันต์ไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสนทนากับตนเอง แถมหัวข้อที่อีกฝ่ายโยนออกมาก็ทำให้ตนรู้สึกสนใจมากจริง ๆ
“เพราะนายเหมือนเด็ก”
รอยยิ้มบางนั่นยิ่งชัดขึ้น นัยน์ตาของฮันต์สั่นไหว เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มของวินสตันมาก่อนเลย และเชื่อว่าสื่อมวลชน ทุกคนในงานเองก็เช่นกัน
นี่ทำให้ฮันต์แยกไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังเย้ยหยันหรือกำลังประชดตนอยู่
“นายต้องเสยหน้าม้าขึ้นเพื่อให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะได้ไม่โดนมองว่าเป็นนักศึกษามหา’ลัยที่มาทำงานพิเศษเป็นบริกร”
ฮันต์มองอีกฝ่าย ทุกประโยคที่วินสตันพูดล้วนทำให้คนเชื่อถืออย่างไม่มีเหตุผล
ขณะนั้นเองมีบริกรยกถาดเดินผ่านมา ในถาดวางน้ำแร่และน้ำผลไม้เอาไว้
วินสตันยื่นมือไปหยิบน้ำผลไม้ส่งให้ฮันต์ ส่วนแก้วที่ถือไว้เองนั้นคือน้ำแร่
ไม่ใช่ไวน์แดง ไม่ใช่แชมเปญ แต่เป็นน้ำผลไม้…วินสตันกำลังเยาะเย้ยว่าเขายังเด็ก หรือรู้ว่าเขายังโตไม่พอที่จะดื่มเหล้าได้กันแน่
เดี๋ยวสิ…วินสตันจะมาสนใจอายุของเขาได้อย่างไร หรืออีกฝ่ายแค่รู้สึกว่าเขาต้องเด็กมากแน่ ๆ
ในขณะที่ฮันต์กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น วินสตันก็จุ่มนิ้วมือลงในแก้วก่อนจะสอดนิ้วเปียกน้ำเสยผมหน้าม้าของฮันต์ขึ้นไปจนเผยให้เห็นหน้าผากของเขา
นิ้วมือของอีกฝ่ายกดผ่านหนังศีรษะของเขาอย่างอ่อนโยน ทำให้ฮันต์ที่แต่เดิมคิดจะถอยหลังหยุดฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว
“แล้วก็เปลี่ยนชุดสูทออกงานใหม่ เอวมันไม่พอดีตัว”
ฮันต์ช้อนสายตาขึ้นก็เจอเข้ากับใบหน้าที่เชิดขึ้นเล็กน้อยของวินสตันซึ่งกำลังช่วยตนจัดไรผมบริเวณหน้าผาก…อย่างตั้งใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขนตาของเขาสวยมากหรือเปล่าถึงได้ทำให้ฮันต์เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา
“ขอบคุณ…พวกเรา…พวกเราน่าจะเคยคุยกันแค่ในห้องน้ำที่สแปนิชกรังด์ปรีซ์ใช่ไหม”
ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าวินสตันสนิทกับเขามาก
ทว่าอีกฝ่ายกลับเพียงแค่มองเขาอย่างเงียบงัน
นี่ทำให้ฮันต์ยิ่งไม่เข้าใจ
และในตอนนี้เอง เสียงของพิธีกรงานประมูลก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ต่อไปคือหมวกเบสบอลทีมบัฟฟาโล่ไบซันส์[2]สมัยมัธยมต้นของอีวาน ฮันต์ นักขับหน้าใหม่จากทีมมาร์คัส! ราคาเริ่มต้นที่ห้าร้อยดอลลาร์!”
ฮันต์หันไปมองพลางผายมือออกอย่างตื่นตระหนก “หมวกเบสบอลของฉัน! ฉันไม่ได้บอกว่าจะเอามาประมูลนะ!”
เขามองไปทางมาร์คัส ใช้สายตาถามอีกฝ่ายว่า ‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่’ แต่มาร์คัสกลับส่ายศีรษะ
“อันนั้นพ่อให้ฉันไว้…” ฮันต์ตัดใจไม่ลงนิด ๆ แต่ที่เขาสนใจจริง ๆ คือ ทำไมราคาเริ่มต้นเสื้อซับเหงื่อของวินสตันตัวหนึ่งตั้งห้าพันดอลลาร์ ส่วนหมวกเบสบอลของเขาแค่ห้าร้อยดอลลาร์เองล่ะ
ที่สำคัญคือ…ไม่มีใครอยากซื้อหรอก!
บางทีแฟนคลับ F1 ในงานเลี้ยงส่วนหนึ่งอาจจะสนใจสิ่งของของนักขับที่เพิ่งเข้าร่วมการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน แต่ปัญหาคือ เขาเข้าร่วมการแข่งขันมาสามสนามแล้วก็ยังเอาคะแนนสะสมมาไม่ได้สักคะแนน สิ่งของของเขาไม่มีค่าพอให้เก็บสะสมเลยสักนิด!
นี่มันน่าอายชะมัดเลย!
ฮันต์กำลังคิดว่าจะรีบออกจากงานแล้วทำเหมือนตัวเองไม่อยู่ดีหรือเปล่า
ห้าวินาทีผ่านไป ไม่มีใครอ้าปากประมูล
ฮันต์กลอกตามองบนเสียรอบหนึ่ง เขาน่ะไม่มีทางควักเงินตัวเองไปซื้อหมวกเบสบอลกลับมาแน่ ถึงอย่างไร ของไร้ประโยชน์ที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้ก็มีเยอะมาก ขาดหมวกเบสบอลนั่นสักใบจะเป็นไรไป
“ห้าร้อยดอลลาร์!” มาร์คัสคงรู้สึกเกรงใจจึงเสนอราคาห้าร้อยดอลลาร์ ถือเสียว่าเป็นการบริจาค
“หนึ่งพันดอลลาร์” เสียงของวินสตันดังขึ้นจากข้างหลังฮันต์ ทำให้คนกว่าครึ่งของงานเลี้ยงต่างหันไปมอง
ทุกคนเผยสีหน้าตื่นตระหนก คาดไม่ถึงว่าวินสตันที่ตลอดทั้งงานไม่ค่อยได้พูดอะไรกลับสนใจหมวกเบสบอลใบนั้น
“หนึ่งพันห้าร้อยดอลลาร์!” ฉลามขาวยักษ์เชียร์เสนอราคา
ฮันต์หันไปมองด้วยความสงสัย
“สองพันดอลลาร์” วินสตันเอ่ยอีกครั้ง
ทั้งที่เสียงไม่ดัง แต่ทั่วงานเลี้ยงกลับเงียบลงฉับพลัน
“สองพันห้าร้อยดอลลาร์!” ฉลามขาวยักษ์เสนอราคาอีกรอบ
“สามพันดอลลาร์” วินสตันว่าต่อ
ฮันต์พลันรู้สึกว่านี่คือการงัดข้อกันระหว่างวินสตันกับฉลามขาวยักษ์ หรือว่าในสนามยังแข่งกันไม่พอ ตอนนี้เลยจะโปรยเงินแข่งกันอีก
ช่างเป็นคู่รักคู่แค้น เงินพาซวยแท้ ๆ!
ความรู้สึกเหนือกว่าพลันแล่นขึ้นมาจากส่วนลึกภายในจิตใจของฮันต์ นั่นก็คือ…จริง ๆ แล้ววินสตันกับเชียร์มีความเป็นเด็กอยู่มากทั้งคู่!
ภายใต้สายตาคาดเดาและไม่เข้าใจของบรรดาแขกเหรื่อ หมวกเบสบอลของฮันต์ก็ถูกฉลามขาวยักษ์เชียร์ฉุดราคาขึ้นสูงถึงห้าพันดอลลาร์
นี่จึงทำให้คนอื่นในงานต่างพากันเข้าร่วมสงครามด้วย
“หกพันดอลลาร์!”
“เจ็ดพันดอลลาร์!”
ทุกคนต่างรู้สึกว่าของประมูลที่สามารถทำให้นักขับตัวท็อปสองคนเสนอราคาสู้กันได้จะต้องมีความพิเศษแน่
“ไม่แน่ว่าหมวกเบสบอลใบนี้อาจเคยถูกนักเบสบอลซูเปอร์สตาร์คนไหนสวมมาก่อนรึเปล่า”
“หรืออาจจะเป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นที่แสนล้ำค่า”
ฮันต์หมดคำจะพูด ‘ถ้าจริงอย่างที่พวกนายมโน ราคาเริ่มต้นของหมวกเบสบอลใบนี้คงไม่ใช่ห้าร้อยดอลลาร์!’
ราคาพุ่งไปถึงเจ็ดพันดอลลาร์อย่างรวดเร็ว
ฉลามขาวยักษ์เชียร์ยิ้ม มองวินสตันอย่างยียวน
พิธีกรงานประมูลรวมถึงแขกเหรื่อไม่น้อยก็มองมาทางวินสตันเช่นกัน
สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนจะยกมือขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “หนึ่งหมื่นดอลลาร์”
สายตาของเขามองผ่านบ่าของฮันต์ไปทางเชียร์ ต่อให้ปลายสายตาของเขาไม่ใช่ฮันต์ แต่ฮันต์ก็สัมผัสได้ว่าแววตา ของวินสตันแฝงรังสีที่พร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่ง เขากำลังเตือนเชียร์
ยี่สิบวินาทีผ่านไป ไม่มีคนสู้ราคาอีก ส่วนเชียร์ก็แสยะยิ้มมองมาทางวินสตันคล้ายกับกำลังพูดว่า ‘ไอ้งั่ง นายชอบ นายก็เอาไปเถอะ’
“ขอแสดงความยินดีกับคุณวินสตันที่ชนะการประมูลหมวกเบสบอลใบนี้! ผมคิดว่าทุกท่านต้องสงสัยเป็นอย่างมากแน่ ๆ ว่าหมวกเบสบอลใบนี้มีอะไรพิเศษใช่ไหมครับ”
ฮันต์เองก็พยักหน้าอยู่ในใจ ‘ใช่ ๆ! หมวกเบสบอลใบนี้มีอะไรพิเศษอะ! นายบอกฉันทีสิ ฉันจะได้ไปหามาให้นายสักแปดใบสิบใบเลย! ไม่คิดเงินนายถึงใบละหมื่นดอลลาร์หรอก แค่ร้อยดอลลาร์ก็ถมเถแล้ว!’
“เพราะมันเป็นของฮันต์” วินสตันตอบ
สายตาทุกคู่ต่างไหลบ่ามาทางฮันต์ราวกับคลื่น
“ฮันต์? เจ้าของหมวกเบสบอลใบนั้นน่ะนะ เขากับวินสตันมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือไง”
“เขา…เหมือนจะเพิ่งเข้าร่วมการแข่งขันไปสามสนามเอง คะแนนสะสมก็ไม่มีสักคะแนน อันดับอยู่ล่าง ๆ เลยนะ!”
“แต่ว่านักขับคนนั้นยังเด็กนี่ ได้ยินมาว่าอีกหนึ่งเดือนถึงจะอายุสิบเก้า…ดูแล้วก็น่ารักอยู่นะ”
ฮันต์อยากปิดหน้าตัวเองเอามาก ๆ เขาไม่คิดว่าวันหนึ่งตนจะถูกผู้คนรู้จัก แถมยังไม่ใช่เพราะการแข่ง F1 กรังด์ปรีซ์ แต่เป็นเพราะหมวกเบสบอลใบหนึ่ง
“นายบ้าไปแล้วเหรอ หมื่นดอลลาร์ซื้อหมวกเบสบอลใบเดียวเนี่ยนะ”
วินสตันเดินผ่านข้างกายเขาไปอย่างไม่รีบร้อน เอ่ยด้วยเสียงที่เขาได้ยินเพียงคนเดียวว่า “ถ้านั่นเป็นกางเกงในที่นาย เคยใส่ สิบล้านดอลลาร์ฉันก็จ่ายได้”
ทั้งที่เป็นน้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่กลับเหมือนไม้ขีดไฟก้านหนึ่งปัดผ่านหัวใจของฮันต์แล้วลุกไหม้ขึ้นในชั่วพริบตา
“ว่าไงนะ…” ฮันต์มองแผ่นหลังของวินสตันอย่างไม่เข้าใจ
มาร์คัสเดินมาข้าง ๆ ฮันต์ โอบไหล่ของเขาพลางเอ่ย “เฮ้! ดูไม่ออกเลยว่านายกับวินสตันรู้จักกัน!”
“ไม่…พวกเราไม่เชิงรู้จัก…”
“ถ้างั้นเขาจ่ายเงินตั้งมากมายเพื่อซื้อหมวกเบสบอลของนายทำไม”
“เพราะเขารวย” ฮันต์ใช้แววตาสำหรับมองไอ้งั่งมองไปทางมาร์คัส
คำตอบที่เห็นได้ชัดขนาดนี้ยังต้องถามอีกเหรอ
สำหรับคำพูดก่อนที่วินสตันจะจากไปประโยคนั้น ฮันต์ทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายแค่พูดเล่นส่ง ๆ ไปอย่างนั้น
ถึงอย่างไรจำนวนครั้งที่พวกเขาพบหน้ากันก็นับครั้งได้ ถ้าสมองของวินสตันไม่ได้มีปัญหา แล้วทำไมเขาจะต้องมาจ่ายเงินสิบล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกางเกงในของตนจริง ๆ ด้วยล่ะ
แต่ว่า…เขาไม่น่าจะคิดไปเอง…วอห์น วินสตัน เหมือนกับว่าจะสนใจเขามาก ๆ?
คิด ๆ ดูแล้วฮันต์รู้สึกว่าชุดสูทบนตัวยิ่งใส่ก็ยิ่งขัดใจจริงด้วย
หลังงานเลี้ยงเลิก ฮันต์ขับรถจี๊ปของตนรับลมยามราตรีอยู่บนทางกลับบ้าน
เขาดึงโบหูกระต่ายลงมาแล้วโยนไว้ข้าง ๆ ในที่สุดก็ได้ปลดโบนี่ออกสมใจสักที
ไม่มีพันธนาการ นี่สิถึงจะเรียกว่าชีวิต!
ฮันต์ฮัมเพลงLemon Tree ในใจ แต่สุขได้ไม่ถึงสามวินาทีก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง รถพลันหยุดนิ่ง ที่ฝากระโปรงหน้าเหมือนจะมีควันขึ้น
“อ่า…” ฮันต์เกาหลังศีรษะ ก่อนจะลงจากรถแล้วเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้น…ต่อให้เป็นนักขับมืออาชีพอย่างเขาก็ยัง รู้สึกว่าสภาพนี้ไร้หนทางเยียวยา
ดูเหมือนว่าจะต้องเรียกบริษัทประกัน
“รถเสียก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงก็มีโลกที่ยังรักฉัน และฉันก็รักโลก” ฮันต์โคลงศีรษะพลางพูดปลอบตัวเองอย่างจนใจ
เขาต่อสายโทร.ออก ก่อนจะบังเอิญพบว่าใต้ที่นั่งข้างคนขับมีช็อกโกแลตบาร์แท่งหนึ่งตกอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“เอาเถอะ ถือว่ายังไม่ซวยเท่าไร” เขาฉีกซองแล้วใช้นิ้วคีบมันเอาไว้ ทำท่าสูบซิการ์พลางมีความสุขกับตัวเอง
แสงไฟรถเคลื่อนมาจากที่ไกล ๆ ขณะกำลังจะเคลื่อนผ่านข้างตัวเขาไป รถคันนั้นก็หยุดลง
รถสปอร์ตเฟอร์รารี่สีแดงคันหนึ่งจอดลงข้างทาง เมื่อประตูรถเปิดออก สายตาของฮันต์ก็ไล่ขึ้นจากขาอันเรียวยาวที่ก้าวออกมาของอีกฝ่ายไปจนถึงสะโพกสอบแต่แฝงไว้ด้วยพละกำลัง
อีกฝ่ายปิดประตูรถอย่างประณีตแล้วเดินมาหาเขาช้า ๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงของเขาราวกับเปปเปอร์มินต์ที่ปลิดปลิวอยู่ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน ไม่เหมือนกับในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกห่างเหิน
“วิน…วินสตัน…” ฮันต์รีบเอาช็อกโกแลตบาร์ออกจากปาก ท่าทางที่ตนแกล้งทำเป็นสูบซิการ์เมื่อครู่…ดูโง่เง่ากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
“เครื่องยนต์พังแล้ว” วินสตันปรายตามองเพียงแค่แวบเดียว
“อืม…ใช่” ฮันต์ยิ้ม “ฉันกำลังรอบริษัทประกันอยู่”
“โอเค เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง”
“หา?” ฮันต์รู้สึกว่าตัวเองหูฝาด
ทว่าวินสตันกลับพิงรถจี๊ปของเขาแล้วเริ่มเล่นโทรศัพท์มือถือไปอย่างใจเย็น ทำเหมือนเฟอร์รารี่ที่จอดอยู่ตรงนั้นไร้ตัวตน
คนที่ไม่รู้คงนึกว่าวินสตันกับเขานั่งรถคันเดียวกันมา!
นายอย่าพิงรถฉันแล้วเต๊ะท่าถ่ายแบบสิวะ! นี่มันรถฉัน ไม่ใช่รถนาย!
ใครก็ได้บอกฉันทีว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
มือซ้ายของฮันต์ถือโทรศัพท์มือถือ ส่วนมือขวาถือช็อกโกแลตบาร์ งุ่นง่านอยู่ท่ามกลางสายลม
“ช็อกโกแลตบาร์นั่น ฉันกินได้ไหม” วินสตันจ้องมือถือพลางเอ่ยปากถาม
“เอ่อ ได้สิ…มันมีแค่แท่งนี้แหละ ฉันเพิ่งกินไปแค่คำเดียว” ฮันต์ถูกเรียกอย่างไม่คาดฝันจึงตกใจนิด ๆ
“ฉันไม่ถือ ขอบคุณ”
คนเขาพูดว่าขอบคุณแล้ว ฮันต์จึงเดินก้าวไปข้างหน้าและยื่นช็อกโกแลตบาร์ไปทางอีกฝ่าย
เดิมทีเขาคิดว่าวินสตันจะยื่นมือมารับ แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับหันหน้าเอนตัวมาทางเขาเล็กน้อย
ฮันต์เห็นได้อย่างชัดเจนตอนที่ริมฝีปากของวินสตันเผยอออกนิด ๆ ตอนที่ปลายลิ้นรองรับช็อกโกแลตไว้อย่างแผ่วเบา ณ จุดที่ฮันต์กัดลงไป ฟันของเขาราวกับกัดลงบนปลายนิ้วของฮันต์ เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ช็อกโกแลตบาร์ก็หัก
วินสตันงับช็อกโกแลตเข้าปากแล้วก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือต่อ ทว่าแขนของฮันต์ยังคงค้างอยู่อย่างนั้น
ชั่ววินาทีนั้นเขาฉุกคิดถึงรอยยิ้มเพียงแวบเดียวของวินสตันที่มีเพียงแค่ตนที่ได้เห็นในงานเลี้ยง รวมถึงประโยคที่ว่า ‘ถ้านั่นเป็นกางเกงในที่นายเคยใส่ สิบล้านดอลลาร์ฉันก็จ่ายได้’ นั่นด้วย
ฮันต์พลันสะท้านวูบ
[1] คือดอกไม้จริงที่ผ่านกระบวนการอบแห้งอันซับซ้อนซึ่งจะทำให้ดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลา สามารถเก็บไว้ได้นานและไม่เหี่ยวเฉา
[2] Buffalo Bisons ทีมเบสบอลในไมเนอร์ลีกจากนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา