[ทดลองอ่าน] นายหยุดแกล้งฉันได้ไหม ตอนที่ 43

你能不能不撩我
นายหยุดแกล้งฉันได้ไหม

 

焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน
สีน้ำ แปล
JYUN (Kang Jiyun) วาด

 

— โปรย —

ใครจะรู้ว่าหลังจากฮันต์สารภาพความในใจยาวเหยียด
วินสตันกลับจู่โจมเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนฮันต์ขวัญผวาเพราะ ‘ขวดโค้ก’ ไซส์ซูเปอร์บิ๊ก
ตอนนั้นเขาถึงได้รู้ว่าวินสตันคิดไม่ซื่อกับเขาตั้งแต่แรกแล้ว!

ทว่าตกตะลึงได้ไม่ทันไร ประโยคสารภาพรักของไชร์ที่พนันกับโอเว่นในงานเลี้ยง
เพื่อแกล้งวินสตันกลับผุดขึ้นในหัว ในสายตาของวินสตัน คนที่เขาให้ความสนใจ
และให้ความสำคัญล้วนเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ฝีมือทัดเทียมกันบนสนามแข่ง
แต่คนอย่างฮันต์ เมื่ออยู่ต่อหน้าวินสตันก็เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง
ได้แต่ไล่ตามอยู่ข้างหลังเขาเสมอ…แล้วทีนี้เขาควรจะทำอย่างไรดีล่ะ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 43 กุหลาบหนังสือพิมพ์

 

คุณก็รู้อยู่ นัดเขากินข้าว จากนั้นก็กดเขาลงบนพื้นสไตล์ญี่ปุ่น เสียงดังปึง ได้อารมณ์มากใช่ไหมล่ะ”

“ฮ่า ๆ…ได้อารมณ์มากเลยครับ” ฮันต์ถูจมูก “คนที่คุณอยากกระโจนใส่ให้ล้มก็อยู่หลังคุณน่ะ”

“หา?” ออเดรย์หันไปก็เห็นวินสตันถือกระเป๋าเดินทางมือเดียวยืนอยู่ตรงนั้น

“นี่! ทำไมคุณไม่บอกฉันเร็วกว่านี้ล่ะ!” ออเดรย์แสร้งทำเป็นโกรธ ทุบไหล่ของฮันต์ทีหนึ่ง

“ฮ่า ๆ ๆ! ก็ต้องให้เทพบุตรของคุณรู้ความในใจคุณสิครับ!” ฮันต์เผยสีหน้าชั่วร้าย

ส่วนลึกในใจอดจะอิจฉาวินสตันไม่ได้อีกแล้ว

จากนั้น…ก็ปวดแปลบอย่างไม่มีสาเหตุ

“คุณวิลสัน” วินสตันผงกศีรษะด้วยสีหน้าที่ดูสุภาพมีมารยาทอย่างเคยอีกครั้ง

ฮันต์กระแทกไหล่ของวินสตันเบา ๆ แล้วพูดเสียงค่อย “เก่งนักนายก็ลามกอีกสิ!”

“นายแน่ใจ?” วินสตันถามเสียงเบา หน้าไม่เปลี่ยนสี

“ไม่เอาดีกว่า” ฮันต์มีลางสังหรณ์ว่าคนที่ซวยต้องเป็นเขาแน่

“พวกคุณ…มาพักร้อนด้วยกัน?”

“อืม ใช่ครับ พวกเราไปโนโบริเบทสึออนเซ็นกันมา!” ฮันต์ตอบยิ้มๆ

“มิน่าล่ะ ผิวของคุณถึงดูไม่เลวเลย ตอนนี้ฉันสรุปประสบการณ์อย่างหนึ่งได้”

“ประสบการณ์อะไรเหรอครับ”

“ต่อไปถ้าอยากสัมภาษณ์วินสตันโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า คนที่ฉันต้องถามไม่ใช่ทีมเฟอร์รารี แต่เป็นคุณ”

“ฮ่า ๆ ๆ!  ถ้างั้นต่อไปตอนคุณสัมภาษณ์ผม ต้องเขียนเรื่องดี ๆ นะ! ไม่งั้นผมไม่ให้ข่าววงในคุณหรอก!” ฮันต์ขยิบตา

พวกเขาเข้าแถวขึ้นเครื่อง หลังเข้าห้องโดยสารแล้ว ฮันต์พบว่าที่นั่งของออเดรย์อยู่แถวเดียวกับพวกตน แค่มีทางเดินกั้น

ฮันต์ช่วยออเดรย์วางสัมภาระอย่างสุภาพบุรุษ

“เที่ยวกับวินสตันรู้สึกยังไงบ้างคะ นักข่าวอย่างพวกเราอยากสัมภาษณ์วินสตันที่สุด แต่ก็กลัวที่สุด”

“ทำไมล่ะครับ” ฮันต์ถามอย่างสงสัย

“เพราะหลังจากทำผลงานน่าตื่นตา เขามักจะทำให้นักข่าวทุกคนเกิดเดดแอร์ได้เสมอน่ะสิ”

“ฮ่า ๆ ๆ!” ฮันต์หัวเราะออกมา แล้วหันมองวินสตันข้าง ๆ แวบหนึ่ง

หมอนี่ก็ยังอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนตอนขามา สีหน้าเหมือนกับรูปปั้นอันเงียบงัน ไม่อาจโยงกับไอ้คนกะล่อนที่ยกยิ้มมุมปากในเรียวกังออนเซ็นคนนั้นได้เลย

“พวกเราคาดหวังให้เขาพูดอีกหลายๆประโยคมากจริง ๆ ค่ะ”

ออเดรย์มองไปทางวินสตัน

ทั้ง ๆ ที่วินสตันรับรู้ความรู้สึกที่ออเดรย์มีต่อเขาได้ แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะพูดคุยกับอีกฝ่ายแม้สักคำ เพียงตอบคำถามตามมารยาทบ้างเป็นครั้งคราว

ฮันต์เอนตัวหาออเดรย์แล้วพูดเสียงเบา “ขืนหมอนี่คุยกับคุณจริง ๆ ละก็ เขาจะหยอกล้อคุณและหาวิธีทำให้คุณกระอักกระอ่วนอยู่เรื่อย อย่าเลยดีกว่า”

“หยอกล้อและทำให้กระอักกระอ่วน?” ออเดรย์เหลือบมองวินสตัน “ไม่หรอกมั้ง”

ฮันต์ยักไหล่

เวลานี้มีแอร์โฮสเตสคนหนึ่งเข็นรถเครื่องดื่มเดินผ่านมา

ฮันต์รู้สึกว่ามีคนรั้งคอเสื้อของเขา ดึงลำตัวท่อนบนที่ยื่นออกจากที่นั่งของเขากลับไป

แล้วรถเครื่องดื่มก็ถูกเข็นผ่านไป

“จริงสิ เดิมทีฉันเคยติดต่อทีมคุณเพื่อขอสัมภาษณ์คุณ แต่มาร์คัสบอกว่าคุณไปพักร้อน ที่แท้ก็อยู่กับวินสตันนี่เอง ไม่ทราบว่าเมื่อพวกเราถึงโตเกียวแล้วฉันขอสัมภาษณ์คุณได้ไหม”

ฮันต์กำลังจะตอบ แต่วินสตันที่นั่งเงียบมาตลอดกลับเอ่ยปากก่อน “พวกเราถึงโตเกียวแล้วก็จะบินตรงไปอาบูดาบี”

“นั่นสิ เสียดายจัง” ฮันต์เกาท้ายทอย

ไม่รู้เพราะอะไรฮันต์ถึงรู้สึกว่านับตั้งแต่เจอกับออเดรย์ วินสตันก็มีท่าทีแปลกไป

แน่นอนว่าวินสตันในตอนนี้ใกล้เคียงกับภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองเขามาก

“ถ้างั้นถึงอาบูดาบีแล้ว ฉันขอสัมภาษณ์คุณเป็นอันดับแรกเลยได้ไหม” แววตาของออเดรย์นั้นจริงใจมาก

“อืม ได้ครับ ถ้าทีมไม่มีเรื่องพิเศษอะไรก็น่าจะได้”

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะ”

“ได้ครับ”

บนเครื่องบิน ผู้โดยสารมากมายต่างกำลังพักผ่อน ฮันต์เลยไม่สะดวกที่จะคุยกับออเดรย์ต่อ เขาจึงเริ่มหลับตาทำสมาธิ

ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ากระดาษหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นของวินสตันที่อยู่ข้าง ๆ เหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนหน้าเลย

ออเดรย์รับน้ำแร่มาจากแอร์โฮสเตสแล้วลองบิดดู

“เฮ้อ น้ำขวดนี้ปิดแน่นจังน้า”

“ผมช่วยคุณเอง” ฮันต์รับน้ำมาลองบิดดูแล้วก็เปิดออก

จากนั้นวินสตันที่อยู่ข้าง ๆ ก็เปลี่ยนหน้าหนังสือพิมพ์ในที่สุด เสียงหน้ากระดาษขยับดังขึ้น

ฮันต์เอียงศีรษะเข้าไปดูว่าวินสตันอ่านอะไรกันแน่อย่างใคร่รู้

“ข่าวบันเทิง? นายอ่านไอ้นี่เหรอ”

นักร้องคนไหนเปิดคอนเสิร์ตอีกแล้ว ดาราคนไหนหย่าอีกแล้ว ภาพยนตร์เรื่องไหนอาจกวาดรางวัลออสการ์  เรื่องพวกนี้วินสตันล้วนไม่น่าติดตามเลยด้วยซ้ำ

วินสตันไม่ได้ตอบฮันต์ แต่เก็บหนังสือพิมพ์สอดไว้ในช่องเก็บของด้านหน้า

ฮันต์เกาท้ายทอยอย่างไม่เข้าใจ ดูเหมือนวินสตันจะอารมณ์ไม่ดี?

วินสตันกอดอกหลับตาลง

ฮันต์กลับรู้สึกแปลก ๆ ในใจ เขาตั้งใจหยิบหนังสือพิมพ์ออกมาเช็กเนื้อหาข้างในอย่างละเอียด

หน้าแรกก็คือเศรษฐกิจของสหรัฐฯกำลังเติบโต หน้าที่สองก็คือข่าวคราวชีวิตทั่วๆ ไปของประชากรในประเทศต่างๆ ทั่วโลก หน้าที่สามก็คือหน้าเศรษฐกิจโดยเฉพาะ ฮันต์อ่านไม่รู้เรื่องสักนิด หน้าที่สี่ข่าวบันเทิง…ไม่มีดาราน่าสนใจเลย

แล้ววินสตันอ่านอะไรถึงไม่สบอารมณ์กันล่ะ

พริบตานั้นฮันต์พลันจินตนาการอย่างหลงตัวเองว่า คงไม่ใช่เพราะหลังออเดรย์ปรากฏตัว เขาก็เอาแต่คุยกับหล่อน จนทำให้วินสตันรู้สึกว่าถูกเมินหรอกนะ

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกใช่

ถึงฮันต์จะรู้สึกว่ามีแค่วินสตันที่เมินคนอื่น ไม่มีใครเมินวินสตันได้ แต่จินตนาการแบบนี้ก็ทำให้ฮันต์เกิดความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น

เขากางโต๊ะเล็กด้านหน้า ฉีกหนังสือพิมพ์ออก ทั้งพับ ทั้งรีด กระทั่งออเดรย์ที่อยู่อีกฝั่งยังอดสงสัยไม่ได้ว่าฮันต์ทำอะไร

หลายนาทีต่อมาฮันต์ก็ใช้มือจิ้มวินสตัน

“อย่าเล่น” วินสตันเบือนหน้าไปพิงหน้าต่าง

ฮันต์จิ้ม ๆ เขาอีก

วินสตันลืมตาขึ้นช้า ๆ ก็เห็นฮันต์ยื่นดอกกุหลาบที่พับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์มาเบื้องหน้าตน

“ให้ดอกไม้นาย แล้วก็ห้ามไม่คุยกับฉันอีก”

วินสตันเหมือนจะอึ้งไป หลังจากนั้นก็เบือนหน้าไป

ฮันต์ยื่นศีรษะเข้าไปดูคล้ายอยากจะเช็กสีหน้าของอีกฝ่าย

“นายยิ้มใช่ไหม”

วินสตันยังคงไม่ตอบ

แต่ออเดรย์ที่อยู่อีกฝั่งอึ้งไปแล้ว หล่อนไม่เคยเห็นใครคบหากับวินสตันด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติแบบนี้มาก่อนเลย

วินสตันใช้มือผลักหัวฮันต์ออก

“อย่าเล่น”

ยังคงเป็นคำเดิม แต่ต่อให้เป็นออเดรย์ก็แทบจะฟังออกได้ว่าในน้ำเสียงของอีกฝ่ายเจือรอยยิ้มไว้จาง ๆ

“งั้นนายก็คุยกับฉันสิ” ฮันต์เสียบดอกไม้นั่นไว้ในช่องเก็บของด้านหน้าวินสตัน ยัดเยียดดอกกุหลาบหนังสือพิมพ์ให้

“นายอยากคุยอะไร” ในที่สุดวินสตันก็มองมาทางฮันต์ ถึงสีหน้าจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่ฮันต์แน่ใจว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายดีขึ้นแล้ว

“…อาหารบนเครื่องไม่อร่อยเลย” ฮันต์พูด

“นายเขียนคอมเพลนได้” วินสตันหลับตาทำสมาธิต่อ

“นายว่าฉันดึงเสื้อชูชีพออกมาดูได้หรือเปล่า”

“นายอยากโดนไล่ลงจากเครื่องบินหรือไง”

“ไม่อยาก แต่ฉันไม่เคยโดดร่มเลย”

“หลังจบสนามอาบูดาบีไปโดดที่ดูไบ” เสียงของวินสตันเรียบเฉย

“ฉันโดดไม่เป็น ถ้าเกิดตอนดึงร่มชูชีพช้าไปจะตกมาตายไหม หรือถ้าฉันสลบไปกลางอากาศล่ะ” ศีรษะของฮันต์พิงเก้าอี้ด้านหน้าราวกับเบื่อหน่ายมากจึงพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพียงเพื่อให้คนข้างกายเอ่ยปากพูดกับเขาเช่นกัน

“ฉันสอนนายโดดเอง”

“ทำไมนายถึงทำได้ทุกอย่างเลย”

“แต่ฉันทำให้นายเงียบปากแล้วนอนไม่ได้”

“…”

ก็ได้ หลับก็ได้

ฮันต์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขาเหลือบตาไปมองทางออเดรย์ อีกฝ่ายยิ้มบางมาทางเขา

ฮันต์รู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยาด้วยหัวใจที่เย็นเยือกของวินสตัน เขาหลับตาลง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป

เขาเอียงศีรษะหันไปทางออเดรย์

เมื่อเครื่องบินกระเทือนเบา ๆ ศีรษะเขาก็เอนร่วงไปด้านข้าง

วินสตันที่หลับตาอยู่ตลอดกลับเอื้อมมือไปโอบศีรษะของฮันต์มาพิงไว้บนบ่าของตน

ฮันต์สูดกลิ่นอายที่คุ้นเคยเข้าจมูกพลางขยับร่างคลอเคลียเข้าไปใกล้วินสตันอย่างไม่รู้ตัว

นิ้วของวินสตันลูบบนศีรษะของเขาเบา ๆ ฮันต์ก็หยุดแล้วหลับต่ออย่างสงบ ส่วนวินสตันก็เบือนหน้าไปพิงหน้าต่างนอนต่อ

ออเดรย์ที่มองพวกเขาอยู่นั้นกลับประหลาดใจ

หล่อนรู้ว่าวินสตันให้ความสำคัญกับฮันต์เสมอ ถึงขั้นในบรรดานักขับมากมายขนาดนี้ ฮันต์เป็นคนเดียวที่ทำให้วินสตันเอ่ยปากพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งรถได้ แต่วินสตันที่เป็นแบบนี้ก็เกินกว่าจินตนาการของออเดรย์อย่างสิ้นเชิง

ฮันต์หลับตลอดทางจนประกาศเครื่องแลนดิ้งดังขึ้น

เมื่อเครื่องบินแลนดิ้งแล้ว เหล่าผู้โดยสารก็ลงจากเครื่องทีละคน

ฮันต์ช่วยออเดรย์หยิบกระเป๋าลงมา ออเดรย์ยิ้ม “ฮันต์นี่เป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ เลยน้า”

“ฮ่า ๆ ถ้าไม่เป็นสุภาพบุรุษกับคุณ ผมได้โดนมาร์คัสฆ่าตาย”

“ถึงอาบูดาบีแล้วโทร.มานะคะ”

“แน่นอนครับ”

ฮันต์กำลังคิดจะเดินตามออเดรย์ออกไป ทว่าเสื้อด้านหลังกลับถูกรั้งไว้

พอหันไปก็เห็นวินสตันที่มือหนึ่งหิ้วกระเป๋า อีกมือถือดอกกุหลาบที่พับจากหนังสือพิมพ์ดอกนั้น

“อะไรล่ะ”

“ถือไว้ดี ๆ” วินสตันส่งดอกไม้ให้ฮันต์

“หา…”

“ถือจนถึงอาบูดาบี ถ้าตกละก็ ฉันจะไม่คุยกับนายอีก”

“นายจริงจัง?”

“นายคิดว่ายังไงล่ะ”

“…”

ฮันต์ถึงได้รู้ว่าวินสตันง้อไม่ง่ายเลย

เมื่อพวกเขาเดินอยู่ในทางเดินเพื่อเปลี่ยนเครื่อง ฮันต์เดินผ่านถังขยะ เขากำลังจะทิ้งดอกกุหลาบดอกนั้นลงไป วินสตันก็เหมือนมีตาอยู่ข้างหลัง หันหน้ากลับมามองเขาอย่างเย็นชา “นายจะทำอะไร”

“…ฉัน…ฉันบริหารมือนิดหน่อย…ฮ่า ๆ ๆ!”

ฮันต์บิดไหล่ หัวเราะแห้ง ๆ

“ถ้านายทิ้งดอกกุหลาบดอกนั้น ฉันจะซื้อหนังสือพิมพ์พันฉบับให้นายค่อย ๆ พับบนเครื่อง”

“เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง!” ฮันต์ร้องออกมาโดยไม่คิด

“เป็นไปไม่ได้? นายไม่รู้เหรอว่าฉันคือซูเปอร์วีไอพีของสายการบินนี้”

ความหมายก็คือ การที่เขาจะขอให้สายการบินเตรียมหนังสือพิมพ์พันฉบับให้ฮันต์นั้นเป็นเรื่องง่ายดายมาก

ฮันต์พลันรู้สึกว่าสายการบินช่างน่าสงสาร คำขอโรคจิตขนาดไหนก็ต้องตอบสนอง

เขาเก็บดอกกุหลาบนั้นคืนมาอย่างหงุดหงิด ก้มหน้าเดินตามหลังวินสตันไป

“ฉันลงเครื่องค่อยพับอีกดอกหนึ่งให้นายไม่ได้หรือไง” ฮันต์ถอนหายใจ

“สมมติว่าถ้ามีวันหนึ่งจู่ ๆ มาร์คัสจะขอผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงาน แต่เขาไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยพุ่งข้ามทางม้าลายไปแล้วซื้อแหวนเพชรวงหนึ่งให้ผู้หญิงคนนั้นอย่างฉุกละหุก จากนั้นหล่อนก็ทำแหวนเพชรหล่นหาย มาร์คัสเลยจองวงที่เหมือนกันอีกวงหนึ่งให้หล่อน นายคิดว่าวงไหนสำคัญกับหล่อนมากกว่ากัน”

“…มาร์คัสหย่ามาหลายครั้งแล้ว…” ฮันต์จับประเด็นในคำพูดของวินสตันไม่ถูกเลย

“ฉันถามนาย นายคิดว่าสำหรับผู้หญิงคนนั้นแล้ว วงไหนสำคัญกว่า”

วินสตันเดินเข้ามาใกล้ฮันต์ มองเข้าไปในดวงตาของเขาพลางถาม

“…วงแรกมั้ง”

“ทำไม”

“…เพราะวงแรกถึงจะเป็นแหวนที่ขอแต่งงานจริง ๆ วงที่สอง…ก็เหมือนตัวแทน?” หัวคิ้วของฮันต์มุ่นเข้าหากัน

ทำไมต้องถามคำถามพรรค์นี้กับเขาด้วยวะ!

“เพราะแหวนวงแรกไม่ได้ผ่านกระบวนการคิด มันเป็นการตอบสนองจากใจจริงทั้งสิ้น แต่แหวนวงที่สองไม่เพียงเป็นตัวแทน อีกทั้ง…มันยังเป็นของที่ผ่านกระบวนการคิดมาแล้ว” วินสตันพูด

“ก็ได้ๆ… แล้วกุหลาบดอกนี้เกี่ยวอะไรกับแหวนขอแต่งงาน” ฮันต์โบกกุหลาบหนังสือพิมพ์ในมือจนหัวมันตกแล้วง่อนแง่นไปมา

“สำหรับฉันแล้ว มันคือแหวนขอแต่งงานวงแรก เป็นความหุนหันพลันแล่น เป็นสัญชาตญาณที่ไม่ได้ผ่านการคิด ส่วนอย่างอื่นล้วนไม่จริงใจ” วินสตันหันหลังไป

ฮันต์ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ก้มหน้ามองดอกไม้กระดาษในมือ เดินตามอยู่ข้างหลังอีกฝ่ายอย่างจนคำพูด

“ปัญหาคือ มันก็แค่ดอกไม้ที่พับจากกระดาษหนังสือพิมพ์…ไม่เกี่ยวกับแหวนแต่งงานอะไรเลยสักนิด! ไม่งั้น…รอการแข่งขันที่สนามอาบูดาบีจบ ฉันไปจองโคตรแหวนเพชรวงหนึ่งให้นายที่ดูไบดีไหม!”

“นายจะขอฉันแต่งงานเหรอ” วินสตันหันมาถาม

“…นายเอามันไปขอคนอื่นแต่งงานได้นี่”

ฮันต์อธิษฐานต่อพระเจ้าในใจ ใครก็ได้รีบกำราบผู้ชายคนนี้ทีเถอะ!

แต่ไม่ถึงครึ่งวินาทีฮันต์ก็นึกเสียใจแล้ว

ถ้ามีคนอื่นมากำราบวอห์น วินสตัน จริง…นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีใครไปเที่ยวเป็นเพื่อนเขาแล้วใช่หรือเปล่า

ถ้างั้น…ก่อนเขาจะเจอคนในดวงใจ ก็ขอให้วินสตันโสดไม่เห็นหัวใครแบบนี้ต่อไปก่อนแล้วกัน!

“งั้นนายก็ถือดอกไม้ดอกนั้นต่อไปเถอะ”

วินสตันหันกลับไป ขาของเขาเดิมก็ยาวอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาจงใจเร่งฝีเท้าเลย ฮันต์จึงตามอยู่ข้างหลังอย่างลำบากมาก

“เฮ้…วินสตัน!”

ฮันต์ในตอนนี้รู้สึกว่าตนดวงตก ตอนอยู่บนเครื่องบินทำไมต้องพับดอกกุหลาบกระดาษบ้าบอนี่ด้วยวะ!

เวลานี้มีคนชนฮันต์เบา ๆ แต่เพราะตาเขามองวินสตันอยู่ตลอดจึงหลบไม่ทัน ดอกกุหลาบกระดาษในมือเลยถูกชนจนแบนแต๊ดแต๋

ฮันต์อึ้งอยู่กับที่ ตอนนี้เขาเพียงอยากให้ใครเอาหนังสือพิมพ์สักฉบับมาให้ แล้วฉวยโอกาสพับดอกใหม่ก่อนที่วินสตันจะหันกลับมา

เขามองไปรอบทิศ ตอนอยากได้หนังสือพิมพ์ดันหาไม่เจอ!

ชะตาชีวิตมันก็โหดร้ายแบบนี้แหละ!

และวินสตันก็หันกลับมาในตอนนี้เอง ฮันต์รู้สึกว่าทำไมตนไม่ถูกฟ้าผ่าตายให้เร็วกว่านี้สักหน่อยนะ

“ขอ…ขอโทษนะ…” ฮันต์ยกมือขึ้น แล้วดอกกุหลาบก็ร่วงลงไป

มีนักเดินทางลากกระเป๋าเดินทาง ล้อเลื่อนบดขยี้ซ้ำลงไป

ฮันต์ยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าตนจะเก็บขึ้นมาดีหรือไม่

เวลานี้วินสตันเดินกลับมาช้า ๆ เขาก้มตัวลงเก็บมันขึ้นมา

มันกางแผ่ออกจนไม่เหลือเค้าความเป็นดอกไม้เลย

“นายรู้ไหม…นายแทบไม่เคยให้อะไรฉันเลย”

พอวินสตันเอ่ยแบบนี้ หัวใจของฮันต์ก็คล้ายจมอยู่กลางห้วงมหาสมุทร

“นี่เป็นครั้งแรกที่นายคิดจะให้ของสักอย่างแก่ฉัน” วินสตันหลุบเปลือกตาลง

ฮันต์อยากพูดมากว่า ‘ถ้านายรู้สึกว่าสำคัญมาก นายก็เก็บมันไว้เองสิ ทำไมต้องให้ฉันถือตลอดเวลาด้วยวะ!’

แต่กลับไม่ได้กล่าวออกไป

“ฉันอยากให้นายถือมันไว้ตลอด เหมือนกับว่าขั้นตอนที่นายส่งมอบให้ฉันมันถูกยืดออกไป”

วินสตันหันหลังกลับแล้วยัดดอกไม้กระดาษที่บี้แบนใส่กระเป๋าส่ง ๆ ก่อนเดินจากไป

หัวใจของฮันต์เหมือนถูกอะไรกระแทก เขาสาวเท้าไล่ตามอย่างไม่รู้ตัว

วินสตันเงียบตลอดทาง กระทั่งสีหน้าก็ทำให้ฮันต์มองอารมณ์ใด ๆ ไม่ออก

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ฮันต์นึกถึงตอนที่วินสตันอยู่ในหน้าจอโทรทัศน์หรือเดินสวนกับเขาโดยบังเอิญ ก่อนที่ตนจะพบกับเขาในห้องน้ำที่สแปนิชกรังด์ปรีซ์ครั้งแรก สีหน้าของเขา…คล้ายกับพวกเขาไม่เคยรู้จักกันเลย

ทั้งคู่นั่งอยู่บนไฟลต์บินสู่อาบูดาบี ทั้งที่ที่นั่งใกล้กันมากแท้ ๆ แต่ฮันต์กลับรู้สึกห่างไกลมาก

ตั้งแต่วางสัมภาระ จนรัดเข็มขัดนิรภัย กระทั่งเครื่องขึ้นบิน ฮันต์รู้ว่าวินสตันโกรธตนจริง ๆ แล้ว โอเค พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดว่า ‘เลิกคบ’ อีก บางทีอีกไม่นานวินสตันก็จะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ฮันต์ถึงขั้นเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่วินสตันโกรธ อีกทั้งเขาก็ไม่อยากให้ในอนาคตวินสตันแสร้งทำเหมือนไม่โกรธอีก

คนที่ทำนิสัยเด็กและเอาแต่ใจเป็นเขาเสมอมา แล้วถ้าบางครั้งบางคราววินสตันจะเอาแต่ใจแบบนี้ ตนจะ…จะใจกว้างถึงขั้น ‘ง้อ’ เขาได้หรือเปล่านะ

หลังจากนั้นฮันต์ก็จิตใจหดหู่…เขาจะมีอะไรไปง้อวินสตันได้ล่ะ! ถ้าพูดถึงพฤติกรรม ฮันต์ดูเหมือนร่าเริงสดใส แต่ที่จริงวินสตันสามารถแก้ปัญหาได้มากกว่าเขา ได้รับการเคารพจากผู้คนมากกว่าเขา พูดถึงเรื่องเกร็ดความรู้รอบตัว เขาก็เป็นตัวมอดที่กินรอวันตายชัด ๆ แต่วินสตันกลับสามารถวางแผนการเที่ยวที่ฉุกละหุกได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ใครง้อใครกันล่ะเนี่ย…

จู่ ๆ ฮันต์ก็รู้สึกสิ้นหวัง

เครื่องบินบินมาสองชั่วโมงแล้ว วินสตันไม่พูดกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว

เศร้าจัง…

เขาเอาหน้าผากพิงเก้าอี้แถวหน้า ก่อนจะหันหน้าไปใช้นิ้วมือรั้งแขนเสื้ออีกฝ่าย

วินสตันเบือนหน้าหนี หลบเลี่ยงฮันต์อย่างชัดเจน

อ่า…คนที่ไม่เคยโกรธเลย พอโกรธขึ้นมาก็ยุ่งยากจริง ๆ!

“นายไม่สนใจฉัน ฉันเสียใจ…”

อีกฝ่ายยังคงเงียบ

“นายรู้ไหม ก่อนพบกับนาย…แม็คเกรดีด่าฉันยังไงฉันก็ไม่โกรธเลย”

ยังคงไม่มีใครสนใจเขาตามเดิม ฮันต์ถามเองตอบเองต่อไป

“คราวนั้นในห้องโถงของโรงแรม ตอนแม็คเกรดีด่าฉัน ฉันลนจนพูดไม่ออก…เพราะนายก็อยู่ข้าง ๆ ฉัน ฉันไม่อยากให้นายได้ยินคนอื่นพูดถึงฉันไม่ดี”

ฮันต์หลุบตาลง เขาเองก็ไม่อยากหันไปมองว่าสีหน้าของวินสตันเป็นอย่างไรกันแน่

“การเดิมพันของฉันกับแม็คเกรดี…ก็ไม่ใช่ว่าเข้าหกอันดับแรกได้แล้วเขาจะเลิกเล่นงานฉัน…แต่เป็นเพราะเขาจะไม่เอานายมาเล่นงานฉันอีก แต่สนามซิลเวอร์สโตนเซอร์กิตฉันได้แค่อันดับแปด ฉันเลยร้องไห้”

เสียงของฮันต์อู้อี้

“ฉันพูดเรื่องจริงให้นายฟัง นายยังโกรธฉันอยู่ไหม บางทีนายอาจรู้สึกว่านาน ๆ ทีฉันจะให้อะไรนาย มันเลยสำคัญมาก ก็เพราะของพวกนี้เป็นของที่ฉันให้นายไม่ใช่หรือไง แล้วถ้าคนอื่นในทีมนายให้นาย นายจะยังรู้สึกว่ามันสำคัญขนาดนั้นอยู่ไหม ฉันคือคนที่พับดอกกุหลาบกระดาษนั่น แต่นายกลับรู้สึกว่าฉันไม่ได้สำคัญเท่าดอกกุหลาบกระดาษ”

ฮันต์รู้สึกเศร้าสุดขีด

สิบกว่าวินาทีต่อมา เสียงที่เจือแววเย็นชาจาง ๆ แต่อ่อนโยนก็ดังขึ้น

“คำพูดสัตย์จริงบนโลกนี้เดิมทีก็มีไม่มาก ท่าทางก้มหัวเสียใจของนาย จริงๆ ล้ำค่ายิ่งกว่าดอกกุหลาบที่พับออกมาจากหนังสือพิมพ์เสียอีก”

ฮันต์ไม่ได้มองอีกฝ่าย แค่ชูกำปั้นขึ้นมาทุบบนบ่าของวินสตัน

“นายจงใจ?”

“ใช่สิ”

“ทำไม”

“ฉันอยากเห็นท่าทีของนายเวลาที่ช่วยฉันคลายเศร้า” น้ำเสียงของวินสตันเรียบเฉยเช่นนั้น

จากนั้นมุมปากของฮันต์ก็ยกขึ้น เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น คาดผ้าปิดตา เอียงหัวไป เตรียมตัวนอน

“ฉันนึกว่านายจะโมโหจนระเบิดออกมา”

นิ้ววินสตันเกี่ยวผ้าปิดตาของฮันต์เบา ๆ แสงสว่างลอดเข้ามา จากมุมนี้ฮันต์สบตากับวินสตันผ่านรอยแยกได้พอดี

มันอบอุ่นอ่อนโยนราวกับอะไรบางอย่างที่มีสีฟ้ากำลังหลอมละลาย

“ฉันไม่มีอะไรจะให้นายได้ เลยได้แต่ให้สิทธิ์ในการเอาแต่ใจนิดหน่อยกับนาย”

“สิทธิ์ในการเอาแต่ใจอะไร”

“สิทธิ์ดูฉันคลายเศร้าให้นายไง คนอื่นทำไม่ได้หรอก” ฮันต์เหยียดมุมปาก

“งั้นก็ขอบคุณ” นิ้วของวินสตันเลิกผ้าปิดตาของฮันต์สูงขึ้น เขาโน้มตัวเข้าไปหา ฮันต์มองเห็นริมฝีปากของเขาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น “พระราชาของฉัน”

นิ้วของวินสตันผละไปแล้ว ผ้าปิดตาร่วงกลับลงมาปิดดวงตาของฮันต์ ทุกสิ่งเข้าสู่ความดำมืด

แต่ฮันต์กลับรู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังเต้นอย่างคลุ้มคลั่ง

งั้นก็ขอบคุณ พระราชาของฉัน

พระราชาของฉัน

เป็นเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของวินสตัน

ฮันต์พลันว้าวุ่นขึ้นมา เขาตะแคงตัวไป

ว่าตามหลักการแล้วเขาควรหลับทันทีเมื่อหัวถึงหมอน แต่ภายในสองสามนาทีเป็นอย่างน้อยนี้ สิ่งที่วิ่งวนอยู่ในสมองของเขาคือประโยคนั้น

พออุตส่าห์นอนหลับแล้ว แอร์โฮสเตสก็เริ่มแจกจ่ายอาหารอีก ฮันต์ดึงผ้าปิดตาขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ อาหารของสายการบินเอมิเรตส์พอกินได้ แต่…กินไม่อิ่ม

ฮันต์กินอาหารบนเครื่องหมดก็เริ่มคิดว่าจะเอาขนมปังมากินด้วยดีไหม

นิ้วมือของเขามีแรงไม่น้อยแท้ ๆ แต่กลับไม่มีปัญญาจะแกะห่อเนยเล็กๆ

สุดท้ายเขาจึงใช้ฟันกัดขอบห่อ…ผลคือขอบของมันถูกเขากัดออกมา แต่กระดาษห่อยังอยู่

ฮันต์โยนห่อเนยกลับเข้าไปในกล่องอาหารแล้วเงยหน้าขึ้นถอนหายใจอย่างเสียดาย

มันก็แค่เนยก้อนเล็ก ๆ ไม่ใช่เหรอ…ไม่ได้กินก็ช่างมันเถอะ ถ้าจะต้องเปลืองแรงมากมายขนาดนั้น…

ทันใดนั้นเขาพลันคิดถึงคำที่วินสตันพูดกับตนในเรียวกังออนเซ็น ‘ใส่ถุงยาง หกแคลอรี’

ใบหน้าก็ค่อย ๆ แดงขึ้นมา ทว่าหูกลับแว่วเสียงของวินสตัน

“อ้ามมม” วินสตันเชิดคางขึ้น ทำท่าอ้าปาก

ฮันต์หันหน้าไปก็เห็นนิ้วมือของวินสตันหนีบขนมปังมาจ่อยังริมฝีปากของเขา

ฮันต์เผลออ้าปาก เมื่อกัดขนมปังถึงพบว่าข้างในทาเนยไว้เรียบร้อยแล้ว

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า