曾是年少时
รักเธอตั้งแต่วันวาน
ชิงเหม่ย 青浼 เขียน
หนูน้อยฉี แปล
— โปรย —
สำหรับจินหยางแล้ว ที่น่าเสียดายที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่เวลานี้เธอไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา
อย่างน้อยถ้าอยู่ข้างๆ เขาก็พอจะมอบอ้อมกอดที่อบอุ่นให้เขา
หรือไม่ก็ตบไหล่เขาเงียบๆ ได้
พวกเราควรเรียนรู้หลักการหนึ่งตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นก็คือ
อีสปอร์ตไม่ได้มีชัยชนะและเกียรติยศอยู่เคียงข้างตลอดเวลา
ยิ่งเสียงปรบมือในจุดที่สว่างไสวดังมากเท่าไหร่
เงาดำหลังแสงก็จะยิ่งมืดมนมากเท่านั้น
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
77
หลังเธอไปถึงแวนคูเวอร์แล้ว ทุกอย่างก็ราบรื่นกว่าที่เธอคิดไว้มากเพราะพ่อซื้อบ้านไว้ก่อนแล้ว…กว่าเธอจะลงทะเบียน เรียน จัดการตัวเองและแมวเรียบร้อยก็ราวกลางเดือนกันยายน
เธอพบว่าการส่งเธอมาแวนคูเวอร์ไม่ได้ช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษของเธอมากเท่าไหร่นัก นอกจากในมหาวิทยาลัยที่เธอพูดคุยด้วยภาษาอังกฤษแล้ว สภาพแวดล้อมบ้านเธอก็เต็มไปด้วยร้านอาหารจีนกับซูเปอร์มาร์เก็ตของคนจีน…
นี่ทำให้เธอยิ่งมั่นใจว่าตอนนั้นที่พ่อเธอคิดจะส่งเธอมาต่างประเทศก็แค่อยากหาเหตุผลแยกเธอออกมา แล้วค่อยส่งเฉินหยวนเข้าโรงพยาบาล
การรับรู้นี้ กอปรกับความอาลัยที่ต้องแยกจากแฟนหนุ่มทำให้เธอไม่ยอมคุยดีๆ กับพ่อเธอหลายวัน จวบจนตอนหลังเธอค่อยได้สติกลับมา ในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่แล้ว การต่อต้านใดๆ ล้วนสูญเปล่าและไร้ประโยชน์
“…ถ้าลูกคิดจะกลับบ้านช่วงวันหยุดคริสมาสต์ก็กลับได้นะ พ่อซื้อตั๋วเครื่องบินที่นั่งชั้นหนึ่งให้ลูกวางขายาวๆ ของลูกได้” จินหยางมองพ่อเธอที่อยู่อีกฝั่งของวิดีโอคอล พ่อเธอพูดเสียงเหมือนเมตตาเปี่ยมล้น “แต่ถ้าลูกอยากทรมานตัวเองก็ตามใจ”
“ชั้นหนึ่งอะไรกันคะ พ่อเอาเงินนั่นมาให้หนูแทนเถอะค่ะ หนูจะเอาไปซื้อกระเป๋าเพิ่มอีกสักใบ…พ่อรู้ไหมคะว่าผักทางนี้แพงขนาดไหน” จินหยางบ่นกระปอดกระแปด “ตอนหนูไปซูเปอร์มาร์เก็ตไม่กล้าหยิบผักมั่วซั่วตามใจชอบ! หนูจะหิวตายอยู่ที่แวนคูเวอร์แล้วค่ะ!”
จินหยางแผดเสียงออกมาจากใจจริง ทว่าพ่อเธอเหมือนมีภูมิต้านทาน เขาไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดเหลวไหลไร้สาระพวกนี้ของเธอ…แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังวางสายวิดีโอคอล จินหยางก็ได้รับข้อความจากธนาคารแจ้งว่าบัตรของเธอมียอดเงินโอนเข้ามาหกหลัก
…บางครั้งผู้ชายก็มองออกว่าผู้หญิงดีแต่โวยวาย ทำตัวไร้เหตุผล แต่นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่พวกเขายอมถูกหลอกด้วยความเต็มใจ
จินหยางอุ้มอาเหมาขึ้นมาพร้อมกับรู้สึกสุขใจ เธอใช้เงินที่พ่อเธอโอนให้ไปซื้อผักและอาหารแมว
ยามที่เธอกดสั่งของ มีเสียงจากประตูข้างนอก จินหยางเงยหน้ามองโถงทางเดินแววตาค่อนข้างเย็นชา แค่มองผาดเดียวก็เห็นชายหนุ่มยืนอยู่นอกประตู ใช้มือหนึ่งยันผนังไว้ขณะถอดรองเท้าออก สีหน้าเขาแดงจาง น่าจะเพิ่งเจรจาธุรกิจเสร็จและดื่มเหล้ามา
“ข้างนอกหนาวนิดหน่อย” ปินเหวินพูด “วันนี้เฉินหยวนบอกว่าอุณหภูมิที่จีนยังสามสิบกว่าองศาอยู่เลย”
จินหยางใช้ปลายนิ้วเกาหูแมวในอ้อมกอด เธออยากพูดว่า “ข้างนอกหนาวหรือไม่หนาวแล้วมันเกี่ยวบ้าอะไรกับฉัน” แต่ปินเหวินพูดถึงเฉินหยวน จินหยางไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือเปล่า นี่ทำให้คำพูดจ่อถึงปากเธอแล้วก็กลายเป็นคำตอบที่อ่อนโยนสบายๆ “พรุ่งนี้ตอนพี่ออกไปข้างนอกก็เอาแจ็กเก็ตไปด้วยนะ”
คำตอบเรียบเฉยของจินหยางทำปินเหวินเผยยิ้มบาง
คล้ายบรรยากาศปรองดองกันมากโข
ตอนปินเหวินก้าวขึ้นชั้นบนฝีเท้าไม่มั่นคงสักเท่าไหร่
จินหยางขมวดคิ้ว รู้สึกรังเกียจความปรองดองที่แสนจอมปลอมนี้…เธออุ้มแมวแล้วลุกขึ้นเดินลิ่วขึ้นชั้นบนไม่พูดไม่จา เมื่อกลับถึงห้อง เธอก็หยิบมือถือออกมาส่งคำขอวิดีโอคอลไปหาอ้ายเจีย
ทางนั้นรับสายเร็วมาก เหมือนเด็กหนุ่มเพิ่งตะเกียกตะกายออกจากผ้าห่ม ตอนเขากดรับสายยังหลับตาอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นวิดีโอคอล แต่เขายังทำตัวซื่อบื้อกดมือถือแนบหู…จินหยางทันเห็นแค่ใบหน้างัวเงียขยับเข้ามาใกล้ในองศาที่ไม่ค่อยดีนัก จากนั้นเธอก็เห็นสิวหนุ่มบนปลายจมูกของอ้ายเจีย ก่อนที่หน้าใหญ่ๆ ของเขาจะกดทับหน้าจอจนมืดมิด…
“เอามือถือออกไปห่างๆ หน่อย” จินหยางสั่ง “พวกเราวิดีโอคอลกันอยู่นะ น้องนักศึกษา”
“อ้อๆ” อ้ายเจียหาวหวอดทีหนึ่ง ใบหน้ายู่ยี่ปรากฏในคลองจักษุของจินหยางอีกครั้ง “ตอนนี้ที่จีนเจ็ดโมงเช้า ฉันเพิ่งนอนไปได้สองชั่วโมง…”
“นายเพิ่งนอนตอนตีห้าเหรอ”
“…กลางเดือนแล้ว ฉันใกล้จะตกไปที่แรงก์ไดมอนด์สองแล้ว นี่ก็หมายความว่าถ้าฉันไม่ลงแรงก์โต้รุ่ง ตอนประเมินผลสิ้นเดือน ฉันจะถูกหักเงินเดือนส่วนหนึ่ง (ทุกสิ้นเดือน สโมสรอีสปอร์ตของจีนจะประเมินอันดับในเกมของนักกีฬา ปกติแล้วจะเรียกร้องให้นักกีฬารักษาระดับไดมอนด์หนึ่งของเซิร์ฟเวอร์เกาหลีใต้ หรือไม่ก็ระดับมาสเตอร์ขึ้นไปของเซิร์ฟเวอร์จีน ไม่งั้นจะหักเงินเดือนส่วนหนึ่ง)…” อ้ายเจียพึมพำต่อ “ไดมอนด์สองคือนรก ทุกคนยังกะคนปัญญาอ่อน บางทีฉันก็อาจดูปัญญาอ่อนในสายตาพวกเขาเหมือนกัน เวลาพิมพ์ด่าคนและโยนความผิดให้กันในช่องสนทนาสาธารณะเทียบกันแล้วยังมุ่งมั่นตั้งใจยิ่งกว่าตอนตีบอสซะอีก นี่เป็นอะไรที่น่าอายที่สุด”
อ้ายเจียบ่นขรมเป็นชุด
ทางด้านหลังของเขา อ้ายซาพลิกตัวทีหนึ่ง พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ฉันเพิ่งหลับ” ก่อนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัวตัวเอง
อ้ายเจียหรี่ตาครึ่งหนึ่งและเบะปาก จินหยางขบคิดครู่หนึ่งก่อนสัญญาว่าวันหน้าจะระวังเรื่องความต่างของเวลา
“ไม่เป็นไร ช่วงนี้อ้ายซาหงุดหงิดตลอดเวลาอยู่แล้ว…เขาแค่ตื่นเต้นกับการแข่งนัดตัดเชือกที่ใกล้เข้ามา เกมแรกต้องแข่งกับทีม ZGDX” อ้ายเจียอธิบาย “เธอไม่ต้องระวังเรื่องความต่างของเวลากับฉันหรอก ฉันพักตามเวลาแวนคูเวอร์ พวกเราเป็นคู่แท้ฟ้าประทาน”
จินหยางไม่รู้ว่าอ้ายเจียตื่นนอนดีแล้วรึยัง ไม่งั้นเขาก็มีความสามารถที่หลับตาแล้วยังป้อนคำหวานได้
จินหยางมองออกว่าอ้ายเจียง่วงมาก เธออยากให้เขาไปนอน ขณะเดียวกันเธอก็อยากคุยกับเขา ต่อให้รออีกไม่กี่ชั่วโมง รอจนเขาตื่นแล้วค่อยคุยกันก็ไม่ได้
…แม้เธอจะไม่มีเรื่องอะไรสำคัญเลยก็ตามที
เธอแค่ชวนคุยเรื่อยเปื่อย…
“ฉันเห็นในอินเทอร์เน็ต ทั้งเวยปั๋วและเทียปาเหมือนมีสงครามระหว่างแฟนคลับจนศพกองเกลื่อน คล้ายบอกว่าแชมป์ฤดูร้อนจะได้รับสิทธิ์เข้าแข่ง S Series ผู้คนเลยโวยวายอยากเห็นทีม ZGDX กับทีม YQCB เข้าแข่ง S4 กันทั้งคู่”
“ไม่ได้มีคนที่คิดแบบนี้เยอะนักหรอก” อ้ายเจียถูหัวกับหมอน ปิดตาตอบ…แม้ทำโดยไม่รู้ตัว แต่จินหยางรู้สึกว่าเขาที่เป็นแบบนี้น่ารักมาก “ถึงฟอร์มการเล่นของทีม YQCB ช่วงนี้จะดีขึ้น แต่ในใจของแฟนคลับรู้ดีว่าไม่ว่าจะมองยังไงพวกเราก็ไม่เหมือนทีมที่จะคว้าแชมป์ S Series ได้ ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้วพวกเขาหวังให้ทีม ZGDX ชนะมากกว่า”
“หือ”
“ดังนั้นอ้ายซาเลยหงุดหงิดขนาดนั้นไง เขาเป็นโรคจิต มักคิดว่าสาเหตุที่พวกแฟนคลับไม่คาดหวังในตัวพวกเรามากขนาดนั้นเป็นเพราะเขาแพ้เยอะเกินไป”
อ้ายเจียอรรถาธิบายก่อนหาวหวอดอีกที…
“ความจริงก็คือตอนพวกเราแข่งนัดฝึกซ้อมกับทีมในภูมิภาคเกาหลีใต้ พวกเราไม่เคยชนะเลยสักเกม…กลยุทธ์ที่ทีม TAT ใช้ตอนแข่งรอบชิงชนะเลิศ S3 พอมาปีนี้ก็ใช้กลยุทธ์นี้กันทั่วภูมิภาคเกาหลีใต้ เก็บเลเวล ดันเลนอะไรพวกนั้น นั่นเป็นกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว เทียบกับรูปแบบการเล่นของทีมในภูมิภาคจีนของพวกเรา…ฉันไม่ได้พูดเกินจริงนะ อันที่จริงไม่ใช่เพราะพวกเขาเก่งมาก แต่ฉันรู้สึกว่าเหมือนพวกเราเล่นกันคนละเกม”
จินหยางเท้าคางมือหนึ่งขณะกวาดสายตาผ่านปลายจมูกของเด็กหนุ่ม เธอเริ่มปล่อยความคิดให้ล่องลอย…เธอใจลอย คิดว่าถ้าเวลานี้เธออยู่ตรงหน้าอ้ายเจีย เธออาจเลือกที่จะบีบปลายจมูกของเขา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอโค้งมุมปาก อารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนับแต่เจอปินเหวินเมื่อกี้ค่อยดีขึ้น
“งั้นพวกนายคิดจะทำยังไง” เธออาศัยหัวข้อสนทนาที่คุยกันอยู่นี้ตั้งคำถามที่พอจะให้เด็กหนุ่มพูดต่อได้อีกนาน
“ไม่ทำยังไงหรอก ให้เข้าไปแข่ง S Series ได้แล้วค่อยว่ากัน” อ้ายเจียยักไหล่ “นี่น่าจะเป็นความแตกต่างของพวกเรากับทีมอีสปอร์ตของเกาหลีใต้ ขณะที่คนส่วนมากหรือแม้กระทั่งนักกีฬาอาชีพในจีนเรียกการเล่นเกมว่า ‘เล่นเกม’ ส่วนชาวเกาหลีใต้กลับรู้สึกว่าพวกเขากำลังทำงาน”
“มาตรฐานฝีมือของนักกีฬาอีสปอร์ตเกาหลีใต้เหมือนเก่งกว่าจีนอยู่ไม่น้อยนี่”
“ตอนนี้เพิ่งรู้เรื่องนี้ดูจะช้าไปหน่อยแล้ว…อย่างน้อยปีนี้ก็ช้าไปแล้ว”
“ถ้าเสี่ยวเซียนรู้ว่านายพูดแบบนี้จะต้องโกรธมากแน่”
“เขาพูดเอง” อ้ายเจียบอกอย่างไม่ใส่ใจ “อีกอย่าง พอพูดถึงเสี่ยวเซียน เสี่ยวเซียนฟ้องร้องผู้หญิงที่โพสต์กระทู้ครั้งก่อนแล้วจริงๆ เจ้าหล่อนน่าอนาถมาก…”
“นายสงสารสาวงามแล้ว”
“นี่เป็นน้ำเสียงยินดีต่างหาก” อ้ายเจียแก้ “ในฐานไม่มีทีมงานที่คอยถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงบอร์ดสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก…”
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่อยเปื่อยกันคนละประโยคสองประโยค ไม่มีประเด็นสำคัญอะไรเท่าไหร่ แค่รายงานชีวิตช่วงนี้ให้อีกฝ่ายรับรู้ ตั้งอกตั้งใจเปรียบเทียบสภาพอากาศของเมือง S กับแวนคูเวอร์…ไม่ได้ตั้งใจหาหัวข้อสนทนามาคุยกันแต่เป็นการพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติทั่วไปและบังเอิญคุยมาถึงเรื่องนี้มากกว่า
อ้ายเจียจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ขณะที่จินหยางก็ไม่ค่อยได้ใช้สมองครุ่นคิดอะไรมากนัก…นี่ทำให้ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มที่นอนซุกอยู่ในผ้าห่มและวิดีโอคอลคุยกับเธอ คุยไปคุยมาก็ผล็อยหลับไปแล้ว ซ้ำยังส่งเสียงกรนเบาๆ ด้วย
เวลานี้จินหยางพูดถึงประเด็นที่ว่า “ผลไม้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตต่างประเทศแพงมาก อ้อยท่อนหนึ่งราคาตั้งยี่สิบหยวน” พอเธอได้ยินเสียงกรนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มหลับไปแล้ว…
มือถือของเขาวางอยู่ในซอกระหว่างหมอนสองใบ โดยตั้งตรงส่องให้เห็นวงหน้าของเขา…
จินหยางลังเลชั่วครู่ ค่อยจ้องขอบตาดำจางๆ ใต้ตาเขาและใบหน้าตอนหลับของเขาพักหนึ่ง เธอไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่น
แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้กดวางสายวิดีโอคอลเช่นกัน
เพียงแต่เวลานี้อาเหมาขยับเข้ามาใกล้ น่าจะเพราะได้ยินเสียงอ้ายเจีย มันเลยร้อง “เมี้ยวๆ” ใส่มือถือ จากนั้นก็เอียงคอ หรี่ตาถูไถตัวกับหน้าจอมือถือ
“อาเหมา” จินหยางยื่นมือไปลูบหัวขนๆ ของเจ้าขนฟูในอ้อมกอด กดเสียงต่ำราวกับขโมยขโจรขณะถามว่า “หนูคิดถึงพ่อแล้วใช่ไหม”
“เมี้ยว”
“แม่ก็คิดถึงเหมือนกัน” จินหยางพูดยิ้มๆ ตามองเด็กหนุ่มที่สัมผัสไม่ได้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์ เธอกะพริบตาปริบๆ พูดเสียงดังที่พอแค่เธอกับแมวได้ยินว่า “เพิ่งจากกันแค่ครึ่งเดือน แต่แม่ก็คิดถึงเขามากเลย”
วันต่อมา ตอนจินหยางตื่นขึ้นมา เธอใช้เวลาห้าวินาทีกว่าจะคิดออกว่าเธอหลับไปขณะที่เปิดโทรศัพท์วิดีโอคอลกับอ้ายเจียซึ่งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก…
ราวกับเป็นเรื่องที่คู่รักทั่วโลกเขาทำกัน
จินหยางลุกขึ้น ดึงสายชาร์จมือถือออก เวลานี้เองอีกฟากของมือถือเหมือนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของเธอ เขาเงยหน้ายิ้มสวัสดีกับเธอ อ้ายเจียนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาเริ่มฝึกซ้อมในวันใหม่แล้ว
จินหยางหาวก่อนกล่าวอรุณสวัสดิ์กับอ้ายเจีย จากนั้นเธอวางมือถือ หมุนตัวไปล้างหน้าแปรงฟัน สามนาทีต่อมาเธอก็หยิบมือถือแล้วเดินลงไปชั้นล่าง เตรียมกินอาหารเช้า
ตอนจินหยางลงมา เธอยังคิดไม่ออกว่าวันนี้จะกินอะไรดี สุดท้ายเมื่อลงมาถึงก็พบว่าบนโต๊ะอาหารมีอาหารเช้าวางไว้จำนวนหนึ่งแล้ว…
น้ำผลไม้ นม ข้าวโอ๊ต และเฟรนซ์โทสต์ รวมถึงผักสลัด ไข่ไก่ มะเขือเทศที่หั่นไว้เรียบร้อยแล้ว…อีกด้านหนึ่งของโต๊ะอาหาร ชายหนุ่มในชุดสูทนั่งหลังตรง เขาเงยหน้ามองจินหยางผ่านหนังสือพิมพ์ก่อนวางหนังสือพิมพ์ลง “เธอตื่นแล้วเหรอ”
ดูแล้วเขาสบายดีมาก สภาพค่อนข้างทุลักทุเลเมื่อวาน ฝีเท้าไม่มั่นคงขณะเดินขึ้นชั้นบนอันตรธานสิ้น
จินหยางเลิกคิ้วพลางนั่งลงข้างโต๊ะอาหาร จังหวะนี้เองเด็กเกรียนในมือถือก็หูผึ่งแล้ว “ทางเธอมีคนอยู่ด้วยเหรอ”
“อืม” จินหยางลากจานสลัด “คนขับรถบ้านฉันน่ะ”
เธอพูดพลางเหลือบมองปินเหวินด้วยหางตา สีหน้าของปินเหวินไร้อารมณ์ เขาแค่ยื่นมือไปดันจานเฟรนซ์โทสต์ให้เธอ…จินหยางขมวดคิ้ว “เช้าขนาดนี้ใครจะกินของมันเยิ้มแบบนี้กัน”
น้ำเสียงของเธอไม่เป็นมิตร อ้ายเจียได้ยินแล้วหัวเราะ “เธอเลือกกินอีกแล้วนะ อยากโดนอัดใช่ไหม”
ในน้ำเสียงเขาไม่บ่งบอกว่าอยากอัดคนเลยสักนิด ถึงขั้นฟังแล้วมีความสุขมากด้วย
จินหยางก้มหน้ากินสลัดของตัวเอง ส่วนปินเหวินเปิดหนังสือพิมพ์ดังพึ่บพั่บๆ ก่อนชะงักไปครู่หนึ่งและถามว่า “แฟนเธอเหรอ”
จินหยางตอบรับ “อืม” โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
“ทำงานอะไร”
“เด็กติดเกม”
“…” ปินเหวินวางหนังสือพิมพ์ลง ท่าทางประหลาดใจอยู่บ้าง เขามองจินหยางข้ามโต๊ะที่คั่นกลางพวกเขา ดูคล้ายเขายังคิดว่าหูของตัวเองมีปัญหา “อะไรนะ”
“อายุเริ่มเยอะแล้ว อยากหาอะไรตื่นเต้นในชีวิตเลยไปเก็บแฟนหนุ่มมาจากถังขยะในซอย” จินหยางพูดทั้งสีหน้าไร้ความรู้สึก “มีปัญหาเรอะ”
ปินเหวินไม่ปริปากอีก เขาส่ายหัว ลุกขึ้นยืน ก่อนหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไปข้างนอก ตอนนี้เองอ้ายเจียที่อยู่ในสายโหวกเหวกโวยวาย เธอเลยปรับระดับเสียงให้ดังที่สุด…
“รุ่ยถ่า! ดาร์ก! ดาร์ก! พวกเขาจะต้องอยู่ที่หลุมบอสดาร์กไนต์เอิร์ลแน่ นายไปแย่งมาๆ ถ้าแย่งกลับมาได้ฉันยอมเป็นหมาให้นายเลย! อาๆๆ อาๆๆ อาๆๆ แย่งมาได้แล้วเพื่อนรัก…โฮ่งๆๆ!”
จินหยางเห็นกับตาว่าปินเหวินชะงักท่วงท่าที่ก้มลงสวมรองเท้าไปอึดใจหนึ่ง เธอยกยิ้มอย่างยินดีปรีดา
ปินเหวินไปแล้ว
จินหยางอารมณ์ดี กินสลัดจานนั้นจนหมด จากนั้นลุกขึ้นเตรียมเก็บกระเป๋าไปโรงเรียนอย่างพึงพอใจ มือถือเธอส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า ประโยคหนึ่งเด้งขึ้นมา…
[CWM : ปินเหวินบอกว่าลูกไปคว้าอันธพาลมาเป็นแฟนงั้นเรอะ ลูกอยากทำให้ใครอกแตกตายฮึ]“…”
บ้าชะมัด
ไอ้ขี้ฟ้อง
จินหยางมุมปากตกอีกครั้งอย่างไม่พอใจ
เมื่อสภาพอากาศเย็นลงเรื่อยๆ หลังผ่านช่วงร้อนระอุของฤดูร้อนไปแล้วก็เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง
ไม่นานเดือนกันยายนก็ผันผ่าน ทีม YQCB ถูกทีม ZGDX เขี่ยตกรอบตั้งแต่แข่งรอบรองชนะเลิศตามคาด ทีม ZGDX จึงได้ครองแชมป์การแข่งขันฤดูร้อน
ผู้คนต่างชื่นชมลู่ซือเฉิง ชื่นชมกลยุทธ์ของภูมิภาคเกาหลีใต้ที่เขานำมาใช้ และคิดว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ทีม ZGDX จะต้องแสดงผลงานดีๆ ในการแข่ง S4 ที่กำลังจะมาถึงนี้ได้แน่
สิทธิ์ของทีมที่สองเป็นของทีมแกร่งรุ่นเก่าอย่างทีม CK พวกเขาคว้าแชมป์ฤดูใบไม้ผลิ ตอนแข่งฤดูร้อนก็ได้รองชนะเลิศ เลยใช้สถานะ “คะแนนสะสมเป็นอันดับสองของปี” คว้าตั๋วเข้าแข่ง S4 ไปได้อย่างหวุดหวิด
สำหรับผลลัพธ์นี้ถือว่าเป็นไปตามที่ทีม YQCB คาดการณ์ไว้ ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี แต่ไม่นานพวกเขาก็ปรับสภาพจิตใจของตัวเองได้ โดยคิดจะแย่งสิทธิ์ให้ตัวเองในศึกชิงตั๋วเข้าแข่งใบสุดท้ายของ S4…
สุดท้ายศึกชิงตั๋วผ่านเข้ารอบก็ปะทุขึ้นระหว่างทีมที่ตกรอบรองชนะเลิศ นั่นก็คือทีม YQCB กับทีม DQWL ในการแข่งขันก่อนหน้านี้ทีม YQCB แทบไม่แพ้ให้ทีม DQWL บ่อยนัก…
ผู้คนต่างคิดว่าตั๋วผ่านครั้งนี้ทีม YQCB จะต้องช่วงชิงมาได้แน่ๆ
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือวันหนึ่งในปลายเดือนกันยายน ทีม YQCB จะทำให้คนตกตะลึง เพราะพ่ายให้ทีม DQWL ด้วยคะแนน 1:3
วันนั้นจินหยางยอมตะเกียกตะกายตื่นขึ้นมาดูการแข่งขัน พอชมถึงเกมสุดท้าย ทีม DQWL แย่งบอสดาร์กไนต์เอิร์ลไปจากทีม YQCB ที่เดิมได้เปรียบเล็กน้อย จากนั้นก็บุกตะลุยไปที่ป้อมใหญ่…
เธอเห็นสถานการณ์ภายในห้องฝึกซ้อมหลังเวทีของทีม YQCB และทีม DQWL ที่มุมซ้ายขวาของหน้าจอ…
พวกทีมงานของทีม DQWL แผดเสียงตะโกนพร้อมกระโดดลุ้นตัวโก่ง ป้ายทีมงานถูกเหวี่ยงลอยขึ้นเหนือศีรษะพวกเขา
ส่วนภายในห้องพักของทีม YQCB วินาทีที่ถูกแย่งบอสดาร์กไนต์เอิร์ลไปนั้น เสี่ยวเซียนที่นั่งอยู่หน้าสุดก็ยกมือกอดศีรษะของตัวเอง ใช้ปลายนิ้วขยี้ผมจนชี้ฟู คล้ายเจียนจะคลุ้มคลั่งเสียสติแล้ว ขณะที่คนอื่นๆ นิ่งเงียบ สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ
อ้ายเจียนั่งอยู่ข้างเสี่ยวเซียน กล้องตั้งใจหยุดจับภาพสีหน้าเขา ตั้งแต่ต้นจนจบเขาแค่กอดอกเงยหน้ามองจอยักษ์ตรงหน้าที่ถ่ายทอดสดการแข่งขัน…
จนกระทั่งหลายวินาทีต่อมาเขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าถูกถ่าย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขยับนั่งตัวตรงมากขึ้น ก่อนยื่นมือออกไป…หัวใจของจินหยางเต้นกระหน่ำ “ตึ้กตั้กๆ” เพราะเกรงว่าเด็กหนุ่มจะกินยาผิด กระโดดขึ้นมาเขวี้ยงกล้องลงกับพื้นแล้วถูกรุมด่าในกระทู้เทียปา…
แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มแค่ใช้มือใหญ่ๆ ปิดเลนส์กล้องไว้ก่อนผลักออกโดยไม่พูดไม่จา
การกระทำที่มีความเป็นผู้ใหญ่ด้วยการควบคุมอารมณ์ตัวเองนี้ของเขาอยู่นอกเหนือความคาดหมายของจินหยาง เธออึ้งงันครู่หนึ่ง ก่อนพบว่าตัวเองถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ฝ่ามือที่กุมมือถืออยู่ชุ่มเหงื่อ เธอพบว่าเธอกังวลกับนิสัยอารมณ์ร้อนของเด็กแสบคนนี้เป็นที่สุด…ยังดีที่สุดท้ายเขาก็เหมือนเรียนรู้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้ความแล้ว
…เอ่อ น่าจะนะ
จินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนกดปิดคลิปคล้ายคนหลบหนีความจริง
เธอถือมือถือไว้ แต่กลับพบว่าตัวเองไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับอ้ายเจียดี เวลานี้สิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการที่สุดน่าจะเป็นการที่ผู้คนแสร้งถามว่าพวกเขายังสบายดีอยู่หรือเปล่า และให้กำลังใจพวกเขาว่าปีหน้าค่อยเริ่มกันใหม่
ขณะจินหยางเตรียมจะเก็บมือถือ จังหวะนี้เองจู่ๆ เธอก็เห็นว่าในมือถือมีวีแชตเด้งขึ้นมาข้อความหนึ่ง…
[ฟังก์ชันเชิงเส้น : เขาแพ้การแข่งขันแล้วใช่ไหม]จินหยางมองหน้าจอมือถือสิบวินาทีกว่าจะนึกได้ว่าเป็นแม่ของอ้ายเจีย เธอเบิกตาโต…
[แม่นางเฉิน : …คุณป้าดูการแข่งขันด้วยเหรอคะ] [ฟังก์ชันเชิงเส้น : ไม่ นักเรียนบอกป้าน่ะ ได้ยินว่าเขาไม่ได้ลงแข่ง แค่นั่งดูอยู่ด้านล่าง] [แม่นางเฉิน : ใช่ค่ะ เป็นอย่างนั้นจริง เขาไม่ได้ลงแข่งค่ะ]จินหยางพิมพ์อย่างระมัดระวัง เธอกลัวมากว่าแม่ของอ้ายเจียจะอาศัยคำตอบของเธอกล่าวคำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังต่อ ถ้าคำพูดนั้นหลุดไปถึงหูของอ้ายเจียคงเกิดศึกระหว่างแม่ลูกขึ้นอีกระลอกหนึ่ง…
คิดไม่ถึงว่ารอแล้วรอเล่า รอจนได้รับประโยคที่เหนือความคาดหมายแทน…
[ฟังก์ชันเชิงเส้น : อ้อ นักเรียนของป้าบอกว่าถ้าเขาลงแข่งผลลัพธ์จะดีกว่านี้ จริงเหรอ]จินหยางยกมือเกาหน้า
[แม่นางเฉิน : …คงใช่มั้งคะ] [ฟังก์ชันเชิงเส้น : อืม] [ฟังก์ชันเชิงเส้น : สักวันคงได้ลงแข่ง แค่คุยโวน่ะไม่ได้หรอกนะ] [ฟังก์ชันเชิงเส้น : ต้องฝึกให้มากๆ]บทสนทนาอันแสนสั้นสิ้นสุดลง
จินหยางไตร่ตรองประเดี๋ยวเดียวก่อนแค็ปบทสนทนานี้ส่งไปให้อ้ายเจีย
เธอไม่รู้หรอกว่าบทสนทนานี้พอจะปลอบใจอ้ายเจียได้บ้างหรือเปล่า ต่อให้แม่ของอ้ายเจียไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย และบอกด้วยน้ำเสียงประเภท “ต้องทำแบบฝึกหัดเยอะๆ” ให้เขาฝึกมากๆ ก็ตามเถอะ…
แต่เหมือนว่าดีกว่าไม่พูดอะไรเลย
จินหยางส่งไปให้อ้ายเจียแล้วหลายนาที อาจเป็นเพราะทีม YQCB เพิ่งปราชัย อ้ายเจียเลยเพิ่งหยิบมือถือขึ้นมาดู
จินหยางจ้องประโยคที่อยู่บนสุดของช่องสนทนาที่เขียนว่า “อีกฝ่ายกำลังพิมพ์ตอบ…” เนิ่นนาน ดูคล้ายเขามีคำพูดยาวเหยียดที่อยากพิมพ์…แต่คิดไม่ถึงว่าหลายนาทีต่อมาอ้ายเจียจะตอบเธอแค่…
[เด็กเกรียน : .]เครื่องหมายมหัพภาคที่ใช้เวลาพิมพ์ประมาณห้านาที
แสดงให้เห็นแจ่มแจ้งว่าตอนนี้อ้ายเจียไม่รู้เลยว่าควรพูดอะไรดี
สำหรับพวกหนุ่มๆ ในทีม YQCB การแข่งขันปีนี้เริ่มต้นอย่างดุเดือดด้วยการโวยวายจะล้างแค้นทีมจากภูมิภาค SCK จากนั้นก็สิ้นสุดลงอย่างเงื่องหงอย
สำหรับจินหยางแล้ว ที่น่าเสียดายที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่เวลานี้เธอไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา…อย่างน้อยถ้าอยู่ข้างๆ เขาก็พอจะมอบอ้อมกอดที่อบอุ่นให้เขา หรือไม่ก็ตบไหล่เขาเงียบๆ ได้
พวกเราควรเรียนรู้หลักการหนึ่งตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นก็คือ อีสปอร์ตไม่ได้มีแต่ชัยชนะและเกียรติยศอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ยิ่งเสียงปรบมือในจุดที่สว่างไสวดังมากเท่าไหร่ เงาดำหลังแสงก็จะยิ่งมืดมนมากเท่านั้น