ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด
ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้
หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย
ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น
ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท
นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ
คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค
นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี
แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค
ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง
ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง
กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง
จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น
เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ
ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา
และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
37
มือปราบมีหรือจะกล้ารับตั๋วเงินปึกนี้ ตอนที่เห็นผู้ดูแลควักถุงเงินออกมา แผ่นหลังของเขาก็หลั่งเหงื่อเย็นแล้ว หากหัวหน้าเห็นเข้า แล้วเข้าใจผิดว่าเขารับสินบน ต่อไปเขายังจะทำงานในที่ว่าการได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าผู้ดูแลไม่ยัดเงินใส่มือตน แต่มองไปทางหน้าประตู มือปราบก็โล่งอก เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง คนผู้นี้มาพร้อมกับขุนนางศาลต้าหลี่ ไม่รู้ว่ามีฐานะใดกันแน่ ใต้เท้าเผยของศาลต้าหลี่ถึงเกรงใจอย่างยิ่ง อาจเป็นคุณชายสกุลใดที่ตามมาดูเหตุการณ์ด้วยก็เป็นได้
คุณชายที่มีเงินมีอำนาจในเมืองหลวงแห่งนี้มีงานอดิเรกประหลาดนัก บางคนชอบปลอมตัวเป็นขอทาน ชอบวิ่งไปเป็นคนเล่านิทานในโรงน้ำชา ยังมีคนที่ชอบบำเพ็ญเพียรในอารามเต๋าไม่ยอมออกมาก็มี ประเภทที่มีเงินแล้วชอบแสวงหาความสนุกด้วยการตามมาดูเหตุการณ์เช่นนี้นับเป็นประเภทที่ค่อนข้างปกติ
การตรวจสอบครานี้เข้มงวดมาก แม้แต่รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ยังออกโรงเอง เห็นได้ว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของเมืองหลวงเพียงใด
จะโทษก็ต้องโทษโรงมหรสพแห่งนี้ที่โชคไม่ดี มีรองหัวหน้าศาลต้าหลี่นำการตรวจสอบด้วยตนเอง จึงจะต้องเข้มงวดกวดขันกว่ากลุ่มคนกลุ่มอื่น
“รายงานขอรับ รายชื่อกับจำนวนคนที่มีอยู่จริงนั้นไม่ตรงกัน”
“รายงานขอรับ ทะเบียนราษฎร์ของนางรำสองคน ผู้ดูแลหนึ่งคน นักดนตรีสองคนมีปัญหา”
“ใต้เท้า ร้านนี้มียาต้องห้ามซ่อนอยู่ขอรับ”
“รายรับกับรายจ่ายไม่ลงรายละเอียดที่ชัดเจน น่าสงสัยว่าจะหลบหนีการจ่ายอากร”
แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น ตรวจสอบพบว่าสวนจินหลิงมีปัญหาไม่น้อย เรื่องบางเรื่องถ้ามิได้ตรวจสอบอย่างละเอียดย่อมมองไม่เห็นพิรุธ แต่วันนี้ขุนนางศาลต้าหลี่ที่ชำนาญการสืบคดีออกโรงเอง แค่กวาดตามองไม่เท่าไรก็รู้ว่ามีผู้ใดบ้างที่ผิดปกติ
คนที่สามารถเข้าทำงานในศาลต้าหลี่ได้นั้นต้องมีความชำนาญเฉพาะด้าน ให้พวกเขามาตรวจสอบโรงมหรสพประเภทนี้ถือเป็นการลดตัวลงมาทำงาน
เผยจี้ไหวนั่งเก้าอี้แสร้งไม่เห็นว่าผู้ติดตามของรัชทายาทเช็ดม้านั่งไปมาถึงสามรอบ กว่าจะเชิญรัชทายาทนั่งลง “คุณชาย โรงมหรสพแห่งนี้มีปัญหาค่อนข้างมาก เกรงว่าพวกเราคงใช้เวลาอีกนาน หากท่านมีงานยุ่ง อยู่ที่นี่ต่อไปจะมิเป็นการเสียเวลาของท่านหรือ”
“ข้าเพียงตามมาดูเท่านั้น ใต้เท้าเผยทำงานต่อเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” รัชทายาทพูดยิ้มๆ ดูแล้วเหมือนคนพูดง่าย แต่เผยจี้ไหวรู้ว่านี่มิใช่คนที่พวกเขาจะเกลี้ยกล่อมให้คล้อยตามได้
เห็นว่ารัชทายาทไม่ยอมจากไป เขาก็ไม่ฝืนใจ รับฟังรายงานต่อ
“ใต้เท้า คนในร้านส่วนใหญ่มาถึงแล้ว ยังมีนักพิณและนางรำที่พักอยู่ข้างนอกไม่กี่คนที่ยังมาไม่ถึงขอรับ”
“นักพิณก็อยู่ข้างนอกหรือ” เผยจี้ไหวเลิกคิ้ว
“เรียนใต้เท้า นักพิณพำนักอยู่ในนี้ขอรับ”
“แล้วไฉนเขาถึงไม่ลงมา” เผยจี้ไหววางถ้วยชาลงบนโต๊ะหนักๆ “ศาลต้าหลี่มาสืบคดี ผู้ใดไม่ให้ความร่วมมือเท่ากับกระทำความผิด จำต้องพาตัวกลับไปไต่สวนที่ศาลต้าหลี่เสียแล้ว”
นักดนตรีและนางรำที่ถูกมือปราบพาตัวออกมา ยืนบ่นกันไม่หยุด ทว่าพอได้ยินเช่นนี้ก็มิกล้าเอ่ยคำ คนเหล่านี้มีความสามารถในการดูสีหน้าผู้อื่น เห็นใต้เท้าผู้นี้บันดาลโทสะ ไม่ว่าใครก็มิกล้าหาเรื่องใส่ตัว
นางรำและนักดนตรีทั้งหมดยืนเบียดกันอยู่บนเวที แต่ละคนหน้าม่อยคอตก กลัวว่าตนจะกลายเป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดู
“ขออภัยที่ข้าน้อยตื่นนอนสาย ทำให้ใต้เท้าทุกท่านต้องรอนานแล้ว” ทางเดินชั้นบนมีชายหนุ่มเยื้องกรายมาช้าๆ ขาสวมเสื้อตัวยาวสีขาวหลวมโพรก เรือนผมปล่อยสยายกลางหลัง ยืนอมยิ้มมองคนที่อยู่ชั้นล่าง “ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีเรื่องใดถึงต้องการให้ข้าน้อยออกมาพบหรือขอรับ”
“ความปลอดภัยของเมืองหลวงนั้นเกี่ยวข้องกับชาวเมืองทุกคน ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของชาวบ้านทุกคน มิได้ตั้งใจจะทำให้ใครลำบากใจ” เผยจี้ไหวมองผู้มาใหม่ เมื่อเห็นคนผู้นี้ปล่อยผมยาวสบาย ด้านหลังยังมีเด็กรับใช้รูปร่างเล็กบางคนหนึ่งก็นิ่วหน้า
เมื่อเห็นเผยจี้ไหวนิ่วหน้ามองตนที่ปล่อยผมสยายแล้ว อวิ๋นหานก็ยิ้ม “ขออภัย ข้าน้อยมาอย่างรีบร้อน จึงไม่ทันแต่งกายให้เรียบร้อย เสียมารยาทแล้วขอรับ”
ผู้ดูแลเห็นต้นเงินต้นทองมาแล้วก็รีบส่งสายตาให้เขา คนที่นั่งอยู่ในที่นี้แต่งละคนมีฐานะไม่ธรรมดา จะพูดจาก็ต้องระมัดระวัง อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว
อวิ๋นหานมิได้สนใจสายตาที่ผู้ดูแลส่งมา เขากวาดตามองผู้คนในห้องโถง สุดท้ายแล้วหยุดอยู่ที่บุรุษหนุ่มในเครื่องแต่งกายหรูหรา สวมรัดเกล้าหยก อีกฝ่ายกลับมองไม่เห็นสายตาของเขา ไม่เงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อย
“เชิญทั้งสองคนนำทะเบียนราษฎร์ออกมา พวกเราต้องการตรวจสอบอย่างละเอียด”
เด็กรับใช้มองอวิ๋นหานผาดหนึ่ง อวิ๋นหานพยักหน้าให้ เด็กรับใช้จึงหยิบทะเบียนราษฎร์ในอกเสื้อออกมาสองชุด จากนั้นเดินลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว แล้วนำทะเบียนราษฎร์มอบให้เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่
เจ้าหน้าที่รับทะเบียนราษฎร์มา ยังไม่ทันเปิดดูก็ถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย เหตุใดร้านของเจ้าถึงให้สตรีแต่งกายเป็นเด็กรับใช้ชาย”
“แม่นางน้อยอันใด” ผู้ดูแลตะลึงงัน เห็นใต้เท้าคนนี้จ้องเด็กรับใช้เขม็งก็เข้าใจทันใด เพราะอวิ๋นหานทำราวกับนางเป็นธาตุอากาศ นางจึงไม่พอใจเขาเป็นทุนเดิม หันกลับไปต่อว่าคนที่ยืนอยู่บนระเบียงชั้นบน “อวิ๋นหาน ข้าให้เจ้าอยู่ในร้านก็เพื่อเอาใจแขกให้มีความสุขสำราญ มิได้ให้เจ้าเลี้ยงเด็กสาวไว้ข้างกายเพื่อแสวงหาความสำราญ”
เด็กรับใช้มีสีหน้าแปลกใจยิ่งยวด คิดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่จะพูดเช่นนี้ “ใต้เท้า ข้าน้อยเป็นชาย เพียงแต่มีรูปร่างคล้ายสตรีเท่านั้น”
เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ไม่สนใจนาง เปิดทะเบียนราษฎร์ดูครู่หนึ่งก่อนยกมือให้คนจับตัวเด็กรับใช้เอาไว้ “จะเป็นชายหรือหญิงแค่มองแวบเดียวข้าก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแก้ตัว เจ้าเป็นสตรี แต่กลับใช้ทะเบียนราษฎร์ของผู้ชาย จับตัวไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ทำงานที่ศาลต้าหลี่มานานปี หากแยกชายหญิงยังไม่ออก แล้วเขาจะยังมีหน้าทำงานที่ศาลต้าหลี่อีกหรือ
“อันใดนะ เจ้าเป็นสตรีหรือ” อวิ๋นหานคล้ายกับไม่รู้มาก่อนว่าเด็กรับใช้ข้างกายเป็นสตรี เขามองนางอย่างหลากใจ ในดวงตาเจือแววโมโหที่ถูกหลอกลวง
“คุณชาย บ่าวมีใจให้คุณชาย จึงคิดจะใกล้ชิดกับคุณชายด้วยฐานะของเด็กรับใช้ ขอคุณชายยกโทษให้บ่าวด้วย” เด็กรับใช้ดิ้นขลุกขลัก พยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของมือปราบ หมายจะคุกเข่าขอให้อวิ๋นหานอภัยให้ ทว่าวันนี้มือปราบทำงานอย่างเต็มที่ ดึงเด็กรับใช้เอาไว้จนมิอาจขยับเขยื้อนไปที่ใดได้
“ใต้เท้า นี่เป็นทะเบียนราษฎร์ปลอมขอรับ” เจ้าหน้าที่ส่งทะเบียนราษฎร์มาตรงหน้าเผยจี้ไหว
“เป็นทะเบียนราษฎร์ที่ออกโดยที่ว่าการเมืองหย่งโจว” เผยจี้ไหวมองทะเบียนราษฎร์ปลอมผาดหนึ่ง “นานมากแล้ว ข้าเคยเล่าเรียนวิชาที่เมืองหย่งโจว หลายปีมานี้ยังคิดถึงเมืองหย่งโจวไม่รู้คลาย ขอเชิญคุณหนูเล่าสภาพของเมืองหย่งโจวให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด”
เด็กรับใช้กล่าวถึงสถานที่ในเมืองหย่งโจวติดๆ ขัดๆ หลายหน เผยจี้ไหวเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “พาตัวกลับไปศาลต้าหลี่”
รอจนกระทั่งเด็กรับใช้ถูกลากตัวออกไปแล้ว เผยจี้ไหวก็เงยหน้ามองนักพิณที่ยืนอยู่ชั้นบน สีหน้าเรียบเฉย เอ่ยว่า “พาตัวนักพิณท่านนี้กลับไปด้วย”
“ใต้เท้า ทะเบียนราษฎร์ของข้าน้อยก็มีปัญหาหรือขอรับ” อวิ๋นหานเดินลงมาช้าๆ คำนับเผยจี้ไหวอย่างนอบน้อม “ใต้เท้า ข้าน้อยเป็นผู้เสียหายนะขอรับ”
แม้ผู้ดูแลสวนจินหลิงจะไม่พอใจอวิ๋นหาน แต่ก็ไม่คิดจะให้ต้นเงินต้นทองต้นนี้เกิดเรื่อง รีบเอ่ยว่า “ขอใต้เท้าโปรดพิจารณา เด็กรับใช้คนนั้นทำงานที่ร้านเราสองสามปี ส่วนอวิ๋นหานเพิ่งมาอยู่ที่นี่เมื่อสามเดือนก่อน พวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกันแน่เจ้าค่ะ”
“เชอะ” คุณชายรูปงามสวมเสื้อผ้าหรูหราที่ไม่ส่งเสียงตั้งแต่ต้น ชายตามองนักพิณผาดหนึ่ง ก่อนพูดอย่างไม่พอใจว่า “มีปัญหาหรือไม่ คนของศาลต้าหลี่จะต้องให้ความยุติธรรมกับเขาแน่ ถ้าเรื่องใดๆ ล้วนเป็นไปตามที่พวกเจ้าบอก แล้วยังจะมีศาลไว้ไย”
“ท่านผู้สูงศักดิ์ แม้พูดเช่นนี้ แต่พวกเราก็เปิดร้านทำการค้า หากไม่มีคนเรียกแขก ยังจะเปิดต่อไปได้อย่างไรเจ้าคะ” ผู้ดูแลรีบยิ้มประจบ “ท่านผู้สูงศักดิ์…”
“ยังคิดจะเปิดร้านทำการค้าอีกรึ” คุณชายชุดผ้าไหมลุกยืน “สวนจินหลิงทำผิดกฎหมายของแคว้นจิ้นเราหลายข้อ ก่อนสืบความจนกระจ่างชัด จำเป็นต้องปิดร้าน ห้ามทำการค้า”
ผู้ดูแลตกใจ หันมองเผยจี้ไหว เห็นใต้เท้าผู้นี้มิได้แย้งคำของคุณชายก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก รีบเอ่ยว่า “ใต้เท้า เมื่อวานยังมีองค์หญิงสองคนสั่งไว้ว่า จะมาฟังอวิ๋นหานบรรเลงพิณ หากทุกท่านพาอวิ๋นหานไป ทั้งยังให้ร้านเราปิดกิจการ หากองค์หญิงทั้งสองถาม ข้าน้อยจนปัญญาจะอธิบายให้องค์หญิงทั้งสองฟังนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินคำว่า “องค์หญิง” สายตาของคุณชายชุดผ้าไหมตกอยู่ที่อวิ๋นหาน แววตาเขาเย็นชาระคนจับผิด “องค์หญิงทั้งสองที่มาเมื่อวานถูกใจเขาหรือ”
“ใช่ๆๆ เจ้าค่ะ” ผู้ดูแลคิดว่าคุณชายชุดผ้าไหมคนนี้มิกล้าล่วงเกินองค์หญิง จึงรีบกล่าวว่า “องค์หญิงทั้งสองนั้นพึงใจอวิ๋นหานมาก ก่อนจากไปยังจ่ายเงินไว้ไม่น้อย ไม่ให้อวิ๋นหานบรรเลงเพลงให้แขกผู้อื่นฟังเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเป็นคนที่องค์หญิงทั้งสองถูกใจ…” คุณชายชุดผ้าไหมนิ่งคิดชั่วขณะ กระทั่งแววตาของผู้ดูแลฉายแววแห่งความหวัง จึงเอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นยิ่งปล่อยให้เขาเข้าใกล้องค์หญิงง่ายๆ ไม่ได้ องค์หญิงเป็นสตรีสูงศักดิ์ หากมีคนคิดร้าย มีเจตนาแอบแฝง มิเท่ากับเป็นการทำร้ายองค์หญิงหรือ!”
“ใต้เท้าเผย” คุณชายชุดผ้าไหมหันกลับมาพูดกับเผยจี้ไหว “พาตัวไปที่ศาลต้าหลี่ แล้วไต่สวนอย่างละเอียด”
“ขอรับ” เผยจี้ไหวประสานมือรับคำ
อวิ๋นหานมองคุณชายชุดผ้าไหม สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก เขาคิดว่าตนเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ แต่ยามนี้กลับมีคนรูปงามกว่าเขาปรากฏตัวขึ้น ทำให้ไฟริษยาของเขาลุกโชนราวกับไฟป่าที่ยากจะดับ
“ท่านเป็นใคร” อวิ๋นหานจ้องคุณชายชุดผ้าไหมด้วยสายตาแข็งกร้าว อยากให้เขาหายตัวไปเสียบัดนี้
“เจ้าเป็นตัวอันใด คู่ควรถามถึงฐานะของคุณชายข้า” ผู้ติดตามมองอวิ๋นหานอย่างหยามเหยียด “ก็แค่นักพิณต่ำต้อย แค่บรรเลงเพลงให้องค์หญิงฟังไม่กี่เพลง แล้วคิดเอาเองว่าจะเปลี่ยนจากไก่ป่าเป็นพญาหงส์ น่าหัวร่อนัก”
ได้ยินผู้ติดตามพูดจาเช่นนี้ รัชทายาทแค่เหลือบตามองเล็กน้อย มิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด
“ข้าน้อยเกิดมาต่ำต้อย มิกล้าอาจเอื้อมเทียบเคียงกับคุณชาย เพียงแต่เห็นคุณชายงามสง่า อีกทั้งเป็นชายรูปงามจึงคิดจะคบหา…”
“เจ้าอยากคบหาก็คบหาได้หรือ” ผู้ติดตามหัวเราะเยาะ “เจ้าคู่ควรหรือ เจ้าไม่คู่ควร!
“ใต้หล้านี้มีคนอยากคบหากับคุณชายข้านับไม่ถ้วน ส่วนเจ้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าแถวด้วยซ้ำ” เสียงของผู้ติดตามเล็กแหลม เวลาด่าทอผู้อื่นฟังแล้วบาดหูยิ่งนัก “ถ้าข้าเป็นเจ้า แล้วยืนอยู่ตรงหน้าคุณชายที่ประดุจเซียนผู้วิเศษ คงอับอายกับรูปลักษณ์ตนเองจนมิกล้าเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ
“คนชั้นต่ำยังกล้ามองคุณชายข้าด้วยสายตาริษยาอีก รีบไปให้ไกล อย่าให้คุณชายข้าเห็นหน้าตาอัปลักษณ์ของเจ้า เพราะเห็นแล้วจะอาเจียน”
ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ เผยจี้ไหวมองผู้ติดตามรัชทายาทเงียบๆ ได้ยินมานานแล้วว่าข้างกายรัชทายาทไม่ว่าคนเก่งด้านใดก็มีทั้งนั้น แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ผู้ติดตามที่ด่าทอคนเก่งก็ยังมี
หากเมืองหลวงจัดการแข่งขันด่าคน รับรองว่าผู้ติดตามของรัชทายาทคนนี้จะต้องติดสามอันดับแรกแน่
อวิ๋นหานแทบกระอักเลือดด้วยความโมโห เป็นแค่บ่าวรับใช้ยังกล้ากล่าวว่าเขาอัปลักษณ์
เขาหน้าตาดีตั้งแต่เล็กจนโต มีหญิงสาวคลั่งไคล้มากมาย อย่างนี้เรียกว่าอัปลักษณ์หรือ เขาเกือบเก็บอาการไม่อยู่ ปรี่เข้าไปเถียงกับบ่าวรับใช้คนนั้น ทว่าน่าเสียดายที่ยังไม่ทันขยับตัว คนของศาลต้าหลี่เร็วกว่า จับเขาเอาไว้ได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้ง
“ไฉนวันนี้ถึงเงียบเหลือเกิน”
มีเสียงหญิงสาวดังมาจากนอกประตู
“โรงมหรสพมิได้เปิดยามซื่อ[1]หรือ”
“คุณหนู วันนี้ดูคล้ายจะผิดปกติ ไยถึงมีมือปราบเฝ้าอยู่ด้านนอก”
รัชทายาทสั่งผู้ติดตาม “ไปพาตัวคุณหนูข้างนอกเข้ามา”
“ขอรับ” ผู้ติดตามก้มหน้าเดินออกไป ไม่นานนักก็พานายบ่าวสองคนเข้ามา อวิ๋นหานมองผู้มาแวบหนึ่ง เป็นคุณหนูเหยาที่เมื่อวานนี้กลับไปเป็นคนแรก
คุณหนูเหยามิได้มองเขา หากเดินไปหยุดเบื้องหน้ารัชทายาทอย่างว่านอนสอนง่าย นางยอบกายทำความเคารพ “คาราวะคุณชายเจ้าค่ะ”
“เย็นวาน เจ้ากับหลิวหลีมาฟังคนผู้นี้บรรเลงดนตรีหรือ” รัชทายาทสีหน้าเฉยเมย ถามพลางชี้นิ้วไปทางอวิ๋นหาน
คุณหนูเหยาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“หลิวหลีชื่นชอบเขามากหรือ” รัชทายาทขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนคลายออกอย่างรวดเร็ว
“คงชื่นชอบมากกระมังเจ้าคะ” คุณหนูเหยาเห็นสีหน้าของรัชทายาทย่ำแย่ลงทันใด จึงรีบกลับคำ “ความ…ความจริงก็ไม่ได้ชื่นชอบมากขนาดนั้น พวกเราแค่ฟังการบรรเลงพิณ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเจ้าค่ะ”
เดิมนางคิดจะฉวยโอกาสที่ฮวาหลิวหลีไม่อยู่ ซื้อตัวนักพิณคนนี้เพื่อยั่วโมโหฮวาหลิวหลี กลับคิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินเข้าประตูก็พบคนของศาลต้าหลี่และรัชทายาทอยู่ที่นี่ นางตกใจจนมิกล้าพูดเรื่อยเปื่อย
หรือนักพิณคนนี้ทำความผิดมหันต์
มิเช่นนั้นรัชทายาทจะมาที่นี่เพราะเหตุใด ซ้ำยังให้ผู้ติดตามบอกกล่าวนางล่วงหน้าว่าห้ามแพร่งพรายฐานะที่แท้จริงของรัชทายาทด้วย
ขณะที่นางขบคิด ก็ได้ยินเสียงสนทนาของสตรีดังขึ้นด้านนอก ให้ปีติยินดีโดยพลัน ฮวาหลิวหลีมาหาถึงที่แล้ว นางลอบชำเลืองมองศาลต้าหลี่และคนของที่ว่าการ หากจะตายก็ตายด้วยกัน ล้วนมาเที่ยวโรงมหรสพนี้ด้วยกัน แล้วไฉนรัชทายาทและศาลต้าหลี่ถึงจับนางในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว
“ข้ารู้สึกว่าโรงมหรสพนี้ผิดปกติ” ฮวาหลิวหลีเพิ่งก้าวเท้าเข้าสวนจินหลิงก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่ผิดแผกไป เงียบสงัดเกินไป เงียบจนไม่เหมือนโรงมหรสพ แต่เหมือนร้านขายตำรา
เจียหมิ่นที่ถูกฮวาหลิวหลีลากออกมาจากตำหนักมองไปรอบๆ “ผิดปกติที่ใด”
ฮวาหลิวหลีชายตามองเจียหมิ่นผาดหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไปทันควัน
“องค์หญิงทั้งสองโปรดหยุดก่อน”
ฮวาหลิวหลียังไม่ทันก้าวออกนอกประตูก็ได้ยินเสียงเรียก นางหันมองผู้ที่ไล่ตามมาผาดหนึ่ง รู้สึกคุ้นหน้า ดูเหมือนจะเป็นขันทีคนสนิทของรัชทายาท
“องค์หญิง รัชทายาทกับใต้เท้าเผย รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ กำลังสืบคดีอยู่ข้างในขอรับ ในเมื่อองค์หญิงทั้งสองมาถึงแล้วก็เข้าไปดูเหตุการณ์ข้างในเถิด”
“รัชทายาทกับใต้เท้าเผยสืบคดีอยู่ พวกเราเข้าไปยุ่งย่อมไม่ดี” ฮวาหลิวหลีปฏิเสธอ้อมๆ “พวกเราไม่เข้าไปรบกวนดีกว่า”
“ไม่เป็นไรขอรับ รัชทายาทเองก็มาในฐานะคุณชายธรรมดาเพื่อช่วยใต้เท้าเผยสืบคดี องค์หญิงทั้งสองเข้าไปแล้วให้เรียกรัชทายาทว่าคุณชายก็พอแล้ว” ขันทียิ้มพลางเชิญสตรีทั้งสองเข้าไปในห้องโถงด้านใน
อารมณ์ของฮวาหลิวหลีค่อนข้างซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางออกมาเฟ้นหาคนงาม วันรุ่งขึ้นคนของศาลต้าหลี่ก็มาล้อมหน้าล้อมหลัง แล้วจะให้นางปล่อยตัวปล่อยใจชื่นชมคนงามต่อไปในภายหลังได้อย่างไร
เจียหมิ่นกัดฟันกระซิบข้างหูฮวาหลิวหลี “ถ้าไม่ใช่เจ้าลากข้าออกจากตำหนักแต่เช้าแบบนี้ พวกเราสองคนก็ไม่ต้องขายหน้าผู้อื่นที่นี่”
“หากไม่ใช่เพราะเย็นวาน เจ้าแย่งคนกับข้า ข้าก็ไม่พาเจ้ามาด้วยหรอก” ฮวาหลิวหลีกระซิบตอบ “พวกเรามีสุขร่วมเสพไม่ใช่หรือ”
“หน็อย นี่มันมีทุกข์ร่วมรับชัดๆ” เจียหมิ่นค้อนขวับ
“องค์หญิงทั้งสองเชิญด้านใน” ขันทีหันกลับมามอง เห็นองค์หญิงเจียหมิ่นค้อนองค์หญิงฝูโซ่ว องค์หญิงฝูโซ่วก็ยังไม่มีท่าทางขึ้งโกรธ ยังส่งยิ้มอ่อนโยนให้องค์หญิงเจียหมิ่น เขาเอ่ยย้ำอีกครั้ง “เชิญขอรับ”
“พี่เจียหมิ่น เชิญพี่ก่อน” ฮวาหลิวหลีเบี่ยงกายเป็นเชิงบอกให้เจียหมิ่นเดินนำ
“น้องหลิวหลีร่างกายอ่อนแอ ข้าจะประคองเจ้าเข้าไป” เจียหมิ่นจับต้นแขนฮวาหลิวหลีเอาไว้ กระซิบข้างหูนางว่า “เชิญ”
คนของศาลต้าหลี่และที่ว่าการเมืองหลวงเห็นสตรีชนชั้นสูงแต่งกายเต็มยศเดินประคองกันเข้ามาก็รีบก้มหน้างุด มิกล้ามองหน้าพวกนางตรงๆ
ทั้งสองคนเพิ่งก้าวเข้าประตู พลันเห็นรัชทายาทนั่งข้างเผยจี้ไหว สมควรกล่าวว่าขอเพียงรัชทายาทอยู่ที่นั่น ผู้คนมักหันไปสนใจเขาเป็นคนแรก
คนที่น่ามองย่อมเปล่งประกายเจิดจ้า จนคนอื่นๆ มัวหมองหม่นแสง
“คาราวะคุณชายเจ้าค่ะ” ฮวาหลิวหลีและเจียหมิ่นปล่อยมือออกจากกัน แล้วทำความเคารพรัชทายาท
รัชทายาทชี้ไปยังที่นั่งว่างข้างกาย “นั่งลงแล้วคุยกัน”
“องค์หญิง ข้าได้ยินว่าเจ้าชื่นชอบนักพิณคนหนึ่งของที่นี่หรือ” ฮวาหลิวหลีเพิ่งนั่งลงรัชทายาทก็ถามทันที
แม้ที่นี่มีองค์หญิงสองคน ทว่าในสายตาของรัชทายาทแล้ว ที่แห่งนี้มีองค์หญิงเพียงคนเดียว
“นักพิณคนใดรึเจ้าคะ” ฮวาหลิวหลีเงยหน้ามองรอบๆ ก่อนสังเกตเห็นนักพิณที่ถูกเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่จับเอามือไพล่หลัง นางมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนเบนสายตามาที่รัชทายาท “เขาทำความผิดใดหรือเจ้าคะ”
“เด็กรับใช้ของเขาเป็นสตรีที่แต่งกายเป็นชาย ทะเบียนราษฎร์ปลอม พวกเราสงสัยว่าเขาน่าจะเป็นพวกเดียวกับผู้ที่ก่อคดีใหญ่หลายคดีก่อนหน้านี้” เผยจี้ไหวกังวลว่าฮวาหลิวหลีจะตำหนิที่พวกเขาพาตัวนักพิณไป จึงพูดให้เป็นเรื่องร้ายแรงกว่าที่ควรจะเป็น
“องค์หญิง ข้าน้อยมิได้เป็นพวกเดียวกับคนร้ายนั่น ขอองค์หญิงให้ความเป็นธรรมกับข้าน้อยด้วยขอรับ” อวิ๋นหานเงยหน้า เผยให้เห็นนัยน์ตาและสันจมูก แววตาเขากลัดกลุ้มแกมไร้หนทางสู้ “ท่านผู้สูงศักดิ์ อวิ๋นหานเป็นเพียงนักพิณที่ไร้ที่พึ่ง ขอองค์หญิงได้โปรดให้ความเป็นธรรมด้วย”
เมื่อมีรัชทายาทผู้หล่อเหลาอยู่เบื้องหน้า มีหรือที่ฮวาหลิวหลีจะสนใจแผนชายงามของอวิ๋นหาน นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากแล้วไอเบาๆ “ใต้เท้าเผยเป็นขุนนางผู้ชำนาญการสืบคดีที่สุดในศาลต้าหลี่ มีเขาอยู่ จะขาวหรือดำ เขาย่อมสืบได้กระจ่าง เจ้าไม่ต้องกังวล”
“แม้แต่ท่านก็ไม่เชื่อข้าน้อยหรือขอรับ” อวิ๋นหานก้มหน้าลงด้วยความสิ้นหวัง ราวกับสูญสิ้นเรี่ยวแรงทั้งหมด “ข้าน้อยยังคิดว่าองค์หญิงจะไม่เหมือน…”
รัชทายาทหันมองฮวาหลิวหลี นางรีบส่ายหน้ายืนยันว่าไม่ได้ทำอันใดนักพิณคนนี้แม้แต่น้อย
“ใต้เท้าเผย เรื่องที่นี่มอบให้ท่านจัดการ” รัชทายาทลุกยืนแล้วเอ่ยกับฮวาหลิวหลีว่า “องค์หญิงกลับไปกับข้า”
“ได้เจ้าค่ะ” ฮวาหลิวหลีลุกขึ้นแล้วเดินตามออกไป
เจียหมิ่น “…”
การที่นางปรากฏตัวที่นี่มีความหมายใดกันแน่ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความลำเอียงของคนสกุลจีว่ามีมากมายเพียงใดอย่างนั้นหรือ ญาติผู้น้องอย่างนางมิได้อยู่ในใจของรัชทายาทแม้แต่น้อยนิดเชียวหรือ
“องค์หญิง…” อวิ๋นหานมองเจียหมิ่นด้วยสายตาเศร้าสลดราวกับนางเป็นความหวังสุดท้าย
ทว่าน่าเสียดายที่เจียหมิ่นผู้กำลังก่นด่าความลำเอียงของคนสกุลจีอย่างดุเดือดมิได้สังเกตเห็นสายตาของอวิ๋นหานแม้แต่น้อย กระทั่งอวิ๋นหานถูกลากตัวออกไป นางค่อยลุกยืนสีหน้าเฉยชา “ไม่รบกวนพวกท่านสืบคดีแล้ว ข้ากลับดีกว่า”
กล่าวกันว่าญาติฝ่ายมารดาห่างกันสามพันหลี่ นางเข้าใจ นางรับได้
แต่เหตุไฉนถึงต้องลำเอียง ทำดีกับฮวาหลิวหลีเช่นนี้!
พวกเขารู้หรือไม่ว่าภายใต้หนังหน้าที่ดูอ่อนแอแบบบางของฮวาหลิวหลีนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่! แต่ละคนใจบอดตาบอดกันทั้งสิ้น
“ยังดีที่นักพิณคนนั้นไม่ได้ทำร้ายเจ้า” รัชทายาทเอ่ยกับฮวาหลิวหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าที่ค่อยๆ เดินเหยาะๆ “หากเขาถือโอกาสเข้าใกล้แล้วทำร้ายเจ้า เจ้าจะมีอันตรายเพียงใด”
“ขอบพระทัยรัชทายาทที่ทรงเตือนสติเพคะ ครั้งหน้าหม่อมฉันจะระวังตัว” ฮวาหลิวหลีหันกลับไปมองสวนจินหลิงแวบหนึ่ง แววตาสดใส
“ยังจะมีครั้งหน้าอีกรึ” รัชทายาทขมวดคิ้ว
“หะ…เหตุใดเล่าเพคะ” ฮวาหลิวหลีสังเกตว่ารัชทายาทดูคล้ายจะไม่ค่อยพอใจ
“คนข้างนอกมีความเป็นมาอย่างไรยังไม่กระจ่าง ฐานะขององค์หญิงสูงศักดิ์ จะปล่อยให้คนร้ายฉวยโอกาสไม่ได้” รัชทายาทนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนเค้นเสียงลอดไรฟัน “หากองค์หญิงชอบฟังดนตรี ในวังหลวงมีนักดนตรีและนางรำไม่น้อย เราพาเจ้าไปฟังได้”
“ฐานะของนักดนตรีในวังไม่เหมือนกัน แล้วหม่อมฉันจะลงมือได้อย่างไร…”
“เจ้าว่าอันใดนะ” รัชทายาทหันกลับมาจ้องฮวาหลิวหลี สีหน้าราบเรียบจนดูน่ากลัว
ฮวาหลิวหลีมองรัชทายาทที่ดูแล้วไม่คุ้นเคยตรงหน้าด้วยความแปลกใจ นางร้อนตัวอย่างบอกไม่ถูก จึงเบือนหน้า ไม่ยอมสบตารัชทายาท “ร่างกายหม่อมฉันอ่อนแอ เดิมก็ไม่เหมาะกับการออกเรือน ทั้งไม่อยากให้คุณชายดีๆ สกุลอื่นต้องพลอยเดือดร้อนเพราะแต่งงานกับหม่อมฉัน มิสู้เลี้ยงนายบำเรอไว้หาความสำราญใจสักสองสามคน ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ของหม่อมฉันก็น่าจะผ่านไปได้เพคะ”
“องค์หญิงคิดว่าตนไม่เหมาะกับการออกเรือน หรือไม่อยากออกเรือนไปกับผู้อื่น” รัชทายาทซักไซ้
“ในโลกนี้มีบุรุษสักกี่คนที่ไม่อยากมีภรรยาที่งดงาม ในโลกนี้จะมีสตรีสักกี่คนที่ไม่อยากออกเรือนกับบุรุษที่มีใจ” ฮวาหลิวหลีหลุบตาลงเล็กน้อย เปลี่ยนมือที่จับบังเหียน “เพียงแต่ร่างกายของหม่อมฉันไม่ไหว จึงไม่อยากทำผู้อื่นต้องพลอยลำบากไปด้วยเพคะ”
“หากโลกนี้มีคนที่ไม่รังเกียจสุขภาพร่างกายขององค์หญิง องค์หญิงจะยอมออกเรือนหรือไม่”
ฮวาหลิวหลีหัวเราะขณะมองรัชทายาทอย่างไม่เข้าใจ “รัชทายาท เหตุใดจู่ๆ จึงตรัสถามเช่นนี้เพคะ”
หรือสตรีที่รัชทายาทชมชอบคนนั้นต้องจากไปก่อนวัยอันควรเพราะร่างกายไม่แข็งแรง ดังนั้นรัชทายาทจึงถามคำถามนี้
ครั้นทำความเข้าใจกับเรื่องนี้แล้ว ฮวาหลิวหลีก็เอ่ยว่า “รัชทายาท หากหม่อมฉันชอบใครสักคน แล้วรู้ว่าจะต้องนำความทุกข์ใจมาให้เขา หม่อมฉันยินดีให้เขาลืม ให้เขาเกลียดหม่อมฉัน แต่ไม่ยินยอมทำให้เขาต้องพลอยลำบากไปด้วย”
เสียเมื่อไร!
ถ้านางเป็นหญิงสาวร่างกายอ่อนแอคนนั้นย่อมไม่มีทางคิดมากขนาดนั้น ถึงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ก็ต้องทำให้รัชทายาทเข้าใจความในใจของนาง อย่างน้อยก่อนที่นางจะตาย ต้องไม่มีคำว่าเสียใจ
ผู้ที่มีนิสัยชอบความรุนแรงและแค้นฝังใจอย่างนาง ไม่มีคนที่ชอบนับเป็นเรื่องดี หากนางชอบใคร คนคนนั้นต้องมีชีวิตรันทดตลอดกาลแน่
“เราเข้าใจแล้ว” รัชทายาทยิ้มให้ “หลิวหลี หากวันใดเจ้ามีคนที่ชอบพอจะต้องบอกให้เรารู้นะ”
“รัชทายาทจะทรงช่วยหม่อมฉันฉุดตัวเขามาหรือเพคะ” ฮวาหลิวหลีถาม
รัชทายาทหัวเราะเบาๆ มิได้ตอบคำ
“เรื่องประเภทนี้จะให้รัชทายาทลงมือได้อย่างไรเพคะ” ฮวาหลิวหลีคิดว่ารัชทายาทตอบรับถ้อยคำของนางจึงรีบเอ่ยห้าม “การฉุดคร่าหนุ่มชาวบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องดี หม่อมฉันไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่จะทำให้ชื่อเสียงของพระองค์มัวหมองไม่ได้”
“หากทำให้หลิวหลีดีใจ ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้” รัชทายาทถอนหายใจแผ่วเบา “อย่างไรชื่อเสียงของเราก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว”
“นั่นเป็นคำพูดเหลวไหลไร้สาระของผู้อื่นทั้งสิ้น” ฮวาหลิวหลีนึกถึงข่าวลือเหล่านั้นที่ทำลายชื่อเสียงของรัชทายาท แล้วรู้สึกถึงความอยุติธรรมแทน “พระองค์ทรงเป็นรัชทายาทผู้มีพระสิริโฉมงดงามและพระปรีชาสามารถเพคะ”
รัชทายาทได้ยินแล้ว หันกลับมาหัวเราะเบาๆ กับฮวาหลิวหลี
รอยยิ้มน่ามองของรัชทายาทสะกดนางไว้ ในใจนางได้แต่นึกเสียดาย ถ้าเขาไม่ใช่รัชทายาทจะดีเพียงใดนะ
หากไม่ใช่รัชทายาท ต่อให้นางต้องจ่ายเงินถึงพันตำลึงทอง นางจะต้องชิงตัวหนุ่มรูปงามคนนี้มาเลี้ยงดูที่เรือนชานเมืองให้จงได้ เขาจะเป็นนายบำเรอที่นางโปรดปรานที่สุด
เสียดายจริง เสียดายจริง
จากการกวาดล้างอย่างเข้มงวดกวดขันของศาลต้าหลี่และที่ว่าการเมืองหลวง ชั่วเวลาเพียงสามวันรูปลักษณ์ของเมืองหลวงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง ภายในตรอกโคมแดงไม่มีชายสตรีที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นออกมาเรียกแขกข้างนอก โรงมหรสพก็ปรับลดราคาสุราอาหารลง แต่ถึงราคาจะถูกลงมากแล้ว คนที่กล้าใช้เงินในสถานที่เหล่านั้นกลับมีจำนวนน้อยลง
คนต่างถิ่นที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงได้แต่รำพึงรำพันว่าชาวเมืองหลวงช่างไม่เหมือนผู้ใด รู้ว่าช่วงนี้มีการสอบเข้ารับราชการ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการแสดงความสามารถของผู้เข้าสอบ แหล่งบันเทิงต่างๆ จึงสงบเสงี่ยมขึ้น แม้แต่หัวขโมยก็แทบไม่มีให้เห็น ผู้ใดที่ทำถุงเงินตกบนถนนโดยไม่ทันรู้ตัว ก็จะมีคนเก็บแล้วนำมาส่งคืนให้เจ้าของ
มีวาณิชต่างแคว้นคนหนึ่งตั้งใจเขียนบันทึกการเดินทาง ในบันทึกของเขาเขียนถึงความเฟื่องฟู ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความดีงามของนิสัยผู้คน ไม่มีคนเก็บของที่ตกอยู่บนถนนไปเป็นของตนเอง เป็นแว่นแคว้นที่ร่มเย็นยิ่ง
ฮ่องเต้ชางหลงพบว่าสองวันมานี้โอรสที่เขาเอ็นดูที่สุดดูผิดปกติ บางครั้งเขาก็นั่งพลิกฎีกาที่น่าเบื่อหน่ายอย่างหาใดเปรียบด้วยอาการเหม่อลอย
วันที่การสอบเข้ารับราชการสิ้นสุด ฮ่องเต้ชางหลงอดถามรัชทายาทไม่ได้ว่า “หยวนซู่ สองวันมานี้เหตุใดเจ้าจึงดูไร้ชีวิตชีวานัก”
“เสด็จพ่อ ลูกเพิ่งพบว่าลูกอาจเป็นเดรัจฉานพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทเงยหน้ามองบิดา พูดอย่างน่าไม่อายว่า “เรื่องนี้เสด็จพ่อต้องทรงช่วยลูกนะพ่ะย่ะค่ะ”
พอฮ่องเต้ชางหลงได้ยิน หน้าก็เปลี่ยนสีด้วยความตระหนก “เกิดอันใดขึ้น เจ้าไปฉุดคร่าหญิงชาวบ้านข้างนอกมาหรือ”
[1] เวลา 09.00-11.00 นาฬิกา