[ทดลองอ่าน] ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก เล่ม 2 บทที่ 39

ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก

造作时光 

 

เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน

Hanza แปล

 

— โปรย —

รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊

แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด

ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้

หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย

ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น

ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท

นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ

คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค

นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี

แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค

ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง

ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง

กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง

จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น

เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ

ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา

และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

39

ฮวาหลิวหลีรีบออกมายังห้องโถงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วเวลาจิบชาครึ่งถ้วยก็มาถึงแล้ว นางสวมเสื้อกระโปรงชุดใหม่แปดส่วน แขนเสื้อกว้างถูกมัดด้วยผ้าาแพรให้ขึ้นมาถึงข้อศอก แค่เห็นก็รู้ว่านางทิ้งงานที่กำลังทำอยู่แล้วตรงมาที่นี่

ฮวาฉางคงขบคิดว่าจะแสร้งตำหนิฮวาหลิวหลีต่อหน้ารัชทายาทสักสองสามคำว่าไม่มีมารยาท กลับคิดไม่ถึงว่าน้องสาวจะปากไวกว่า

“ขอรัชทายาทโปรดพระราชทานอภัยโทษด้วยเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันกำลังทำแป้งชาดทาแก้มกับหญิงรับใช้อยู่ พอรู้ว่าเสด็จมา เพราะความเร่งรีบหม่อมฉันเลยมิได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่” ฮวาหลิวหลีอธิบายไปพร้อมๆ กับแกะผ้าที่มัดแขนเสื้อออก นางมองรัชทายาทยิ้มๆ “รัชทายาท วันนี้ทรงตั้งพระทัยเสด็จมา ทรงมีธุระใดหรือเพคะ”

เมื่อเห็นฮวาหลิวหลียิ้ม รัชทายาทยิ้มตาม “ตอนที่กินอาหารเที่ยงเมื่อครู่ เราเพิ่งคิดได้ว่านี่เป็นงานเทศกาลบุปผาครั้งแรกในเมืองหลวงขององค์หญิง เจ้าคงไม่ค่อยคุ้นเคยกับประเพณีทางนี้นัก วันพรุ่งจึงอยากเชิญเจ้าไปเที่ยวเล่นกับเรา”

รัชทายาทตั้งใจมาที่นี่เพียงเพราะเป็นห่วงว่านางจะเที่ยวไปเล่นไม่สนุกหรือ

ในโลกนี้เหตุใดจึงมีบุรุษนิสัยดี หน้าตาดี อ่อนโยน และช่างเอาอกเอาใจเช่นนี้!

“หม่อมฉันนัดกับองค์หญิงเจียหมิ่นว่าจะออกไปเที่ยวด้วยกันแล้วเพคะ แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ใด” ฮวาหลิวหลีรับถ้วยชาจากหญิงรับใช้ แล้วเปลี่ยนถ้วยชาใหม่ให้รัชทายาท “วันพรุ่งรัชทายาทจะไปเสด็จไปทรงฉลองเทศกาลกับชาวบ้านด้วยหรือเพคะ ไม่ทราบว่าเตรียมจะเสด็จประพาสที่ใด วันพรุ่งหม่อมฉันจะได้แวะไปเข้าเฝ้า”

ด้วยฐานะของรัชทายาท หากให้เขาออกมาเที่ยวเล่นกับนางตามลำพัง นางย่อมดีใจยิ่งยวด เพียงแต่เกรงว่าจะสร้างความลำบากให้เขาเท่านั้น

ได้ยินว่าฮวาหลิวหลีนัดหมายกับเจียหมิ่นแล้ว รอยยิ้มของรัชทายาทไม่เปลี่ยนแปลง ได้ยินว่าฮวาหลิวหลีจะมาแวะมาหาเขา รอยยิ้มของเขาเจิดจ้าทบทวีหลายส่วนจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“เทศกาลบุปผาหลายปีมานี้ ส่วนใหญ่แล้วคุณชายคุณหนูในเมืองหลวงจะนิยมไปภูเขาชิงซานที่ชานเมืองหลวง วันพรุ่งเรากับเหล่าองค์ชายจะไปที่ศาลาวั่งชิงบนเขา หากองค์หญิงรู้สึกเบื่อเมื่อไร ก็ไปหาเราได้”

“เพคะ” ฮวาหลิวหลีพยักหน้า “วันพรุ่งยามเที่ยง หม่อมฉันจะไปเข้าเฝ้านะเพคะ”

สายตาของฮวาฉางคงกวาดมองรัชทายาทและน้องสาวไปมา ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาบอกว่านัดไปเที่ยวกับสหายบัณฑิตร่วมสอบครานี้ ไม่เห็นน้องสาวบอกว่าจะแวะไปหาเขาเลย

สมกับคำกล่าวที่ว่าของบ้านอื่นนั้นดีกว่า แม้แต่พี่ชายก็เช่นกัน

เมื่อได้รับคำสัญญาจากฮวาหลิวหลี รัชทายาทก็อารมณ์ดีมาก สั่งให้ขันทียกของกำนัลที่เขาเตรียมให้นางเข้ามา

ไม่เพียงมีทั้งของกินและผ้าหลากหลายชนิด ยังมีรองเท้าปักหลากแบบหลายสีอีกหลายคู่

“เมืองหลวงของเรามีประเพณีนิยมอย่างหนึ่งที่พอถึงเทศกาลบุปผา พี่ชายและผู้ใหญ่ในครอบครัวจะต้องเตรียมรองเท้าปักให้ลูกหลานผู้หญิง ในงานเทศกาลหญิงสาวเหล่านั้นจะสวมรองเท้าปักที่เต็มไปด้วยคำอวยพรของคนในครอบครัว และนางจะได้รับความเมตตาจากเทพบุปผามากเป็นพิเศษ จะร่มเย็นเป็นสุขไร้ทุกข์ไร้โรค มีแต่ความสุขสงบปลอดภัยตลอดทั้งปี” รัชทายาทเปิดกล่องไม้ใบหนึ่ง ภายในมีรองเท้าปักที่งดงามวิจิตรคู่หนึ่ง “เราไม่รู้ขนาดเท้าขององค์หญิง ไม่รู้ว่าเจ้าจะสวมเสื้อผ้าสีอะไรวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเราจึงให้ช่างหลวงทำรองเท้าหลายคู่ หวังว่าจะมีสักคู่ที่เจ้าถูกใจ”

ไม่ว่าชายหรือหญิง การมอบรองเท้าให้เป็นของกำนัลมักจะมีความหมายในเชิงชู้สาวแฝงอยู่ รัชทายาทไม่ต้องการให้คนสกุลฮวาคิดว่าเขามีความคิดที่ไม่สำรวมจึงรีบชี้แจงเสริมอีกหลายประโยคว่า “สองเดือนก่อน ยามที่องค์หญิงพำนักในวังหลวง เราไม่รู้ว่าแม่ทัพทั้งสองจะกลับมาทันงานเทศกาลบุปผาหรือไม่ ดังนั้นจึงตัดสินใจสั่งให้ช่างหลวงตัดเย็บรองเท้าเหล่านี้ หวังว่าองค์หญิงและคุณชายสามจะไม่ตำหนิว่าเรามากเรื่อง”

เดิมฮวาฉางคงรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูไม่ปกติ แต่เมื่อใคร่ครวญดูอีกที รัชทายาทมอบของพวกนี้ให้เป็นการส่วนตัว ทั้งๆ ที่ไม่รู้ขนาดเท้าของน้องสาว สองเดือนก่อนเขาไม่เข้าใจธรรมเนียมของคนเมืองหลวง น้องสาวเองก็มีนิสัยไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่นี่รัชทายาทยังคำนึงถึงเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ นับได้ว่าเป็นผู้ที่ทำการใดรอบคอบและถี่ถ้วนเพียงใด

“ความตั้งพระทัยดีของรัชทายาทจะกลายเป็นความเรื่องมากได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ฮวาฉางคงลุกขึ้นคำนับรัชทายาท “กฎเกณฑ์ในเมืองหลวงนั้นมีมากมายนัก กระหม่อมและน้องสาวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ โชคดีที่รัชทายาทรับสั่งให้เตรียมไว้ให้น้องสาวล่วงหน้า”

สิ่งของที่เด็กสาวสกุลอื่นมี น้องสาวของตนย่อมขาดไม่ได้ มิเช่นนั้นจะน่าน้อยใจนัก

“เราเองก็ทำเกินขอบเขต ยามนี้แม่ทัพฮวาและแม่ทัพเว่ยกลับมาแล้ว น่าจะเตรียมของทุกอย่างไว้แล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้าของรัชทายาทยังคงอบอุ่นละมุนตา “เดิมเราไม่คิดจะนำรองเท้าพวกนี้มาด้วย แต่ก็ไม่อยากให้เสียเปล่า คิดไปคิดมา สุดท้ายก็นำมาด้วยดีกว่า หากองค์หญิงไม่ชอบ ก็วางไว้ข้างๆ แล้วกัน”

“รองเท้าปักเหล่านี้งดงามยิ่งนัก หม่อมฉันชอบมากเพคะ” ฮวาหลิวหลีหยิบรองเท้าปักขึ้นมาข้าหนึ่ง แล้วคลำพื้นรองเท้า อาจเป็นเพราะคิดเผื่อไว้ว่าต้องสวมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พื้นรองเท้าจึงทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการลื่นล้ม

“องค์หญิงชอบก็ดีแล้ว” รัชทายาทวางกล่องไม้ไว้ตรงหน้าฮวาหลิวหลี “เรายังต้องกลับไปทำงานต่อ จะอยู่นานไม่ได้ หากองค์หญิงชอบรองเท้าพวกนี้ หวังว่า…วันพรุ่งเจ้าจะเลือกใส่สักคู่หนึ่ง”

“เพคะ” ฮวาหลิวหลีพยักหน้า

รัชทายาทได้ยินแล้วหัวเราะ ลุกยืนพลางมองฮวาหลิวหลี “อย่างนั้นวันพรุ่งพบกัน”

“หม่อมฉันส่งเสด็จเพคะ” เห็นรัชทายาทมาอย่างรีบร้อนไปอย่างรีบร้อน ฮวาหลิวหลีจึงเชื่อว่ารัชทายาทมีงานยุ่งจริงๆ แต่ถึงจะยุ่งขนาดนี้ก็ยังไม่ลืมดูแลนาง ความตั้งใจดีเช่นนี้มีหรือที่ใครจะไม่ซาบซึ้ง

 

วันเทศกาลบุปผา เจียหมิ่นบ่นพึมพำอย่างรำคาญใจทั้งๆ ที่ยังสะลึมสะลือ “ยังเช้าถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงปลุกข้า”

“องค์หญิง วันนี้เป็นวันเทศกาลบุปผา จะให้หญิงจวนอื่นมาข่มความงามของท่านได้อย่างไรเจ้าคะ” หญิงรับใช้คนสนิทเห็นเจียหมิ่นไม่พอใจ จึงกระซิบหว่านล้อมว่า “ไม่กล่าวถึงผู้อื่น แค่หลินหวั่น บุตรีสกุลหลินคนนนั้นจะให้นางเกินหน้าเกินตาทท่านไม่ได้เจ้าค่ะ”

“นางน่ะหรือ” เจียหมิ่นหัวเราะเยาะ “หน้าตาจืดชืดดุจน้ำเปล่า ปกติก็อ่อนแอเหยาะแหยะอย่างนั้น น่าเสียดายที่ยามนี้มีฮวาหลิวหลีนำอยู่ข้างหน้า ต่อให้นางขี่ม้าไล่ตามก็ไล่ไม่ทัน เจ้าคอยดูเถิด ขอเพียงวันนี้มีฮวาหลิวหลีอยู่ในงาน หากยังมีผู้อื่นสังเกตเห็นนาง ถือว่าข้าแพ้ จะให้รางวัลเจ้าหนึ่งร้อยตำลึง”

“สายตาขององค์หญิงเฉียบแหลมเจ้าค่ะ บ่าวกลัวว่าจะไม่ได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงของท่าน” หญิงรับใช้พูดเอาใจเจียหมิ่น “บ่าวรู้สึกว่าหลินหวั่นคนนั้นสู้ท่านไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีบิดาที่มีชื่อเสียงดีงามอยู่ข้างนอก ใครจะมองนางกัน ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าเป็นชายาอิงอ๋องในอนาคต”

ได้ยินคำว่า “ชายาอิงอ๋อง” ความง่วงงุนของเจียหมิ่นหายเป็นปลิดทิ้ง นางจ้องริมฝีปากแดงชุ่มชื่นที่สะท้อนในคันฉ่องของตนเอง แล้วกดเสียงต่ำ “ชายาอิงอ๋องมีอันใดดีกัน”

หญิงรับใช้มิกล้าต่อคำสนทนา ได้แต่ก้มหน้า แสร้งตั้งใจเลือกปิ่นปักผมให้เจียหมิ่น

เจียหมิ่นเพิ่งแต่งตัวเสร็จ ซุ่นอันก็ส่งคนมาเร่ง

“องค์หญิง องค์หญิงฝูโซ่วรอท่านอยู่ในห้องโถงครู่หนึ่งแล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้าว่าใครนะ” เจียหมิ่นสงสัยว่าตนเองหูฝาด

“องค์หญิงฝูโซ่วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้เห็นเจียหมิ่นหน้าเปลี่ยนสีก็ฉงน “องค์หญิงฝูโซ่วบอกว่านัดท่านไว้นานแล้ว หรือ…ไม่ใช่”

“นางกล่าวไม่ผิด พวกเรานัดกันไว้แล้ว” เจียหมิ่นฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก ตอนนั้นไฉนนางต้องไปหาเรื่องฮวาหลิวหลีด้วย ยามนี้เป็นอย่างไรเล่า แม้แต่วันเทศกาลบุปผาฮวาหลิวหลียังไม่ยอมปล่อยนางไป

แม้ไม่เต็มใจเพียงใด แต่มิกล้าชะงักฝีเท้า ท่านแม่ของนางเป็นคนพูดจาไม่ทันคิด นางกลัวว่าหากฮวาหลิวหลีรอนานแล้วหงุดหงิด จะชักกระบี่แทงท่านแม่ของนางสองรู

เดินเร็วรี่มาถึงด้านนอกของห้องโถงใหญ่ ได้ยินเสียงหัวเราะของมารดาพร้อมน้ำเสียงที่เห็นได้ชัดว่าตั้งใจพูดเอาใจ

“วันนี้เจ้างามจริงๆ เทียบกับเจ้าแล้ว เจียหมิ่นคล้ายหางสุนัขไปเลย”

เหอะๆ

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ท่านแม่ยังบอกว่าลูกแม่เป็นสตรีที่สะคราญโฉมที่สุดในเมืองหลวง

เจียหมิ่นเดินเข้าห้องโถงใหญ่พร้อมหน้ายิ้มแต่ปากตาไม่ยิ้ม ทันทีที่เห็นฮวาหลิวหลี ในสมองของนางเกิดความคิดอย่างหนึ่ง

นางปีศาจน้อยที่ไหนถึงได้ดูดีเพียงนี้!

“พี่เจียหมิ่น” นางปีศาจน้อยยอบกายทักทายนางอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

“ลูกคนนี้นี่อย่างไรกันนะ เหตุใดถึงไม่คำนับตอบ” ซุ่นอันถลึงตาใส่เจียหมิ่นผาดหนึ่ง จากนั้นหัวเราะพูดกับฮวาหลิวหลี “ข้าตามใจลูกคนนี้จนเสียคน ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ให้พวกเจ้าไปเที่ยวเล่นกลับมาแล้ว ข้าจะอบรมนางให้ดีๆ”

“องค์หญิงกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ ข้ากับพี่เจียนหมิ่นเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ฮวาหลิวหลีคล้องแขนเจียหมิ่น “ขอองค์หญิงไม่ต้องเข้มงวดกับพี่เจียหมิ่นเกินไปนัก”

“ดูหลิวหลีสิว่าดีเพียงใด” ซุ่นอันเอ่ยกับเจียหมิ่นด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “มารอเจ้าแต่เช้า แต่เจ้ากลับนอนเกียจคร้านอยู่ในห้อง เป็นคนต้องรักษาคำสัญญา ในเมื่อพวกเจ้านัดกันไว้แล้ว ยังจะให้คนเขามารอได้อย่างไร”

พอเห็นฮวาหลิวหลี ซุ่นอันก็นึกถึงเว่ยหมิงเย่ว์ ยามเยาว์วัยนางยังไม่เข้าใจโลก คิดว่าตนเองเป็นองค์หญิง เหล่าสตรีชนชั้นสูงจะต้องยอมลงให้นาง ดังนั้นไม่ว่าจะการพูดจาหรือการวางตัวนางไม่เคยสนใจใคร

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น นางใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งนางหาเรื่องเว่ยหมิงเย่ว์โดยไม่ตั้งใจ…

นับแต่นั้นมาก็เป็นวันเวลาที่คล้ายกับฝันร้าย

ต่อมาเว่ยหมิงเย่ว์ต้องการเข้ากองทัพ มีคนจำนวนมากในราชสำนักไม่เห็นด้วย แต่นางกลับสนับสนุนเว่ยหมิงเย่ว์เต็มกำลัง เพื่อให้เว่ยหมิงเย่ว์ขึ้นเป็นผู้นำทัพ นางถึงกับลากสหายสนิทมาชี้แจงข้อดีของการที่สตรีเป็นแม่ทัพนายกอง ยังกล้ากล่าวว่า “ใครบอกว่าสตรีสู้บุรุษไม่ได้” เพื่อให้สหายสนิทของนางร่วมด้วยช่วยกันผลักดันเรื่องนี้

หลังจากเว่ยหมิงเย่ว์เป็นแม่ทัพแล้ว นางลิงโลดใจจนนอนไม่หลับสามวัน

ในที่สุดสตรีที่เป็นประหนึ่งฝันร้ายของนางก็เข้าไปอยู่ในค่ายทหาร มิอาจหาเรื่องทำร้ายนางได้อีกแล้ว

นับจากนั้นเป็นต้นมาชาวเมืองหลวงต่างคิดว่านางสนับสนุนเว่ยหมิงเย่ว์ แม้แต่ธิดาของนางก็เชื่อข่าวลือข้างนอก ยกย่องเทิดทูนเว่ยหมิงเย่ว์ตั้งแต่เล็ก

มีแต่นางคนเดียวที่รู้แก่ใจว่าการยกย่องหรือส่งเสริมนั้นล้วนเป็นคำโกหก นางแค่อยากให้เว่ยหมิงเย่ว์อยู่ห่างๆ นางเท่านั้น

ยามนี้เว่ยหมิงเย่ว์ปลดประจำการแล้วกลับมาพำนักที่เมืองหลวง นางจึงออกจากตำหนักน้อยลงกว่าเดิมและมิกล้าปล่อยให้เจียหมิ่นทำให้ฮวาหลิวหลีไม่พอใจ ด้วยเกรงว่าเว่ยหมิงเย่ว์ไม่เพียงกลายเป็นฝันร้ายของนาง แต่จะกลายเป็นฝันร้ายของบุตรีด้วย

นางเสียใจ นางเสียใจอย่างยิ่ง

หากย้อนเวลากลับไปได้ นางยอมกระโดดทะเลสาบให้ตนเองมีสติแจ่มใส ไม่ไปหาเรื่องเว่ยหมิงเย่ว์เป็นอันขาด

มองส่งฮวาหลิวหลีและเจียหมิ่นจากไปแล้ว ซุ่นอันค่อยถอนหายใจโล่งอกเบาๆ ยังดีที่บุตรีโชคดีกว่านาง อย่างน้อยฮวาหลิวหลีก็เป็นเด็กสาวอ่อนแอว่าง่าย ไม่น่ากลัวเหมือนมารดาของนาง

 

เจียหมิ่นฟุบนั่งในรถม้าอย่างไรชีวิตชีวา ยามนี้ในหัวของนางไม่มีอิงอ๋อง ไม่มีหลินหวั่น มีแต่ฮวาหลิวหลีที่นั่งฮัมเพลงเบาๆ อยู่ข้างกาย

“ยังไม่ได้กินอาหารเช้าสินะ” ฮวาหลิวหลีจ่อขนมที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือชิดริมฝีปากเจียหมิ่น “กินนี่สิ ไม่ทำให้ชาดทาปากเปื้อน”

เจียหมิ่นจะกล้าปฏิเสธหรือ

ไม่ นางมิกล้า ดังนั้นจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนกิน

รสชาติไม่เลว นางตัดสินใจว่าจะกล้ำกลืนฝืนกินอีกสักหลายชิ้น

หนึ่งก้านธูปต่อมา ฮวาหลิวหลีและเจียหมิ่นนั่งขัดสมาธิกอดจานขนมและนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยในรถม้า

“ว่ามาว่าเจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่” หลังกินขนมหมดแล้ว เจียหมิ่นวางจานเปล่าไว้ข้างกาย ทำราวกับว่าไม่เคยมีอันใดเกิดขึ้น “ข้ายอมรับว่าตอนแรกที่หาเรื่องพูดจาไม่ดีกับเจ้านั้นเป็นความผิดของข้าเอง จะให้ทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมปล่อยข้าไป”

“ข้าเคยตีเจ้าหรือ”

เจียหมิ่นส่ายหน้า

“ข้าเคยด่าเจ้าหรือไม่”

เจียหมิ่นยังคงส่ายหน้า

ฮวาหลิวหลีดึงปอยผมข้างแก้ม ยิ้มบริสุทธิ์ไร้พิษสง “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าเพียงเห็นเจ้าเป็นสหายเท่านั้น”

เจียหมิ่นเห็นรอยยิ้มไร้เดียงสาอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของนางแล้วขนลุก ความกล้าหาญที่กว่าจะรวบรวมได้นั้นมลายสิ้นคล้ายกับขนมเต็มจานเมื่อครู่

มีเสียงแส้ดังขึ้นนอกรถม้า ทั้งยังมีเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของผู้คน ฮวาหลิวหลีปัดผ้าม่านขึ้นมองด้านนอก เห็นผู้คุมคุมคนที่สวมชุดนักโทษเดินไปออกนอกเมืองเป็นแถวยาว

นักโทษเหล่านี้สวมตรวนที่ข้อเท้า น่าจะเป็นนักโทษคดีอุฉกรรจ์ ดูแล้วสงบเสงี่ยมเจียมตนมาก มีคนหลังสุดที่เดินโซซัดโซเซ ผู้คุมที่เดินตามด้านหลังดูคล้ายไม่พอใจที่เขาเดินช้าเกินไปจนส่งผลต่อความเร็วของขบวนทั้งหมด จึงใช้แส้ฟาดเขาสองที

“พวกนั้นเป็นนักโทษที่ส่งไปทำงานที่โรงหิน” เจียหมิ่นมองอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไม่ต้องเห็นใจ คนพวกนี้ล้วนกระทำความผิดฐานหลอกหญิงสาวและเด็กมาขายตัว ชิงทรัพย์ ทำร้ายคน ล้วนเป็นคดีใหญ่ เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็นับว่าสมควร”

ฮวาหลิวหลีปล่อยผ้าม่านลง ก่อนหันมองเจียหมิ่น “ไยถึงรู้เล่า”

“ข้าย่อมต้องรู้” เจียหมิ่นแค่นเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่ง “หนึ่งปีก่อนในตำหนักองค์หญิงมีพ่อบ้านคนหนึ่งคิดจะทำมิดีมิร้ายหญิงรับใช้ ข้ารู้เข้า จึงโบยเขายกหนึ่งก่อนส่งไปที่นั่น”

ฮวาหลิวหลีเลิกคิ้ว “คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มีคุณธรรม”

“อันใดที่เรียกว่าคิดไม่ถึง” เจียหมิ่นส่งเสียงชิอย่างไม่พอใจ “ถ้าไม่รู้จักพูดก็พูดให้น้อยลงสักคำสองคำก็ได้”

 

ณ เชิงเขาชิงซาน คุณหนูเถียนชะเง้อมองเป็นระยะ พวกนางนัดเจียหมิ่นที่เชิงเขา เหตุใดเจียหมิ่นถึงยังไม่มา

สีหน้าคุณหนูเหยาที่อยู่กับคุณหนูเถียนนั้นไม่ค่อยดีนัก นางยังไม่หายโมโหดี

“โธ่พี่เหยา พี่ยังอารมณ์เสียอยู่อีกหรือ” คุณหนูเถียนจับมือคุณหนูเหยาแกว่งไปมา “นอกจากพี่กับเจียหมิ่นเป็นญาติกันแล้ว ยังเป็นสหายที่ดีด้วย ยามอยู่ต่อหน้าคนนอก นางทำตัวตามสบายกับพี่ ใครเป็นคนนอก ใครเป็นคนกันเอง พี่ยังไม่รู้อีกหรือ แล้วไยจะต้องโมโหเจียหมิ่นด้วยเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เล่า”

“วันรุ่งขึ้นพวกนางก็นัดกันไปที่โรงมหรสพนั้นอีก จะมีคนนอกที่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้หรือ” คุณหนูเหยาไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าข้าใจแคบ แต่นางนั่นแหละที่น่าโมโห”

ทั้งสองเพิ่งคุยกันจบ พลันเห็นรถม้าที่มีสัญลักษณ์สกุลฮวาแล่นตรงมาข้างหน้า คุณหนูเหยาเบือนหน้าไปอีกทางอย่างไม่ไยดี

แต่พอนางเห็นเจียหมิ่นลงจากรถม้าคันนั้นก็หัวเราะเยาะ พูดกับคุณหนูเถียน “เห็นหรือยังว่าคนเขานั่งรถม้าของฮวาหลิวหลีมาด้วยกัน”

“ช่างเถิดๆ เป็นสหายกันทั้งนั้น” คุณหนูเถียนกลัวคุณหนูเหยาจะหาเรื่องยุ่งยากให้ฮวาหลิวหลี รีบดึงมือนางเอาไว้ “มีคนเพิ่มอีกหนึ่งคนก็สนุกดีออก แบบนี้ไม่ดีหรือ”

“พี่เหยา ฟังข้าพูดสักหน่อยเถิด” คุณหนูเถียนเอ่ยอย่างตั้งใจ “ว่ากันตามเนื้อหาในนิยายแล้ว การกระทำของพี่ที่หาเรื่องผู้อื่นนั้นจะทำให้พี่ต้องโชคร้าย”

“เถียนซานซาน ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าให้อ่านนิยายพวกนี้ให้น้อยๆ เรียนหนังสือให้มากๆ จะส่งผลดีต่อสมองของเจ้า” คุณหนูเหยากัดฟันพูด “หากยังกล่าวถึงนิยายอีก ข้าจะให้เจ้ากินนิยายเข้าไป”

คุณหนูเถียนพูดเสียงอ่อย “พี่เหยา ข้าชื่อเถียนซาน ไม่ใช่เถียนซานซาน”

“หุบปาก” ในฐานะที่เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาหญิงสาว คุณหนูเหยารู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก

เจียหมิ่นเห็นสหายยืนรอ ก็กลัวว่าพวกนางจะเอ่ยปากหาเรื่องฮวาหลิวหลี รีบก้าวเร็วๆ มาอยู่ข้งกายพวกนางแล้วกระซิบว่า “องค์หญิงฝูโซ่วอยู่เมืองหลวงไม่มีมิตรสหายที่ใด พวกเราเห็นแก่แม่ทัพเว่ยกับแม่ทัพฮวา ดูแลนางให้มากๆ หน่อย”

ได้ยินเจียหมิ่นเอ่ยถึงแม่ทัพทั้งสอง คนอื่นๆ หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เพราะคนหนุ่มสาวในเมืองหลวงจะมีสักกี่คนที่ไม่เลื่อมใสแม่ทัพทั้งสอง

ถึงพวกนางไม่ชอบฮวาหลิวหลี แต่ก็เห็นแก่หน้าของแม่ทัพทั้งสอง ไม่หาเรื่องจนเกินเลย

ความจริงถ้าตรองให้ถี่ถ้วน พวกเรากับฮวาหลิวหลีไม่มีความแค้นลึกล้ำต่อกัน” เถียนซานลอบมองฮวาหลิวหลีที่ยืนอยู่ข้างรถม้า ไม่ได้เดินเข้ามา “คนที่อิงอ๋องจะแต่งด้วยไม่ใช่นาง พวกเราไม่จำเป็นต้องหาเรื่องนาง

“พี่ข้าควบม้าเร็วกลางมือง ทำนางตกใจจนป่วยหนัก ต่อมาเจียหมิ่นกับนางไปไว้อาลัยที่จวนข้า แล้วทั้งคู่ก็ถูกคนร้ายจับตัวไป ฮ่องเต้เกือบมีรับสั่งให้ลงทัณฑ์ท่านพ่อ แต่สกุลฮวาถวายฎีกาทูลขอร้องฮ่องเต้เอาไว้” แม้ผ่านวันไว้ทุกข์ยี่สิบเจ็ดวันแล้ว แต่ในฐานะหลานสายตรง เถียนซานยังคงสวมเสื้อผ้าสีขาว สิ่งที่มีสีสันอย่างเดียวบนตัวนางก็คือถุงหองที่ปักลวดลายงดงามที่แขวนเอว

“มิน่าช่วงนี้พอพวกเรานินทาฮวาหลิวหลี เจ้ามักจะแกล้งโง่พูดขัดอยู่ตลอด…” คุณหนูเหยาอยากตราหน้าว่าเถียนซานเป็นคนทรยศ แต่หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับนาง นางก็คงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้มิตรสหายพูดจาว่าร้ายฮวาหลิวหลี

สีหน้าของเจียหมิ่นนั้นประหลาดนัก ข้อแรก เพราะตอนนั้นอิงอ๋องช่วยขอร้องแทนสกุลเถียน แต่ท่านแม่ของนางด่ากลับ ทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนยามเจอหน้าเถียนซาน ข้อสอง เพราะได้ยินคำว่า “ตกใจจนป่วยหนัก” แล้วรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ

สตรีที่กล้าสังหารคนร้ายจะตกใจเพราะผู้อื่นควบม้ากลางเมืองจนล้มป่วยได้อย่างไร เห็นชัดว่าเป็นการขุดหลุมล่อคนโง่อย่างเถียนรุ่ยต้ง คิดไม่ถึงว่าอิงอ๋องจะโง่งมยิ่งกว่า กระโดดลงหลุมนี้ด้วย

เช่นนี้แล้วนางยังจะชอบอิงอ๋องที่มีคู่หมายแล้ว ซ้ำสมองยังไม่ค่อยดีต่อไปทำไม

หลังจากค่อยๆ ปล่อยวางความรู้สึกที่นางมีต่ออิงอ๋อง เจียหมิ่นพบว่าความเปิดเผยตรงไปตรงมาของอิงอ๋องในสายตาของนางยามนี้กลายเป็นความโผงผางวู่วาม ความเก่งกาจอาจหาญกลายเป็นแค่ร่างกายพัฒนาเต็มที่ แต่สมองกลับสามัญ

อาจเป็นเพราะบุรุษที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเองมีแรงดึงดูดค่อนข้างมาก แต่พอแรงดึงดูดนี้สลายไป เขาก็ไม่มีข้อดีอันใดสักอย่าง

ฮวาหลิวหลีเห็นพวกนางคุยกันได้พอประมาณ จึงเดินตรงมาหาอย่างเชื่องช้า “ภูเขาลูกนี้ปีนยากหรือไม่”

“รูปร่างที่เหมือนลมจะหอบไปได้อย่างเจ้า เรียกหญิงรับใช้มาประคองดีกว่า จะได้ไม่ทำให้พวกเราต้องพลอยลำบากไปด้วย” คุณหนูเหยาพูดสะบัดเสียง “พวกเราไม่อยากถูกตราหน้าว่ารังแกเจ้า”

“คุณหนูเหยาปากแข็งใจอ่อน ข้าจดจำความหวังดีของเจ้าไว้แล้ว” ฮวาหลิวหลีพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นพวกเราเดินไปยามนี้เลยดีหรือไม่”

ตอนที่เดินขึ้นเขา ทุกคนค่อยสังเกตเห็นว่ารองเท้าของฮวาหลิวหลีงามนัก แม้แต่คุณหนูเหยาก็ยังอดมองหลายหนไม่ได้

“องค์หญิง รองเท้าคู่นี้ของท่านงามจริงๆ ผู้ใหญ่ในครอบครัวตั้งใจเตรียมให้ท่านหรือ” เดิมคนในครอบครัวของเถียนซานก็ตั้งใจเตรียมรองเท้าปักหลายคู่ให้นาง แต่พอท่านปู่ถึงแก่กรรม นางต้องเก็บรองเท้าปักไว้ วันนี้ได้แต่สวมแต่รองเท้าสีขาวเรียบๆ

“อืม…” ฮวาหลิวหลียื่นเท้าออกมานอกชายกระโปรงให้นางดู “งามหรือไม่”

“งาม” เถียนซานพยักหน้า “เข้ากับชุดของท่านวันนี้มาก หน้ารองเท้ามีแสงระยิบระยับ เวลาเดินประหนึ่งเหยียบบนแสง ไม่เพียงงดงาม ยังแพรวพราวชวนพิศวงด้วย”

“แม่ทัพทั้งสองให้ความสำคัญกับเจ้ามาก” เจียหมิ่นก้มลงมองรองเท้าของฮวาหลิวหลีด้วยความอิจฉาลึกๆ รองเท้าของฮวาหลิวหลีดูดีกว่าของนาง

ฮวาหลิวหลีฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้ม นางคงบอกเจียหมิ่นไม่ได้ว่ารัชทายาทที่เป็นญาติผู้พี่ของเจียหมิ่นมอบให้ ด้วยไม่รู้ว่าเจียหมิ่นที่เป็นญาติผู้น้องจะคิดอย่างไร

เห็นฮวาหลิวหลียิ้มไม่ตอบ ทุกคนต่างก็คิดว่านางยอมรับ คุณหนูเหยาที่แต่เดิมกล่าวว่าจะทำให้ฮวาหลิวหลีขายหน้าในวันงานเทศกาลบุปผาเห็นฮวาหลิวหลีเดินไม่นานก็หน้าซีด จึงผ่อนฝีเท้าช้าลงโดยไม่รู้ตัว นางหยิบลูกอมรสสะระแหน่ส่งให้ฮวาหลิวหลีสองเม็ด “เอาไปกิน หากเจ้าเป็นลม พวกเราอุ้มเจ้าไม่ไหวแน่”

“ขอบคุณคุณหนูเหยา” ยวนเหว่ยรับมาดูแวบหนึ่ง แล้วค่อยส่งลูกกวาดให้ฮวาหลิวหลี

ฮวาหลิวหลีรับลูกกวาดมากิน จากนั้นยิ้มให้คุณหนูเหยา “ขอบคุณนะ ลูกกวาดหวานมาก”

“ฮึ่ม เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะใส่ยาพิษในนั้นหรือ” คุณหนูเหยาเบือนหน้าไม่มองฮวาหลิวหลี

“คุณหนูเหยาจิตใจดี จะทำเรื่องประเภทนั้นได้อย่างไร” ฮวาหลิวหลีมองคุณหนูเหยา นัยน์ตาสดใสของนางเจือยิ้มอ่อนโยนเต็มเปี่ยม

คุณหนูเหยาแค่นเสียงอย่างขัดใจ หากใบหน้ากลับมีเลือดฝาดกว่าปกติ

เจียหมิ่นมองภาพตรงหน้าด้วยความสิ้นหวัง เสร็จกัน สหายสนิทของนางถูกรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไร้พิษภัยของฮวาหลิวหลีหลอกอีกคนแล้ว

เหยาเหวินอิน เจ้าจะหน้าแดงไปไย เจ้าเห็นนางแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาไม่ใช่หรือ บอกว่าวันนี้จะจัดการนางไม่ใช่หรือ!

เสียดายที่คุณหนูเหยาไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนในใจของเจียหมิ่น ไม่เพียงหน้าแดง แต่นางยังแกะถุงผ้าที่ใส่ลูกกวาดออกมาอย่างขัดเขินก่อนโยนให้ฮวาหลิวหลี “เอาไปกิน ข้าไม่ค่อยชอบกินของหวานๆ เลี่ยนๆ แบบนี้”

“ขอบคุณพี่เหยา” ฮวาหลิวหลียิ้มตาหยี สุดท้ายทำไปทำมาอย่างไรก็ไม่รู้ ฮวาหลิวหลีพูดไปพูดมากลายเป็นว่าพวกนางสี่คนเดินขึ้นเขาไปพลางกินลูกกวาดไปพลาง

หญิงสาวอย่างฮวาหลิวหลีคนนี้น่ากลัวจริงๆ

“คุณหนู ข้างหลังคล้ายเป็นคุณหนูเหยาและสหายของนางเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ของหลินหวั่นได้ยินเสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากทางด้านหลัง จึงหันกลับไปมอง เห็นคุณหนูเหยาและเด็กสาวในเครื่องแต่งกายหรูหราราคาแพงอีกสามคนเดินตามกันมา หญิงรับใช้ไม่รู้จักเด็กสาวทั้งสาม แต่จากการแต่งกายของพวกนาง บ่งบอกว่าพวกนางต้องมีฐานะไม่ธรรมดา

หลินหวั่นไม่เหมือนหญิงรับใช้ที่ไม่ค่อยได้เห็นโลกกว้าง แค่มองแวบเดียวนางก็จำได้ว่าหญิงทั้งสามเป็นใคร มองหญิงรับใช้ที่ติดตามด้านหลังจำนวนมาก ส่วนนางมีหญิงรับใช้ติดตามมาเพียงคนเดียว สีหน้าของหลินหวั่นไม่ค่อยสู้ดีนัก อยากหมุนตัวกลับทำเป็นมองไม่เห็นพวกนาง

“คุณหนูหลิน” พอเหยาเหวินอินเห็นหลินหวั่นก็กล่าวทักทาย “ไยถึงออกมาเที่ยวตามลำพังเช่นนี้เล่า”

นางกับเจียหมิ่นเป็นสหายสนิทกัน ก่อนหน้านี้นางตั้งใจเข้าหาหลินหวั่นเพราะอยากรู้ว่านางเป็นคนอย่างไร แต่พอยามนี้เห็นว่าเจียหมิ่นคล้ายไม่ค่อยคิดถึงเรื่องของอิงอ๋องแล้ว นางจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กับหลินหวั่นอีก

ครอบครัวของนางเป็นชนชั้นสูงที่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างเกษมสำราญ ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนบิดาของหลินหวั่นได้ชื่อว่าเป็นขุนนางใสซื่อมือสะอาด เวลานางอยู่กับหลินหวั่นมักรู้สึกอึดอัด

หลินหวั่นหยุดเดิน อมยิ้มมองคนทั้งสี่ ก่อนคำนับตามมารยาท “คาราวะองค์หญิงทั้งสอง คุณหนูเหยา คุณหนูเถียน”

“วันนี้เป็นงันงานเทศกาลบุปผา เหตุใดคุณหนูหลินถึงแต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้” คุณหนูเหยาเห็นหลินหวั่นมีเพียงปิ่นเงินสองด้ามประดับศีรษะ ด้ามหนึ่งเป็นปิ่นฝังพลอยสีชุบทอง พลอยสีนั้นดูแล้วก็ไม่ใช่พลอยชั้นดีนัก จึงถามโดยไม่ได้คิด “ดูแล้วจืดชืดไปสักหน่อย”

มิน่าเหยาเหวินอินจึงสนิทสนมกับเหยาเจียหมิ่นถึงเพียงนี้ที่แท้ทั้งสองคนเป็นพวกที่พูดไม่คิดด้วยกันทั้งคู่

การออกปากวิจารณ์การแต่งกายของผู้อื่นเช่นนี้ อาจถูกผู้อื่นทำร้ายเอาได้ง่ายๆ

ฮวาหลิวหลีกำลังจะเอ่ยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ หากหลินหวั่นกลับตอบยิ้มๆ ว่า “ตั้งแต่เล็กจนโตท่านพ่อสอนข้าว่าคนเราต้องประหยัดมัธยัสถ์ จะทำตัวฟุ้งเฟ้อไม่ได้ หลายปีมานี้จึงเคยชินเสียแล้ว”

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า