ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด
ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้
หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย
ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น
ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท
นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ
คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค
นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี
แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค
ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง
ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง
กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง
จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น
เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ
ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา
และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
เหล่าคุณชายเสเพลเห็นเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าก็ตกใจไปตามๆ กัน มองทหารกุมดาบสีหน้าท่าทางดุดันก็บังเกิดความร้อนตัว ทยอยลงจากหลังอาชาอย่างว่าง่าย
สกุลใหญ่ในเมืองหลวงมากมายที่มักติดสัญลักษณ์ของตระกูลไว้ที่รถม้า แต่พวกเขาสังเกตรถม้าคันนี้แล้วไม่เห็นสัญลักษณ์พิเศษใดๆ จึงเดาไม่ออกว่าเป็นคนตระกูลใด
แต่รถม้าคันนี้มีโครงสร้างตามข้อกำหนดชั้นสูง ทั้งยังมีทหารอารักขา ย่อมมิใช่ตระกูลผู้ดีทั่วไป
พวกเขายืนรอด้วยความร้อนรนกระวนกระวายใจ แต่นอกจากทหารที่ล้อมพวกเขาอยู่ ก็ยังไม่เห็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจเข้ามาเจรจา สิ่งที่พวกเขาทำได้ยามนี้ก็คือย่นคอ อธิษฐานไม่ให้ท่านหญิงผู้นั้นมีอันเป็นไป
ผ่านไปครู่ใหญ่ พวกเขาเห็นบุรุษหนุ่มที่มีลักษณะไม่ธรรมดาเดินตรงมา พวกเขารู้สึกยินดีปรีดาอย่างประหลาด แม้สีหน้าอีกฝ่ายจะไม่สู้ดีนักก็ตาม
ครั้นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาก็ขอโทษอย่างรู้สำนึก จากนั้นก็คาดเดาถึงฐานะของอีกฝ่าย
“ทุกท่านวางใจได้ ข้าน้อยมิใช่ผู้ที่ไร้เหตุผล ขอทุกท่านกลับไปก่อนเถิด”
คุณชายเสเพลทั้งหลายฟังแล้วข้องใจ เมื่อครู่ให้คนมาล้อมพวกเขาไว้ด้วยท่าทางดุดัน ทว่ายามนี้กลับปล่อยพวกเขากลับจวนไปง่ายๆ
“จริงหรือ” คุณชายคนหนึ่งมองฮวาฉางคงอย่างแคลงใจ “ไม่รู้ว่า…”
“ย่อมเป็นความจริง” ฮวาฉางคงถอนหายใจ “คุณชายทั้งหลายอายุยังน้อยไม่รู้เรื่องใด ข้าจะเอาเรื่องเอาราวกับพวกท่านได้อย่างไร”
บรรดาคุณชายเสเพลโล่งอก ดูท่าว่าคนผู้นี้คงไม่ติดใจเอาความแต่อย่างใด
“ดังนั้นรอให้น้องสาวของข้าสบายดีแล้ว ข้าขอไปเยี่ยมพวกท่านที่จวนด้วยตนเอง”
คุณชายเสเพลทั้งหลาย “…”
นี่มันเข้าข่ายพูดจาไม่ถูกหูก็ฟ้องผู้ใหญ่ที่จวนไม่ใช่หรือ
ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ โลกนี้ไฉนยังมีผู้ที่ร้ายลึกเช่นนี้อยู่ด้วย พวกเขาไม่กลัวที่จะต้องชดใช้เป็นเงินทองของมีค่า ไม่กลัวที่จะต้องชดใช้เป็นตัวยาหายาก แต่กลัวเรื่องบานปลายไปถึงที่บ้านมากกว่า ถึงยามนั้นพวกเขายังจะอยู่ดีมีสุขได้อย่างไร
“ทุกท่านโปรดวางใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ของทุกท่าน ข้าจะพูดทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่ใส่สีตีไข่” ฮวาฉางคงคำนับเหล่าคุณชายที่ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “ทุกท่าน เดินดีๆ”
กล่าวถึงเพียงนี้แล้วผู้ใดยังจะกล้าจากไปอีก
“เกิดอันใดขึ้น” ขณะที่บรรดาคุณชายเสเพลขออภัยยกใหญ่ มีบุรุษหนุ่มสวมชุดผ้าไหมสีดำบังคับอาชาตัวพ่วงพีเดินเหยาะๆ มาทางนี้
ฮวาฉางคงมองอาชาตัวใหญ่ที่บุรุษหนุ่มชุดดำขี่อยู่โดยไม่ส่งเสียงใดๆ
“รุ่ยต้ง พวกเจ้ามาทำอันใดกันอยู่ตรงนี้” จีหมิงเฮ่าเห็นคนจับกลุ่มคล้ายจะมีเรื่องอยู่ข้างทางจึงเข้ามาดู พบญาติผู้น้องฝ่ายมารดายืนคอตกพร้อมคุณชายสกุลใหญ่ทั้งหลายอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารหลายนาย
“ท่านอ๋อง” เถียนรุ่ยต้งกระอักกระอ่วนใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นอิงอ๋องขี่อาชามาดูเหตุการณ์โดยไม่มีผู้ใดจูงอาชาเข้ามาก็ยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่
เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่ถ้าอิงอ๋องต้องพลอยติดร่างแหเรื่องที่พวกเขา “ขี่ม้ากลางเมือง” ไปด้วย เรื่องจะยุ่งยากมากขึ้น
เห็นญาติผู้น้องอึกๆ อักๆ เหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร อิงอ๋องจึงหันมองฮวาฉางคง “ไม่ทราบว่าท่านเป็นคุณชายตระกูลใด ที่นี่มีผู้คนสัญจรมากมาย ไม่เหมาะจะพูดคุยกัน พอจะเห็นแก่หน้าอ๋องอย่างข้า สั่งให้ทหารล่าถอยออกไปก่อนได้หรือไม่”
“ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยมิได้ต้องการขัดขวางการจากไปของคุณชายทุกท่าน” ฮวาฉางคงยิ้มน้อยๆ “แต่คุณชายทั้งหลายยืนกรานว่าจะขออภัยข้าน้อยให้ได้ ข้าน้อยเองก็รู้สึกลำบากใจ”
เหล่าคุณชายเอ่ยว่า “คุณชายท่านนี้กล่าวถูกต้อง พวกเราต้องการอยู่ที่นี่เพื่อขออภัยเขา”
หากพวกเราไม่ขอโทษ เขาก็จะนำเรื่องไปฟ้องถึงจวน ผู้ใดจะรับไหว
อิงอ๋องนิ่วหน้า มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจสันดานของญาติผู้น้อง ญาติของเขาผู้นี้มีหรือจะยอมเป็นฝ่ายขอโทษผู้อื่นก่อน
“คุณชายสาม แย่แล้ว ท่านหญิงอาเจียนเป็นเลือดแล้วเจ้าค่ะ!”
“ท่านอ๋อง น้องสาวข้าไม่สบาย ข้าต้องขอตัวก่อน ขออภัย” ฮวาฉางคงหมุนตัวกลับไปยังรถม้า “รีบกลับจวนประเดี๋ยวนี้”
ขณะที่ทิ้งผ้าม่านลงนั้นฮวาฉางคงยังเหลียวหลังกลับไปมองอิงอ๋องที่ขี่ม้าอยู่แวบหนึ่ง ก่อนดึงสายตากลับอย่างรวดเร็ว สีหน้าไร้อารมณ์
ถึงจะเป็นอิงอ๋อง พอได้ยินว่าคนในรถม้าอาเจียนเป็นเลือดก็รีบบังคับม้าให้ถอยมาอยู่ด้านข้างเพื่อเปิดทางให้ขบวนรถม้าแล่นผ่านไป
รอจนกระทั่งคนทั้งขบวนเคลื่อนห่างไปแล้ว อิงอ๋องค่อยขบคิดอย่างกังขาว่าคนพวกนี้เป็นใครมาจากไหน
“เห็นอิงอ๋องชัดเจนแล้วหรือไม่” ฮวาฉางคงนั่งขัดสมาธิบนพรมในรถม้าพลางถามฮวาหลิวหลีที่นั่งพิงหมอนรับการปรนนิบัติจากหญิงรับใช้อย่างสุขกายสบายใจ
“อืม” ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในแววตาของฮวาหลิวหลีแม้แต่น้อย
“รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“รูปลักษณ์ภายนอกยังไม่ได้ครึ่งของพี่สาม” ฮวาหลิวหลียกมือกุมหน้าอก “บรรยากาศในเมืองหลวงนี่ไม่ดีเอาเสียเลย ข้าเวียนหัว แน่นหน้าอก ไม่สบายตัว ใกล้จะเป็นลมแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงพระอักษรถึงท่านพ่อ ดูคล้ายจะตั้งใจจับคู่เจ้ากับองค์ชายใหญ่ผู้นี้…”
ฮวาหลิวหลีนั่งตัวตรงทันที “พี่สาม อิงอ๋องหน้าตาสุดแสนจะธรรมดา นิสัยวู่วามบุ่มบ่าม ทั้งยังไม่แยกแยะถูกผิด ถ้าแต่งให้คนประเภทนี้จะต้องกลุ้มใจ ซ้ำยังแก่ง่าย”
ยังไม่ทันถามถึงต้นสายปลายเหตุก็ขอให้ผู้อื่นเห็นแก่หน้าตนเอง ล่วงเกินผู้อื่นแล้วยังไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำหน้าตาไม่ดี สมองก็ยิ่งมีปัญหา
ฮวาฉางคงเห็นด้วยกับพฤติกรรมที่ตัดสินคนจากหน้าตาของน้องสาว “วันทั้งวันอยู่กับบุรุษหน้าตาไม่ดี จะทำให้เจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงจะไม่ป่วยเป็นอันใดก็จะต้องรู้สึกกดดันจนไม่สบายเป็นแน่ เจ้าวางใจเถิด คนที่จวนไม่ให้เจ้าแต่งกับอิงอ๋องแน่”
ฮวาหลิวหลีได้ยินแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนในรถม้าอย่างเกียจคร้าน “ข้าไม่เวียนหัวแล้ว ไม่แน่นหน้าอก กินขนมได้แล้ว”
ฮวาฉางคงพาน้องสาวเดินทางกลับเมืองหลวงก่อนกำหนดเป็นเพราะ หนึ่ง เขาต้องเข้าสอบรับราชการหลังฤดูใบไม้ผลิจึงต้องเดินทางมาเตรียมพร้อมก่อน สอง เพื่อน้องสาวจะได้มีเวลาปรับตัวให้คุ้นชินกับเมืองหลวง
ไม่นานหลังจากนี้ ท่านพ่อท่านแม่จะเดินทางกลับเมืองหลวง ดังนั้นเขาจะต้องตรวจดูทิศทางลมที่นี่ให้กระจ่างชัดเสียก่อน
ฮวาฉางคงมองน้องสาวที่ถูกเลี้ยงดูจนอ่อนแอเรื่องมากแล้ว ไม่ได้บอกนางว่าตั้งแต่ต้นจนถึงยามนี้ไม่มีผู้ใดในจวนสักคนที่คิดจะให้นางแต่งเข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์ บุรุษในราชวงศ์คนใดใช้ชีวิตคู่กับชายาของตนอย่างมีความสุขบ้าง วันนี้คิดแต่จะรับอนุภรรยา วันพรุ่งคิดถึงการชิงบัลลังก์ แล้วยังมีเงื่อนไขด้านศีลธรรมจรรยาและมารยาทพิธีการสำหรับผู้เป็นชายาอ๋องอีกมากมายก่ายกอง
น้องสาวที่คนสกุลฮวาเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมในอุ้งมือมาแต่อ้อนแต่ออกจะให้ประสบพบเจอกับความน้อยเนื้อต่ำใจในวังหลวงได้อย่างไร เป็นท่านหญิงอย่างสบายใจไม่ดีกว่าหรือ เจอบุรุษที่ชอบพอค่อยออกเรือนไป แต่หากไม่เจอก็อยู่ที่จวน ใช้ชีวิตอย่างที่นางต้องการต่อไป
สกุลฮวาสร้างความชอบใหญ่หลวง ฮ่องเต้จึงมอบคฤหาสน์ในเมืองหลวงให้ อาจเป็นเพราะกลัวว่าคนสกุลฮวาจะเข้าใจผิด ฮ่องเต้จึงมิได้มอบบ่าวรับใช้ในจวน แต่ให้เป็นเงินทองของมีค่ามากมายแทน ซ้ำยังสั่งให้กรมโยธาซ่อมแซมที่พำนักให้ด้วย
สกุลฮวาส่งคนมาจัดการตกแต่งจวนก่อนหน้านี้แล้ว สองพี่น้องมาถึงก็เข้ามาพำนักได้เลย
วันนั้นประตูใหญ่หน้าจวนสกุลฮวาเปิดกว้าง ยังแขวนโคมแดงเอาไว้ด้วย ไม่ถึงสองชั่วยาม[1] มีขุนนางในเมืองหลวงจำนวนไม่น้อยที่รู้ข่าวว่าคนสกุลฮวามาถึงแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ขุนนางที่อยู่ข้างจวนสกุลฮวาเห็นรถม้าจากวังหลวงแล่นเข้าจวน
นี่แสดงให้เห็นว่า ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับขุนนางผู้มีความดีความชอบเพียงใด ฮ่องเต้ชางหลงไม่เพียงเรียกฮวาฉางคงเข้าเฝ้า แต่ยังเชิญสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวงซึ่งก็คือไทเฮามาต้อนรับบุตรีเพียงคนเดียวของสกุลฮวาด้วย
ไทเฮาเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของฮ่องเต้ เป็นสตรีที่มีจิตใจกว้างขวาง รู้ว่าฮ่องเต้ตั้งใจให้เกียรติแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน จึงตอบรับหน้าที่นี้ด้วยความยินดี นางยังให้สนมที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงมาร่วมต้อนรับอีกหลายคน
“ดรุณีน้อยหน้าบาง พอนางมาถึงแล้ว พวกเจ้าต้องทำตัวเป็นกันเอง อย่าทำนางตกใจเล่า” ไทเฮาเกรงว่าสนมที่วันทั้งวันเอาแต่ชิงดีชิงเด่นกันจะก่อความวุ่นวายขึ้น จึงกำชับเป็นพิเศษ “แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินสละเลือดเนื้อเพื่อต้าจิ้นของพวกเรา พวกเราจะให้บุตรธิดาของเขาต้องน้อยเนื้อต่ำใจในเมืองหลวงไม่ได้”
“ขอไทเฮาทรงวางพระทัย แม้หม่อมฉันไม่มีบุตรีแต่ก็ชื่นชมผู้ที่มีบุตรีมาตลอดเพคะ” สนมเสียนรีบรับคำ “รอให้ท่านหญิงฮวามาถึงแล้ว หม่อมฉันจะดูแลนางคล้ายกับบุตรีในอุทรเลยเพคะ”
สนมคนอื่นๆ ถึงกับแอบค้อนในใจ นี่ก็คือนางตัวดีที่ปากพูดว่าอยากมีบุตรี ทว่าความจริงอยากโอ้อวดว่าตนให้กำเนิดองค์ชายใหญ่เสียมากกว่า
ทุกคนต่างผ่านสมรภูมิการชิงดีชิงเด่นในตำหนักในมาตลอด คิดหรือว่าจะมีผู้ใดเชื่อ
ทว่าสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ บุตรีของแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินมิได้เข้าวัง ด้วยเหตุผลว่าไม่สบาย
“ไม่สบายหรือ เป็นไข้หวัดระหว่างการเดินทางรึ” ไทเฮาอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“แม้ร่างกายท่านหญิงจะอ่อนแอ แต่ระหว่างการเดินทาง สุขภาพก็ยังดีอยู่ เพียงแต่เมื่อวานพอเข้าเมืองหลวงมาก็พบคุณชายหลายคนขี่ม้ากลางเมือง จึงตื่นตระหนกตกใจเพคะ ยังมี…” ผู้ที่ตอบคำถามรู้สึกลำบากใจไม่น้อย
“ยังมีอันใด” สีหน้าของไทเฮาเคร่งเครียด
“คุณชายสามเห็นคุณชายเหล่านั้นขี่ม้ากลางเมือง ทำผิดกฎหมายของต้าจิ้นจึงเข้าไปห้ามปราม กลับคิดไม่ถึงว่าอิงอ๋องผ่านมาพอดีเพคะ” พอเล่าถึงตรงนี้ ผู้เล่าก็รีบคุกเข่าลง “เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับอิงอ๋องแต่ประการใด แต่เพราะท่านหญิงขี้กลัวมาแต่ไหนแต่ไร คิดว่าตนเองล่วงเกินอิงอ๋อง จึงกังวลเกินเหตุ ทำให้นางกระอักเลือด พอกลับถึงจวนเลยไม่สบายเพคะ”
“คุณชายเหล่านั้นเป็นผู้ใด” แม้เรื่องนี้จะเกี่ยวพันไปถึงอิงอ๋อง ทว่าไทเฮายังคงซักไซ้ไล่เรียง ถามความราวกับตั้งใจจะทวงความเป็นธรรมให้เด็กสาวสกุลฮวา
“น่าจะเป็นคุณชายรองสกุลเถียนและสหายสนิทอีกหลายท่านเพคะ”
ทุกคนในที่นี้ล้วนชำนาญในการจินตนาการเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน ไม่ช้าจึงมีภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหัว
คนตระกูลเดิมของสนมเสียนขี่ม้ากลางเมืองทำให้ดรุณีที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงได้รับความตื่นตระหนกตกใจ ในฐานะพี่ชายอย่างคุณชายสามสกุลฮวาทนเห็นน้องสาวต้องแบกรับความกดดันเช่นนี้ไม่ได้ จึงเข้าไปเจรจากับคุณชายรองสกุลเถียน จากนั้นอิงอ๋องเข้ามาช่วยญาติผู้น้องจึงทำให้เด็กสาวแค้นใจจนกระอักเลือด
สนมคนอื่นๆ หันมองสนมเสียนเป็นตาเดียว เมื่อครู่ยังบอกว่าจะดูแลนางเสมือนบุตรีในอุทร ยามนี้ดรุณีผู้นี้ต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ ยังไม่รีบช่วยทวงความเป็นธรรมให้อีกหรือ
สนมเสียน “…”
…
สนมเสียนที่ถูกฉีกหน้ายับเยินกลับถึงตำหนักส่วนตัวก็โกรธจัดถึงกับขว้างปิ่นหยกทิ้ง
“พระสนม จะมีผู้ใดที่อ่อนแอปานนั้น บุตรีสกุลฮวาแกล้งป่วยเพื่อให้ร้ายท่านอ๋องหรือไม่เจ้าคะ” นางกำนัลที่คอยรับใช้กระซิบถาม “มิฉะนั้นจะบังเอิญถึงเพียงนี้หรือเจ้าคะ”
“นางเป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือน จะแสร้งอ่อนแอขี้โรคย่อมไม่เป็นผลดีต่อตนเอง นอกเสียจากว่านางจะไม่คิดออกเรือน ถ้ามีข่าวลือว่าร่างกายนางไม่แข็งแรง บุรุษหนุ่มสกุลใหญ่ในเมืองหลวงคนใดจะกล้ารับนางเป็นภรรยา” แม้สนมเสียนจะโกรธขึ้งเพียงใด แต่สมองก็ยังใช้การได้ดี “เจ้าไปสกุลเถียนสักครั้ง บอกให้พวกเขาดูแลเด็กๆ ในบ้านให้ดี”
มีความสามารถกันเสียจริง เด็กสาวดีๆ เพิ่งเข้าเมืองหลวงก็ถูกคนสกุลเดิมของนางทำให้ตกใจจนล้มป่วย แล้วจะให้นางอยู่ในวังหลวงอย่างไร
“แหม” ในจวนสกุลฮวา ฮวาหลิวหลีนั่งพิงหน้าต่าง ยื่นมือรองละอองหิมะที่ตกลงมาแล้วทอดถอนใจ ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “เมื่อวานพวกคุณชายเสเพลทำข้าตกใจ ยามนี้ข้ายังแน่นหน้าอกอยู่เลย”
ยวนเหว่ยต่อคำให้อย่างรู้ใจ “นั่นสิเจ้าคะ คุณชายเสเพลพวกนั้นไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจริงๆ คุณหนูแบบบางสูงศักดิ์เช่นนี้จะทนกับการกระทำที่ไร้มารยาทและสร้างความตกใจให้ได้อย่างไร ยังมีราษฎรที่น่าสงสารพวกนั้น ต้องตกอกตกใจกันเพียงใดก็ไม่รู้”
ฮวาหลิวหลีเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางถอนหายใจด้วยความเศร้าสร้อย “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ชิงหานโจว พอหิมะตกเมื่อไร ท่านพ่อจะออกไปล่าสัตว์ด้วยตนเอง…
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ยวนเหว่ยเดินออกนอกห้อง สั่งหญิงรับใช้ที่ยืนเฝ้าว่า “คุณชายสามอยากกินหม้อไฟ ไปบอกห้องครัวให้เตรียมวัตถุดิบเอาไว้ให้พร้อม”
ท่านหญิงของนางร่างกายอ่อนแอแบบบาง คิดถึงคนในครอบครัวจนไม่มีแก่ใจจะกินอาหาร แต่กลายเป็นว่าผู้ที่อยากกินหม้อไฟคือคุณชายสาม
[1] หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง