ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด
ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้
หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย
ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น
ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท
นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ
คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค
นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี
แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค
ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง
ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง
กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง
จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น
เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ
ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา
และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
41
ยามที่ฮวาหลิวหลีและรัชทายาทเดินมากลางศาลา ขันทีรับใช้ข้างกายรัชทายาทตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมพรัก รอบศาลาทุกสองก้าวจะมีราชองครักษ์ที่ต่างกายเป็นชาวบ้านยืนอยู่ เห็นชัดว่าฮ่องเต้ไม่วางใจเรื่องความปลอดภัยของรัชทายาทยามออกนอกวัง
มีอาหารร้อนๆ กลิ่นหอมกรุ่นวางเต็มโต๊ะหิน ฮวาหลิวหลีล้างมือสะอาดดีแล้ว เอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “อาหารเหล่านี้ไม่คล้ายกับอาหารในวัง บรรจงปรุงอย่างประณีต เห็นแล้วเจริญอาหาร”
“หากองค์หญิงชอบก็นับเป็นเกียรติของอาหารโต๊ะนี้” รัชทายาทหยิบตะเกียบ “องค์หญิง เชิญ”
ฮวาหลิวหลีเพิ่งหยิบตะเกียบขึ้นมา พลันเห็นอิงอ๋องพาหลินหวั่นเดินตรงมา นางวางตะเกียบลงก่อนลุกยืน
“รัชทายาท กระหม่อมรบกวนแล้ว” อิงอ๋องส่งร่มให้ราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านนอก แล้วก้าวยาวๆ เข้าศาลา “ข้างนอกฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ กระหม่อมพาคนเข้ามาหลบฝนในนี้ รัชทายาทคงไม่ว่ากระไร”
รัชทายาทชำเลืองมองอิงอ๋องแวบหนึ่ง วางตะเกียบพูดยิ้มๆ “เมื่อครู่เรารู้สึกว่ามีหางอันใดตามอยู่ข้างหลังตลอด ยังคิดจะให้ราชองครักษ์ไปดู ที่แท้เป็นพี่ใหญ่นี่เอง เช่นนั้นเราก็ไม่กังวลแล้ว มา นั่งลงเถิด”
อิงอ๋องนิ่วหน้า ไฉนเขาถึงรู้สึกว่าสีหน้าท่าทางของจีหยวนซู่ราวกับกำลังเรียกสุนัขตัวหนึ่ง
เขาสะบัดเท้าไล่ละอองน้ำที่รองเท้าออก แล้วเดินมานั่งทางซ้ายของรัชทายาท ฮวาหลิวหลีมองหลินหวั่นที่ยังยืนอยู่นอกศาลา ก่อนหมุนตัวไปนั่งทางขวารัชทายาท เว้นที่ว่างข้างกายอิงอ๋องเอาไว้
แต่อิงอ๋องเหมือนมองไม่เห็นหลินหวั่น หลังจากขันทีรับใช้ล้างมือให้แล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นมาตั้งท่าจะกินอาหาร
ทั้งสองคนทะเลาะกันหรือ
ฮวาหลิวหลีไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวเรื่องรักใคร่ของคนทั้งสอง แต่รู้สึกว่าการปล่อยให้หลินหวั่นยืนอยู่ข้างนอกนั้นดูประดักประเดิดชอบกลจึงเอ่ยว่า “คุณหนูหลิน แม้ดอกซิ่งจะงดงามแต่การกินเป็นเรื่องใหญ่ กินก่อนแล้วค่อยๆ ชมดอกไม้เถิด”
หลินหวั่นก้มหน้าเดินเข้าศาลาตามคำเชิญของฮวาหลิวหลีที่ช่วยรักษาหน้าให้นาง นางคำนับรัชทายาท แล้วนั่งข้างอิงอ๋องเงียบๆ
“นี่เป็นน้ำแกงหน่อไม้แปดเซียน ปรุงด้วยหน่อไม้อ่อนในฤดูใบไม้ผลิ มีสรรพคุณช่วยบำรุงปอดบำรุงสมอง องค์หญิงจะลองชิมสักหน่อยดีหรือไม่” รัชทายาทไม่สนใจว่าบรรยากาศระหว่างอิงอ๋องกับหลินหวั่นตึงเครียดเพียงใด เขาตักน้ำแกงส่งมาตรงหน้าฮวาหลิวหลี ทำราวกับไม่มีคนทั้งสองอยู่ด้วย
ฮวาหลิวหลียกชามขึ้นดื่ม “รสชาติดีเพคะ”
“เราเองก็ชอบน้ำแกงชามนี้ อาหารจานอื่นถือว่ารสชาติธรรมดา” รัชทายาทมองต้นไม้ด้านหลังฮวาหลิวหลี “แต่วันนี้มีดอกไม้เคียงข้าง จึงพอจะกลืนอาหารที่ดูธรรมดาลง”
“หืม” ฮวาหลิวหลีหันหลังกลับไปมอง มีกลีบดอกไม้ร่วงหล่นบนพื้นราวกับละอองหิมะ กลีบดอกไม้ตกเต็มพื้นทับถมจนเป็นชั้นหนา ถ้าถึงวันพรุ่ง กลีบบุปผาเหล่านี้จะผสมกับดินโคลน ไม่งดงามเช่นวันนี้
นางยื่นมือออกไปนอกศาลารับกลีบผกาที่โปรยปรายลงมา แล้ววางลงในมือของรัชทายาท “เอ้านี่ เสวยไปพลางทอดพระเนตรไปพลางนะเพคะ”
รัชทายาทนิ่งขึง ก่อนเปล่งเสียงหัวเราะในเวลาต่อมา
อิงอ๋องเงยหน้ามองไข่มุกที่ไหวไปมาเบาๆ ใต้ติ่งหูของฮวาหลิวหลี เขาอดคิดไม่ได้ว่าชายแดนมีแต่ความกันดาร ไฉนคนสกุลฮวาจึงเลี้ยงดูบุตรสาวให้นุ่มนวลอ่อนหวานเช่นนี้
“ท่านอ๋อง” หลินหวั่นคีบหน่อไม้อ่อนวางไว้ในชามของอิงอ๋องชิ้นหนึ่ง “ลองชิมสิเจ้าคะ”
“คุณหนูหลิน งานรับใช้ผู้อื่นเช่นนี้ให้คนระดับล่างทำก็พอแล้ว” อิงอ๋องคีบหน่อไม้วางไว้ข้างๆ “อีกอย่าง ข้าไม่ชินกับการกินของที่ผู้อื่นคีบให้”
หลิวหวั่นหน้าซีด “ข้าล่วงเกินแล้ว”
นางมองฮวาหลิวหลีอย่างไม่รู้ตัว เห็นอีกฝ่ายไม่ทันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
อิงอ๋องนิ่วหน้ามองหลินหวั่น “ข้าพูดกับเจ้า ไยเจ้ามองผู้อื่น”
“รัชทายาทเพคะ” ฮวาหลิวหลีวางตะเกียบ “หม่อมฉันอิ่มแล้ว อยากไปชมดอกไม้เพคะ”
“เราจะไปกับเจ้าด้วย” รัชทายาทลุกยืน ยิ้มบาง มองอิงอ๋องผาดหนึ่ง แล้วรับร่มจากราชองครักษ์มากางเหนือศีรษะของฮวาหลิวหลี
ฮวาหลิวหลีจับชายกระโปรงเดินไปกลางป่าดอกซิ่งกับรัชทายาท นางหันมองอิงอ๋องและหลินหวั่นที่ยังนั่งอยู่ในศาลา เอ่ยเสียงค่อยว่า “วิธีทำความรู้จักกันระหว่างอิงอ๋องกับคุณหนูหลินช่าง…ไม่เหมือนใคร”
เห็นได้ชัดว่าอิงอ๋องมิได้ชอบหลินหวั่น แต่ที่นางไม่เข้าใจก็คือเหตุใดหลินหวั่นจึงยอมรับความน้อยเนื้อต่ำใจ ปล่อยให้อิงอ๋องทำตัวนิสัยไม่ดีเช่นนี้
บางครั้งบุรุษก็สมควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง การยอมให้บุรุษทำตามอำเภอใจนั้นไม่ใช่วิธีที่ดี ยิ่งยอมยิ่งเอาแต่ใจ สมควรหาโอกาสดีๆ สั่งสอนให้เข็ดหลาบสักหลายครั้ง หลังจากนั้นพวกเขาก็จะว่านอนสอนง่าย อย่างน้อยก็รู้จักให้เกียรติผู้อื่นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนข้างนอกบ้าง
นางเคยได้ยินพี่สามเล่าว่า ตอนที่ใต้เท้าหลินยังหนุ่มเคยตำหนิขุนนางในราชสำนักจนไร้ถ้อยคำ ขุนนางโกงกินเห็นเขาจะต้องหวาดผวา แล้วไฉนจึงได้เลี้ยงดูบุตรสาวให้มีนิสัยเช่นนี้ได้
คงไม่ใช่แค่สอนให้นางเป็นกุลสตรีที่ดี คอยดูแลสามีและลูกๆ เท่านั้นหรอกนะ
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยนิสัยของอิงอ๋อง หลังนางสมรสกับอิงอ๋องแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจมากเพียงใด
รัชทายาทเด็ดดอกไม้มาเสียบเรือนผมของฮวาหลิวหลี “แต่ละคนย่อมเลือกไม่เหมือนกัน อย่าได้กลัดกลุ้มเพราะเรื่องของผู้อื่น”
“รัชทายาทเพคะ ดอกหนึ่งดอกกลายเป็นผลซิ่งหนึ่งผล” ฮวาหลิวหลีแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “แล้วจะทำอย่างไรเพคะ”
“อย่างนั้นก็…” รัชทายาทเด็ดดอกไม้อีกดอกเสียบข้างๆ ดอกไม้ดอกแรก “ให้พี่น้องของมันอยู่เป็นเพื่อนกัน แบบนี้จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว”
“ดอกไม้ดอกเดียว…จะโดดเดี่ยวหรือ” ฮวาหลิวหลีครุ่นคิด หรือรัชทายาทคิดถึงสตรีที่เคยรักที่ลาลับไปก่อนวัยอันควร
“ถูกต้อง” รัชทายาทพูดเป็นนัย “ดอกไม้ดอกเดียวถึงจะงามเพียงใด ก็หวังว่าจะมีดอกไม้อีกดอกอยู่เคียงข้าง หากอยู่เพียงลำพัง…ดอกไม้จะเดียวดายเกินไป”
“บางทีดอกไม้ดอกนี้อาจหวังว่าดอกไม้ที่มันชอบจะอยู่บนกิ่งต่อไป เพื่อกลายเป็นผลไม้รสชาติอร่อย” ฮวาหลิวหลีฟังแล้วประหวั่น กลัวว่ารัชทายาทจะเศร้าเสียใจและเบื่อหน่ายโลกใบนี้ “มีดอกไม้บนต้นที่งดงามมากมาย ทิ้งเอาไว้อยู่กับพวกพ้องก็ดีออก เหตุใดจะต้องจากไปพร้อมกับดอกไม้ดอกนี้ด้วยเล่า”
“โลกใบนี้มีสิ่งที่งดงามมากมาย” ฮวาหลิวหลีพยายามปลอยใจ “จะละทิ้งสิ่งใดก็มิอาจละทิ้งความเจริญรุ่งเรืองและความครึกครื้นในชีวิต รัชทายาททรงเห็นด้วยหรือไม่เพคะ”
รัชทายาทส่งร่มให้ฮวาหลิวหลีถือเอาไว้ “เรารู้สึกหนาวขึ้นมากะทันหัน จะไปเอาเสื้อคลุมเพิ่มอีกตัว”
“หา” ฮวาหลิวหลีถือร่มพลางมองรัชทายาทหมุนตัวเดินไปอีกทางหนึ่ง ลมภูเขาวันนี้โหมแรงจริงๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง รัชทายาทยังไม่กลับมา หลินหวั่นเดินมาหาเสียก่อน สีหน้าของนางสงบนิ่ง ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ราวกับว่าการกระทำของอิงอ๋องเมื่อครู่มิได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนาง
“องค์หญิงงามจริงๆ” หลินหวั่นพลันเอียงหน้ามองฮวาหลิวหลี “ยืนอยู่กลางฝนดอกซิ่งก็งดงามราวกับภาพวาด ข้านั่งอยู่ในศาลาเห็นองค์หญิงยืนอยู่ยังมองจนลืมตัว”
ทั้งๆ ที่เป็นคำชม แต่ฮวาหลิวหลีกลับรู้สึกว่าเจือความประชดประชัน นางถอยหลังสองก้าว “คุณหนูหลินชมเกินไปแล้ว”
“องค์หญิงอย่าได้ถ่อมตน ข้าเพียงพูดความจริงเท่นั้น” หลินหวั่นยกมุมปากนิดๆ “เมื่อครู่ท่านยืนอยู่ที่นี่ สายตาทุกคนมองท่านอย่างอดไม่ได้…”
ฮวาหลิวหลีสูดลมหายใจลึกคราหนึ่ง จู่ๆ ไยถึงไม่สบายไปอีกคนเล่า
นางเพิ่งจัดการกับนิสัยไม่ดีของเจียหมิ่นสำเร็จ ไยหลินหวั่นพลอยไม่สบายไปกับเขาด้วย ด้วยรูปลักษณ์ของอิงอ๋อง มิได้นับว่าเป็นชายรูปงามที่สร้างหายนะ เหตุใดหญิงสองคนนี้จึงทำท่าราวกับนางคิดจะแย่งชิงอิงอ๋องจากพวกนาง
เป็นสตรีเหมือนกัน ไฉนจะต้องทำร้ายจิตใจกันด้วย นางไม่เคยพบอิงอ๋องตามลำพัง แม้แต่การสนทนาก็ยังพูดกันแค่ไม่กี่ประโยค มีที่ใดที่เห็นว่านางสนใจอิงอ๋องบ้าง
ตนเองจัดการกับผู้ชายของตนเองไม่ได้ แล้วก็คิดว่าเป็นความผิดของหญิงอื่นในใต้หล้า นี่เป็นเหตุผลแบบไหนกันแน่
“คุณหนูหลิน” ฮวาหลิวหลียิ้มบาง “ข้ามิใช่คนที่ใจคอกว้างขวางแต่อย่างใด โดยเฉพาะไม่ชอบให้ผู้อื่นดูหมิ่นวิสัยทัศน์ของข้า หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
หลินหวั่นมองฮวาหลิวหลีด้วยแววตาเย็นชา
ฮวาหลิวหลีมองตอบยิ้มๆ
“องค์หญิงมีชื่อเสียงโด่งดัง ข้าย่อมมิอาจล่วงเกิน” หลินหวั่นหัวเราะเยาะ “หวังว่าท่านจะมีชื่อเสียงเช่นนี้ต่อไป”
“ยวนเหว่ย” ฮวาหลิวหลีไม่สนใจหลินหวั่น นางกวักมือเรียกหญิงรับใช้ “ถ้อยคำที่คุณหนูหลินพูดเมื่อครู่เจ้าจำได้หรือไม่”
“บ่าวจำได้เจ้าค่ะ” ยวนเหว่ยยิ้มตอบ “ขอองค์หญิงวางใจ บ่าวจำได้ขึ้นใจ ไม่ตกหล่นสักคำเดียว”
“จำได้ก็ดีแล้ว” ฮวาหลิวหลีคลี่ยิ้มสดใส “อีกไม่กี่วัน พวกเราไปเยี่ยมเขียนใต้เท้าหลินกับหลินฮูหยิน แล้วเล่าถ้อยคำของคุณหนูหลินให้พวกเขาฟังอีกครอบหนึ่ง ข้าคิดว่าใต้เท้าหลินจะต้องชื่นชมคำพูดคำจาของคุณหนูหลินเป็นแน่”
“หมายความอย่างไร” หลินหวั่นหน้าเปลี่ยนสี
“ก็หมายความว่าจะไปฟ้องน่ะสิ” ฮวาหลิวหลีเอียงคอ หัวเราะคิกคัก “เด็กที่ไม่มีวาทศิลป์ พูดจาล่วงเกินผู้อื่นไปทั่ว ใครจะเอาเรื่องเอาราวกับเด็กที่ไม่รู้ประสากันเล่า ย่อมต้องไปหาผู้ใหญ่ของนาง”
“ฮวาหลิวหลี!”
“คุณหนูหลิน” รัชทายาทเดินตรงมา สีหน้าไร้ความรู้สึก “ตอนกลางวันคิดว่าคุณหนูหลินคงจะเจริญอาหารเป็นแน่”
หลินหวั่นคิดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะกลับมาตอนนี้ นางตื่นตระหนก ยอบกายถอยไปอีกด้าน “หม่อมฉัน…ไม่เข้าใจสิ่งที่รัชทายาทตรัสเพคะ”
“ถ้าไม่เพราะเจริญอาหารจนกินเข้าไปมาก แล้วเจ้าจะมีแรงตะโกนใส่องค์หญิงที่ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากฮ่องเต้หรือ” รัชทายาทมองหลินหวั่นด้วยแววตาเย็นชา ขนคิ้วและขนตาของเขายังมีละอองนเกาะพราว ดูคล้ายกระบี่เย็นกระด้างที่ถูกชักออกจากฝัก ทำให้หลินหวั่นมิกล้าสบตาตรงๆ
“ใต้เท้าหลินเป็นขุนนางที่ดี คุณหนูหลินอย่าได้ทำลายชื่อเสียงของเขา” แววตาของรัชทายาทเย็นชา “คนที่จะเป็นชายาอ๋องในอนาคต หากไม่รู้จักพูดรู้จักวางตัว ก็อย่าได้แต่งกับพระบรมวงศ์”
ฮวาหลิวหลีมองฝนต้นฤดูใบไม้ผลิที่ยิ่งตกยิ่งแรง เห็นว่ารัชทายาทมิได้ถือร่มจึงรีบกางร่มเหนือศีรษะของเขา นางพบว่าความสูงของตนนั้นต่างจากรัชทายาทมากเกินไป ต้องเขย่งเท้าให้สูงขึ้นจึงจะไม่บังทัศนวิสัยของรัชทายาท
มืออุ่นร้อนจับก้านร่ม “เราถือเอง”
ฮวาหลิวหลีรีบปล่อยมือ การที่ให้หญิงรับใช้จิตใจดีน่ารักยืนกางร่มให้คนที่ตัวสูงกว่าออกจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป
หลินหวั่นที่ถือร่มกลับรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว ฟันของนางกระทบกันดังกึกๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกหนาวยะเยือก ซ้ำยังรู้สึกพรั่นพรึง นางกลัวว่าฮวาหลิวหลีจะวิ่งไปฟ้องบิดา กลัวว่ารัชทายาทจะกลับไปบอกฮ่องเต้ว่านางไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นชายาอ๋อง
นางมิอาจทนรับความจริงที่ว่าต่อไปนางจะมิได้เป็นชายาอ๋อง แต่ต้องออกเรือนไปกับคนที่มีชะตาชีวิตยากจนข้นแค้นเช่นเดียวกับบิดาของนาง
หลินหวั่นคุกเข่าลง นัยน์ตาแดงก่ำ ส่งเสียงสะอึกสะอื้น “ขอรัชทายาทและองค์หญิงโปรดอภัย” เสียงร่ำไห้โหยหวนปวดใจราวกับคนน่าสงสารที่จำต้องก้มหัวให้กับผู้ทรงอำนาจโดยมิกล้าพูดไม่กล้าโต้เถียงแต่อย่างใด
“เกิดอันใดขึ้น” อิงอ๋องเดินมาก็เห็นชายาในอนาคตของตนเองคุกเข่าเบื้องหน้ารัชทายาท สีหน้าของเขาไม่สู้ดี ไม่ว่าอย่างไรหลินหวั่นก็เป็นภรรยาในอนาคตของเขา ถือเป็นพี่สะใภ้ในอนาคตของรัชทายาท
พี่สะใภ้ในอนาคตต้องคุกเข่าต่อหน้าน้องชายสามี ใช้ได้ที่ใดกัน
“เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ” ฮวาหลิวหลีกัดริมฝีปากล่าง ขมวดคิ้วนิดๆ คล้ายกับว่าถึงจะรู้สึกน้อยใจ แต่ก็ต้องเข้มแข็งไม่ปริปากบอก “ข้ากับคุณหนูหลินพูดจาไม่เข้าใจกันนิดหน่อย ต่างฝ่ายต่างไม่พอใจ รัชทายาทเสด็จมาแล้วทรงตำหนิคุณหนูหลินหลายคำ ไม่คิดว่าคุณหนูหลินจะละอายใจจนคุกเข่าขอโทษข้าและรัชทายาทเจ้าค่ะ”
ฮวาหลิวหลีหน้าซีดขาวราวกับตกใจกับการกระทำของหลินหวั่น แต่นางยังคงพูดกับอิงอ๋องอย่างคนที่เข้าใจอะไรดีว่า “ยังดีที่ท่านอ๋องมาถึง ท่านรีบบอกให้คุณหนูหลินลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ”
แพะตัวนี้ทั้งอ้วนทั้งใหญ่ ถ้าให้รัชทายาทเป็นแพะ ความขัดแย้งในหมู่พี่น้องย่อมทวีขึ้น ไม่สู้ให้นางเป็นแพะจะดีกว่า
ที่แท้ก็พูดจาไม่เข้าใจกันนั่นเอง” อิงอ๋องเข้าใจเหตุการณื เขาก้มมองหลินหวั่น “แล้วเจ้ายังจะคุกเข่าไปไย ให้ผู้อื่นเห็นเข้ามันน่าดูหรือ ยังไม่รีบลุกขึ้น อีกสักครู่ก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เย็นนี้ท่านแม่ให้เจ้าเข้าวังไปพักอยู่สักสองวัน”
“ขอบคุณองค์หญิงที่ใจกว้าง” หลินหวั่นกำมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าฝ่ามือ นางลุกยืนช้าๆ มองชายกระโปรงที่เปรอะโคลน ก่อนเอ่ยกับอิงอ๋องว่า “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือน แล้วค่อยไปเข้าเฝ้าพระสนม เช่นนี้จะดีหรือไม่เจ้าคะ”
“แล้วแต่เจ้า” อิงอ๋องชำเลืองมองรัชทายาท “ฝนบนเขายิ่งตกยิ่งแรง ร่างกายองค์หญิงไม่ค่อยแข็งแรงจะอยู่บนเขานานไปไม่ดี ยิ่งยามนี้ฝนตก ทางเดินบนเขาลื่น เดินลำบาก องค์หญิงรีบลงจากเขาดีกว่า”
“ขอบคุณท่านอ๋องที่เตือน ข้าทราบแล้ว” ฮวาหลิวหลีสังเกตเห็นสายตาเย็นชาของหลินหวั่นที่มองนาง
นางได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ ขยับตัวไปแอบหลังรัชทายาท มีคนตัวสูงอยู่ข้างๆ ก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง อย่างน้อยก็มีพื้นที่ให้หลบภัยมากขึ้นอีกหน่อย
อิงอ๋องมองฮวาหลิวหลีแวบหนึ่ง ก่อนประสานมือกับรัชทายาท “รัชทายาท กระหม่อมขอตัวก่อน”
“พี่ใหญ่เดินดีๆ” รัชทายาทมองหลินหวั่น สีหน้าไร้ความรู้สึก
หลินหวั่นมิกล้าสบตารัชทายาทตรงๆ นางก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม
รอจนกระทั่งอิงอ๋องพาหลินหวั่นจากไปแล้ว รัชทายาทค่อยเอ่ยกับฮวาหลิวหลีว่า “อย่างนั้นพวกเราก็ลงเขา ใกล้ๆ ชานเมืองหลวงมีทะเลสาบที่มีทิวทัศน์งดงามในวันฝนตก นั่งรถม้าไปไม่นาน เจ้าอยากไปดูหรือไม่”
“ไปเพคะ” ฮวาหลิวหลีพยักหน้า มีคนงามอยู่เคียงข้างจะให้ชมทะเลสาบหรือชมบุปผาก็เหมือนกันทั้งนั้น
ทั้งสองคนลงเขาได้ถึงครึ่งทาง ก็พบองค์ชายห้าถือกระบอกใส่ภาพวาดเข้าพอดี องค์ชายห้าเห็นฮวาหลิวหลีแล้วนัยน์ตาเจิดจ้าโดยพลัน เขาคำนับรัชทายาทอย่างนบนอบ จากนั้นมองฮวาหลิวหลีด้วยสายตาเป็นประกาย “องค์หญิงฝูโซ่ว วันนี้ข้าเพิ่งวาดภาพเสร็จภาพหนึ่ง ขอองค์หญิงช่วยวิจารณ์ด้วย”
ฮวาหลิวหลี “…”
พ่อหนุ่มเอ๋ย อย่าได้ใช้สายตาเชื่อมั่นมองข้าอย่างนั้น ข้าลำบากใจเหลือเกิน
“เช่นนั้นข้าบังอาจขอชมแล้วเจ้าค่ะ” ช่างเถิดๆ อีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชาย ก็สมควรพูดเอาใจสักหน่อย
ขันทีน้อยสองคนคลี่ม้วนภาพอย่างระมัดระวัง องค์ชายห้ารีบกางร่มเหนือภาพวาด ด้วยกลัวว่าพิรุณวสันต์ที่ไร้จิตใจจะทำผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขาเปียก
ฮวาหลิวหลีสูดหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้า
ภาพนี้อันใดกันเนี่ย
มีวงหมึกสีเข้มและวงหมึกสีอ่อนวาดทับกันไปมา พวกมันเป็นสหายที่ดีต่อกันเช่นนั้นหรือ
“องค์หญิง เจ้ารู้สึกว่าภาพชมภูเขาชิงซานภาพนี้เป็นอย่างไรบ้าง” องค์ชายห้ามองฮวาหลิวหลีอย่างคาดหวัง
รัชทายาทอมยิ้มมองฮวาหลิวหลีแวบหนึ่ง แล้วถอยหลังก้าวหนึ่งเงียบๆ แสร้งดูดินดูฟ้า แต่ไม่ยอมดูภาพขององค์ชายห้า
“ภาพนี้…” ฮวาหลิวหลีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ยามที่องค์ชายจรดพู่กันมีหนักมีเบา ส่วนที่เป็นสีเข้มนั้นคล้ายกับความสูงตระหง่านและยิ่งใหญ่ของภูเขาชิงซาน ส่วนที่เป็นสีอ่อนนั้นประหนึ่งสายลม ประหนึ่งสายหมอก ประหนึ่งสายฝนบนคีรี ยังมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ ดูภาพก็เหมือนดูคน ข้าคิดว่าองค์ชายหนักแน่นปานภูผา แต่จิตใจกลับอิสรเสรีปานเมฆขาว สมกับเป็นสุภาพชนที่สง่างามสมบูรณ์แบบเจ้าค่ะ”
“องค์หญิงชมเกินไปแล้ว” องค์ชายห้าหน้าแดงเรื่อ เขาสั่งให้ขันทีเก็บภาพวาดนั้นอย่างระมัดระวัง “องค์หญิงพูดถูก ข้าอยากเป็นเมฆ เป็นสายลมบนเขา ไม่ถูกกิเลสตัณหาใดๆ ครอบงำ”
ฮวาหลิวหลีหันมองรัชทายาท “รัชทายาท หม่อมฉันพูดถูกหรือไม่เพคะ”
ในเวลาเช่นนี้จะให้นางต้องเค้นสมองสรรหาคำชมองค์ชายห้าคนเดียวไม่ได้
“องค์หญิงพูดถูกต้อง” รัชทายาทยิ้มน้อยๆ “องค์หญิงวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล เราเห็นด้วยกับความเห็นของเจ้า”
“รัชทายาททรงเป็นคนที่เข้าใจกระหม่อมเช่นกัน” องค์ชายห้าปลื้มปีติยิ่งขึ้น เขากล่าวว่า “ขอองค์หญิงและรัชทายาทรอก่อน ข้าจะกลับไปวาดภาพอีกสองภาพเพื่อมอบให้พวกท่าน”
ฮวาหลิวหลี “…”
ไม่ ไม่ต้องเลยจริงๆ
“รบกวนน้องห้าแล้ว” รัชทายาทกล่าวทั้งสีหน้าปกติ “อย่างนั้นเจ้ารีบกลับไปวาดภาพเถิด เราจะรอชมผลงานของเจ้า”
“กระหม่อมจะไม่ทำให้รัชทายาทต้องทรงผิดหวัง” องค์ชายห้าที่สง่างามสมบูรณ์แบบได้ยินรัชทายาทให้กำลังใจเช่นนี้ก็วิ่งเหยาะๆ ลงจากเขา แม้แต่ร่มก็ไม่ต้องใช้
ตั้งแต่เล็กจนโต รัชทายาทเอ่ยชมเขาน้อยครั้งนัก แต่วันนี้กลับเอ่ยชม ให้กำลังใจเขาอย่างอ่อนโยน แสดงว่าภาพวาดของเขาจะต้องวาดได้ดีสมจริงจนรัชทายาทชื่นชม
เขามีพรสวรรค์ในการวาดภาพดังที่คิดไว้ไม่มีผิด
ขณะมองแผ่นหลังปลาบปลื้มใจขององค์ชายห้า ฮวาหลิวหลีรู้สึกหลากหลายยิ่งนัก พระบรมวงศ์ทั้งหลาย…ล้วนประหลาดไม่เหมือนใครจริงๆ แต่เมื่อครู่องค์ชายห้ากล่าวว่าอยากเป็นเมฆเป็นสายลมนั้นเป็นถ้อยคำจากใจจริงหรือจงใจพูดให้รัชทายาทฟังกันแน่ นางลอบชำเลืองมองรัชทายาท แต่ก็มองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใด จึงตัดสินใจละทิ้งความคิดนี้ไปเสีย
ทางบนเขาที่ฝนกำลังโปรยปรายอยู่นั้นเดินลำบากจริงๆ รัชทายาทก้าวพลาดจนเกือบลื่นล้ม หากฮวาหลิวหลีมือไวตาไวคว้าผ้าคาดเอวของเขาเอาไว้ได้ทัน แล้วลากตัวเขากลับมาได้
รัชทายาทมองมือของฮวาหลิวหลีแล้วหัวเราะ “เพราะเป็นห่วงย่อมกังวล คิดไม่ถึงว่าเพื่อช่วยเราแล้วองค์หญิงถึงกับระเบิดพลังได้มากขนาดนี้”
“แค็กๆ” ฮวาหลิวหลียกมือกดหน้าอก “หม่อมฉันก็คิดไม่ถึงเพคะ เห็นได้ว่าพลังที่คนเราเก็บซ่อนไว้นั้นไร้ที่สิ้นสุด” นางรับยาหนึ่งเม็ดที่ยวนเหว่ยส่งให้มากิน “รัชทายาทไม่ทรงเป็นอันใด หม่อมฉันก็วางใจเพคะ”
มาถึงเชิงเขา ทั้งสองคนมิได้นั่งรถม้าคันเดียวกัน พอฮวาหลิวหลีเข้าไปในรถม้าได้ก็ถอนหายใจโล่งอก
ความงามช่างยั่วยวนใจเสียจริงๆ เหตุใดนางถึงควบคุมมือตนเองไม่ได้ ข้ารับใช้ข้างกายรัชทายาทมีมากมาย ไม่มีทางปล่อยให้เขาหกล้มแน่
“องค์หญิง ยังดีที่ท่านไม่ใช่กษัตริย์” ยวนเหว่ยพูดไปพลางส่ายหน้าไปพลาง “หากท่านเป็นกษัตริย์ แผ่นดินก็คงจะล่มสลายเพราะนิสัยลุ่มหลงความงามของท่านนานแล้ว”
ฮวาหลิวหลี “ยวนเหว่ย เจ้าพูดตรงถึงเพียงนี้ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
“มีคนงามอยู่ตรงหน้า แล้วท่านยังต้องการหน้าตาใดอีกเจ้าคะ” อวี้หรูต่อบทสนทนาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ต้องการ”
“แหม อย่างข้านี่เรียกว่าทะนุถนอมคนงามต่างหาก พวกเจ้าจะเข้าใจความรู้สึกข้าได้อย่างไร” ฮวาหลิวหลีกระซิบตอบ “อีกอย่าง สตรีที่รัชทายาทชมชอบก็ตายจากไปแล้ว เขายังมิอาจเดินออกมาจากความสัมพันธ์ในอดีตได้ ข้ากลัวว่าเขาจะคิดไม่ตก จึงต้องปลอบใจให้มากหน่อย”
หากเกิดอันใดขึ้นกับรัชทายาทจริงๆ จะส่งผลกระทบต่อทั้งแผ่นดิน คนที่ต้องเดือดร้อนก็คือประชาชนใต้หล้า ดังนั้นการที่นางยื่นมือไปช่วยนั้นไม่ใช่ชายงาม แต่เป็นอนาคตของราชวงศ์จิ้น
ดังนั้นนางจึงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง
รถม้าแล่นไปได้ช่วงหนึ่งก็จอดสนิท ฮวาหลิวหลีปัดผ้าม่านมองไปข้างนอก รอบด้านมีแต่ทิวทัศน์ที่แสนจะธรรมดา ทะเลสาบที่งดงามอยู่ที่ใด
“ถึงแล้วหรือ”
“องค์หญิง ยังไม่ถึงขอรับ” ราชองครักษ์ตอบ “ข้างหน้ามีโรงหิน ถนนจึงขรุขระ ขอองค์หญิงและหญิงรับใช้ของท่านนั่งให้ดีๆ”
“ได้” ฮวาหลิวหลีพยักหน้า “ขอบใจนะ”
“มิกล้า” ราชองครักษ์สั่งให้สารถีขับรถต่อไป
ผ่านไปไม่นานรถม้าโคลงเคลงอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวไว้จริงๆ ฮวาหลิวหลีปัดผ้าม่านขึ้นอย่างใคร่รู้ เห็นก้อนหินกลมเกลี้ยงจำนวนมากกองอยู่สองข้างทาง มีนักโทษที่ทำหน้าที่สกัดหินยืนสงบเสงี่ยมหลบฝนอยู่ในกระโจม มิกล้าส่งเสียงรบกวนผู้ผ่านทางอย่างพวกนาง
ยังมีนักโทษที่นั่งยองอยู่นอกเพิงกันฝน ดูแล้วแตกต่างจากนักโทษคนอื่นๆ มาก
ดูคล้ายนักโทษคนนั้นจะเห็นฮวาหลิวหลี เขาลุกพรวด “องค์หญิง องค์หญิงช่วยข้าด้วย” ดูคล้ายเขาอยากวิ่งมาทางนี้ แต่ถูกผู้คุมโบยด้วยแส้ทีหนึ่งก็หยุดชะงักด้วยความครั่นคร้าม แต่ยังคงตะโกนเรียกฮวาหลิวหลีดังลั่น
“หยุดก่อน” ฮวาหลิวหลีสั่งให้รถม้าจอด นางให้ผู้คุมนำตัวนักโทษเข้ามาใกล้อีกสักหน่อย แล้วพินิจดูเขาอย่างตั้งใจ
ผมเผ้ายุ่งเหยิงอย่างกับรังนกเช่นนี้ เป็น…ใครกันนะ
“องค์หญิง ข้าคือนักพิณอวิ๋นหาน” นักโทษสวมรองเท้าสาน รูปร่างผอมแห้ง สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสกปรกมอมแมม ดูแล้วคล้ายกับคนที่ไม่ได้กินอิ่มทองมานาน
“เจ้าคือ…อวิ๋นหานรึ” ฮวาหลิวหลีมองนักโทษคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า มิน่ามักมีคนกล่าวว่าคนเราเป็นท่อนไม้ที่อาศัยเสื้อผ้าเครื่องประดับ อย่างอวิ๋นหานเมื่อสวมเสื้อผ้าเก่าขาดเช่นนี้ ลักษณะท่าทางของเขาที่พอจะโดดเด่นกว่าผู้อื่นมลายสิ้น ใบหน้ามอมแมมนั้นมองไม่ออกถึงความเกลี้ยงเกลาขาวสะอาดเฉกเช่นหลายวันก่อน ไม่เหลือความเป็นบุรุษรูปงามอีกแล้ว
“องค์หญิง ผู้คุมพวกนี้ทำโทษข้าน้อยเป็นการส่วนตัว ขอองค์หญิงช่วยข้าน้อยด้วยขอรับ” ถูกขังอยู่ในคุกของศาลต้าหลี่เพียงสองวัน เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว
“ขอองค์หญิงได้โปรดพิจารณา นักโทษของศาลต้าหลี่เดิมต้องออกมาทำงานชดใช้ความผิดขอรับ” ถึงผู้คุมจะไม่รู้ว่าองค์หญิงในรถม้าคันนี้เป็นใครก็จริง แต่มิกล้าเพิกเฉย “คนผู้นี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทำงานน้อย แต่กินเยอะ ไม่ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี พวกเราโบยเขาก็เพราะไม่มีหนทางอื่น มิได้ตั้งใจจะหาเรื่องเขาแต่อย่างใดขอรับ”
“อวิ๋นหาน ศาลต้าหลี่มีกฎระเบียบของศาลต้าหลี่ แม้ข้าเป็นองค์หญิง แต่ก็ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ ขุนนางของศาลต้าหลี่ล้วนเป็ยมือพระกาฬในการสืบคดีทั้งสิ้น ข้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะต้องสืบความจริงจนกระจ่าง ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์” ฮวาหลิวหลีมองรองเท้าสานที่สกปรกของอวิ๋นหาน “การใช้ชีวิตในเรือนจำนั้นย่อมลำบาก…”
อวิ๋นหานเริ่มมีความหวัง
“วันเวลาต่อจากนี้อีกยาวนานนัก อยู่นานไปก็ชินเอง” ฮวาหลิวหลียื่นจานขนมออกมาทางหน้าต่าง “มา กินให้มากหน่อย กินแล้วจึงจะมีแรงทำงาน”
อวิ๋นหานถลึงตามองจานขนม เอื้อมมือสั่นระริกไปรับ “ในเมื่อองค์หญิงกล่าวเช่นนี้ข้าก็เชื่อ”
“แบบนี้จึงจะถูก” ฮวาหลิวหลีพยักหน้า “ปรับปรุงตนเองให้ดีจะได้รีบออกมา” พูดแล้วนางก็ปล่อยผ้าม่านหน้าต่างลง เอ่ยกับราชองครักษ์ว่า “พวกเราไปได้แล้ว”
รถม้าของฮวาหลิวหลีผ่านไป นักโทษที่ยืนสงบเสงี่ยมหลบฝนอยู่ในเพิงก่อนหน้านี้กรูกันออกมาแย่งขนมในมือของอวิ๋นหานจนเกลี้ยงจาน
“ข้ายังนึกว่าเจ้าหน้าขาวนี่จะเก่งขนาดพาตนเองออกไปจากที่นี่ได้”
“ปรากฏว่าได้แค่ขนมจานเดียว”
“องค์หญิงคนนั้นพูดถูกต้อง ปรับปรุงตนเองให้ดีจะได้ออกไปเร็ววัน”
นักโทษเหล่านั้นทั้งพูดทั้งหัวเราะเยาะอวิ๋นหานอย่างไม่เกรงใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าวิพากษ์วิจารณ์องค์หญิงคนนั้น พวกเขาเป็นนักโทษในศาลต้าหลี่ที่มีประสบการณ์ ย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดสมควรพูดไม่สมควรพูด คนพวกนี้ฉลาดมีปฏิภาณไหวพริบกันทั้งนั้น
…
รัชทายาทนั่งพิงผนังรถม้าอย่างเกียจคร้าน สำราญใจยิ่งนัก
จะทำลายความงามของคนคนหนึ่งในใจของคนอีกคนหนึ่งได้อย่างไร
ก็หาทางเผยด้านที่แสนจะอัปลักษณ์ของอีกฝ่ายออกมาให้เห็นน่ะสิ
นักพิณที่หน้าตาดีที่สุด น่าหลงใหลที่สุดหรือ
เหอะ