[ทดลองอ่าน] ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก เล่ม 2 บทที่ 42

ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก

造作时光 

 

เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน

Hanza แปล

 

— โปรย —

รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊

แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด

ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้

หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย

ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น

ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท

นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ

คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค

นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี

แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค

ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง

ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง

กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง

จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น

เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ

ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา

และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

42

“ทูลรัชทายาท ตลอดเส้นทางนับแต่อวิ๋นหานออกจากคุกศาลต้าหลี่มาถึงโรงหินนั้น เขาพบผู้ผ่านทางโดยบังเอิญสามหน และพวกเรายังจับตามองนักโทษที่ได้พูดคุยกับเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรับใช้ใกล้ชิดมองรัชทายาทอย่างลังเลผาดหนึ่ง “ยัง…ยังมีองค์หญิงฝูโซ่วเมื่อครู่ที่ส่งขนมให้เขาจานหนึ่ง แต่ถูกนักโทษคนอื่นแย่งกินจนหมด ยังยามนี้ไม่เห็นพิรุธของเขา จะส่งคน…”

“องค์หญิงฝูโซ่วเป็นธิดาของแม่ทัพฮวาและแม่ทัพเว่ย ไม่มีทางสมคบคิดกับผู้ที่มีประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจนเหล่านี้” รัชทายาทชิงกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “สกุลฮวาและสกุลเว่ยเป็นตระกูลที่จงรักภักดีทุกรุ่น สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงให้ราชวงศ์จิ้นเราทุกยุค หากพวกเขามีใจคิดกบฏ ไม่ต้องแลกชีวิตด้วยการโจมตีแคว้นจินพั่วจนไร้หนทางโต้ตอบเช่นนี้หรอก การที่สงสัยองค์หญิงฝูโซ่วเท่ากับปฏิเสธผลงานความชอบที่แม่ทัพทั้งสองทำให้ราชวงศ์จิ้นเรา ต่อไปอย่าได้กล่าวคำประเภทนี้อีก”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นก้มหน้า “กระหม่อมพูดไม่คิด ขอรัชทายาทพระราชอภัยโทศด้วย”

รัชทายาทมองเขาแวบหนึ่ง ค่อยพูดเสียงเรียบ “มีเรื่องมากมายที่ก่อนจะมีหลักฐานแน่นชัด อย่าได้ใช้ความคาดเดาส่วนตัวมาวิจารณ์ขุนนางผู้ภักดี”

“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีตัวสั่นเทิ้ม

“รัชทายาท” ราชองครักษ์ด้านนอกตะโกนรายงาน “ถึงทะเลสาบเอียนไหลแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

รัชทายาทแหวกผ้าม่านก่อนเดินลงจากรถม้า หมุนตัวไปดูด้านหลังแวบหนึ่ง เห็นฮวาหลิวหลีเดินลงจากรถม้า ผ้าคลุมไหล่ของนางสะบัดพลิ้วนิดๆ

“องค์หญิง” รัชทายาทเดินมาหยุดตรงหน้าฮวาหลิวหลี “ข้างหน้านี่เป็นทะเลสาบเอียนไหล ทุกปีในวันฝนนตกทะเลสาบแห่งนี้จะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก ผู้มาชมทิวทัศน์ที่ล่องเรือกลางทะเลสาบจะรู้สึกเหมือนลอยละล่องอยู่กลางหมู่เมฆ”

ฮวาหลิวหลีสังเกตเห็นเรือสำราญลำหนึ่งจอดอยู่ บนเรือมีขันที ราชองครักษ์ และนางกำนัลที่สวมเครื่องแต่งกายสีสันสดใสอีกหลายคน

“มา พวกเราลงเรือกันเถิด” รัชทายาทพาฮวาหลิวหลีลงเรือ เรือโคลงเคลงนิดๆ

ภายในเรือมีนักดนตรีนั่งคุกเข่าอยู่หลายคน เมื่อเห็นรัชทายาทพาฮวาหลิวหลีเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ

ได้ยินกำยานอ่อนๆ ภายในเรือ ฮวาหลิวหลีกล่าวว่า “ขอบพระทัยรัชทายาทเพคะ”

“เราเคยบอกเจ้าว่าจะเชิญเจ้ามาฟังนักดนตรีในวังบรรเลงเพลง แล้วจะผิดคำพูดได้อย่างไร” ไม่รู้ว่ากาน้ำชาบนโต๊ะน้ำชาต้มชาชนิดใดอยู่ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา

“รู้ว่าเจ้าดื่มน้ำชาไม่ได้ จึงให้คนต้มน้ำกลั่นจากดอกไม้” รัชทายาทบอกให้ฮวาหลิวหลีนั่งลง “ลองชิมดูว่าหวานเลี่ยนหรือไม่”

ฮวาหลิวหลียกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง รสหวานน้อยๆ ผสานกับความหอมของใบชา ดื่มแล้วให้รสหอมหวานจนถึงลำคอ ฮวาหลิวหลีพูดยิ้มๆ “ดื่มชาชนิดนี้แล้ว รู้สึกว่าหอมไปทั้งตัวเลยเพคะ”

“องค์หญิงชอบก็ดีแล้ว” รัชทายาทยกมือเป็นสัญญาณให้นักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลง เพลงแรกที่พวกเขาเล่นมิใช่บทเพลงที่มีท่วงทำนองอ่อนหวาน ทว่าเป็นเพลงปลุกใจในการศึกที่มีท่วงทำนองฮึกเหิม

มือที่ถือถ้วยชาของฮวาหลิวหลีค้างนิ่งเล็กน้อย นางหันมองนักดนตรีเหล่านั้นก่อนฟังบทเพลงอย่างตั้งใจ

เมื่อใดที่นักรบทั้งหลายออกสู่สนามรบมิอาจกำหนดความเป็นความตายของตนได้ ท่านพ่อเคยบอกว่าในฐานะนักรบ เขาหวังว่าจะได้ใช้วิชายุทธ์ที่เล่าเรียนมาทั้งชีวิต ขณะเดียวกันก็หวังว่าใต้หล้าจะไม่เกิดสงครามอีกต่อไป

สงครามไร้น้ำใจ เบื้องหลังตัวเลขตัวหนึ่งก็คือชีวิตของคนคนหนึ่งที่เสียชีวิต เขาคนนั้นอาจคิดถึงใครบางคนที่อยู่บ้านเกิด หรืออาจจะมีใครบางคนที่กำลังรอคอยให้เขากลับไป

สิ่งเดียวที่ยังทำให้รู้สึกว่าโชคดีก็คือ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นฮ่องเต้ที่ดี ดูแลทหารหาญอย่างดี ให้พวกเขากินอิ่มท้อง หากทหารคนใดโชคร้ายต้องตายในสนามรบ ยังจ่ายเงินชดเชยให้ครอบครัวอีกจำนวนไม่น้อย

ท่านพ่อมักพูดกับพวกพี่ชายเสมอว่า การที่ขุนพลเก่งกาจพบกับฮ่องเต้ผู้มีคุณธรรมนับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบที่ดีที่สุด เขาโชคดีที่ได้พบฮ่องเต้ชางหลง แต่ไม่ใช่คนสกุลฮวาทุกรุ่นจะมีโชคดีเช่นนี้ตลอด ดังนั้นจะรักษาชีวิตรักษาอิทธิพลให้คงอยู่ได้อย่างไรนั้นได้กลายเป็นสัญชาตญาณของคนสกุลฮวาแทบทุกรุ่นไปแล้ว

เมื่อเทียบกับเสียงคร่ำครวญประดุจเสียงร้องของภูตผีและสัตว์ร้ายของเหล่าทหารชายแดน เสียงดนตรีที่นักดนตรีบรรเลงนั้นไพเราะเสนาะหูมากกว่า ทว่ากลิ่นอายห้าวหาญเฉกเช่นนักรบแถบชายแดนลดน้อยลงหลายส่วน

“ไหนบอกไร้เสื้อผ้า พวกเราใส่เสื้อตัวเดียวกัน” ฮวาหลิวหลีร้องคลอไปตามเสียงดนตรีเบาๆ ก่อนยิ้มพูด “รัชทายาท บทเพลงที่นักดนตรีเหล่านี้เล่นนั้นน่าสนใจจริงๆ เพคะ เสียดายที่ความสามารถในการนำทัพจับศึกของหม่อมฉันนั้นเทียบไม่ได้กับท่านพ่อท่านแม่ จึงได้แต่ฟังบทเพลงเหล่านี้เพื่อความบันเทิงเท่านั้น”

“ในโลกนี้ไม่มีคนสองคนที่เหมือนกันทุกอย่าง แม่ทัพฮวาและแม่ทัพเว่ยเป็นแม่ทัพฝีมือฉกาจอย่างแท้จริง แต่องค์หญิงเองก็มีเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นหรือกับผู้ใหญ่ในครอบครัว” รัชทายาทรินน้ำชาให้ฮวาหลิวหลีจนเต็มถ้วย “ในสายตาของคนที่รักและเอ็นดูองค์หญิง เจ้าเป็นหนึ่งไม่มีสอง”

ฮวาหลิวหลีมองรัชทายาทยิ้มๆ “หากพระองค์มีพระประสงค์จะตรัสชมใครสักคน คนผู้นั้นจะต้องรู้สึกเบิกบานสำราญใจแน่นอนเพคะ”

“ถ้อยคำขององค์หญิงผิดแล้ว” รัชทายาทหัวเราะเบาๆ “เราไม่เคยชมใคร มีแต่พูดความรู้สึกจากใจ”

ฮวาหลิวหลีอดหัวเราะไม่ได้

บุรุษน่ะ โดยเฉพาะบุรุษหน้าตาดี เวลาชมใคร น้ำเสียงจะไพเราะราวกับเสียงจากสวรรค์

 

ทางนี้ ฮวาหลิวหลีมีรัชทายาทรูปงามล่องเรือสำราญอยู่เคียงข้าง ส่วนทางนั้น องค์ชายอาหว่าผู้ถูกจับเป็นเชลยได้แต่นั่งอยู่ในเรือนจำที่วังเวง ดึงหญ้าแห้งบนพื้นเล่น

วันนี้มีนักโทษไม่น้อยที่ถูกคุมตัวออกไปทำงานที่โรงหิน เพราะฐานะของเขาพิเศษกว่าผู้อื่น ทำให้ไม่ต้องไปใช้แรงงาน และยังไม่ต้องร่วมทำงานประเภทอื่นที่นักโทษต้องทำร่วมกัน วันทั้งวันได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องขังตามลำพังอย่างไร้จุดหมาย

แม้ยามปกติ นักโทษอื่นๆ ไม่ค่อยสนใจเขา แต่อย่างน้อยก็ยังได้ยินคนเหล่านั้นพูดคุยกัน ยามนี้แม้แต่คนจะคุยด้วยก็ยังไม่มี ความเงียบสงัดเช่นนี้ช่างทรมานนัก

ถ้ายังอยู่อย่างนี้ต่อไป สมองของเขาคงจะฝ่อจนกลายเป็นสมองหมู

“องค์ชายอาหว่า” เผยจี้ไหวเดินมาหน้าห้องขัง มองอาหว่าที่ดึงหญ้าแห้งเล่นสีหน้าไร้ความรู้สึก “ดูท่าองค์ชายจะอยู่ในศาลต้าหลี่ของพวกเราได้ไม่เลว รอบเอวยังเพิ่มขึ้นตั้งสองรอบ”

อาหว่าถลึงตาใส่เผยจี้ไหว แต่มิกล้าโต้แย้ง ตอนนั้นคนที่ทำให้เขาต้องหิวท้องกิ่วไปหลายวันก็คือคนคนนี้

เผยจี้ไหวยกมือเป็นสัญญาณให้คนอื่นๆ ถอยออกไปจนเหลือเพียงเขาคนเดียว

“เจ้า…เจ้าคิดจะทำอันใด” อาหว่าเห็นคนอื่นเดินออกไปจนหมดก็รีบถอยกรูดจนตัวติดกำแพง ค่อยถามอย่างตื่นตระหนกว่า “มีเรื่องใดก็ค่อยพูดค่อยจา จะแอบใช้กำลังไม่ถูกต้อง”

“องค์ชายเข้าใจข้าน้อยผิดไปแล้ว วันนี้เป็นวันเทศกาลบุปผา เป็นเทศกาลสำคัญที่คักคักของราชวงศ์จิ้นเรา ข้าแค่กลัวว่าองค์ชายจะเบื่อจึงตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนท่านโดยเฉพาะ” เผยจี้ไหวนั่งเก้าอี้ ปลดดาบข้างเอวมาวางบนโต๊ะข้างๆ “เวลายังเช้าอยู่ พวกเราคุยกันเรื่องความสนใจของเหล่าพระบรมวงศ์แคว้นจินพั่วของท่านกันสักหน่อยดีกว่า”

อาหว่าพูดเต็มปากเต็มคำ “ข้าเป็นบุตรชายที่เสด็จพ่อโปรดที่สุด มีแต่ผู้อื่นที่จะต้องจดจำความสนใจของข้า ไม่เหตุผลที่ข้าต้องสนใจพวกเขา”

“อ้อ” เผยจี้ไหวเลิกคิ้ว เขาวางมือบนฝักดาบ ใช้นิ้วชี้เคาะเบาๆ มีเสียงทึบๆ ดังขึ้นเป็นระยะ

อาหว่าถูกเสียงนี้ก่อกวนจิตใจจนตุ๊มๆ ต่อมๆ “เช่นนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องที่ข้ารู้ดีหรือไม่”

“ได้สิ” เผยจี้ไหวชักมือกลับช้าๆ พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “อย่างนั้นก็คุยกันว่าเหตุใดท่านจึงอยากเจอองค์หญิงฝูโซ่วเถิด”

สีหน้าอาหว่าบิดเบี้ยวทันควัน เขากัดฟันเค้นเสียง “หญิงชาวต้าจิ้นของพวกเจ้าล้วนเป็นหญิงร้ายกาจ เจ้าเล่ห์เพทุบาย!”

ขวับ!

ดาบประจำตัวของศาลต้าหลี่ที่ส่องประกายเจิดจ้าถูกชักออกจากฝักเร็วรี่ ภายในเรือนจำที่มืดสลัว สะท้อนประกายแวววาวดั่งสายหมอกในฤดูหนาว เผยจี้ไหวจับด้ามดาบเอาไว้ มองอาหว่าด้วยแววตาสงบนิ่ง “องค์ชายอาหว่า ถ้อยคำเมื่อครู่เหมือนข้าจะฟังไม่ค่อยถนัด ขอท่านพูดอีกครั้ง”

“ข้ากล่าวว่าหญิงชาวต้าจิ้นของพวกเจ้าแต่ละคนฉลาดปราดเปรื่อง งดงามปานเทพธิดาจันทราจุติลงมา”

“ขอบคุณที่ชื่นชมสตรีของแคว้นเรา สำหรับเรื่องนี้ข้าเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกับท่าน” เผยจี้ไหวเก็บดาบเข้าฝักตามเดิม “ขอองค์ชายเล่าต่อ”

อาหว่าหน้าเปลี่ยนสีไปมา คนที่รักชีวิตอย่างเขา สุดท้ายยังคงเลือกที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อไป

“ข้ารู้จักกับองค์หญิงฝูโซ่วของแคว้นเจ้าเมื่อหนึ่งปีก่อน…”

หนึ่งปีก่อน ถูข่าแม่ทัพใหญ่ของแคว้นจินพั่วถูกฆ่าตายกลางสมรภูมิรบ พระบรมวงศ์ของแคว้นจินพั่วต่างตกอยู่ในความตื่นกลัว อาหว่ารับอาสาปลอมตัวลอบเข้ามาสืบความลับทางทหารของกองทัพสกุลฮวาที่ชิงหานโจวด้วยตนเอง

หลังปลอมตัวเข้าเมืองแล้ว เขารู้ว่าฮวาอิ้งถิงมีธิดาคนเล็กที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจนามว่าฮวาหลิวหลี เด็กสาวคนนี้เป็นคนจิตใจดี บริสุทธิ์ไร้รเดียงสา ได้รับความนิยมชมชอบจากคนในพื้นที่มาก

อาหว่าผู้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นบุรุษรูปงามของแคว้นจินพั่วคิดแผนชั่ว เขาคิดจะเข้าหาฮวาหลิวหลี ถึงจะหลอกถามความลับทางทหารไม่ได้ แต่ก็สามารถหลอกนางให้เดินทางออกนอกเมือง แล้วจับนางเป็นตัวประกันได้

ก่อนแผนการเริ่มต้น อาหว่าได้เตรีมการไว้มากมาย เขาแต่งเรื่องครอบครัวของเขาว่า “มารดาถูกชาวจินพั่วจับตัวไปเป็นทาส หลังให้กำเนิดเขาแล้วก็เสียชีวิตเพราะทนการทรมานไม่ไหว” เขาอยู่ที่ชิงหานโจวในฐานะพ่อค้าคนหนึ่ง

เพื่อให้ฮวาหลิวหลีไว้เนื้อเชื่อใจ เขายังให้ยาสมุนไพรแก่ชาวบ้านโดยไม่เก็บเงิน นางจะได้เชื่อว่าเขาเป็นคนดีมีเมตตา

อาหว่าไม่ต้องการเล่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นให้เผยจี้ไหวฟัง สุดท้ายแผนการของเขาประสบความสำเร็จ เขาหลอกให้ฮวาหลิวหลีพาหญิงรับใช้หลายคนเดินทางออกนอกเมืองพร้อมกับเขาในที่สุด

คืนวันเดียวกับที่เขาพาฮวาหลิวหลีกลับค่ายทหาร จู่ๆ คลังเสบียงในค่ายก็เกิดไฟไหม้ กองทัพสกุลฮวาบุกโจมตีกะทันหัน เขาเพิ่งกลับเข้ากระโจมเพื่อเปลี่ยนชุดออกรบ กลับถูกหญิงรับใช้หลายคนที่ฮวาหลิวหลีพามาด้วยจับตัวเอาไว้

หญิงสาวเหล่านั้นอุดปากเขาไว้ แล้วจับเขาใส่หีบเสื้อผ้า ส่วนฮวาหลิวหลีซ่อนอยู่ในหีบอีกใบหนึ่ง สร้างสถานการณ์ให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าพวกเขาทั้งสองหายตัวไปด้วยกัน

“องค์ชายรองกับหญิงงามที่เพิ่งพากลับมาหนีไปด้วยกันแล้ว!”

ไม่รู้ว่าใครร้องตะโกนเช่นนี้ ส่งผลให้ทหารเสียขวัญกำลังใจ

มีคนเข้ามาในกระโจมเห็นอัญมณีมีค่าหล่นเกลื่อนพื้นก็คิดจะเก็บของเหล่านี้ก่อนหนีไป แต่ถูกทหารที่คิดจะหนีคนอื่นๆ พบเข้าจึงต่อสู้กันวุ่นวายไปหมด

เขาได้แต่มองทหารที่ตนเองนำทัพมาถูกกองทัพสกุลฮวาจัดการโดยที่มิอาจตอบโต้ ส่วนเขาก็ถูกจับเป็นเชลย

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะโกหกข้า ที่แท้เจ้าเป็นองค์ชายรองของแคว้นจินพั่ว” ฮวาหลิวหลีปิดหน้าร่ำไห้ไม่ขาดสาย “คนที่พาทหารบุกโจมตีทำร้ายราษฎรชายแดนต้าจิ้น ฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์นับหมื่นก็เป็นเจ้าใช่หรือไม่!”

นางร้องไห้ไปพร้อมๆ กับเก็บรองเท้าเหม็นๆ ของใครที่ทำตกบนพื้นขึ้นมาตบหน้าเขา

“ไยเลวถึงเพียงนี้ ฮือๆๆ

“เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่ ฮือๆๆ”

ไม่รู้ว่าหญิงนางนี้เป็นอันใดกันแน่ ทั้งๆ ที่ดูอ่อนแอขี้โรค เดินสองก้าวก็หอบ ทว่าเวลาตบหน้าเขากลับมีพละกำลังมหาศาล แค่ตบไม่กี่ทีเขาก็มึนหัวไปหมด แม้แต่ฟันก็ยังหลุดมาสองซี่

“ท่านหญิง ร่างกายท่านอ่อนแอ จะเสียใจไม่ได้เป็นอันขาด บ่าวจะเก็บอัญมณีของมีค่าในกระโจมนี้ แล้วนำไปเปิดโรงทานดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ใช่ๆๆ แม้อาหว่าสมควรถูกเฉือนเนื้อเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ได้ยินว่าผู้ครองแคว้นจินพั่วให้ความสำคัญกับเขามาก พวกเราจับเขาเป็นตัวประกัน ให้แคว้นจินพั่วลงนามในสัญญายอมแพ้ แล้วจ่ายค่าชดเชยให้พวกเรามากๆ แบบนี้เท่ากับทำบุญทำทานให้ชาวบ้าน”

หญิงรับใช้เหล่านั้นพูดไปพลางก็เร่งมือเก็บของมีค่าไปพลาง พวกนางใช้มีดเล็กแงะแม้แต่ไข่มุกที่ฝังอยู่บนเตียงนอน เรียกได้ว่าไม่มีของมีค่าหลงเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว

สุดท้ายแล้วท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนของทหารสกุลฮวา เขาถูกหญิงสาวเหล่านั้นจับมัดจนดิ้นไม่หลุด แล้วลากออกจากกระโจมราวกับสุกร ไร้ความสูงส่งขององค์ชายแห่งแว่นแคว้น

อดีตช่วงนี้สำหรับอาหว่าแล้วเป็นความอับอายและเป็นดั่งฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนเขา จนถึงยามนี้เขายังฝันถึงฮวาหลิวหลีที่ใช้รองเท้าเหม็นๆ ตบหน้าเขาอยู่เลย ทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นจะมีเหงื่อออกเต็มกาย

อาหว่าเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระอึกกระอัก โดยข้ามรายละเอียดที่น่าอับอายขายหน้าเหล่านั้นไป เพียงแต่เผยจี้ไหวสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดออกมาได้

“ความหมายขององค์ชายก็คือ ท่านปลอมตัวอยู่ในชิงหานโจวนานครึ่งปี เพื่อหลอกให้องค์หญิงฝูโซ่วไว้วางใจหรือ” เผยจี้ไหวมองอาหว่าที่อ้วนพี ใบหน้าของเขายามนี้แทบมองไม่เห็นเค้าเดิม สายตาที่องค์ชายอาหว่ามององค์หญิงฝูโซ่วนั้นไม่รู้ว่ามองอันใดผิดจนทำให้คิดไปเองว่า แค่อาศัยหน้าตาของเขาก็จะใช้แผนชายงามกับนางได้สำเร็จ

ยังไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น เพียงกล่าวถึงคุณชายสามสกุลฮวาที่หน้าตาหล่อเหลาคนนั้นก็พอ วันทั้งวันองค์หญิงฝูโซ่วเห็นบุรุษในครอบครัวที่หน้าตาหล่อเหลามาโดยตลอด แล้วมีหรือจะหลงใหลผู้ที่อ้างว่ามีความเป็นมาน่ารันทดเช่นนี้

แต่หากลองคิดอีกมุมหนึ่ง ถึงสายตาขององค์หญิงฝูโซ่วจะมีปัญหา หลงเชื่อคำหลอกลวงของอาหว่าจริงๆ ก็มิอาจติดตามอาหว่าเดินทางออกนอกเมืองโดยไม่คิดอันใดได้

คนเขาเป็นดรุณีน้อยไร้เดียงสา จิตใจดีงาม ไม่ใช่คนที่สมองมีปัญหา

นี่เป็นความเชื่อมั่นในตนเองขนาดไหนถึงได้คิดว่าธิดาของแม่ทัพใหญ่จะยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหนีไปกับเขา

นึกว่าแผนการของตนเองประสบสำเร็จ แต่ความจริงกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในสายตาผู้อื่นนานแล้ว องค์ชายอาหว่าคนนี้นับว่าโง่เขลาเบาปัญหาถึงกับเป็นเนื้อที่เดินเข้าปากเสือด้วยตนเอง ผู้อื่นไม่อยากกินก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

“มีเรื่องหนึ่งที่องค์ชายอาจยังไม่รู้ แต่จะโทษท่านก็ไม่ด้ เพราะนั่นเป็นเรื่องเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว” สีหน้าของเผยจี้ไหวแต้มยิ้มน้อยๆ “สิบห้าปีก่อน สายลับของแคว้นท่านปลอมตัวลอบเข้าชิงหานโจวได้ไม่ถึงสามวัน ก็ถูกแม่ทัพเว่ยจับตัวได้เสียก่อน แล้วถูกฆ่าตายตรงนั้น”

อาหว่าตกตะลึงพรึงเพริด “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร”

“สายลับของแคว้นจินพั่วอยู่ที่ชิงหานโจวได้แค่สามวันก็ถูกแม่ทัพเว่ยพบตัว แล้วท่านคิดว่าท่านอยู่ในชิงหานโจวได้นานถึงครึ่งปีนั้นเพราะเหตุใดกันแน่ มิหนำซ้ำยังสามารถพาตัวธิดาผู้เป็นที่รักของแม่ทัพใหญ่ทั้งสองหนีไปด้วยได้” เผยจี้ไหวหัวเราะเยาะ “อาศัยความโง่เขลาของท่านหรือ”

“นางหลอกข้า นางหลอกข้าจริงๆ!” อาหว่าตะโกนด้วยความคั่งแค้น “นางรู้ฐานะของข้าตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่!”

เผยจี้ไหวไม่สนใจความเคียดขึ้งของอาหว่า เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยช้าๆ “การพูดคุยวันนี้สนุกมาก ถ้ามีโอกาสพวกเราค่อยคุยกันใหม่”

“ไป ออกไปให้พ้น!” อาหว่ามิอาจทำใจให้เชื่อว่าเขาตกลงไปในกับดักของฮวาหลิวหลีตั้งแต่แรก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นสมควรเป็นแค่เรื่องที่อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของเขาจึงจะถูก

ตอนที่เขาพบฮวาหลิวหลีครั้งแรก นางเห็นกระต่ายน้อยตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บ จึงใช้ผ้าเช็ดหน้าพันแผลให้มัน ยังมีตอนที่ฝนตกน้ำท่วม นางยังปล่อยปลาที่กระโดดขึ้นฝั่งลงน้ำ แล้วสตรีเช่นนี้หรือจะมีสติปัญญาชาญฉลาดขนาดนั้น

เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!

 

“ที่ชิงหานโจวมีแม่น้ำสายหนึ่งมีปลาเยอะมาก เวลาฝนตกหนัก อากาศร้อนอบอ้าว ปลามักจะกระโดดขึ้นฝั่งเอง” ฮวาหลิวหลีเล่าเรื่องน่าสนใจที่ชายแดนให้รัชทายาทฟัง “ทหารที่รับผิดชอบด้านเสบียงจะจับปลาพวกนี้กลับค่ายแล้วต้มในกระทะใบใหญ่ บางครั้งได้ปลามามาก ยังแบ่งให้ชาวบ้านแถวนั้นด้วย”

“พอถึงหน้าหนาว น้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง พวกทหารห่วงว่าจะมีสัตว์ร้ายที่หิวโหยออกมาทำร้ายชาวบ้าน จึงจัดเวรยามขึ้นไปเดินตรวจตราบนเขา มีบางครั้งล่าพวกกระต่ายพวกกวางมาได้ เอามาย่างกินกันอร่อยมาก” ฮวาหลิวหลีดื่มน้ำอึกหนึ่ง “ทว่าน่าเสียดายที่หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ บางครั้งที่ได้แต่ดมกลิ่น พี่สามสิชอบคลุกคลีกับพวกทหารจึงได้กินของป่าพวกนี้ไม่น้อย”

“ร่างกายองค์หญิงไม่แข็งแรงไม่สมควรกินเนื้อกระต่าย แต่ยังกินเนื้อกวางได้บ้าง แต่จะกินมากนักก็ไม่ดี” รัชทายาทต่อบทสนทนา “มีคนส่งเนื้อกวางมาให้เรานิดหน่อย วันพรุ่งเราจะให้คนส่งไปให้เจ้าลิ้มลอง”

ฮวาหลิวหลีรีบปฏิเสธ “ทำแบบนี้จะทำรัชทายาทยุ่งยากเพคะ”

“ความจริงเราทำไปก็เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง” รัชทายาทหัวเราะ “สองสามวันมานี้เสด็จย่าตรัสถึงเจ้า ยามนี้ผ่านเดือนอ้ายแล้ว เสด็จย่ามีพระประสงค์จะเรียกเจ้าให้ไปพำนักในวังสักสองสามวัน เจ้าให้เรานำข่าวดีไปทูลเสด็จย่าให้ทรงดีพระทัยเถิด”

“เช่นนั้นต้องรบกวนแล้วเพคะ” ฮวาหลิวหลีขบขันกับถ้อยคำของรัชทายาท “หม่อมฉันห็นว่าไทเฮาโปรดรัชทายาทมาก ถึงพระองค์ไม่ได้ทูลไทเฮา ไทเฮาก็เห็นพระองค์เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเพคะ”

ทั้งสองคนสนทนากันอยู่ จู่ๆ ผิวน้ำก็กระเพื่อมเป็นวง มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนเรือ

ขันทีคนสนิทก้มจับปลาตัวนั้นเอาไว้ “รัชทายาททรงเป็นเทพมังกร ปลาตัวนี้จึงกระโดดขึ้นมาหาพระองค์บนเรือ นับเป็นลางดี ไม่สู้…”

“ไม่สู้เอาไปทำอาหารกินดีกว่า ปลาชนิดนี้ทำปลาน้ำแดงอร่อยที่สุด”

ขันที ???

“องค์หญิงพูดมีเหตุผล ในเมื่อสวรรค์ประทานอาหารรสเลิศ หากไม่กินก็เท่ากับขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์” รัชทายาทสั่งข้ารับใช้ “เราจำได้ว่ามีพ่อครัวตามมาด้วย ให้เขาเอาปลาตัวนี้ไปทำปลาน้ำแดงมาพร้อมกับอาหารอีกสักหลายอย่าง แล้วยกมาพร้อมกัน”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันอุ้มปลาที่ดิ้นขลุกขลักไม่หยุด ก่อนล่าถอยลงจากเรือสำราญ

ถ้าองค์ชายอื่นพบเจอ ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นปลาตัวนี้เป็นตัวแทนแห่งความมงคล ดั่งภาษิตที่ว่าปลากระโดดผ่านประตูมังกร[1] จับมันมาเลี้ยงเพื่อความเป็นสิริมงคล ทว่าน่าเสียดายใครใช้ให้มันเจอรัชทายาทของพวกเขากันเล่า

“การที่รัชทายาทเสวยเจ้า นับเป็นวาสนาของเจ้า” ขันทีกระโดดลงเรือเล็กกลับเข้าฝั่ง แล้วส่งปลาให้พ่อครัว

“รัชทายาทไม่ชอบกินปลา เจ้าทำอาหารที่รัชทายาทโปรดเสวยหลายอย่างเถิด ต้องทำให้เร็ว จะให้รัชทายาทและองค์หญิงรอนานไม่ได้” ขันทีล้างมือที่มีกลิ่นคาวปลาออก แล้วกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ในรถม้า ก่อนรีบตรงไปยังเรือสำราญ

เขาจะให้ขันทีคนอื่นมาเสนอหน้ารับใช้รัชทายาทไม่ได้

พ่อครัวตำหนักบูรพาไม่เพียงมีฝีมือทำอาหารยอดเยี่ยม แต่ยังทำได้รวดเร็ว แม้ปลาน้ำแดงยังทำไม่เสร็จ แต่ก็มีอาหารประเภทอื่นขึ้นโต๊ะก่อน

ฮวาหลิวหลีกินอาหารรสเลิศ แล้วรำพึงรำพันว่า “วันเวลาเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน”

“เราขอขอบคุณแม่ทัพทั้งสองจากใจจริง” รัชทายาทชนจอกที่ใส่น้ำชาดอกไม้กับฮวาหลิวหลีแล้วดื่มรวดเดียวหมด “เพราะมีแม่ทัพใหญ่ทั้งสอง แคว้นรอบข้างจึงมิกล้ารุกรานแคว้นจิ้นของเรา ทำให้เราที่เป็นรัชทายาท ได้มีเวลาว่างมานั่งเรือล่องทะเลสาบ ชมทิวทัศน์กินอาหารอร่อยๆ กับองค์หญิง”

“รัชทายาทตรัสไม่ถูกเพคะ” ฮวาหลิวหลีส่ายหน้า “ท่านพ่อท่านแม่แค่ออกรบสังหารศัตรู แต่ผู้ที่ทำให้ราษฎรอยู่ดีมีสุข ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งอื่นใดก็คือฮ่องเต้”

“ไม่ว่าจะเป็นสกุลฮวาก็ดี หรือเป็นไพร่ฟ้าในแผ่นดินก็ดี สิ่งที่โชคดีที่สุดก็คือมีฮ่องเต้ผู้ทรงธรรมผู้มอบความรักแก่ราษฎรประดุจลูกหลาน” นางมองรัชทายาทครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อว่า “หม่อมฉันเชื่อว่าอนาคตของแคว้นจิ้นเราจะดีเช่นนี้เพคะ”

แม้ในใจพระองค์จะคำนึงหาคนที่จากไปแล้วจนเป็นไข้ใจ แต่ได้โปรดเห็นแก่อาณาประชาราษฎร์ใต้หล้า จงยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไปเถิด

ในใจของรัชทายาทหวั่นไหว เขาเห็นความเชื่อมั่นจากแววตาของฮวาหลิวหลี

“องค์หญิงเชื่อมั่นในตัวเราหรือ”

“หม่อมฉันเชื่อมั่นในสายพระเนตรของพระองค์และเชื่อมั่นในพระองค์เพคะ” คนสกุลฮวาภักดีต่อฮ่องเต้ตลอดกาล ส่วนรัชทายาทเองก็เป็นผู้สืบทอดที่ฮ่องเต้คาดหวังที่สุด ดังนั้นพวกนางไม่มีทางยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัชทายาท

“เราจำไว้แล้ว”

 

ตำหนักเฉินหยาง ฮ่องเต้ชางหลงปิดฎีกาเล่มสุดท้ายเข้าหากัน มองสีท้องฟ้าที่เริ่มเข้าสู่ความมืดทุกขณะ “ซานไฉ เวลาใดแล้ว”

“ทูลฝ่าบาท ยามนี้เป็นต้นยามโหย่ว[2] จะให้จุดตะเกียงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซานไฉเห็นฮ่องเต้พยักหน้าจึงรีบสั่งให้คนจุดตะเกียงทุกดวงในห้อง

“รัชทายาทกลับวังหรือยัง” ฮ่องเต้ชางหลงนวดนัยน์ตา

“ฝ่าบาท ยังไม่มีคนจากตำหนักบูรพามารายงานพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซานไฉตอบอ้อมๆ

ไม่มีคนมารายงานแสดงว่ายังไม่กลับ บิดาผู้เหน็ดเหนื่อยอย่างฮ่องเต้ชางหลงถอนหายใจ “ยามที่เราอายุเท่าเขา ไม่ได้สบายเหมือนเขาแบบนี้”

จ้าวซานไฉยิ้มพลางประคองถ้วยน้ำชาบำรุงร่างกายมาส่งให้ฮ่องเต้ชางหลง

ฮ่องเต้ชางหลงดื่มอึกหนึ่งแล้วนิ่วหน้า “ชาถ้วยนี้กินยาก”

“ฝ่าบาท นี่เป็นชาบำรุงสุขภาพที่รัชทายาทมีรับสั่งให้แพทย์หลวงจัดถวายโดยเฉพาะ ทรงเห็นแก่ความกตัญญูของรัชทายาท จะเสวยมากน้อยก็ขอให้เสวยหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซานไฉเกลี้ยกล่อมเสียงแผ่ว “มิเช่นนั้นหากรัชทายาทตรัสถาม กระหม่อมไม่รู้จะทูลอย่างไรดี”

“ผู้เฒ่าอย่างเจ้านี่นะ” ฮ่องเต้ชางหลงด่าไปพลางหัวเราะไปพลาง ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอีกหลายอึก “ในฐานะรัชทายาท ให้เขาเรียนรู้เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินก็มักจะเกียจคร้านจนไม่รู้จะว่าอย่างไร แต่ตอนออกไปเที่ยวเล่นนี่กลับกระตือรือร้นจนไม่รู้จักกลับวัง”

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอพูดเกินหน้าที่ ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัยแก่กระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ามา”

“แม้กระหม่อมไม่มีลูก แต่กระหม่อมรู้สึกว่าใต้หล้านี้ลูกที่ใกล้ชิดกับบิดาล้วนเป็นเช่นนี้ทุกคน พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรง ทรงเป็นหนุ่มฉกรรจ์ การที่รัชทายาทจะเสด็จประพาสบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ยิ่งกว่านั้นรัชทายาททรงเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ผู้อื่นต้องใช้เวลาเรียนสามวัน แต่รัชทายาททรงพระอักษรแค่วันสองวันก็สำเร็จด้วยดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซานไฉยิ้มกล่าว “กระหม่อมพูดไม่เป็น ไม่รู้ว่าสมควรพูดอย่างไรจึงจะเหมาะสม”

ฮ่องเต้ชางหลงหัวเราะครู่หนึ่ง “ผู้เฒ่าอย่างเจ้านี่นะ พูดจนเรารู้สึกว่า การที่รัชทายาทเกียจคร้านนั้นไม่ผิด เราสมควรทนเหนื่อยทนลำบากอย่างนี้”

“ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น” จ้าวซานไฉยิ้มประจบ “รัชทายาทมีพระอุปนิสัยอย่างไร ฝ่าบาทจะไม่ทรงทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

แม้ฮ่องเต้ชางหลงจะพูดเหมือนรังเกียจบุตรชาย แต่ถ้าผู้ใดกล้าตำหนิรัชทายาทว่าไม่ดีสักคำสองคำ เขาต้องไม่พอใจ ครั้นได้ยินจ้าวซานไฉชมบุตรชายว่ากตัญญู มีความสามารถ รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ชางหลงมิได้จางหายแม้แต่น้อย

“กล่าวถึงความสัมพันธ์พ่อลูก กระหม่อมได้ยินเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซานไฉกล่าว “ช่วงสอบเข้ารับราชการหลายวันก่อน คุณชายสามอยู่ในสนามสอบ แม่ทัพฮวาถึงกับนั่งเฝ้าข้างนอกทุกวัน ซ้ำยังช่วยผู้ว่าการเมืองหลวงจับขโมยได้สองคน”

“น่าสงสารพ่อแม่ใต้หล้านี้ ชั่วชีวิตนี้อิ้งถิงไม่เคยพรั่นพรึงหรือเคร่งเครียดกับการต่อสู้กับข้าศึก แต่พอบุตรชายสอบเข้ารับราชการเท่านั้นกลับต้องมานั่งเฝ้าที่หน้าประตูทุกวัน” ฮ่องเต้ชางหลงคิดถึงฮวาอิ้งถิงที่เป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ยังต้องมานั่งยองอยู่หน้าประตูสนามสอบอย่างน่าเห็นใจ ก็อดรำพันทั้งใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้ “บุรุษที่เป็นพ่อคนล้วนไม่ง่ายเลย”

บุตรชายออกไปเที่ยว คนที่เป็นพ่อต้องนั่งตรวจฏีกาอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า

บุตรชายสอบอยู่ในสนามสอบ คนเป็นพ่อต้องนั่งเฝ้าหน้าประตู เหมือนเข้าสอบด้วย

พริบตานั้นเองฮ่องเต้ชางหลงรู้สึกเห็นใจฮวาอิ้งถิงที่มีชะตากรรมเหมือนกัน

แต่ความรู้สึกนี้เปลี่ยนเป็นความร้อนตัว หลังจากรัชทายาทกลับวังแล้วบอกว่าเขาออกไปเที่ยวเล่นกับธิดาสกุลฮวาทั้งวัน

เพราะวันที่ฮวาอิ้งถิงกลับเมืองหลวงแล้วนั่งสนทนากับเขาทั้งคืนนั้น เคยบอกเขาว่าไม่คิดจะให้บุตรีที่อ่อนแอขี้โรคคนนี้ออกเรือน ขอเพียงนางใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและเรียบง่ายตลอดชีวิตของนางก็พอ

ตอนนั้นเขายังตบหน้าอกรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะดูแลบุตรีของฮวาอิ้งถิงอย่างดี ไม่ให้นางต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด

นี่ผ่านมาไม่เท่าไรบุตรชายที่เขาโปรดปรานที่สุดกลับพูดกับบิดาที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างอารมณ์ดีว่าออกไปเที่ยวเล่นกับเด็กสาวสกุลฮวาอย่างสนุกสนานทั้งวัน

ลูกพ่อ เจ้าทำเช่นนี้ คิดถึงความรู้สึกของพ่อคนนี้บ้างหรือไม่

ในฐานะฮ่องเต้ผู้คำไหนคำนั้น ยังคงต้องรักษาเกียรติยศและหน้าตา เข้าใจหรือไม่

 

[1] หมายถึง ถ้ามีความพยายามก็จะประสบความสำเร็จ

[2] เวลา 17.00-19.00 นาฬิกา

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า