ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
“ข้าไม่มีทางทิ้งให้คนที่ข้ารักต้องรอข้านานถึงเพียงนี้”
“เวลาสามปีเท่ากับสามสิบหกเดือน ชั่วชีวิตของคนเราจะมีสามปีได้สักกี่ครั้ง”
“ชีวิตคนเราสั้นนัก จะปล่อยให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเสียเปล่าไปได้อย่างไร”
ฮวาหลิวหลี สตรีอ่อนแอขี้โรค
แต่แท้จริงนางเข้มเเข็งจนน่าเกรงขามยิ่ง
จีหยวนซู่ รัชทายาทรูปงาม ปากร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น
เพื่อสตรีของตนแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ทำได้อย่างหน้าไม่อาย
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
70
เห็นชัดว่าตัวต่อที่บินว่อนเต็มนภาเกิดจากการสั่งการของมนุษย์ มิฉะนั้นมีหรือจะบังเอิญโจมตีจนแยกราชองครักษ์ออกห่างจากรัชทายาทได้พอดี
ชั่วขณะที่ม้าแตกตื่นนั้น มือสังหารพวกนี้ก็วิ่งกรูกันออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ต่อสู้อย่างยอมตายถวายชีวิต
ชานเมืองหลวงมิใช่พื้นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน มีชาวนาเห็นเหตุการณ์ ก็โยนจอบเสียมในมือทิ้ง แล้ววิ่งไปพลางตะโกนไปพลางว่า “มีโจรป่า มีโจรป่าฆ่าคนตาย!”
พอเห็นดังนั้น นักฆ่าจึงรีบขี่ม้าตามไปหวังจะจัดการชาวนาคนนั้น แต่ราชองครักษ์ขวางไว้ ประมือกันไม่กี่กระบวนท่า ชาวนาคนนั้นก็วิ่งหายลับไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
“จัดการให้เร็วที่สุด” หัวหน้านักฆ่ารู้ว่าชาวนาจะต้องไปตามคนมาช่วยเป็นแน่ จึงชักดาบข้างเอวออกมา ก่อนพาคนฝีมือดีที่สุดจำนวนหนึ่งขี่ม้าไล่ตามรัชทายาทและฮวาหลิวหลี “ตรึงกำลังราชองครักษ์พวกนี้ไว้ก่อน”
“รัชทายาท!” ราชองครักษ์ตำหนักบูรพาต่อสู้อย่างเต็มกำลัง แต่พอพวกเขาสังหารนักฆ่าได้คนหนึ่ง ก็มีนักฆ่าคนใหม่พุ่งเข้ามา
การเดินทางของรัชทายาทมักถูกปกปิดไว้เป็นความลับ และเพื่อให้เดินทางได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น พวกเขาจึงให้ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับรัชทายาทและองค์หญิงฝูโซ่วแยกเดินทางไปยังทิศทางที่ต่างกันไป เพื่อสร้างความสับสนให้กลุ่มคนที่ไม่ประสงค์ดี
แต่มือสังหารกลุ่มนี้คล้ายล่วงรู้เส้นทางของรัชทายาทดี ทั้งยังมุ่งมั่นจะสังหารรัชทายาทให้ได้
รัชทายาทฝึกขี่ม้า ยิงธนูและเพลงกระบี่ตั้งแต่อายุเยาว์ หากเขาผลักองค์หญิงฝูโซ่วที่นั่งบนหลังม้าลงมา ไม่แน่ว่านักฆ่าอาจไล่ตามไม่ทัน แต่นี่รัชทายาทยังพาองค์หญิงฝูโซ่วที่ร่างกายอ่อนแอไปด้วย…
ราชองครักษ์ยิ่งคิดยิ่งวิตก หากเกิดเรื่องขึ้นกับรัชทายาท สกุลใหญ่หลายสกุลจะต้องถูกดึงเข้าไปสู่ความวุ่นวายนี้ด้วย
ทั้งสองฝ่ายสู้กันยิบตา เรียกได้ว่างัดกระบวนท่าไม้ตายออกมาสู้กันเลยทีเดียว
“ม้าขาวที่รัชทายาทพระราชทานแก่หม่อมฉันนับเป็นยอดอาชาเพคะ” ฮวาหลิวหลีกดศีรษะรัชทายาทให้ต่ำลงเพื่อหลบลูกธนูที่ยิงเฉียดอย่างหวุดหวิด นางมิกล้าหยุดม้า หนำซ้ำยังมิอาจบังคับม้าให้วิ่งกลับเข้าเมือง จึงได้แต่มุ่งหน้าพาหลบเข้าไปในป่ารกชัฏ
ยามอยู่ในพื้นที่ราบกว้าง อีกฝ่ายมีคนมาก ซ้ำยังมีพลธนูมาด้วย เท่ากับพวกเขาสองคนเป็นเป้าเคลื่อนที่ให้พวกนั้นยิงใส่ได้อย่างง่ายดาย ไม่สู้หลบเข้าป่า มีที่ให้ซ่อนตัว พวกนักฆ่ามือธนูก็จะได้เปรียบน้อยลง
ทันทีที่ม้าวิ่งเข้าป่า ฮวาหลิวหลีก็ดึงรัชทายาทลงจากหลังม้า เตะม้าทีหนึ่งให้มันห้อตะบึงไปยังทิศทางตรงกันข้าม
“รัชทายาท” ฮวาหลิวหลีฉีกชายกระโปรงงามหรูของนางออกมาผูกไว้ที่เอว “เสด็จตามหม่อมฉันมาเพคะ” สิ้นเสียง นางไม่รอให้รัชทายาทตอบก็รีบดึงมือเขาออกวิ่งทันใด
“พยายามเลี่ยง อย่าทรงเหยียบพื้นที่มีหญ้าขึ้นหนาแน่นนะเพคะ” ฮวาหลิวหลีสังเกตสภาพรอบด้าน ยังดีที่ยามนี้ยังไม่เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มที่ ต้นหญ้าจำนวนมากจึงยังสูงไม่พ้นกองใบไม้แห้งที่ทับถมกันอยู่ นางดึงรัชทายาทให้หลบหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วตั้งสมาธิฟังเสียงตำแหน่งของนักฆ่า
“ผู้ที่พวกมันต้องการเล่นงานคือข้า เจ้ารีบหนีไปก่อนเถิด” รัชทายาทดึงกระบี่อ่อนออกจากเอวพลางพูดเสียงต่ำ “ข้าไม่เป็นอันใด เจ้ารีบไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง”
“ทรงเป็นถึงรัชทายาท ทรงเป็นผู้สืบทอดแผ่นดิน ไม่สมควรตรัสด้วยความวู่วามเช่นนี้เพคะ” ฮวาหลิวหลีเก็บรอยยิ้ม มองรัชทายาทอย่างเคร่งขรึมผิดปกติ “ทรงเป็นฮ่องเต้ในภายภาคหน้า หม่อมฉันเป็นข้าราชบริพาร ความเป็นความตายของพระองค์เกี่ยวข้องกับอนาคตของไพร่ฟ้านับสิบหมื่นร้อยหมื่น วันนี้ขอเพียงหม่อมฉันยังมีลมหายใจ แม้เพียงเฮือกเดียว หม่อมฉันไม่มีทางปล่อยให้พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ต่อหน้าหม่อมฉันแน่เพคะ”
นางผูกชายกระโปรงไว้รอบเอว แล้วดึงกระบี่อ่อนออกจากผ้าคาดเอว “ในฐานะข้าราชบริพาร ต่อเบื้องพระพักตร์ หม่อมฉันไม่สมควรพกพาอาวุธ แต่การเดินทางออกมาข้างนอก อาจมีสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย ขอรัชทายาทโปรดพระราชทานอภัยที่หม่อมฉันทำผิดครานี้ด้วยเพคะ”
ทั้งสองคนหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ยืนหันหน้าเข้าหากัน รัชทายาทมองฮวาหลิวหลีพลางยื่นมือไปกุมมือนางช้าๆ “เจ้าไม่อยากให้ข้าตาย แล้วข้าจะยอมให้เจ้าเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อข้าได้อย่างไร”
“รัชทายาท!” ฮวาหลิวหลีพลิกมือไปจับข้อมือรัชทายาท กดเสียงต่ำกว่าเดิม “หากหม่อมฉันกลับไปได้อย่างปลอดภัย ขอรัชทายาทรักษาความลับให้หม่อมฉันเรื่องหนึ่งนะเพคะ”
“ได้”
“ไม่ถามว่าเรื่องใดหรือเพคะ” ฮวาหลิวหลียิ้ม ละมือไปจับด้ามและตัวกระบี่ต่อเข้าด้วยกัน
รัชทายาทมองท่าทางคล่องแคล่วของนางโดยไม่ถามและไม่พูดสิ่งใด
“รัชทายาทไม่ต้องทรงกลัวนะเพคะ หญิงรับใช้ของหม่อมฉันชำนาญการสะกดรอยในป่า ไม่นานก็ต้องหาพวกเราพบ” แต่นางจะซ่อนตัวที่นี่ไม่ได้ เพราะยามนี้มือสังหารพวกนั้นตามหามาถึงบริเวณนี้แล้ว นางต้องดึงความสนใจของคนพวกนั้นไปทางอื่น
“ช้าก่อน” รัชทายาทปัดชายเสื้อขึ้นด้านหนึ่งแล้วเหน็บไว้ที่ขอบเอวอย่างงามสง่า “เรื่องประเภทนี้จะให้ดรุณีอย่างเจ้าทำได้อย่างไร ข้า…”
“เอาละ รัชทายาทเพคะ” ฮวาหลิวหลีกดตัวรัชทายาท จนเขาทรุดนั่งบนพื้นโดยไม่รู้ตัว “ที่ทรงเล่าเรียนนั้นเป็นเพลงกระบี่สำหรับสุภาพชน เพลงกระบี่ประเภทนี้ไม่มีทางฆ่าคนได้เพคะ”
สิ้นเสียง นางตบไหล่รัชทายาทเบาๆ “ทรงรอหม่อมฉันกลับมาอย่างว่าง่ายตรงนี้ ทรงเข้าพระทัยหรือไม่เพคะ”
รัชทายาทที่ไม่รู้ว่าไยจู่ๆ ตนถึงนั่งลงกับพื้น “…”
“รัชทายาททรงเป็นเด็กดี อย่าทรงงอแงนะเพคะ มิเช่นนั้นพวกเราจะต้องตายอยู่ที่นี่ รัชทายาททรงเห็นแก่หม่อมฉัน ทรงเห็นแก่ราษฎรใต้หล้า ถือว่าหม่อมฉันขอร้อง อย่าเสด็จออกมาเป็นอันขาด ได้หรือไม่เพคะ” ฮวาหลิวหลียอบกายลงตรงหน้ารัชทายาท จ้องดวงตาของเขาแน่วแน่
รัชทายาทมองตอบทั้งขอบตาแดงก่ำ “แล้วเจ้าเล่า”
เขานึกเสียใจ เขายอมหวนกลับไปเพื่อไม่ให้ตนเองชอบนาง ไม่เคยหวั่นไหวไปกับนาง เพราะไม่อยากให้นางต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
“รัชทายาททรงลืมแล้วหรือเพคะ” ฮวาหลิวหลียิ้ม “หม่อมฉันสกุลฮวา คนสกุลฮวาปกป้องกษัตริย์ คุ้มครองอาณาประชาราษฎร์ นี่เป็นคำสั่งสอนประจำสกุลฮวานับร้อยปี หม่อมฉันไม่อยากเป็นคนอกตัญญูของตระกูล ขอรัชทายาททรงส่งเสริมด้วยเพคะ”
รัชทายาทมือสั่น ไม่มีคำพูดใด
“ขอทรงส่งเสริม” ฮวาหลิวหลียิ้ม “หากไม่มีพระราชานุญาต หม่อมฉันก็มีแต่ชดใช้ความผิดด้วยความตาย”
“ได้” เสียงแหบแห้งของรัชทายาทดังขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาลูบแก้มของฮวาหลิวหลีอย่างไม่สนใจสิ่งใด “ข้าจะรอเจ้ากลับมา เจ้าต้องกลับมานะ”
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ” ฮวาหลิวหลียิ้มมุมปากให้รัชทายาทก่อนก้าวยาวๆ ออกไป
รัชทายาทไม่เคยเห็นฮวาหลิวหลีวิ่งถลาเช่นนี้มาก่อน ได้แต่มองตามแผ่นหลังที่จากไปอย่างเร่งร้อน เขายกมือกดทรวงอกที่เจ็บหน่วง พยายามข่มความรู้สึกที่อยากวิ่งตามนางออกไป
เขาเตือนตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหากเขาวู่วามตามไปยามนี้ จะทำให้ทุกสิ่งที่ฮวาหลิวหลีทำมาทั้งหมดสูญเปล่า
ฮวาหลิวหลีลอบเข้าค่ายทหารแคว้นจินพั่วและจับอาหว่ากลับมาได้โดยที่อาหว่ายังมีชีวิตอยู่ แสดงว่านางต้องไม่อ่อนแออย่างที่เห็นยามปกติเป็นแน่
ยามนั้นบิดาของเขาก็ได้แม่ทัพฮวาและแม่ทัพเว่ยช่วยปกป้อง
วันนี้ธิดาของแม่ทัพทั้งสองก็ช่วยปกป้องเขาเช่นกัน
แม้เขาเป็นถึงรัชทายาท แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน การบังคับให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์นั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ รัชทายาทกัดริมฝีปากจนโลหิตซึม
เขาหมอบลงกับพื้น ไม่สนใจความสกปรก เพียงอยากฟังเสียงฝีเท้าของฮวาหลิวหลีให้ชัด อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็ช่วยให้เขาสบายใจขึ้นบ้าง
พวกนักฆ่าเห็นรัชทายาทหลบเข้าป่าลึก ก็ระวังตัวกันมากขึ้น หัวหน้านักฆ่ากระชับกระบี่ในมือ เดินตรงเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“หัวหน้า มีเสียงร้องไห้” มือสังหารที่มีโสตประสาทเป็นเลิศคนหนึ่งเอ่ย “คล้ายเสียงของเด็กสาว”
นักฆ่าเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นนักรบเดนตายโดยเฉพาะ รอบคอบและระมัดระวังตัวสูงยิ่ง พวกเขาค่อยๆ ย่องเข้าใกล้ต้นเสียง ก่อนพบว่ามีเด็กสาวผิวกายขาวผ่องดุจหิมะซ่อนอยู่ในกอหญ้า นางยกมือปิดปากสะอื้นไห้ด้วยความประหวั่น เมื่อเห็นพวกเขาเดินมา เด็กสาวก็ตกใจจนกล่าวไม่ออก มือยันพื้นถัดตัวไปด้านหลัง น้ำตาไหลพรากไม่หยุด เป็นภาพที่ชวนเวทนายิ่งนัก
เมื่อสังเกตเห็นว่าขาของนางบิดเบี้ยวไม่เป็นธรรมชาติ หัวหน้านักฆ่าใช้ปลายกระบี่เชยคางนาง น้ำตาของเด็กสาวหยดต้องกระบี่ ตัวนางสั่นเทิ้มราวกับกระด้งฝัดข้าว
“เจ้าคือองค์หญิงที่อยู่กับรัชทายาทคนนั้นสินะ” หัวหน้านักฆ่าที่สวมหน้ากากเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน “เพื่อให้ตนเองหนีรอด รัชทายาททิ้งเจ้าไว้หรือ”
ดรุณีน้อยยังคงตัวสั่นเทิ้ม ฟันขาวของนางกระทบกันดังกึกๆ กว่าจะมีเสียงสั่นเครือหลุดลอดในเวลาต่อมา “อย่าฆ่าข้า…”
เสียงของนางอ่อนหวานเสนาะหู คล้ายลูกแมวน้อยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ นอกจากขอให้ผู้อื่นเมตตาสงสาร ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
หัวหน้านักฆ่ามองเด็กสาวที่ถูกรัชทายาททอดทิ้งขณะเกิดเหตุการณ์คับขัน สีหน้าเฉยเมย “บอกมาซิว่ารัชทายาทหนีไปทางใด”
เด็กสาวยังเอาแต่ร่ำไห้
หัวหน้านักฆ่ากระชากนางขึ้นจากพื้นอย่างหงุดหงิด มือหนึ่งเค้นลำคอนาง “ถ้าไม่พูด ข้าจะให้พวกนั้นถอดเสื้อผ้าเจ้า ให้เจ้าตายอย่างน่าอับอาย”
“อย่า…อย่านะ…” น้ำตาร้อนๆ หลายหยดต้องหลังมือนักฆ่า ดรุณีน้อยมองเขาด้วยดวงตาพร่าเลือนผ่านม่านน้ำตา “ข้าขอร้อง อย่านะ”
หัวหน้านักฆ่ามองน้ำตาบนหลังมือ แล้วสะบัดนางลงไปที่พื้น “เช่นนั้นก็รีบบอกมา”
เด็กสาวยกมือสั่นเทาชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ข้ายังคิดว่าบุตรีของแม่ทัพทั้งสองจะเด็ดเดี่ยวกว่าผู้อื่นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะแค่นี้เอง” หัวหน้านักฆ่าพรูลมหายใจอย่างดูแคลน ล้วงผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาบนหลังมือ ก่อนหมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่เด็กสาวชี้
“หัวหน้า พวกเราจะทำอย่างไรกับนางดี” มือสังหารคนหนึ่งถาม
“สังหาร” หัวหน้านักฆ่าออกคำสั่งพลางเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับมา “เก็บศพนางให้เรียบร้อย”
เพิ่งขาดคำ เขาก็ได้ยินเสียงศีรษะคนตกพื้น กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง
ไม่สิ กลิ่นฉุนแรงถึงเพียงนี้ไม่เหมือนกลิ่นเลือดของคนคนเดียว
เขาหันหลังขวับ แสงสีเงินตวัดผ่านหน้าเร็วรี่ เขายกกระบี่ขึ้นบัง แต่คิดไม่ถึงว่ากระบวนท่าของอีกฝ่ายจะดุดันฉับไว เมื่อเห็นว่าการโจมตีครั้งแรกไม่โดนเป้าหมายก็เปลี่ยนเป็นเตะหน้าอกของเขาทันที
หัวหน้านักฆ่าเห็นลูกน้องที่ติดตามมาบัดนี้นอนตายเกลื่อนพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง แววอำมหิตพาดผ่านนัยน์ตา “องค์หญิงฝูโซ่วร่างกายอ่อนแอ ขี้กลัว เจ้ากล้าหลอกคนทั้งเมืองหลวง”
“อย่าได้หันหลังให้ศัตรูเป็นอันขาด นี่เป็นหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ทุกกระบวนท่าที่ฮวาหลิวหลีโจมตีนั้นหนักหน่วง ไม่ออมมือ “ข้าต้องขอบใจเจ้าที่ให้โอกาสนี้กับข้า”
หัวหน้านักฆ่าเคยปลิดชีพคนนับไม่ถ้วน พอต้องรับมือกับฮวาหลิวหลีก็ไม่เพลี่ยงพล้ำ เขาไม่เหมือนพวกนักฆ่าที่ฮวาหลิวหลีเคยพบครั้งก่อน คนพวกนั้นเป็นแค่มือสังหารธรรมดา แต่เห็นได้ว่าหัวหน้านักฆ่าคนนี้เป็นพวกนักฆ่าเดนตายที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา
เขาไม่เคยถูกล่อลวงด้วยความงามหรือผลประโยชน์ แต่ครานี้ความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือดูถูกศัตรูเกินไป มิฉะนั้นนางคงไม่มีโอกาสสังหารนักฆ่าคนอื่น
“เสียดายที่องค์หญิงรูปโฉมงดงามเช่นนี้จะต้องตายภายใต้คมกระบี่ของข้า” กระบี่ของหัวหน้านักฆ่ากรีดผ่านลำคอของฮวาหลิวหลี นางถอยหลบไปด้านหลังอย่างว่องไว อีกฝ่ายใช้โอกาสนี้ฟันแขนของนาง
ฮวาหลิวหลีถอยหลังหลายก้าว ยืนพิงต้นไม้ใหญ่หายใจแรงๆ นางเปลี่ยนมือถือกระบี่ สีหน้าไร้ความรู้สึก เอ่ยว่า “จะเป็นจะตายแล้วแต่ชะตาฟ้ากำหนด วันนี้ขอเพียงข้ายังอยู่ พวกเจ้าก็อย่าได้คิดจะปลงพระชนม์รัชทายาทได้เลย”
“สกุลฮวาของพวกเจ้ามีทหารหลายสิบหมื่นนาย ไฉนต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องพระบรมวงศ์ที่อาจระแวงพวกเจ้าได้ทุกเวลา” หัวหน้านักฆ่าไม่ปล่อยให้ฮวาหลิวหลีได้มีโอกาสพักหายใจ เขาแทงกระบี่ใส่กลางหน้าผากของนางอย่างต่อเนื่อง “ไยไม่หาเจ้านายคนใหม่”
“น่าขัน ฮ่องเต้องค์นี้ทรงเป็นผู้นำที่ดี” ฮวาหลิวหลีหลบหลีกกระบี่ที่แทงเข้าใส่อย่างรวดเร็ว จู่ๆ ก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น นางเอียงศีรษะหลบไปด้านข้าง ลูกธนูพุ่งเฉียดแก้มนางไป
เกือบทำหน้านางเป็นแผล!
ใครที่คิดทำลายความฝันของนางในการเป็นหญิงงามผู้อ่อนแอ ผู้นั้นก็คือศัตรูตัวฉกาจของนาง
หัวหน้านักฆ่าพบว่าจู่ๆ ฮวาหลิวหลีก็รุกไล่เขาคล้ายคนเสียสติ แต่ละกระบวนท่าที่นางใช้นั้นแทบจะทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดลงไป แค่เผลอไผลเพียงเล็กน้อย ปลายกระบี่ของนางก็กรีดหน้าอก
ฮวาหลิวหลีรีบถือโอกาสนี้รุกไล่ ใช้กระบี่ปัดลูกธนูที่พุ่งเข้าใส่ หมุนตัวปล่อยให้กระบี่ของหัวหน้านักฆ่าแทงหัวไหล่นางอย่างแรง
ฉึก
เป็นเสียงกระบี่แทงเข้าเนื้อ
หัวหน้านักฆ่าก้มหน้าลงมองอย่างไม่เชื่อสายตา มองกริชที่แทงทะลุหัวใจของเขาโดยที่ทำใจไม่ได้ว่าเขาพลาดท่าเสียทีให้เด็กสาวเมื่อวานซืนที่มีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น
ฮวาหลิวหลีชักกริชออก แล้วยกเท้าถีบอีกฝ่าย จากนั้นนางยกมือกดแผลที่ไหล่ที่หลั่งโลหิตไม่หยุด “ข้ายังคิดว่านักรบเดนตายอย่างเจ้าจะเก่งกาจสักเพียงใด ที่แท้ก็แค่นี้เอง”
หัวหน้านักฆ่าเบิกตาโพลง มองกิ่งไม้ที่มีใบเขียวชอุ่มเหนือศีรษะก่อนขาดใจตายทั้งๆ ที่มิอาจทำใจยอมรับ
“หัวหน้า!” มือสังหารสองคนไล่ตามมาทันเห็นภาพตรงหน้า ก็ถือกระบี่พุ่งเข้าใส่ฮวาหลิวหลีในบัดดล
“หนีเร็ว!” รัชทายาทวิ่งเข้ามาหาเร็วรี่ เขาขว้างกระบี่ในมือออกไป ปักเข้าลำคอของมือสังหารที่วิ่งอยู่หน้าสุดพอดี เขารีบจับมือฮวาหลิวหลีพาหมุนตัววิ่งหนีทันใด
“รัชทายาท! หม่อมฉันให้ซ่อนองค์ไม่ใช่หรือเพคะ!”
“ข้ารับปากเจ้าว่าจะซ่อนตัวให้ดี แต่เท้าของข้าไม่ได้ตกลงด้วย” รัชทายาทที่ปกติต้องงามประณีตทุกกระเบียดนิ้ว ยามนี้วิ่งจูงมือฮวาหลิวหลีหนีเข้าป่า หน้าตามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ด้านหลังมีมือสังหารวิ่งไล่ล่าเป็นพรวน
“รัชทายาท หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บ หนีไปได้ไม่ไกลหรอกเพคะ” เพราะเสียโลหิตมาก วงหน้าของฮวาหลิวหลีซีดขาว “ทรงหนีไปก่อนเถิด หม่อมฉันจะต้านพวกนั้นไว้เอง”
“ข้าก็อยากฟังเจ้าอยู่หรอก แต่มือกับเท้าของข้าไม่ยอมเชื่อฟัง” รัชทายาทดึงกระบี่เปื้อนเลือดในมือฮวาหลิวหลีมาถือไว้ ผู้ที่รังเกียจความสกปรกตั้งแต่อายุเยาว์อย่างเขา กลับจับมือที่เปื้อนโลหิตจนเหนียวเหนอะของฮวาหลิวหลีไว้แน่น “ใครบอกว่าข้าฝึกฝนเพลงกระบี่ของสุภาพชนเท่านั้น แม่ทัพฮวาถือว่าเป็นอาจารย์ของข้าครึ่งตัวเชียวนะ”
สิ้นเสียง รัชทายาทก็วิ่งเข้าใส่นักฆ่าอย่างงามสง่าน่ามอง
ทว่าภายในระยะเวลาอันสั้น รัชทายาทถือกระบี่ย้อนกลับมาจูงฮวาหลิวหลีวิ่งหนีต่อ
“ข้ารู้สึกว่าที่เจ้าพูดมีเหตุผล กลับไปนี่ข้าต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี” รัชทายาทวิ่งหนีพร้อมๆ กับยิงหน้าไม้ใส่นักฆ่า หรือไม่ก็ยิงพลุสัญญาณไปเรื่อยๆ อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็พอจะถ่วงเวลาพวกนักฆ่าได้บ้าง
“เอ๊ะ” รัชทายาทมองเนินเขาที่ลาดลงไปตรงหน้า ยังมีมือสังหารวิ่งไล่ล่าอย่างไม่ลดละ เขายิ้มแห้ง “หลิวหลี เห็นท่าพวกเราแม้ไม่ได้เกิดวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน แต่อาจตายวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกันแล้ว”
ฮวาหลิวหลีแย่งกระบี่ในมือรัชทายาทมาถือไว้ ริมฝีปากไร้สีเลือดของนางขยับ “หากซ่อนองค์ให้ดีก็ไม่ต้องสิ้นพระชนม์วันเดียวกับหม่อมฉัน”
“ข้ารู้ แต่ข้า…”
แต่ข้าทำใจไม่ได้
“รัชทายาท!” ราชองครักษ์ตำหนักบูรพาและหญิงรับใช้ของฮวาหลิวหลีได้ยินเสียงพลุสัญญาณก็ตามหาพวกเขาจนพบ สิ่งที่ทำให้รัชทายาทรู้สึกขายหน้าก็คือ หญิงรับใช้ของฮวาหลิวหลีเป็นฝ่ายวิ่งนำหน้ากลุ่มราชองครักษ์
“ดูท่าพวกเราคงรอดตายแล้ว” ฮวาหลิวหลีโล่งอก ยามนี้ตัวนางเย็นเฉียบ เสียโลหิตมากจนทรงตัวแทบไม่อยู่
ตอนนี้เองที่มีลูกดอกพุ่งเข้าใส่ นางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้ากว่าปกติ ยืนตัวโอนเอนดึงรัชทายาทให้หลบไปด้านหลังเล็กน้อย
รัชทายาททรงตัวไม่อยู่ ทำท่าจะกลิ้งตกเขา
ฮวาหลิวหลียื่นมือออกไปโดยลืมว่าตนเองได้รับบาดเจ็บที่แขน ออกแรงไม่ได้จึงกลิ้งตกเขาพร้อมเขา
ในความทรงจำเลือนราง นางรู้สึกถึงมืออบอุ่นที่รองรับท้ายทอยของนางไว้
หากเมื่อครู่รัชทายาทไม่ออกมาก็คงดี อย่างน้อยยามนี้เขาก็ยังปลอดภัย
แม้วันนี้นางจะเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ถึงต้องตายที่นี่ก็ต้องปกป้องคุ้มครองรัชทายาทให้ปลอดภัย
หากต้องมอบอนาคตของราชวงศ์จิ้นให้องค์ชายสี่คนที่เหลือ นางจะวางใจได้อย่างไร
นางกัดปลายลิ้น เพื่อกระตุ้นให้ตนเองมีสติ ก่อนลืมตามอง เห็นรัชทายาทรัดนางไว้ในอ้อมแขนแน่น ก็ยื่นมือออกไปอย่างยากลำบาก ใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เหลือเพียงน้อยนิดปกป้องศีรษะและใบหน้าของรัชทายาท
คนจะตายไม่ได้
หน้าจะเสียโฉมไม่ได้