[ทดลองอ่าน] ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก เล่ม 2 บทที่ 72

ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก

造作时光 

 

เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน

Hanza แปล

 

— โปรย —

“ข้าไม่มีทางทิ้งให้คนที่ข้ารักต้องรอข้านานถึงเพียงนี้”
“เวลาสามปีเท่ากับสามสิบหกเดือน ชั่วชีวิตของคนเราจะมีสามปีได้สักกี่ครั้ง”
“ชีวิตคนเราสั้นนัก จะปล่อยให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเสียเปล่าไปได้อย่างไร”

 

ฮวาหลิวหลี สตรีอ่อนแอขี้โรค
แต่แท้จริงนางเข้มเเข็งจนน่าเกรงขามยิ่ง
จีหยวนซู่ รัชทายาทรูปงาม ปากร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น
เพื่อสตรีของตนแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ทำได้อย่างหน้าไม่อาย

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

72

 

น่าจะต้อง…น่าจะต้องเป็นเพราะคืนนี้ แสงจันทร์สว่างกระจ่างตาเกินไปทำเขาตาลาย ถ้ารัชทายาทไม่พอใจที่เขาทำอันใด ปกติจะต้องพูดประชดแล้ว มีหรือจะแค่ถลึงตาใส่เขาเช่นนี้

ต้องเป็นเขาที่คิดมากเกินไปเป็นแน่

พอเขาเห็นร่างที่เต็มไปด้วยโลหิตของฮวาหลิวหลีนอนอยู่บนกองใบไม้ที่ทับถมกันแล้วก็สะดุ้งตกใจ นี่ไม่ใช่คนแล้ว เป็นมนุษย์เลือดชัดๆ

เขารับเสื้อคลุมที่องครักษ์นำมาด้วย ก้าวยาวๆ รวบสามก้าวเป็นสองก้าวมาตรงหน้ารัชทายาท ส่งเสื้อคลุมให้รัชทายาทตัวหนึ่ง ขณะที่เขาก้มตัวลงคิดจะห่มเสื้อคลุมให้ฮวาหลิวหลีนั้น รัชทายาทแย่งเสื้อคลุมไปจากมือของเขาก่อนเอ่ยเสียงเย็นว่า “พี่ใหญ่ เราทำเอง”

อิงอ๋องตกใจจนตัวสั่นกับท่าทางที่มีมารยาทและเกรงใจของรัชทายาทจนทำอันใดไม่ถูก ได้แต่มองรัชทายาทห่มเสื้อคลุมให้ฮวาหลิวหลีอย่างอ่อนโยน “มีหมอมาด้วยหรือไม่”

“รัชทายาท กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” แพทย์หลวงสองคนวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน พวกเขาคำนึงถึงฐานะขององค์หญิงฝูโซ่วจึงตั้งใจพาหมอหญิงมาด้วย

“แผลขององค์หญิงลึกมาก อยู่แถวหัวไหล่ใกล้ไหปลาร้า คล้ายเป็นแผลถูกกระบี่แทงทะลุ” หมอหญิงตรวจบาดแผลอย่างละเอียด “ยังดีที่สองวันนี้อากาศไม่ร้อนจัด แผลจึงไม่แย่ไปกว่านี้”

“รัชทายาท หม่อมฉันได้แต่ทำแผล ห้ามโลหิต และทำความสะอาดแผลให้องค์หญิงฝูโซ่วอย่างง่ายๆ ก่อนนะเพคะ อาการบาดเจ็บขององค์หญิงจำต้องอาศัยเวลาพักรักษาตัว” แพทย์หญิงตรวจบาดแผลที่ท่อนแขนขาวละเอียดของฮวาหลิวหลีที่ถูกฟัน แล้วทำแผลอย่างระมัดระวังด้วยกลัวว่าจะทำให้องค์หญิงผู้อ่อนแอเจ็บปวดไปมากกว่านี้

“เรื่องนี้ต้องโทษเรา” รัชทายาทจับมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของฮวาหลิวหลีไว้หลวมๆ “หากไม่ใช่เพราะเจ้ารับกระบี่แทนเรา เจ้าก็ไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้”

แค่คำเรียบง่ายประโยคเดียว ทำทุกคนจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ที่อันตรายต่างกันไปนับไม่ถ้วน อาทิ นักฆ่าต้องการคร่าชีวิตรัชทายาท แต่องค์หญิงฝูโซ่วผู้อ่อนแอทว่ากล้าหาญเอาตัวมาขวางหน้า

นับแต่โบราณนานมาเรื่องวีรบุรุษช่วยยอดพธูนั้นเป็นเรื่องเล่าที่ไม่เคยล้าสมัยและเล่าสืบต่อกันมานานแสนนาน ทว่าเรื่องหญิงสาวช่วยชายหนุ่มก็เป็นเรื่องเล่าขานที่เป็นที่นิยมชมชอบ เล่าลือกันมานานหลายร้อยปีเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้นองค์หญิงฝูโซ่วยังเป็นหญิงงามอ่อนแออ่อนหวานถึงเพียงนี้ เด็กสาวแบบนี้ยินดีที่จะเอาชีวิตเข้าแลก กล่าวได้ว่าจงรักภักดีมากเพียงใด รักลึกซึ้งเพียงใด ชวนซาบซึ้งใจมากเพียงใด!

ก่อนหน้านี้ชาวเมืองหลวงยังรำพึงว่า เสียดายที่แม่ทัพทั้งสองใช้ชีวิตอย่างห้าวหาญถึงค่อนชีวิต ต่อสู้อย่างทะนงองอาจในสนามรบ กลับคิดไม่ถึงว่าจะให้กำเนิดธิดาผู้อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แค่ลมพัดก็แทบจะปลิวแล้ว

ยามนี้ความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว แม้องค์หญิงฝูโซ่วร่างกายไม่แข็งแรง แต่จิตวิญญาณของนางเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว หาญกล้า สมกับเป็นทายาทสกุลฮวา

แพทย์หญิงทั้งหลายรีบเข้ามากางผ้าม่าน เพื่อบังสายตาของเหล่าบุรุษ

เลือดจับตัวแห้งเกรอะกรังที่บาดแผล เพื่อมิให้แผลอักเสบเป็นหนอง หมอหญิงจำต้องใช้ยาฆ่าเชื้อล้างแผลให้สะอาดก่อนทายาและพันแผลใหม่

“องค์หญิง ยานี้จะแสบสักหน่อย อีกสักครู่…ขอให้ท่านอดทนไว้” แพทย์หญิงดึงจุกขวดใส่ยาน้ำ พูดกับฮวาหลิวหลีที่ยังมีสติว่า “ขออภัย ล่วงเกินแล้วเจ้าค่ะ”

ยามนี้พวกนางอยากให้ผู้บาดเจ็บหมดสติ เพราะอย่างน้อยเวลาทำแผล ผู้บาดเจ็บจะได้ไม่ดิ้นรนขัดขืน

“ช้าก่อน” รัชทายาทเลิกผ้าม่านที่หมอหญิงกางไว้ชั่วคราวแล้วก้าวเข้ามา เขาไม่สนใจภาพลักษณ์ใดๆ นั่งคุกเข่าโน้มตัวข้างกายฮวาหลิวหลี ดึงนางมากอดไว้หลวมๆ ก่อนสั่งว่า “จัดการได้”

มือของแพทย์หญิงกระตุกแรงจนเกือบทำยาน้ำในมือหก ดูคล้ายรัชทายาทและองค์หญิงฝูโซ่วจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมาก

“องค์หญิง เตรียมพร้อมหรือยังเจ้าคะ” แพทย์หญิงมองไหล่และท่อนแขนที่อยู่นอกร่มผ้าของฮวาหลิวหลี เห็นนางพยักหน้านิดๆ จึงสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยกับแพทย์หญิงคนอื่นว่า “ทุกคนเตรียมตัว”

เสียงรับคำดังพร้อมเพรียง แพทย์หญิงคนอื่นช่วยกันจับขาของฮวาหลิวหลีไว้ ส่วนแพทย์หญิงคนแรกเทยาน้ำล้างแผล

ถ้าจะถามฮวาหลิวหลีว่ายามนี้รู้สึกอย่างไร นางบอกได้ว่าไม่รู้สึกอันใดทั้งนั้นนอกจากความเจ็บลึกราวกับมีบางอย่างชอนไชเข้ากระดูก

หากไม่ใช่เพราะรัชทายาทอยู่ตรงนี้ และสัญชาตญาณของนางเตือนให้ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเองไว้ นางคงตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวดนานแล้ว เหงื่อเม็ดโตผุดพรายบนหน้าผาก ฮวาหลิวหลีจับมือของรัชทายาทไว้แน่น เสียงพูดขาดเป็นห้วงๆ “รัชทายาท…นับได้ว่าหม่อมฉันขูดกระดูกรักษาบาดแผล[1]แล้วเพคะ”

“หลิวหลีของข้าเป็นวีรสตรีที่ร้ายกาจที่สุด งดงามที่สุด” ไหล่ของรัชทายาทสั่นยิ่งกว่าของฮวาหลิวหลี เขาอยากเร่งให้แพทย์หญิงทำแผลให้เร็วกว่านี้ แต่ก็กลัวจะทำแพทย์หญิงตระหนก ถ้าพวกนางตกใจจนมือสั่น อาจทำหลิวหลีเจ็บมากกว่านี้ก็เป็นได้

เห็นรัชทายาทกอดองค์หญิงฝูโซ่วแน่นแทบจะให้นางซุกเข้าไปในอก หมอหญิงรีบใส่ยาที่บาดแผล แล้วพันแผลให้เรียบร้อย “องค์หญิง บาดแผลของท่านลึกนัก ช่วงนี้ห้ามใช้แขนข้างนี้ออกแรง เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องระวังให้มาก จะให้แผลถูกน้ำไม่ได้นะเจ้าคะ”

“รบกวนแล้ว” ฮวาหลิวหลีพูดอย่างอ่อนแรง นางจับมือรัชทายาทไว้หลวมๆ พลางฝืนยิ้ม “รัชทายาท รับสั่งให้หม่อมฉันเอาชีวิตรอดกลับมาให้ได้ หม่อมฉันทำได้แล้วเพคะ”

“ข้ารู้” รัชทายาทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากให้นางอย่างเบามือ “เจ้าเหนื่อยแล้ว หลับสักครู่เถิด”

“หม่อมฉันเจ็บจนนอนไม่หลับเพคะ” ฮวาหลิวหลีเงยหน้ามองฟากฟ้าที่มีดวงเดือนส่องสว่าง “คืนนี้ดวงจันทร์งาม”

ชีวิตที่ผ่านพ้นความตายมาได้ เมื่อมองสรรพสิ่งรอบข้างอีกครั้งก็พบว่าพวกมันงดงามอย่างที่สุด อย่าว่าแต่จันทรากลางนภา แม้แต่ต้นหญ้าต้นน้อยที่ขึ้นอยู่ข้างศีรษะนางก็ยังดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก

การมีชีวิตอยู่ช่างดีจริงๆ

“สู้เจ้าไม่ได้” รัชทายาทให้ขันทีหามแคร่เข้ามา เขาอยากอุ้มฮวาหลิวหลีด้วยตนเอง ทว่าน่าเสียดายที่เหล่าหญิงรับใช้คนสนิทของนางเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็อุ้มฮวาหลิวหลีขึ้นไปนอนบนแคร่หามแล้ว

“รัชทายาทเพคะ ยามนี้หม่อมฉันหน้าตามอมแมม มีแต่ฝุ่นเต็มหน้า ตามตัวก็มีแต่โลหิต ยังน่ามองที่ใดเพคะ” ฮวาหลิวหลีเห็นรัชทายาทมองนาง สีหน้าผิดหวัง ราวกับการที่ไม่ได้อุ้มนางเมื่อครู่นับเป็นหายนะครั้งใหญ่ในชีวิต จึงอดหัวเราะไม่ได้ “รัชทายาทอย่าทรงล้อหม่อมฉันเล่น เพียงเพราะหม่อมฉันมีบุญคุณที่ช่วยพระชนม์ชีพพระองค์ไว้”

“ไข่มุกเม็ดงามแม้มีฝุ่นจับมากเพียงใด ก็ยังเป็นไข่มุกที่ดึงดูดความสนใจที่สุดและงดงามที่สุด สำหรับข้าแล้วองค์หญิงคือไข่มุกเม็ดงามที่ส่องประกายเม็ดนั้น” รัชทายาทลุกขึ้นจากพื้นมาอยู่ข้างกายฮวาหลิวหลี “ยิ่งกว่านั้นสำหรับบุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ แม้ข้าคิดจะตอบแทน ก็ไม่คิดจะตอบแทนด้วยคำชมเจ้าเพียงไม่กี่คำ

“ข้าคิดที่จะ…” รัชทายาทโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูนาง “ใช้ร่างกายตอบแทน”

ยวนเหว่ยที่มีโสตประสาทค่อนข้างดีตัวสั่นขณะชำเลืองมององค์หญิงบนแคร่หามซึ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองสักเท่าไร นางครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้วขยับไปอยู่ด้านข้างเงียบๆ

องค์หญิงเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้จักแทะโสมคนที่อวบอิ่มชุ่มน้ำแล้ว บ่าวรับใช้อย่างพวกนางก็ต้องรู้สถานการณ์บ้าง

ที่น่าสงสารที่สุดก็คือคนหามแคร่ พวกเขามิกล้าเดินเร็วเกินไป มิกล้าเดินช้าเกินไป ต้องเดินให้เข้ากับจังหวะก้าวเท้าของรัชทายาท แล้วยังต้องแสร้งหูหนวกตาบอด ไม่เห็นไม่ได้ยินท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างรัชทายาทกับองค์หญิงฝูโซ่ว

ใต้หล้านี้ถ้ามีคนร่างกายอ่อนแอขี้โรค ขี้กลัว แต่กลับยินดีที่จะใช้ชีวิตมาปกป้องตนเองยามคับขัน พวกเขาก็คงหวั่นไหวกระมัง

พวกเขายังไม่ทันรำพึงรำพันจบ ก็เห็นอิงอ๋องก้าวยาวๆ มาหาฮวาหลิวหลีที่นอนอยู่บนแคร่หาม “องค์หญิงฝูโซ่ว ข้าได้ยินหมอหญิงกล่าวว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แบบนี้จะมีแผลเป็นหรือไม่”

ฮวาหลิวหลีมองสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัดของอิงอ๋องแล้วนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถาม

หมายความว่าอย่างไร นี่เขาดีใจที่นางโชคร้ายหรือ

“แม้องค์หญิงจะมีแผลเป็น ข้าก็ไม่รังเกียจ ข้ายินดีรับเจ้าเป็นชายาอ๋อง…”

รัชทายาทพับแขนเสื้อขึ้น ถีบข้อพับขาของอิงอ๋องทีหนึ่ง อิงอ๋องล้มโครมลงกับพื้น

“ขออภัย เมื่อครู่เราตกเขา จึงควบคุมมือเท้าไม่ได้” รัชทายาทชักเท้ากลับ ชี้ไปข้างหน้าสีหน้าเฉยเมย “พี่ใหญ่ ทางบนเขายามค่ำเดินลำบาก ท่านเดินไปเปิดทางข้างหน้าดีกว่า”

อิงอ๋องมองรัชทายาทด้วยความเดือดดาล แต่มีสายตาของผู้อื่นจับจ้อง เขาที่มีฐานะอ๋องจำต้องฟังคำสั่งของรัชทายาท มิฉะนั้นในสายตาของผู้อื่นจะกลายเป็นว่าเขาไม่เคารพรัชทายาท

รัชทายาทไม่เคยรู้สึกว่าอิงอ๋องขวางหูขวางตาถึงเพียงนี้มาก่อน เมื่อเล่นงานอิงอ๋องให้ออกห่างแล้ว ก็หันมายิ้มพูด “พี่ใหญ่นิสัยวู่วาม ทำอันใดไม่ค่อยคิดให้มาก เจ้าอย่าได้เก็บคำพูดของเขามาใส่ใจ”

ฮวาหลิวหลีกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าดวงดาวกลางเวหากะพริบตาให้นางเช่นกัน

 

“ฝ่าบาท!” จ้าวซานไฉวิ่งเข้าพระที่นั่งสีหน้ายินดีปรีดา ไม่ทันใส่ใจคำนับ “หารัชทายาทเจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ชางหลงที่รอฟังข่าวทั้งคืนโดยไม่ได้นอนนั้นร้องด้วยความดีใจ “รัชทายาทได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

“รัชทายาททรงบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย ไม่ทรงเป็นอันใดมาก ได้ยินว่าตอนที่พวกเขากลิ้งตกเขา องค์หญิงฝูโซ่วยกแขนกันพระเศียรให้รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” ความลิงโลดบนใบหน้าของจ้าวซานไฉจางลงเล็กน้อย เขาลอบมองฮวาอิ้งถิงที่รออยู่ในพระที่นั่ง “เพียงแต่…องค์หญิงฝูโซ่วได้รับบาดเจ็บสาหัส”

“เกิดอันใดขึ้น!” ฮ่องเต้ชางหลงได้ยินว่าสะใภ้ในอนาคตได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ร้อนใจ “รีบเล่าซิ!”

“องค์หญิงฝูโซ่วได้รับบาดเจ็บ ทำให้รีบเดินทางกลับมาไม่ได้ อิงอ๋องจึงส่งคนนำความมากราบทูลล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซานไฉตอบ “ได้ยินว่าหลังรัชทายาทและองค์หญิงซ่อนตัวในป่าแล้ว องค์หญิงเกรงว่านักฆ่าจะพบรัชทายาท นางจึงล่อนักฆ่าให้ไปอีกทางหนึ่ง สุดท้ายพวกนักฆ่ารู้ความจริง เดิมพวกเขาคิดจะสังหารองค์หญิง แต่รัชทายาทรีบเสด็จมาทรงขวางไว้ ทว่าพวกนักฆ่ามีจำนวนมาก รัชทายาททรงต้านไม่ไหว ขณะที่องค์หญิงฝูโซ่วเห็นว่ามีคนจะแทงรัชทายาทจึงเอาตัวเข้ารับกระบี่แทนพ่ะย่ะค่ะ

“รัชทายาททรงฉวยโอกาสนี้จุดพลุสัญญาณแล้วพาองค์หญิงฝูโซ่วหนี ปรากฏว่านักฆ่าไล่ตามมาถึงทางตัน รัชทายาทเสียการทรงตัวจึงทรงลื่นตกเขา องค์หญิงฝูโซ่วคิดจะดึงรัชทายาท แต่ร่างกายนางอ่อนแอ ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ดึงไม่ไหว ทำให้ตกลงไปพร้อมกับรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”

ตอนที่ฮวาอิ้งถิงได้ยินว่าบุตรีได้รับบาดเจ็บสาหัส ริมฝีปากก็ซีดขาวไร้สีเลือดด้วยความตระหนก แต่เมื่อจ้าวซานไฉเล่าไปเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงสลดใจว่าบุตรีที่น่าสงสารอ่อนแอของเขาช่วยรัชทายาทไว้อย่างไร สีหน้ากลัดกลุ้มของฮวาอิ้งถิงจึงเปลี่ยนเป็นลำบากใจที่ยากจะบรรยายเป็นคำพูด

“อิ้งถิงเอ๊ย องค์หญิงฝูโซ่วสมกับเป็นธิดาของเจ้า ความจงรักภักดีจากใจของนางทำเราซาบซึ้งยิ่งนัก…” ฮ่องเต้ชางหลงเห็นฮวาอิ้งถิงตกใจจนหน้าซีดเผือดแล้ว ก็รู้สึกทั้งละอายใจทั้งภาคภูมิใจ เขาละอายใจก็เพราะบุตรชายของเขายังต้องให้เด็กสาวอ่อนแอคอยคุ้มกัน แต่ที่ภาคภูมิใจก็คือแม้เผชิญอันตราย บุตรชายของเขาก็ยังไม่ทิ้งนางหนูสกุลฮวาแล้วหนีเอาชีวิตรอดเพียงลำพัง สมกับเป็นลูกผู้ชายตัวจริง

“ยามนั้นเจ้ากับฮูหยินเจ้าใช้ชีวิตปกป้องเราไว้ ยามนี้ลูกของพวกเจ้าก็ใช้ชีวิตปกป้องรัชทายาท แสดงให้เห็นว่า พวกเราสองครอบครัวมีวาสนาต่อกันอย่างแท้จริง”

“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นขุนนาง การปกป้องคุ้มครองฝ่าบาทและรัชทายาทเป็นสิ่งสมควรทำ ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้กระหม่อมรู้สึกละอายใจ…”

“ในเมื่อพวกเราสองครอบครัวมีวาสนาต่อกัน บุตรีของเจ้ายังมีบุญคุณช่วยชีวิตบุตรชายไม่เอาไหนของเราด้วย ไม่สู้พวกเราสองครอบครัวใกล้ชิดกันมากกว่านี้ ให้เด็กสองคนผูกใจเป็นหนึ่งเดียว ได้อยู่เคียงข้างครองคู่กันดีหรือไม่”

“หา” ฮวาอิ้งถิงยังพูดถ่อมตนไม่จบ ก็ต้องสะดุ้งกับถ้อยคำของฮ่องเต้ชางหลง อันใดที่เรียกว่าผูกใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เคียงข้างครองคู่กัน

ฮ่องเต้ชางหลงมองสีหน้าเหลอหลาของฮวาอิ้งถิงแล้วร้อนตัวทันควัน แต่เพื่อความสุขของบุตรชาย บิดาอย่างเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนใจหน้าตาหรือเกียรติยศใดๆ “เราเห็นว่าปกติเด็กสองคนนี้เข้ากันได้ดี รัชทายาทเองก็ไม่เคยสนิทสนมกับดรุณีคนใดนอกจากองค์หญิงฝูโซ่ว ยิ่งกว่านั้นในหมู่ราษฎรก็มักกล่าวว่าบุญคุณช่วยชีวิตต้องตอบแทนด้วยร่างกาย เรารู้สึกว่าเด็กสองคนอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องดี เจ้าคิดอย่างไร”

“กระหม่อม…กระหม่อม…” ฮวาอิ้งถิงอึกๆ อักๆ พูดไม่ออกเนิ่นนาน

ฮ่องเต้แค้นใจหรือไม่พอใจอันใดรัชทายาทกันแน่ จะเลือกใครเป็นชายารัชทายาทก็ไม่เลือก กลับเลือกบุตรีของเขา

ผู้ที่รู้จักบุตรีดีย่อมหนีไม่พ้นบิดา ตัวตนแท้จริงของบุตรีนั้นเป็นอย่างไร คนเป็นบิดาอย่างเขาจะไม่รู้เชียวหรือ

ลูกเขาชอบคนหน้าตาดี มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น เบื้องหน้าดูอ่อนแอแทบต้านลมไม่ได้ แต่ใครที่ทำให้นางไม่พอใจ ไม่เคยพบจุดจบดีสักราย รัชทายาทฐานะสูงส่ง ไม่ว่าคำพูดหรือการกระทำใด ก็อาจสร้างความไม่พอใจให้บุตรีได้ ถึงยามนั้น หาก…

ฮวาอิ้งถิงยิ้มแหย “แม้บอกว่าการแต่งงานนั้นต้องแล้วแต่บิดามารดาเห็นสมควร แต่พวกเราชาวจิ้นก็มิได้ต้องทำตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกับแคว้นไต้เม่าที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ กระหม่อมคิดว่าเพื่อความสุขของเด็กทั้งสองคนแล้ว อย่างไรก็สมควรถามความเห็นของพวกเขาก่อน แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง ฝ่าบาททรงพระดำริอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ รัชทายาทชื่นชอบองค์หญิงฝูโซ่วมาก” ฮ่องเต้ชางหลงเห็นฮวาอิ้งถิงมิได้ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ก็ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้ เกลี้ยกล่อมต่อ

“บุตรีกระหม่อมร่างกายอ่อนแอ เกรงว่า…”

“ในวังหลวงมีหมอเก่งตั้งมากมาย จะต้องดูแลนางได้ดี” ไม่รอให้ฮวาอิ้งถิงกล่าวจบ ฮ่องเต้ชางหลงชิงเอ่ย “เด็กสาว อายุน้อยร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงก็ไม่เป็นไร แถวชายแดนอากาศไม่ดี ไม่ใช่สถานที่ที่จะบำรุงรักษาคนได้ดีนัก ยามนี้อยู่เมืองหลวงแล้วก็ค่อยๆ ดูแลรักษากันไป”

ร่างกายอ่อนแอก็ดีแล้ว แบบนี้จะได้ไม่เหมือนมารดาของนางที่พูดจาไม่เข้าหูแค่นิดเดียวก็ฟาดขาม้านั่งหินจนหัก นับว่าเป็นสตรีที่เพียบพร้อมยิ่งแล้ว

“ฝ่าบาททรงทราบว่าบุตรีกระหม่อมเติบโตที่ชายแดน ไม่เข้าใจกฎระเบียบเท่าสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวง กระหม่อมเกรงว่าถ้านางครองคู่กับรัชทายาท จะกลายเป็นพระราชภาระของรัชทายาท”

“นางแต่งให้รัชทายาทก็เป็นชายาของรัชทายาท เป็นฮองเฮาในภายภาคหน้า สิ่งที่นางบอกว่าเป็นกฎเกณฑ์ก็คือกฎเกณฑ์ ยังจะมีผู้ใดบอกให้นางรักษากฎเกณฑ์อันใดอีก”

ฮวาอิ้งถิงรู้สึกว่าท่าทีของฮ่องเต้ชางหลงนั้นไม่จริงจัง พวกเรากำลังเลือกชายารัชทายาท เลือกมารดาแห่งแผ่นดิน จริงจังขึงขังสักหน่อยไม่ได้หรือ

“พ่ออย่างเจ้านี่อย่างไรกันนะ” ฮ่องเต้ชางหลงถลึงตาใส่ฮวาอิ้งถิง “มีอย่างที่ไหน กล่าวแต่ข้อเสียของบุตรี เรารู้สึกว่าองค์หญิงฝูโซ่วเป็นเด็กดีมาก”

นึกไม่ถึงว่าอิ้งถิงจะกล้าพูดถึงข้อเสียของธิดามากมายเพียงนี้ ข้างนอกลือกันหนาหูว่าอิ้งถิงรักและเอ็นดูบุตรีคนนี้มากไม่ใช่หรือ

คิดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ชางหลงกล่าวโน้มน้าวแฝงนัยว่า “อิ้งถิงเอ๊ย ต้าจิ้นของพวกเราไม่ได้มีกฎระเบียบไร้สาระมากมายเหมือนแคว้นไต้เม่า เจ้าจะรักแต่บุตรชาย จนไม่สนใจบุตรสาวอย่างนี้ไม่ได้”

ฮวาอิ้งถิง “…”

ไยเขาจะต้องแบกหม้อดำที่ไม่มีมูลความจริงด้วย

 

[1] หมายถึง เจ็บปวดแสนสาหัส

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า