งานเลี้ยงแห่งวสันตกาล
春日宴
ไป๋ลู่เฉิงซวง 白鹭成双 เขียน
ม้าลาย แปล
นิยาย 4 เล่มจบ
___________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ บ้านอรุณ
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
๓
รู้จักเขาหรือไม่
เสียงจ้อกแจ้กจอแจตามท้องถนนถูกเสียงตำหนิของเขาข่มจนเงียบเชียบลง คนคลุมหน้ายี่สิบกว่าคนแหงนมองเขา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงนึกขึ้นได้ว่าต้องลงมือต่อ
“หลีกไป!” คนคลุมหน้าที่อยู่ใกล้เขาที่สุดจ้องเขาด้วยความประหลาดใจระคนโทสะ “อย่ามาขวางการธำรงคุณธรรมแทนฟ้าดินของพวกข้า!”
ธำรงคุณธรรมแทนฟ้าดินงั้นหรือ เขาหัวร่อเย้ยหยัน หันมากล่าวว่า “ก่อความวุ่นวายต่อหีบศพผู้อื่นมีโทษมหันต์”
“ก่อความวุ่นวายต่อหีบศพผู้อื่นมีโทษมหันต์ แต่ที่อยู่ภายในนี้เป็นแค่เดรัจฉาน!” คนผู้นั้นกล่าวอย่างคับแค้นใจ “เจียงเสวียนจิ่น เจ้าก็รู้ว่านางบาปหนาเพียงใด ไยต้องขวางพวกข้าด้วย!”
คนกลุ่มนี้เรียกขานชื่อของเขางั้นหรือ เจียงเสวียนจิ่นกระตุกคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือออกไปฉีกผ้าไหมสีขาวที่กำลังลุกไหม้อยู่บนหีบศพ สะบัดใส่คนคลุมหน้าสองคนที่อยู่เบื้องหลังจนร่วงหล่นจากรถไป ด้านข้างยังมีคนปีนขึ้นมาเรื่อยๆ เขาตวัดสายตา ยกเท้าขึ้นเตะดาบในมือคนเหล่านั้นจนลอยไปไกล
“เคร้ง” … คมดาบเย็นยะเยือกสะบั้นเสาศิลาเขียวหักเป็นสองส่วน ตัวดาบสั่นไหวแว่วเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ อย่างไม่ขาดสาย
ผู้ที่หมายจะปีนขึ้นมามองด้วยอาการประหวั่นพรั่นพรึง ไม่กล้าลงมืออีก
หัวหน้าของพวกนั้นเริ่มไม่สบอารมณ์ ยกดาบชี้หน้าเขาและกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าไม่เลือกดื่มสุราคารวะ หรือปรารถนาจะดื่มสุราปรับโทษ!”
เจียงเสวียนจิ่นมองเขาด้วยนัยน์ตาสงบนิ่ง ค่อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวานดุจเสียงตีกระทบเครื่องหยก “ไม่ว่าสุราชนิดใด หากเจ้ามีปัญญาให้ข้าดื่มได้ก็ลองดู”
ขบวนแห่ศพอันยาวเหยียดถูกแบ่งออกเป็นสามช่วง ช่วงขบวนหน้าและหลังคลาคล่ำด้วยกลุ่มคนคลุมหน้า กระนั้นก็ยังคงเข้าไม่ถึงช่วงกลางขบวนที่ไว้หีบศพ แสงไฟจากเปลวเพลิงด้านข้างโหมกระหน่ำ อีกฝ่ายซึ่งมีกำลังคนเยอะกว่าย่อมได้เปรียบ หลี่ไหวอวี้คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเจียงเสวียนจิ่นเอาความมั่นใจจากไหนมากล่าวถ้อยคำเช่นนี้
ข้างกายเขามีเพียงเฉิงซวีแค่คนเดียวนะ!
หัวหน้าของพวกนั้นตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างแจ่มแจ้งเช่นเดียวกัน จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มหยันว่า “คุณชายตระกูลขุนนางเช่นเจ้า ร่ำเรียนวรยุทธ์มาเพียงไม่กี่ปี ก็คิดจะรับมือคนเป็นร้อยโดยลำพังแล้วรึ ในเมื่อเจ้าจะปกป้องเดรัจฉานตนนี้ให้ได้ อย่างนั้นอย่าโทษว่าพวกข้าไม่เกรงใจแล้วกัน บุก!”
เขาลั่นถ้อยคำสุดท้ายกับลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง กลุ่มคนคลุมหน้าได้ยินคำสั่งก็รีบพุ่งตัวไปทางหีบศพโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
หลี่ไหวอวี้มุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างเป็นกังวล
อย่าเข้าใจผิด นางไม่มีทางเป็นห่วงเจียงเสวียนจิ่นอยู่แล้ว เพียงแค่หากต่อสู้กันข้างหีบศพของนาง หีบศพอาจแตกหักเนื่องจากโดนลูกหลงได้ไม่ใช่หรือ หากไม้หนานมู่เนื้อทองเสียหายไปคงยากจะหาไม้ใหม่มาแทนที่ วันนี้เป็นฤกษ์มงคลที่จะฝังศพของนางเชียวนะ หากพลาดวันมงคลนี้ไปแล้วกระทบต่อโชคชะตาของนางในภายภาคหน้าจะทำเช่นไร
นางมองดูเครื่องแต่งกายของกลุ่มคนคลุมหน้า จากนั้นก้มมองชุดสามัญชนสีเข้มของตนเอง หลี่ไหวอวี้พลันเกิดความคิดขึ้นมา รีบม้วนเรือนผมที่ทิ้งตัวสยายขึ้นสูง ฉีกชายเสื้อมาโพกปิดใบหน้า จากนั้นค้อมกายปะปนเข้าไปในฝูงชน
เจียงเสวียนจิ่นกำลังต่อสู้โรมรัน อีกฝ่ายตวัดดาบลงดัง “ฟึ่บ” เขากระโดดม้วนตัวลงจากหีบศพ เกี่ยวเอาคนอีกสองคนล้มลงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นชิงเอาดาบของพวกนั้นมา ร่วมมือกับเฉิงซวีฆ่าฟันฝ่ายตรงข้ามกระทั่งเหลือเป็นที่ว่างให้พอยืนได้
รอบด้านแวดล้อมด้วยผู้คนมากมาย ผ่านไปแล้วกว่าสิบกระบวนท่า ทว่าไม่มีผู้ใดทำให้เขาหลั่งโลหิตได้สักคน
หัวหน้าของคนพวกนั้นเบิกตากว้างมองร่างในชุดสีอำพันเหลือบเขียวที่อยู่ท่ามกลางวงล้อม กล่าวด้วยความงุ่นง่านระคนเลื่อมใส “ท่านเจ้าเมือง ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ไยต้องเอาตนเองมาแปดเปื้อนน้ำครำด้วยเล่า!”
“บ้านเมืองมีขื่อมีแป ธรรมเนียมย่อมมีระเบียบปฏิบัติ” เจียงเสวียนจิ่นกล่าวตอบพลางตวัดปลายดาบเฉือนหัวเข่าอีกฝ่าย “ตันหยางต้องโทษประหารแล้ว พวกเจ้ากระทำเช่นนี้ถือเป็นการตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนัก”
“นางตายไปก็พอแล้วหรือ” หัวหน้าของคนพวกนั้นกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้าเมืองผิงหลิงไร้ความผิด กลับถูกสตรีนางนี้ทำร้ายกระทั่งหาศพไม่ครบส่วน! องครักษ์จางเน่ยอย่างไรก็เป็นบ่าวผู้จงรักภักดีที่ปรนนิบัติรับใช้จักรพรรดิองค์ก่อน กระนั้น กลับถูกนางส่งคนไปลากจากในวังหลวงมายังหน้าประตูวัง แล่เนื้อเถือหนัง [1] จนสิ้นลม! นางยึดกุมราชสำนัก ไม่คำนึงถึงว่าประชาชนเจ็ดเมืองต้องประสบโรคระบาด มองอาณาประชาราษฎร์เป็นเพียงมดแมลง! คนต่ำช้าเช่นนี้หากไม่ถูกม้าห้าตัวฉีกกระชากร่าง จะบำรุงขวัญวิญญาณของวีรบุรุษได้อย่างไร!”
เขาเหลือบมองดูเจียงเสวียนจิ่นที่สีหน้ากระตุกวูบประหนึ่งว่าฟังจนคล้อยตามแล้ว
หัวหน้าของคนพวกนั้นยิ่งได้ใจ ก้าวเข้าหาเจียงเสวียนจิ่นโดยมิรอช้า “ท่านเองก็เป็นไม้คานหลังคาของประเทศชาติ ซ้ำยังเป็นผู้ถวายสุราพิษแด่องค์หญิงตันหยางเองกับมือ ท่าน…”
คงอยากพูดว่า ท่านเองก็เกลียดนางเช่นเดียวกันสินะ
ทว่ายังไม่ทันเอ่ยถ้อยคำนี้ออกไป คมดาบก็ตวัดมาจ่อที่คอของเขาดุจคมเขี้ยวอสรพิษ
“ให้พวกเขาถอยไปซะ” เจียงเสวียนจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “หากยังสู้กันต่อไป พวกเจ้ามีแต่จะถูกจับ มีข้าอยู่ พวกเจ้าแตะต้องหีบพระศพไม่ได้หรอก”
“เจ้า!” หัวหน้าของคนพวกนั้นมีสีหน้าโกรธจัด “เจ้าไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด!”
ถูกผิดงั้นหรือ เจียงเสวียนจิ่นปรายตามองและกล่าวว่า “ข้าแยกแยะได้ดีกว่าเจ้านัก”
เขาแค่นหัวเราะ ปล่อยให้เจียงเสวียนจิ่นจับกุมตนเองไว้พลางประกาศกร้าวว่า “ทุกคนบุก! รื้อหีบศพเสีย ไม่ต้องสนใจข้า!”
“ขอรับ!” ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างขานรับ แบ่งเป็นห้าคนไปล้อมเจียงเสวียนจิ่นและเฉิงซวีไว้ ส่วนที่เหลือวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ยกเสียมเหล็กขึ้นมากระทุ้งหีบศพ
สีหน้าของเจียงเสวียนจิ่นพลันตึงเครียด ยื่นมือไปหมายจะขวางไว้
ทันใดนั้นหัวหน้าของคนพวกนั้นก็ชักกริชออกมาราวกับคาดการณ์การเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้ก่อนแล้ว และส่งเสียงคำรามลั่นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ในเมื่อเจ้าประสงค์จะปกป้องเดรัจฉานตนนี้ เช่นนั้นก็ตายไปด้วยกันเสียเถิด!”
“ท่านเจ้าเมืองระวัง!”
รังสีอำมหิตพวยพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว กว่าเจียงเสวียนจิ่นจะหันกลับมาก็หลบไม่พ้นแน่แล้ว
ท่ามกลางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานอสนีบาต ทันใดนั้นมีคนผู้หนึ่งกระโจนออกมาจากฝูงชน ในมือถือท่อนไม้ที่ไม่ทราบว่าไปเก็บมาจากที่ใด ฟาดลงตรงท้ายทอยของหัวหน้าคนพวกนั้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
พลั่ก! เสียงกระทบของวัตถุดังขึ้น กริชในมือของคนผู้นั้นหยุดชะงักห่างจากบั้นเอวของเจียงเสวียนจิ่นอยู่หนึ่งชุ่น [2] ร่างนั้นซวนเซเล็กน้อย หันหลังกลับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา
เจียงเสวียนจิ่นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยศีรษะมองตาม เห็นเพียงคนคลุมหน้าร่างเล็กกระจิริดถลึงตาจ้องมองหัวหน้าของกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวายด้วยดวงตาเรียวดุจเมล็ดซิ่งเหริน [3] เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ล้มลงจึงเงื้อมือฟาดซ้ำทันใด
ตุ้บ ผู้เป็นหัวหน้าประคองตัวไม่อยู่ ร่วงลงพื้นในที่สุด
หลี่ไหวอวี้ใช้เท้าเหยียบขยี้เขาอย่างไม่สบอารมณ์ ใช้การไม่ได้จริงๆ ไยจึงเคลื่อนไหวเชื่องช้าปานนี้ นางไม่รีบร้อนลงมือตั้งแต่แรกเนื่องเพราะหมายจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ผลคือคนผู้นี้แขนสั้น ซ้ำยังเคลื่อนไหวงุ่มง่าม เจียงเสวียนจิ่นเบี่ยงกายเลี่ยงจุดสำคัญไว้แล้ว ต่อให้แทงถูกก็ไม่อาจสังหารเขาได้
กระนั้นก็มิสู้นางมอบน้ำใจมนุษย์ให้
“เจ้า…” เจียงเสวียนจิ่นมองนางอย่างสับสน กำลังคิดจะเอ่ยปากถาม
หลี่ไหวอวี้ประสาทสัมผัสว่องไว ม่านตาหดลงเล็กน้อย เหวี่ยงท่อนไม้ในมือออกไปอย่างรุนแรง ฟาดโดนคนที่ถือเสียมเหล็กร่วงลงไปที่พื้น ทว่าคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่นางก็จนปัญญาจะจัดการแล้ว
“รีบไปขวางไว้!” นางผลักเจียงเสวียนจิ่น
เจียงเสวียนจิ่นถูกนางผลักจนเซถลาไปสองก้าว เขาไม่ทันคิดอันใดมากนัก จึงกระโดดข้ามหีบศพไปสู้กับคนคลุมหน้าที่กำลังทุบหีบศพอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“ท่านเจ้าเมือง!” แม่ทัพรักษาพระองค์ที่นำอยู่หน้าขบวนฝ่าวงล้อมเข้ามาพร้อมกำลังเสริม
เมื่อเห็นเจียงเสวียนจิ่นถูกล้อมไว้ก็ตกใจจนหน้าถอดสี ไม่รอช้าตะโกนขึ้นว่า “รีบคุ้มกันท่านเจ้าเมือง!”
หลี่ไหวอวี้อดกลอกตาใส่ไม่ได้ คิดในใจว่าเคราะห์ดีที่เจียงเสวียนจิ่นมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ จากความช่วยเหลือที่เชื่องช้าเช่นนี้ หากเจียงเสวียนจิ่นเป็นผู้ไร้ความสามารถ หีบศพคงจะได้เพิ่มจำนวนมาอีกหนึ่งหีบเป็นแน่
เมื่อเห็นสถานการณ์เลวร้ายลง กลุ่มคนคลุมหน้าเหล่านี้นับว่าไม่ขลาดเขลา รีบหามหัวหน้าของตนสู้รบไปพลางถอยทัพไปพลาง
“อ๊ะ ๆ พวกมันจะหนีไปแล้ว ปิดปากตรอกข้างหน้าไว้!” หลี่ไหวอวี้ร้องตะโกนเสียงดัง
เจียงเสวียนจิ่นหันมามองนาง ฟังออกในที่สุดว่าเป็นผู้ใด “เจ้านี่เอง”
หลี่ไหวอวี้ดึงผ้าคลุมหน้าลง ยิ้มตาหยี โบกมือให้เขา “เพียงไม่นานก็พบกันอีกแล้ว พวกเรามีวาสนาต่อกันโดยแท้”
เมื่อนึกถึงกิริยาอันไร้มารยาทของแม่นางผู้นี้ เจียงเสวียนจิ่นพลันขมวดคิ้ว
เขาไม่คิดว่านี่คือวาสนาอันใด กลับคิดว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้นี้ช่างวิปลาสเสียด้วยซ้ำ แววตาของนางสะท้อนอารมณ์ที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูด หากจะกล่าวว่าเกลียดชัง แต่นางกำลังยิ้มตาหยีอยู่แท้ๆ แต่กระนั้นหากจะกล่าวว่ารักใคร่ชื่นชม ก็ดูไม่คล้ายอย่างแน่นอน
นาง…รู้จักเขาหรือไม่
[1] เรียกอีกอย่างว่า หลิงฉือ เป็นวิธีการประหารที่มีมาตั้งแต่ยุคห้าราชวงศ์ โดยใช้มีดเฉือนเนื้อของนักโทษออกทีละชิ้นให้ทรมานและตายไปเอง
[2] หน่วยวัดของจีน ความยาวเป็น 1 ใน 10 ของฉื่อ หน่วยชุ่นจะใกล้เคียงกับหน่วยนิ้ว
[3] คือผลเอพริคอต