不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 3
月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน
นกแก้ว
แปล
— โปรย —
ที่สุดแล้วไม่ว่าเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ล้วนต้องการใครสักคนอยู่ข้างกาย
ฝูหลีเองก็เข้าใจข้อนี้ดี และดีใจที่ตนเองมีจวงชิงอยู่ข้าง ๆ
แต่ข่าวลือต่าง ๆ ที่ปรากฏในโลกออนไลน์กับในโลกผู้ฝึกตนนั่นมากไปหรือเปล่า
นี่เราเป็นแค่ ‘เพื่อนร่วมงาน’ และ ‘พี่น้อง’ กันเท่านั้นนะ
ทว่าสิ่งที่ถูกลือไปนั้นกลับเป็น ‘…’
แบบนี้แล้วจวงชิงจะไม่โกรธเกลียดจนตีตัวออกห่างเขาไปหรอกเหรอ
แต่ก็ไม่นี่…นอกจากไม่ออกห่างแล้วยังขยับมาใกล้ชิดมากเกินไปด้วยซ้ำ
ทั้งสองควรใส่ใจกับการจัดการเหล่าปีศาจมากกว่านี้นะ
ควรตั้งใจทำงานและใส่ใจสายตาของเพื่อนร่วมงานมากกว่านี้ด้วย
ทว่ามังกรทองตนนี้บทจะเอาจริงขึ้นมา เขาจะห้ามอีกฝ่ายได้ยังไงล่ะเนี่ย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 101
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฝูหลีลุกขึ้นยกจานไปวางบนชั้นวางจานใช้แล้วกับจวงชิง พอหันไปเห็นท่าทางหน้านิ่งไม่พูดไม่จาของจวงชิงแล้วฝูหลีก็เสนอไอเดีย “พวกเราไปเดินเล่นกันไหม”
กรมควบคุมซึ่งสวมฉากหน้าเป็นบริษัทมีสถานที่สำหรับให้พนักงานออกกำลังกายหลายแห่ง ถึงขนาดเคยมีสื่อชมว่าเป็นบริษัทที่มีสภาพแวดล้อมดีงามที่สุดในประเทศ ไม่รู้มีคนมากมายเท่าไหร่ที่พากันอิจฉาตาร้อนเมื่อได้เห็นสภาพหอพักของพนักงานฉางหลง
จวงชิงจ้องฝูหลีเงียบ ๆ ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ตอบรับ
ช่างเป็นปีศาจที่เอาใจยากเสียจริง
ฝูหลียื่นแขนไปพาดไหล่ชายหนุ่ม “ไปเถอะ ๆ ไหน ๆ ก็ยังเหลือเวลาพักเที่ยงอีกเกือบสองชั่วโมง พวกเราเดินไปคุยไปก็ได้”
“คุณจะคุยเรื่องอะไร” จวงชิงเดินไปข้างถนนเล็ก ๆ ท่ามกลางพื้นที่เขียวชอุ่ม เขาอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปี แต่น้อยครั้งที่จะมาเดินทอดน่องตรงนี้ เขาไม่เคยรู้สึกว่าวิธีการออกกำลังแบบเชื่องช้าน่าเบื่อนี้สนุกตรงไหน
“ก็คุยเล่นเรื่อยเปื่อย” ฝูหลีเตะ ๆ เท้า “อย่างเช่นเรื่องความรัก”
จวงชิงหัวเราะหึ ๆ “ทำไม ถูกคำพูดผีห้องน้ำแทงใจเหรอ”
ฝูหลีส่ายหน้า
“ปีศาจแต่ละตนต่างก็มีความปรารถนาไม่เหมือนกัน ปีศาจบางตนคิดว่าความรักสำคัญที่สุด บางตนคิดว่าวิถีธรรมสำคัญที่สุด บ้างก็เชิดชูพลังอำนาจ ขอแค่ไม่เป็นภัยต่อสังคม จะเลือกไขว่คว้าสิ่งใดก็ไม่ผิดทั้งนั้น” จวงชิงคิดกับตัวเอง เวลานี้เขาหวาดกลัวเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่อยากให้ฝูหลีเข้าใจในความรักมากกว่าใคร แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องว้าวุ่นเพราะเรื่องพวกนี้
จวงชิงหวังว่าสักวันอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าอะไรคือความรัก ไม่ใช่เพราะได้ยินคนอื่นพูดถึง แต่เพราะรู้สึกรักตัวเขาเอง
เขาเคยเห็นประโยคหนึ่งในหนังสือสักเล่มของมนุษย์ว่า ‘คนที่รับบทเป็นแม่พระ[1]ในความรักล้วนโง่เขลา’ ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจความรัก กระนั้นในใจก็ยังเห็นด้วยกับประโยคนั้น ทว่าเมื่อได้สัมผัสกับความรักแล้วเขาถึงเพิ่งเข้าใจ ไม่มีใครอยากเป็นแม่พระในความรัก เพียงแต่เพราะระมัดระวังกับความรักนั้นเกินไปจนไม่อาจทนเห็นเรื่องไม่คาดหมายใด ๆ เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายได้เท่านั้น
โชคดีที่ชีวิตเขายืนยาวพอ สักวันฝูหลีจะเข้าใจ
“คุณพูดมีเหตุผล” ความอึดอัดในใจฝูหลีหายเป็นปลิดทิ้งหลังได้ฟังคำพูดจวงชิง เขาเห็นในสนามบาสมีเด็กวัยรุ่นสองสามคนกำลังเล่นบาสอยู่ เล่นไปเล่นมาก็เปลี่ยนคืนร่างเดิมล้มกลิ้งขลุก ๆ จากนั้นลูกกวางซิก้าตัวหนึ่งก็แอบจูบปากสิงโตน้อย
“แค็ก ๆ” ฝูหลีเบือนหน้าหนี ปีศาจเด็ก ๆ สมัยนี้ก็เริ่มมีความรักก่อนวัยกันแล้ว?
“คุณเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ผมฟังแล้วกัน เช่นเรื่อง…สัตว์เลี้ยงมนุษย์คนนั้น” จวงชิงก้มหน้ามองพื้น “คุณพูดถึงสัตว์เลี้ยงนั่นต่อหน้าผมหลายครั้งแล้ว เขาสำคัญกับคุณมากเหรอ”
“เขาเป็นสัตว์เลี้ยงคนแรกที่ผมเลี้ยง และเป็นคนสุดท้าย” ฝูหลีนึกไปเอ่ยไป “เขาเป็นมนุษย์ที่น่ารักพอสมควร ทำอาหารเป็น เขียนอักษร วาดภาพ เล่าเรื่อง เดินหมาก เขาทำเป็นหลายอย่างมาก ผู้เฒ่าวานรขาวบอกว่าเขาเป็นประเภทที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมในหมู่มนุษย์ด้วยกัน”
จวงชิงยื่นมือเด็ดใบไม้จากต้นไม้ประดับมาขยำ “เขาเก่งขนาดนั้น คุณเลยชอบเขามาก?”
“อืม ชอบมากทีเดียว” ฝูหลีเห็นสีหน้าเครียดขรึมของจวงชิงก็รีบถาม “คุณอยากเลี้ยงมนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงเหรอ”
จวงชิงทำหน้าเย็นชา “แล้วผมเลี้ยงไม่ได้เหรอ”
“ก็ไม่ได้น่ะสิ กฎหมายโลกมนุษย์ปัจจุบันห้ามซื้อขายกักขังหน่วงเหนี่ยวมนุษย์ มันผิดกฎหมายนะ” ฝูหลีเกลี้ยกล่อมอย่างร้อนใจหวังให้จวงชิงล้มเลิกความคิดเหลวไหลนี้ “คุณจะทำผิดกฎหมายทั้ง ๆ ที่รู้ไม่ได้”
“เปล่า ผมไม่ได้อยากจะเลี้ยงมนุษย์คนอื่น” จวงชิงโยนใบไม้ที่ถูกขยำเละในมือทิ้งลงพื้น ก่อนจะพูดเสียงเบาหวิว “แต่ผมเคยคิดว่าจะเลี้ยงกระต่ายยังไง”
“กระต่ายดีนะ” ฝูหลีพยักหน้า “ขนปุยทั้งตัวและน่ารักด้วย”
จวงชิงหันหน้ามองฝูหลี “ผมก็คิดอย่างนั้น”
ฝูหลีชะงัก จากนั้นถึงรู้ตัว “นี่คุณจงใจแหย่ผมเหรอ”
จวงชิงยื่นมือไปลูบหัวอีกฝ่าย “ดูท่าก็ไม่ได้โง่นี่”
“ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ใครโง่กัน” ฝูหลีจะลูบกลับแต่จวงชิงเอนตัวหลบ ฝูหลีเลยลูบได้แต่อากาศ “มังกรน้อยจวง ผมไม่ใช่กระต่าย แต่เป็นโห่วผู้น่าเกรงขามต่างหาก เข้าใจหรือเปล่า”
จวงชิงอมยิ้ม “โห่วที่เหมือนกระต่ายน่ะเหรอ”
ฝูหลีรู้สึกเหมือนความน่าเกรงขามของการเป็นจอมปีศาจกำลังถูกท้าทายจึงถกแขนเสื้อตั้งท่าจะจัดการจวงชิง ซึ่งชายหนุ่มก็หันหลังวิ่ง
สองคนวิ่งไล่กันบนผืนหญ้า
ชิงซวีซึ่งเดินออกมาจากโรงอาหารเห็นฝูหลีกับจวงชิงวิ่งไล่จับกันข้างนอกก็ออกอาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็น ‘เกมวิ่งไล่จับ’ ระหว่างเจ้านายกับพี่ฝู นี่มัน…น่ากลัวเกินไปแล้ว
“ดูอะไรน่ะ” ฉู่อวี๋เห็นชิงซวียืนนิ่งอึ้งก็ตบบ่าอีกฝ่ายปุ ๆ “เป็นเบื้อไปแล้ว?”
“เจ้านายกับพี่ฝู…” ชิงซวีไม่รู้ว่าควรเล่าเรื่องที่ตนเห็นในวันนั้นให้ฉู่อวี๋ฟังดีหรือเปล่า ถึงแม้ฉู่อวี๋จะเป็นปลา ส่วนเขาเป็นมนุษย์ แต่ฉู่อวี๋ก็มีฐานะเป็นผู้อาวุโสในสำนักพวกเขา แม้แต่เจ้าสำนักยังต้องคำนับอย่างนอบน้อมต่อหน้าฉู่อวี๋ในฐานะผู้อ่อนอาวุโส
“คนโง่เพราะความรักล้วนเป็นแบบนี้แหละ ทำตัวให้ชินซะ” ฉู่อวี๋พูดอย่างสงบนิ่ง “นายที่วัน ๆ อยู่แต่ในสำนักเต๋าจะไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ชิงซวี “…”
“ถ้านายมีเวลาดูพวกเขาเล่นอะไรไร้สาระแบบนี้ ไม่สู้ไปฝึกเขียนยันต์ไป ไม่ใช่ว่าฉันชอบบ่นนายหรอกนะ ลองดูตอนนายไปขอฝนที่มณฑลฉงซานสิ เรียกเป็นชั่วโมงสองชั่วโมงกว่าจะเรียกฝนมาได้ รุ่นพี่ในสำนักเมื่อก่อนพวกนั้นเก่งกว่าพวกนายเยอะ”
ชิงซวีรีบตอบ “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ข้าจะขยันฝึกฝนเพื่อไม่ให้สำนักเราเสียชื่อเด็ดขาด”
“มีความตั้งใจอย่างนี้ก็ดี” เมื่อสอนชิงซวีเสร็จ ฉู่อวี๋ก็เดินอาด ๆ ไปทางสนามหญ้า ก่อนจะไปหลบหลังพุ่มไม้ หยิบมือถือออกมาถ่ายรูปผู้ชายสองคนที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่ไกล ๆ
จุ๊ ๆ ๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้านายจะเป็นแบบนี้ ช่างทำเอาคนทนดูไม่ได้จริงๆ
“ฉู่อวี๋ไปหลบทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ” ฝูหลีเหลือบมองฉู่อวี๋ที่หลบหลังต้นไม้ “ร่างกายกำยำล่ำสันขนาดนั้น คิดว่าหลบหลังต้นไม้แล้วคนจะมองไม่เห็นเหรอ เจ้าปลาตัวนี้นี่ดูละครมากไปหรือไง”
“ไม่ต้องสนเขา สมองปลาน่ะ…” จวงชิงปรายตามองไปทางที่ฉู่อวี๋หลบอยู่อย่างเย็นชา “คุณก็รู้”
“นั่นสินะ” ฝูหลีพยักหน้าอย่างเห็นใจ
สมองของปลาไม่ค่อยดีจริง ๆ นั่นแหละ
หลังจากเฝยเว่ยถูกจวงชิงส่งไปอยู่เขาไท่หัว กรมควบคุมก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ไม่มีจอมปีศาจปรากฏตัว ไม่มีปีศาจน้อยออกมาป่วน ทุกคนนอกจากกำจัดผีไม่ก็เรียกฝนแล้ว เวลาที่เหลือก็ได้แต่ดูละครเล่นเกมด้วยความว่าง
อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวเย็นลงแล้ว ทว่าเนื่องจากเจ้าหน้าที่ในกรมควบคุมเป็นผู้ฝึกตนทั้งสิ้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องทำความร้อน ทุกคนนอนพาดตัวกับโต๊ะอย่างเกียจคร้าน รอให้ถึงเวลาเลิกงาน
จางเคอคลิกคลิปวิดีโอชื่อ ‘เจ้าของสัตว์เลี้ยงยอดกตัญญู’ ดูอย่างเบื่อ ๆ ภาพในคลิปค่อนข้างสั่น แถมยังมีเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์หนวกหู ในภาพเป็นผู้ชายใส่สูทกำลังอุ้มสุนัขเดินบนถนนอย่างไม่เร่งไม่ร้อน โอ๋สุนัขราวกับลูกในไส้
จนกระทั่งกล้องซูมเข้าไปใกล้ ๆ จางเคอก็กระอักกระอ่วนขึ้นมา เขาหันหลังลอบมองฝูหลี ไม่รู้คลิปนี้ถ่ายไว้เมื่อไหร่ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเจ้านายกำลังอุ้มพี่ฝูในร่างเดิม
“ดูอะไรอยู่น่ะ” สวีย่วนยื่นหน้ามาส่องก่อนสูดหายใจเฮือก
“ชู่…” จางเคอกลัวเสียงของสวีย่วนจะเรียกความสนใจจากฝูหลี เขาส่งลิงก์คลิปให้สวีย่วน
สวีย่วนเปิดคลิปแล้วใส่หูฟัง ทันทีที่ได้ยินประโยค ‘เพราะชอบเลยทำใจเห็นเขาลำบากไม่ลง’ สวีย่วนก็ยกมือปิดปาก คิดไม่ถึงว่าเจ้านายที่ยามปกติทั้งขี้งกทั้งเย็นชาจะมีด้านนี้ด้วย
หรือนี่คือที่เขาเล่าลือกันว่าชายชาตรีก็มีมุมอ่อนโยนเมื่อมีความรัก…
“มีเรื่องใหม่เข้ามา” หวงช่านก้าวยาว ๆ เข้ามา จากนั้นแปะรูปถ่ายในมือลงบนบอร์ด “ทุกคนรีบมาดูเร็ว”
ทุกคนหันไปดูบอร์ดแล้วก็ต้องตกตะลึงกับภาพทุ่งนาสีทองอร่ามยามฤดูใบไม้ร่วง
“รูปสวยจัง อุดมสมบูรณ์มากเลย” จางเคอถามอย่างไม่เข้าใจ “รูปพวกนี้มีปัญหาตรงไหนอะ”
“พวกนายรู้ไหมว่ารูปพวกนี้ถ่ายเมื่อไหร่ ถ่ายที่ไหน” สีหน้าหวงช่านจริงจัง “ที่นาเล็กๆ ตรงชานเมือง เมื่อคืนอยู่ดีๆ ก็มีต้นข้าวท้องแก่โผล่ขึ้นมาเยอะขนาดนี้ในระยะเวลาคืนเดียว ตอนนี้นักท่องเที่ยวแห่ไปดูทุ่งนานั่นกันเต็ม บอกว่าเป็นปาฏิหาริย์”
“เมื่อคืนหิมะตกไม่ใช่เหรอ” จางเคอเข้าไปดูรูปใกล้ ๆ อย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ ต้นข้าวเหล่านี้เมล็ดอวบสมบูรณ์ สีทองอร่ามไปทั้งผืน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนภาพมายาที่ปีศาจสร้าง แต่ถ้าไม่ใช่ภาพมายา แล้วใครกันที่เบื่อขนาดยอมถูกกรมควบคุมจับก็ขอให้ได้เล่นพิเรนทร์แบบนี้
“นี่มันก็ไร้สาระเกินไป” สวีย่วนอดพูดไม่ได้ “แต่ว่าก็ว่านะ เป็นพลังที่น่าสนใจไม่เลวเชียว ถ้าตลอดปีเก็บเกี่ยวได้อุดมสมบูรณ์ทั้งสี่ฤดูละก็ นั่นสิถึงเรียกว่าสุดยอดปาฏิหาริย์”
“รีบหยุดข่าวลือเรื่องนี้ก่อนเถอะ” แม้นิสัยหลินกุยจะค่อนข้างเฉื่อยชา ทว่าเขาเป็นคนที่คิดอ่านได้รอบคอบ “ถ้าเรื่องลุกลามใหญ่โต ยิ่งพูดกันไปมันจะยิ่งเหลือเชื่อไปกันใหญ่ พวกเรากำหนดทิศทางเรื่องนี้กันก่อน เดี๋ยวพวกเชื่อในวิทยาศาสตร์บนอินเทอร์เน็ตพวกนั้นก็ช่วยคิดเหตุผลที่สมบูรณ์แบบต่าง ๆ ให้พวกเราเองแหละ”
“งั้นบอกว่ามีคนขโมยข้าวเปลือกจากศูนย์วิจัยทางการเกษตรสักที่แล้วจงใจปลูกตรงพื้นที่ที่มีหิมะ จะได้เรียกความสนใจจากทุกคนเป็นไง” สวีย่วนคิด “แล้วเน้นว่าการวิจัยข้าวนี้มีความสำคัญมากขนาดไหน การเล่นแผลง ๆ ครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเทคโนโลยีกับเศรษฐกิจมากแค่ไหน”
“อันนี้ก็ดีนะ ยังไงพวกชาวเน็ตก็ถนัดเรื่องมโนกันที่สุดอยู่แล้ว แค่คำชี้แจงง่าย ๆ สักอย่าง พวกเขาก็คิดเรื่องราวบุญคุณความแค้นเป็นตุเป็นตะกันได้นับไม่ถ้วน” หลินกุยเห็นด้วยกับวิธีของสวีย่วน “ตกลงทำตามนี้แล้วกัน รีบส่งไปให้แผนกสารสนเทศและประชาพิจารณ์เอาข้อมูลนี้ไปปล่อยซะ”
“ส่วนเรื่องที่เหลือ…” หลินกุยหาว “ฉันเป็นเต่าไม่เหมาะจะออกไปข้างนอกตอนหน้าหนาว พวกนายใครจะเป็นคนไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ”
“ฉันกับฝูหลีไปเอง” จวงชิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตรงบ่ายังมีเศษหิมะที่ยังละลายไม่หมดเกาะ เขาหยิบรูปจากบนบอร์ดมาดูหนึ่งรูปแล้วพูดกับฝูหลี “คุณมากับผม”
“ได้” ฝูหลีหยิบผ้าพันคอจากลิ้นชักสองผืนแล้วเดินตามจวงชิงออกไป
เมื่อทั้งสองคล้อยหลังไป คนอื่น ๆ ถึงหันมามองทางหลินกุยด้วยแววตาเลื่อมใส สมกับเป็นพี่เต่าผู้ละเอียดรอบคอบ คำนวณได้กระทั่งว่าเจ้านายกำลังจะมา
อะไรคือเต่าไม่เหมาะจะออกไปข้างนอกตอนหน้าหนาว ฝึกบำเพ็ญตบะตั้งกี่ปีมาแล้วยังจะกลัวอะไรกับหิมะหน้าหนาวอีกเล่า
เมื่อออกจากกรมควบคุม ฝูหลีก็ยื่นผ้าพันคอส่งให้จวงชิง “อันนี้ให้คุณ”
“ผมไม่ต้องใช้” จวงชิงปฏิเสธ
“ข้างนอกคนเขาพันอันนี้กัน พวกเราก็ต้องหลิ่วตาตามด้วยสิ” ฝูหลีพันผ้าพันคอให้จวงชิง “ไป ไปสถานีรถไฟใต้ดินกัน”
ผู้คนเนืองแน่นในสถานีรถไฟใต้ดิน เนื่องจากฝูหลีกับจวงชิงใช้ผ้าพันคอปิดใบหน้าครึ่งล่างจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าพวกเขาสองคนคือ ‘ประธานจวงกับคุณผู้ช่วย’ ที่เคยโด่งดังในโลกออนไลน์
หลังออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ทั้งสองนั่งรถเมล์ต่อไปอีกสักพักกว่าจะถึงด้านนอกฟาร์มเล็ก ๆ พวกเขาย่ำไปบนพื้นที่ที่มีหิมะตกสะสมจนแน่น ฝูหลีมองไปยังกลุ่มคนที่ต่อคิวยาวเฟื้อยเป็นมังกรแล้วกระซิบกับจวงชิง “เรื่องความกระตือรือร้นในการมุงดูเรื่องสนุกนี่ ยังไงก็ต้องยกให้มนุษย์เป็นที่สุดจริง ๆ”
ทั้งสองไม่ได้เข้าไปมุงด้วย รอจนกระทั่งคนจากทางตำรวจมาถึงก็ใช้เหตุผลเรื่องข้าวเปลือกถูกขโมยจากศูนย์วิจัยเพื่อไล่กลุ่มคนมุงออกไป มีหลายคนไม่ยอมไปเลยต้องใช้เวลาเกือบสองสามชั่วโมงกว่าจะไล่ฝูงชนไปหมด
ครั้นฝูหลีกับจวงชิงเดินเข้าไปในฟาร์มก็เห็นบรรดาตำรวจรักษาการณ์บ้างยืนบ้างนั่งยองประคองกล่องอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อย อากาศหนาวขนาดนี้เอาข้าวกล่องออกมาไม่ทันไรก็เย็นชืดแล้ว ทว่าคนเหล่านี้กลับไม่รังเกียจและยังคงกินอย่างอร่อยเช่นเดิม
“หัวหน้าทั้งสอง รอบด้านถูกกั้นไว้หมดแล้วครับ” ตำรวจผู้รับผิดชอบคดีได้รับข่าวตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าทางเบื้องบนจะส่งคนมาจัดการเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นจวงชิงกับฝูหลีจึงเดาฐานะของทั้งสองคนออก
เขาหยิบรูปถ่ายมุมสูงจำนวนหนึ่งส่งให้จวงชิงกับฝูหลี “นี่เป็นรูปที่ถ่ายจากโดรนครับ ทุ่งนาครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดเกือบสองหมู่[2]”
จวงชิงรับรูปถ่ายมาดูแล้วหันไปมองทุ่งข้าวสีทองอร่ามท่ามกลางผืนหิมะ จากนั้นพูดกับตำรวจผู้รับผิดชอบคดี “ลำบากเพื่อนตำรวจทุกท่านแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ” ตำรวจผู้รับผิดชอบคดียิ้ม ครั้นเห็นจวงชิงกับฝูหลีเดินเข้าไปในทุ่งนาก็ไม่ได้ตามเข้าไปด้วย งานของเขาคือดูแลพื้นที่ที่เกิดเหตุให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนเรื่องอื่น ๆ เขาไม่จำเป็นต้องยุ่มย่ามมาก
ได้ยินว่าข้าวเปลือกพวกนี้ถูกขโมยมาจากศูนย์วิจัย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะส่งผลกระทบกับการทดลองหรือเปล่า
“บนข้าวเปลือกพวกนี้มีพลังวิญญาณบางเบา แต่ไม่เท่ากับข้าวทิพย์ที่สำนักเถียนหยวนปลูก” ฝูหลีเด็ดข้าวเปลือกสองสามเมล็ดมาตรวจสอบพร้อมกับดมกลิ่นหอมจาง ๆ ของข้าวเปลือก พลางรู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดยิ่งนัก
“ข้าวพวกนี้ไม่เหมือนใช้วิชาเคลื่อนย้ายย้ายมาตรงนี้เหมือนกัน” จวงชิงถอนต้นข้าวออกมาทั้งรากซึ่งหยั่งลึกและแข็งแรงมาก “ได้ยินทางตำรวจพูดว่า ที่นาผืนนี้เมื่อก่อนปลูกข้าวไว้จริง หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วเจ้าของฟาร์มเกิดล้มละลาย ต้นกล้าข้าวจึงไม่มีใครมาเก็บและถูกปล่อยให้แห้งเหี่ยวอยู่ในนา แถมน้ำในนาก็แห้งแล้ว”
ทั้งสองเหยียบย่างบนผืนนาแฉะลื่น ฝูหลีกวาดตามองรอบ ๆ “ยิ่งเข้าไปตรงกลางพลังวิญญาณก็ยิ่งแรง บางทีตรงกลางอาจมีอะไรอยู่”
สองคนมองตากัน ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปตรงกลางแปลงนา อย่างไรก็ตาม นอกจากรวงข้าวที่หนักจนต้นงอแล้วก็ไม่พบปีศาจตนใด
“ตรงนั้นมีอะไรสักอย่างอยู่” จวงชิงแหวกต้นข้าว เอามือคลำหาบนพื้นสักพัก ก่อนจะหยิบเส้นขนสีเขียวครามขึ้นมาจำนวนหนึ่ง เส้นขนที่วางอยู่บนฝ่ามือจวงชิงแผ่รัศมีสีทองจาง ๆ
จวงชิงกำมือแน่นสะกดพลังวิญญาณบนเส้นขนสีเขียวครามไว้ในฝ่ามือ จากนั้นเมื่อลมพัดโชยจนได้กลิ่นหอมของดอกข้าว รวงข้าวที่เมื่อครู่ไม่ว่าจะเขย่าอย่างไรก็ไม่ร่วงสักเมล็ด ยามนี้เมล็ดข้าวสีทองกลับร่วงหล่นด้วยแรงลมสองสามเมล็ด
จวงชิงขมวดคิ้ว แค่เส้นขนเพียงไม่กี่เส้นก็ทำให้ข้าวงอกงามได้มากมายขนาดนี้ ต้องเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน
ระหว่างที่เขาใจลอย มืออบอุ่นข้างหนึ่งก็พยายามแบมือเขา พอได้สติก็เห็นฝูหลีตั้งหน้าตั้งตาแงะมือเขาออก
ฝูหลีหยิบขนสามเส้นนั้นขึ้นมาจ้องอยู่นาน ก่อนจะพูดพลางทำท่าครุ่นคิด “กลิ่นอายบนขนสามเส้นนี้ผมน่าจะเคยได้กลิ่นมาก่อน”
แต่เขาออกจากภูเขาน้อยครั้งมากจึงไม่รู้ว่าเคยได้กลิ่นที่ไหนกันแน่ เหล่าผู้อาวุโสบนเขาก็ไม่ได้มีกลิ่นแบบนี้ หรือว่าเป็นปีศาจที่เคยมาเป็นแขกบนบรรพตเงาหมอกสักตน ในความทรงจำของเขา บรรพตเงาหมอกต้อนรับแขกน้อยมาก ปีศาจที่มาบรรพตเงาหมอกได้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้มีศีลธรรมจรรยาดีงาม เสียดายที่ตอนนั้นเขาติดเล่นมากไปเลยไม่ค่อยชอบไปรับแขกกับพวกผู้ใหญ่
“แต่ว่าผมนึกไม่ออก” ฝูหลีคอตก ตอนเด็ก ๆ ทำไมเขาถึงห่วงเล่นขนาดนั้น ไม่หัดรู้ความและเชื่อฟังสักหน่อย
“ไม่เป็นไร” จวงชิงเก็บขนสามเส้นใส่กล่องหยก “ไม่ใช่ความผิดคุณ ผมเองก็ไม่รู้ว่านี่คือขนอะไร ทว่ามีปีศาจสองตนที่พวกเราไปถามได้”
“ใคร”
“คุนเผิงกับกงฟู่”
คุนเผิงกับกงฟู่กำลังนั่งขัดสมาธิบนพรมนุ่มเผชิญหน้ากับสายตาเร่งร้อนของเด็กสองคน
ปีศาจสองตนมองตากัน สุดท้ายเป็นกงฟู่ที่เอ่ยปากขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรว่ามาเถอะ”
“ผู้น้อยมีเรื่องอยากจะถามท่านทั้งสอง” จวงชิงวางกล่องหยกตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง “ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองรู้หรือไม่ว่านี่คือขนของปีศาจตนใด”
กงฟู่หยิบกล่องหยกขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะส่งต่อให้คุนเผิงด้วยสีหน้าปกติ
คุนเผิงมีปฏิกิริยามากกว่ากงฟู่มาก มันกัดฟันกรอดขณะจ้องขนข้างในแล้วหัวเราะเสียงเย็น “ข้าต้องรู้แน่นอน”
“เช่นนั้น…เป็นใครขอรับ” ฝูหลีเอ่ยคำถามออกมาอย่างใจกล้าต่อหน้าสีหน้าบิดเบี้ยวของคุนเผิง
คุนเผิงโยนกล่องหยกลงพื้นแล้วไม่ยอมพูดอะไร
กงฟู่หัวเราะทีหนึ่งแล้วปิดฝากล่องหยก “หากข้าเดาไม่ผิด นี่คือขนของตังคัง”
“ตังคังเป็นสัตว์มงคล ตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ แค่มีมันอยู่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องผลผลิตไม่ดีตลอดกาล ด้วยเหตุนี้ไม่เพียงแต่มนุษย์ กระทั่งปีศาจมากมายต่างพากันเซ่นไหว้มัน ทว่าตังคังหายตัวไปสี่พันกว่าปีแล้ว ตำนานเกี่ยวกับมันในหมู่มนุษย์ก็แทบจะสูญหายไปหมด และไม่ค่อยมีใครเซ่นไหว้มันแล้ว” กงฟู่วางกล่องหยกคืนใส่มือจวงชิง “ข้าคิดว่ายามนี้ตังคังน่าจะปรากฏตัวแล้วละ”
“ตังคัง…ปรากฏตัวหรือขอรับ” ฝูหลีอึ้งงันก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตังคังปรากฏตัวจริง ๆ หรือ”
กงฟู่ประหลาดใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นเกินไปของฝูหลี กระนั้นเขาก็ไม่ได้ถามมากอย่างเข้าใจและพยักหน้าตอบ “น่าจะใช่ หรือไม่ก็มีปีศาจได้ขนตังคังมาแล้วเผลอทำหล่นหาย”
ครั้นได้ยินการคาดเดาอย่างหลัง สีหน้าฝูหลีพลันสลดลง ทว่าก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณใต้เท้าทั้งสอง ข้ารู้แล้ว”
เขานึกออกแล้วว่าเคยได้กลิ่นอายนั้นจากไหน
เมื่อสามพันกว่าปีก่อน ระหว่างที่เขาเล่นกับปีศาจน้อย ได้แอบเข้าไปซ่อนในถ้ำของราชันกังเลี่ย จากนั้นก็ได้กลิ่นนี้เข้า ตอนนั้นราชันกังเลี่ยบอกว่าเป็นกลิ่นที่หลงเหลือของแขก ซึ่งแขกผู้นั้นได้กลับไปแล้ว
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก บวกกับภายหลังก็ไม่เคยได้กลิ่นนี้อีกเลย เรื่องนี้จึงค่อยๆ เลือนหายจากความทรงจำ
ทว่าเมื่อเขาสงสัยว่าราชันกังเลี่ยก็คือสัตว์มงคลตังคัง ก็พบว่าเรื่องนี้น่าสงสัย เพราะกลิ่นอายของแขกผู้นั้นมีแค่ในถ้ำของราชันกังเลี่ยเท่านั้น เขาไม่เคยได้กลิ่นจากที่อื่น ๆ เลย
หรือว่า…ราชันกังเลี่ยเจตนาปกปิดตัวตนแล้วใช้ชีวิตบนบรรพตเงาหมอกในฐานะปีศาจหมูป่าธรรมดา
แต่ทำไมเขาต้องปิดบังเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ
ฝูหลีเดินเหม่อเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พี่จู๋เยว่ ราชันกังเลี่ย ผู้เฒ่าวานรขาว ผู้เฒ่าเสือขาว ผู้เฒ่าแพะขาว กับปีศาจตนอื่นๆ บนภูเขา หรือว่าพวกเขาต่างก็ปกปิดตัวตนด้วยเช่นกัน
พวกเขากำลังหลบซ่อนอะไร
ทันใดนั้นเขาก็หยุดเท้าแล้วหันไปมองท้องฟ้ามืดครึ้มนอกหน้าต่าง
สวรรค์! หรือว่าพวกเขากำลังหลบสวรรค์
“ระวัง!” จวงชิงยื่นมือรวบบ่าฝูหลี “เวลาเดินก็ต้องมองทางสิ คุณเป็นโห่วนะ ไม่ใช่หนู ตามองเห็นได้แค่นิ้วเดียวหรือไง”
“มังกรน้อยจวง” ฝูหลีมองจวงชิงพลางพูดเสียงแผ่ว “ก่อนหน้านี้ผมเดาไว้ไม่ผิด ที่แท้ผมเป็นลูกปีศาจรวยที่ร้ายกาจสุดยอดจริง ๆ ด้วย”
จวงชิงโอบฝูหลีเดิน “อย่างนั้นท่านลูกปีศาจรวยจะช่วยเห็นแก่หน้าปีศาจเศรษฐีรุ่นแรกที่สร้างเนื้อสร้างตัวเองกับมือโดยการตั้งใจเดินดี ๆ ได้หรือเปล่า”
[1] เป็นฝ่ายให้อย่างเดียวในความสัมพันธ์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
[2] 1 หมู่ = 666.67 ตารางเมตร