不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 1
月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน
นกแก้ว
แปล
— โปรย —
โลกมนุษย์ยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นทุกที
แต่คนเป็นมนุษย์เองกลับไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง
ก็ใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าความแปรปวนปั่นป่วนของท้องฟ้า ทะเล อากาศจะเกี่ยวข้องกับปีศาจได้
ถ้า ‘ฝูหลี’ ไม่เริ่มเดินทางมาอยู่ในเมืองหลวงของมนุษย์อย่างจริงจัง
บางทีเขาเองก็คงไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน และเรื่องนี้ก็จะเป็นความลับต่อไป
แต่ในเมื่อวันนี้เขามาแล้ว แถมยังมาเพราะมีความคิดอยากลองรับราชการดูอีกด้วย
ปีศาจแก่เฒ่าเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนบอกว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
แต่เขากลับไม่ลดละความพยายาม จนกระทั่งได้รับโอกาส
ทว่า…โอกาสที่ว่านี้ไม่ใช่ได้รับราชการกับพวกมนุษย์หรอกนะ
แต่เขาต้องไปช่วยปราบปีศาจน่ะ
ก็แหม ใครใช้ให้เขาแสดงฝีมือซะจนใครเห็นก็ต้องเรียกเขาว่า ‘ลูกพี่’ ล่ะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4
หน้าตาแปลกประหลาดของปีศาจร้ายท่ามกลางความมืดสลัวในตรอกที่มีเพียงแสงจันทร์ให้ความสว่างยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้กับมันอย่างเห็นได้ชัด จางเคอกระอักเลือดติดต่อกันสองครั้ง เมื่อมองดูแขนขาเล็กเรียวของฝูหลีที่ยืนอยู่ตรงหน้า ในใจพานเกิดความรู้สึกสิ้นหวัง คิดไม่ถึงว่าศิษย์ดีเด่นแห่งสำนักชิงเซียวอันเกรียงไกรจะมาตายในตรอกซอมซ่อนี่ มิหนำซ้ำหลังตายยังต้องถูกปีศาจร้ายควักหัวใจ
ไม่สิ เขากันฝูหลีไว้ข้างหลังไม่ใช่เหรอ ทำไมพริบตาเดียวอีกฝ่ายถึงวิ่งมาข้างหน้าเขาได้ล่ะ
นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังคิดจะเล่นบทฮีโร่อีก?
“อย่าฝืนเลย กระอักเลือดเป็นถ้วยขนาดนั้น แค่ยืนก็เหนื่อยแล้ว” ฝูหลีหันมามองจางเคอแล้วชี้ไปที่บันไดหินแถวนั้น “นั่งลงไม่ดีกว่าเหรอ”
นั่งกับผีสิ ชีวิตจะหาไม่อยู่แล้วยังจะนั่งอะไรอีก
จางเคอโมโหจนพ่นเลือดอีกรอบ เจ้าปีศาจน้อยนี่รู้จักหรือเปล่าเนี่ยว่าอะไรคืออันตราย
ขณะเขากำลังคิด จู่ ๆ ปีศาจร้ายเบื้องหน้าก็เปลี่ยนมือเป็นกรงเล็บ เล็บแหลมคมพุ่งเข้าหาหน้าอกฝูหลีด้วยความเร็วชนิดไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียง “อะ”
วินาทีถัดมาเขาพลันรู้สึกตัวเบาโหวง เข็มขัดถูกอะไรบางอย่างเกี่ยวขึ้นไป ได้สติอีกที ตัวเองก็ยืนอยู่บนกำแพงแล้ว
“พวกมนุษย์ทางนี้เขารณรงค์กันให้คิดใหม่ทำใหม่เพื่อสร้างสังคมอารยะ การลงมือโดยไม่พูดสักคำไม่ค่อยสอดคล้องกับหลักเกณฑ์นี้นะ” ฝูหลีหิ้วจางเคออย่างกับหิ้วลูกเจี๊ยบ
จางเคอก้มมองกำแพงกระง่อนกระแง่นใต้เท้าแล้วก็ไม่กล้าขยับมาก กลัวทำกำแพงถล่มขึ้นมา กลับไปเขาจะโดนเอ็ดเอา
ช่างเถอะ เวลานี้ขอแค่รอดกลับไปให้ถูกเอ็ดได้ก็ถือเป็นบุญชีวิตแล้ว พอคิดถึงตรงนี้เขาก็ใช้หลังมือเช็ดเลือดตรงมุมปาก ควักยันต์กำหนึ่งออกมาจากอกเสื้อพร้อมพูดกับฝูหลี “นายไปเรียกคนมาช่วยซะ ฉันจะอยู่นี่ขวางมันไว้”
ฝูหลีเหลือบมองยันต์ในมือจางเคอ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่ใช้อักษรย่อ แม้แต่ยันต์ก็ใช้อักษรย่อกันแล้วเหรอ ทำไมไม่วาดให้มันครบ ๆ แบบนี้จะเหลืออานุภาพสักเท่าไหร่กัน
มิน่า คำขวัญของมนุษย์สมัยนี้คือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างชาติเจริญ ขนาดผู้บำเพ็ญเพียรจะวาดยันต์ยังแอบขี้เกียจแบบนี้ เวลาเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ จะพึ่งพาพวกเขาได้ยังไง
“ผมไม่มีคนให้เรียกหรอก” ฝูหลีโยนจางเคอไปข้างนอกกำแพงแล้วก้มหน้าพูดกับเขา “คุณไปตามคนมาช่วยเถอะ ที่นี่ให้ผมรับมือเอง”
“ห้ามไปไหนทั้งคู่นั่นแหละ” จูเยี่ยนเห็นว่าทั้งคู่กล้าไม่เห็นตนอยู่ในสายตาก็บินขึ้นมาพุ่งเป้าเอาชีวิตฝูหลีทันที
ฝูหลีเห็นอีกฝ่ายเข้ามาก็ตีลังกาลงจากกำแพง ก่อนจะยกจางเคอขึ้นด้วยมือเดียว “ช่างเถอะ พวกเราหนีไปด้วยกันแล้วกัน”
ได้ยินคำว่า ‘หนี’ จางเคออ้าปากก่อนจะถูกอัดด้วยลมเต็มปากทันที เขาโดนหิ้วกระโดดไปกระโดดมาแบบนี้แล้วรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นพู่ห้อยบนตัวฝูหลีชอบกล แถมความเร็วยังทำเอาเขาแทบอ้วก
ร่างเดิมของฝูหลีนี่เป็นกระต่ายหรือไง ถึงได้กระโดดเร็วนัก
ทุกครั้งที่ปีศาจร้ายไล่ตามจะถึงตัวพวกเขา ฝูหลีก็หลบการโจมตีได้ทันเฉียดฉิวพอดี จางเคอที่ร้องเสียงหลงในตอนแรก หลัง ๆ ก็เริ่มเงียบเสียง ข้างหูเขามีแต่เสียงลมพัดหวีดหวิว พระจันทร์เสี้ยวส่องกระจ่างอยู่เหนือหัว จางเคอไม่เคยกลัวตายเหมือนอย่างเวลานี้มาก่อนในชีวิต
ตอนที่จางเคอนึกว่าฝูหลีจะวิ่งหนีต่อไปเรื่อย ๆ อีกฝ่ายกลับหยุดแล้วโยนจางเคอลงพื้น
จางเคอที่นอนหมอบบนพื้นเย็นเฉียบยกหัวมองไปด้านหลังรอบ ๆ เขาอยู่ริมลำธารที่ค่อนข้างสกปรกสายหนึ่ง รอบด้านเป็นพื้นที่รกร้าง ดีเลย อย่างน้อยหากพวกเขาตายที่นี่จะได้ไม่สร้างความตื่นตระหนกให้มนุษย์ทั่วไป
“หนีสิ ทำไมไม่หนีต่อล่ะ”
เสียงปีศาจร้ายไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ ทั้งยังติดสำเนียงท้องถิ่น ในเวลานี้ในหัวจางเคอคิดว่า นี่ไม่ใช่ปีศาจในพื้นที่แน่
“จูเยี่ยน ทำไมไม่อยู่ภูเขาเสี่ยวชื่อของเจ้าไปดี ๆ วิ่งออกมาทำอะไร” ฝูหลีสะบัดมือทีเดียว หมวกบนหัวจูเยี่ยนก็ตกลงพื้น เผยหัวสีขาวโพลน เมื่อใบหน้าคล้ายมนุษย์มาอยู่บนหัวที่เต็มไปด้วยขนสีขาว ดูแล้วก็น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
ตอนจางเคอได้ยินคำว่า ‘จูเยี่ยน’ ก็เกือบนึกว่าหูตัวเองมีปัญหา นั่นมันปีศาจที่อยู่ในตำนานไม่ใช่เหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีตัวตนอยู่จริง ๆ
จูเยี่ยนคิดไม่ถึงว่าปัจจุบันนี้จะยังมีคนรู้จักมันอีก มันหรี่ตามองฝูหลีอยู่พักใหญ่ พอมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอปีศาจตนนี้มาก่อนก็พ่นหัวเราะ “รู้ว่าเป็นข้าแล้วยังกล้าหนีอีก?”
ในตำนานโบราณจูเยี่ยนนับเป็นเทพปีศาจดุร้ายอันเลื่องชื่อ ปีศาจตนใดเห็นเป็นต้องเตลิดหนี จางเคอในฐานะคนในโลกผู้ฝึกตนย่อมเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับจูเยี่ยนมาก่อน ยามนี้เขาถึงเลิกเคลื่อนไหวแล้วเตรียมจัดท่าสบาย ๆ รอความตายอย่างสงบ
“คนที่วิ่งหนีเก่งมิใช่เจ้าหรอกหรือ” ฝูหลีทำหน้างงงวย ท่าทางราวกับกำลังถกปัญหาอย่างจริงจังกับจูเยี่ยน “หรือว่าผ่านไปหลายปี แม้แต่สัญชาตญาณเดิมของตัวเองเจ้าก็ลืมไปแล้ว”
คำพูดของฝูหลีสะกิดจูเยี่ยนให้นึกถึงวันเวลาเมื่อปีนั้นที่ตนถูกจอมปีศาจบรรพกาลรังแกจนต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน มันตะคอกถามเสียงดังทันที “เจ้าเป็นใครกันแน่!”
“ข้าก็แค่ปีศาจน้อยไร้นามที่บังเอิญเคยได้ยินตำนานของท่านราชันจูเยี่ยนเท่านั้น” ฝูหลีก้มหน้ามองจางเคอที่นอนแบ็บบนพื้นพลางลูบรางวัลตอบแทนความดีในกระเป๋าเสื้อ แล้วตัดสินใจทำตัวเป็นปีศาจจิตใจงามรู้จักตอบแทนบุญคุณ
“โลกมนุษย์พลังวิญญาณสกปรกนัก เหตุใดท่านราชันถึงไม่อยู่ภูเขาเสี่ยวชื่อ แต่ออกมากินมนุษย์ที่นี่”
“ภูเขาเสี่ยวชื่อ? ยังเหลือที่ไหนล่ะภูเขาเสี่ยวชื่อ!” จูเยี่ยนตะคอกอย่างเดือดจัดประหนึ่งอสนีบาต “ข้าแค่ไปท่องเที่ยวทะเลไม่กี่วัน กลับมาภูเขาเสี่ยวชื่อก็ถูกสัตว์สองขาขุดไปหมดแล้ว กระทั่งเตียงทองแดงหยกขาวของข้าก็ไม่ละเว้น!”
ฝูหลีก้มหน้ามองจางเคอ จางเคอปิดหน้าเงียบ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขานะ
“สัตว์สองขามันทำลายดินแดนของข้า ข้าก็กินหัวใจพวกมัน ตามกฎแห่งกรรม”
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ผู้นี้ หรือไม่เจ้าช่วยเห็นแก่หน้าข้าสักครั้ง ถือว่าเรื่องนี้แล้วกันไปแค่นี้เถิด…”
“เห็นแก่หน้าเจ้า? หลายปีมานี้มีแต่ปีศาจน้อยทำตัวสงบเสงี่ยมต่อหน้าข้า หน้าหนาอย่างเจ้านี่ข้าไม่เคยเจอจริง ๆ เจ้านับเป็นตัวอะไรถึงกล้าเรียกร้องให้ข้าเห็นแก่หน้าเจ้า” จูเยี่ยนถากถาง “ในเมื่อสัตว์สองขามันทำให้ข้าไร้ดินแดน ข้าก็จะกินมันให้สำราญใจเสีย!”
“ตอนแรกข้าก็รู้สึกว่าพวกมนุษย์เป็นฝ่ายผิดก่อน จึงว่าจะมอบของบางอย่างชดเชยแทนพวกมนุษย์ ให้เจ้าซ่อนตัวยังภูเขาลึกอย่างสงบแล้วจบเรื่องเท่านี้” ฝูหลีม้วนแขนเสื้อขึ้น “แต่เจ้าไม่เห็นแก่หน้าข้าขนาดนี้ ข้าก็ชักไม่พอใจเช่นกัน”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” จูเยี่ยนรู้สึกว่าน่าขันสิ้นดี “ปีศาจตัวกระจิริดเช่นเจ้า หากข้าไม่ไว้หน้าเจ้าเสียอย่าง แล้วเจ้าจะทำอะไรได้”
จางเคอเห็นฝูหลีถีบตัวขึ้นจากพื้นอย่างฉับพลัน ทว่าไม่ทันเห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย จูเยี่ยนก็โดนอัดกระเด็นตกลำธารสกปรกนั่นเสียงดังตูม
ละ…ลูกพี่?
“เอานี่ไปมัดเขาไว้ซะ” ฝูหลียัดแส้เส้นหนึ่งใส่มือจางเคอ
จางเคอรับแส้กลางเก่ากลางใหม่มาแล้วกระโดดลงลำธารโดยไม่ลังเล ผ่านไปไม่ทันไรก็พาจูเยี่ยนที่มัดตัวเรียบร้อยขึ้นมา เมื่อเห็นจูเยี่ยนตามหลังมาท่าทางสงบเสงี่ยมแบบนี้แล้ว จางเคอก็อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คืออสูรร้ายในตำนานจริงหรือเปล่า
พอได้กลิ่นเหม็นจากตัวจางเคอ ฝูหลีถอยห่างไปสองก้าว ดูท่าที่เมื่อกี้เขาตัดสินใจให้มนุษย์นี่เป็นคนไปจับจูเยี่ยนมาเป็นความคิดที่ฉลาดจริง ๆ
“ผู้น้อยช่างมีตาหามีแววไม่ที่ไม่ทราบว่าท่านคือจอมปีศาจบรรพกาล ผู้อาวุโสได้โปรดอภัยแก่ผู้น้อยด้วย” ประโยคแรกที่จางเคอพูดหลังขึ้นฝั่งคือขอประทานอภัย
ฝูหลีมองเขาแปลก ๆ “จอมปีศาจบรรพกาลอะไร ผมก็อาศัยแส้สยบปีศาจนั่นแหละถึงหยุดยั้งเขาได้”
“ท่าน…ไม่ใช่จอมปีศาจบรรพกาลเหรอ” จางเคอพิจารณาฝูหลีอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เห็นท่าทางอีกฝ่ายไม่เหมือนกำลังพูดโกหกจึงค่อยโล่งใจ “งั้นแส้สยบปีศาจเส้นนี้ของท่านได้มาอย่างไรล่ะ”
“อ้อ อันนี้น่ะเหรอ” ฝูหลีตอบคร่าว ๆ “แต่ก่อนมีราชันปีศาจสองตนทะเลาะกัน สุดท้ายตนหนึ่งโดนโจมตีตาย อีกตนก็ถูกฟ้าผ่าตาย ผมก็เลยถือโอกาสเก็บมา”
จางเคอ “…”
ช่างเป็นโอกาสที่ดีมากจริง ๆ
เนื่องจากถูกพันธนาการด้วยแส้สยบปีศาจ จูเยี่ยนจึงส่งเสียงครวญครางด้วยความทรมาน บัดนี้มันจึงกลับสู่ร่างเดิมซึ่งประกอบไปด้วยหัวขาวโพลนดุจหิมะ ร่างกายดังวานร เท้าแดงเถือกทั้งสี่ข้าง และกำลังนอนหมอบแยกเขี้ยวอยู่บนพื้น
“เป็นปีศาจแท้ ๆ แต่กลับเกลือกกลั้วกับพวกสัตว์สองขา” ดวงตาแดงก่ำของมันจ้องฝูหลีเขม็ง พร้อมฉีกปากเผยเขี้ยวแหลมคม “ในไม่ช้าจักรพรรดิแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจะตื่นขึ้นเพื่อชิงแผ่นดินที่เป็นของพวกเรากลับคืนมา”
ไม่รู้ว่าจางเคอจินตนาการไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าดวงจันทร์ซึ่งเร้นกายครึ่งหนึ่งหลังชั้นเมฆคล้ายสาดแสงสีแดงราง ๆ
“เลิกคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว” ฝูหลีเขกหัวฟู ๆ ของจูเยี่ยนแรง ๆ “สังคมระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกล้มล้างไปนานแล้ว จักรพรรดิอะไรมีที่ไหน ปีศาจที่ออกมาจากป่าลึกอย่างเจ้านี่ช่างอยู่ในกะลาจริง ๆ ไม่รู้หรือว่ายุคสมัยเขาพัฒนา สังคมเขาก้าวหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” แม้ตนจะเป็นปีศาจจากบ้านนอกเช่นกัน แต่เพราะได้เริ่มศึกษาความรู้ของพวกมนุษย์มาแล้ว เขาจึงรู้สึกภูมิใจในเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างประหลาด
ทันทีที่ฝูหลีพูดจบ รังสีน่ากลัวที่จูเยี่ยนแผ่พลันอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จางเคอจึงเอ่ยกับจูเยี่ยน “ปีศาจร้ายจูเยี่ยน โทษฐานที่นายฝ่าฝืนกฎหมายแห่งโลกปีศาจมาตราหนึ่งวรรคสาม ฆาตกรรมมนุษย์สี่คนอย่างโหดเหี้ยม และกฎหมายมาตราแปดวรรคสิบสอง ล่ามนุษย์เพื่อการบริโภค แผนกควบคุมดูแลปีศาจขอจับกุมนายเพื่อดำเนินคดี ตามฉันมาซะดี ๆ”
จูเยี่ยนหัวเราะหยันอย่างไม่ยอมจำนน แต่ก่อนเขากินคนเป็นพันคน เจ้าสัตว์สองขาเหล่านี้ยังเซ่นไหว้เขาด้วยซ้ำ
“เอ่อ…เดี๋ยวนะครับ” ฝูหลีเรียกจางเคอ
“วางใจเถอะ หลังจากจับจูเยี่ยนขังคุกเรียบร้อยแล้ว แผนกเราจะส่งแส้สยบปีศาจคืนให้” แม้จางเคอจะรู้สึกว่าแส้สยบปีศาจเป็นของชั้นยอด กระนั้นก็ไม่มีความคิดจะแย่งสมบัติใคร
“ใครเขาสนใจของเล่นพรรค์นั้นกัน” ฝูหลีโบกมือ “ที่ผมจะพูดคือ คืนนี้ถือว่าผมได้ช่วยคุณไว้ เพราะฉะนั้น…จะมีรางวัลอะไรให้ไหมครับ”
จางเคอนิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “วางใจเถอะ เดี๋ยวฉันช่วยยื่นเรื่องให้”
“ขอบคุณครับ” ฝูหลีค่อยเบาใจที่คืนนี้ไม่เสียแรงเปล่า
ณ เวลาเดียวกัน หลังจากเด็กสาวนามถิงถิงเดินออกมาจากสถานีตำรวจพร้อมกับเพื่อน ๆ แล้ว เธอก็เปิดรูปที่แอบถ่ายในมือถือ จากนั้นกดเปิดแอปพลิเคชันในโซเชียลมีเดีย หวังว่าโลกโซเชียลจะช่วยเธอหาพลเมืองดีที่ช่วยเธอกับเพื่อน ๆ เอาไว้คนนี้เจอ
ชายหนุ่มอายุน้อยในรูปถ่ายแม้กำลังนั่งอยู่ในร้านข้างถนนธรรมดา ๆ แต่ก็ไม่สามารถปกปิดหน้าตาอันหล่อเหลา บัญชีเวยปั๋วทางการของตำรวจเองก็แชร์โพสต์ตามหาคนของถิงถิงและชมเชยความดีในการช่วยเหลือผู้อื่นของเขา พร้อมกับรณรงค์ให้พี่ชายน้องชายทั้งหลายให้เกียรติผู้หญิง
ไม่ถึงสองวัน เวยปั๋วโพสต์นี้ก็เรียกความสนใจจากเพื่อน ๆ ชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก มีคนไม่น้อยช่วยกันเดาว่าหนุ่มน้อยผู้เรียกตัวเองว่า ‘เหลยเฟิง’ คนนี้คือใคร
“เสี่ยวหูเอ๊ย เข็นปูนคันนี้ไปหน่อยสิ เร็วเข้า!”
“ได้ครับ” ฝูหลีวิ่งลากรถเข็นปูนด้วยความเร็วจนพาให้ฝุ่นตลบไปทั่วไซต์ก่อสร้าง