[ทดลองอ่าน] อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 1 บทที่ 5

不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 1

月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน

นกแก้ว
แปล

— โปรย —
โลกมนุษย์ยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นทุกที
แต่คนเป็นมนุษย์เองกลับไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง
ก็ใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าความแปรปวนปั่นป่วนของท้องฟ้า ทะเล อากาศจะเกี่ยวข้องกับปีศาจได้
ถ้า ‘ฝูหลี’ ไม่เริ่มเดินทางมาอยู่ในเมืองหลวงของมนุษย์อย่างจริงจัง
บางทีเขาเองก็คงไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน และเรื่องนี้ก็จะเป็นความลับต่อไป
แต่ในเมื่อวันนี้เขามาแล้ว แถมยังมาเพราะมีความคิดอยากลองรับราชการดูอีกด้วย
ปีศาจแก่เฒ่าเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนบอกว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
แต่เขากลับไม่ลดละความพยายาม จนกระทั่งได้รับโอกาส
ทว่า…โอกาสที่ว่านี้ไม่ใช่ได้รับราชการกับพวกมนุษย์หรอกนะ
แต่เขาต้องไปช่วยปราบปีศาจน่ะ
ก็แหม ใครใช้ให้เขาแสดงฝีมือซะจนใครเห็นก็ต้องเรียกเขาว่า ‘ลูกพี่’ ล่ะ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 5

 

ต่อให้บนโลกออนไลน์ครึกครื้นสักแค่ไหนก็ไม่น่าสนใจไปกว่าเรื่องผู้รับเหมาคนไหนหางานมาได้ เนื่องจากผู้รับเหมาส่วนใหญ่จะเลี้ยงคนงานประจำไว้กลุ่มหนึ่ง กับต้องคอยสานสัมพันธ์กับพวกฝั่งสถาปนิก ทำให้เลี่ยงการดื่มเหล้ากินเลี้ยงบ่อย ๆ ไม่ได้

จ้าวซานเสียงเชี่ยวชาญในด้านนี้ ดังนั้นงานก่อสร้างเก่าเพิ่งเสร็จไม่ทันไรก็ได้เงินค่าแรงและรับเหมางานใหม่มาได้สำเร็จ เพราะอย่างนี้บรรดาพี่น้องที่ทำงานร่วมกันจึงยินยอมพร้อมใจเรียกเขาว่า ‘พี่จ้าว’

ตั้งแต่ข่าวเรื่องฝูหลีช่วยชีวิตลูกชายเหล่าจางแพร่กระจายไปทั่วไซต์ก่อสร้าง ฝูหลีก็สนิทสนมกับพวกคนงานเก่า ๆ ขึ้นมาก และไม่รู้เพราะเกิดความผิดพลาดในการสื่อสารหรือพวกเขามีปัญหาเรื่องสำเนียงเช่นเดียวกับเหล่าจาง ตอนนี้ทั้งไซต์ก่อสร้างเลยเรียกเขาว่า ‘เสี่ยวหู’ กันหมด ดีที่ฝูหลีไม่ถือสาเรื่องแบบนี้ จะ ‘เสี่ยวฝู’ ‘เสี่ยวหู’ หรือ ‘เสี่ยวฮวา’ ก็ได้ทั้งนั้น

วันนี้ตอนเที่ยง ขณะฝูหลีกำลังดื่มซุปขาหมูที่จางเผิงเอามาให้ ก็ได้ยินเสียงไซเรนดังขึ้นด้านนอก เขาเลิกม่านกั้นเพิงพักเปิดดูด้วยความอยากรู้ เห็นคนอื่น ๆ พากันวิ่งไปข้างนอก จึงตะโกนถามขึ้นว่า “พวกพี่ไปไหนกันน่ะ”

“ตรงไซต์ก่อสร้างข้างหน้ามีคนจะฆ่าตัวตาย นายจะไปดูด้วยไหม” ผู้ชายที่ตอบฝูหลีแซ่เฉิน อายุเกือบสี่สิบปีแล้วแต่ยังไม่แต่งภรรยาจนโดนทุกคนเรียก เฉินเหล่ากวาง[1] ซึ่งเขาเองก็ไม่ถือสาเหมือนกัน เวลาโดนคนอื่นล้อเรียกแบบนี้ก็ตอบรับอย่างสนุกสนาน ในไซต์ก่อสร้างนี้นับว่าเขามีมนุษยสัมพันธ์ไม่เลวเลย

ฝูหลีกำลังว่าง ๆ เบื่อ ๆ อยู่พอดี เมื่อเห็นคนอื่น ๆ แห่กันไปมุงก็รู้สึกว่าตัวเองควรทำตามอย่างบ้างดีกว่า

“ไปสิ ผมไปด้วย”

 

หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อลายดอกกับกางเกงทรงหลวมสีดำกำลังนั่งอยู่บนขอบชั้นบนสุดของตึกร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จ โดยมีผู้คนยืนออกันแน่นที่ด้านล่างซึ่งมีวัชพืชขึ้นรก

เผิงหางที่รีบมาหลังจากได้รับแจ้งเหตุสะบัด ๆ เครื่องแบบตำรวจชุ่มเหงื่อ พลางหันไปสั่งการให้คนอื่นๆ เตรียมสูบลมเบาะรอง ไซต์ก่อสร้างแห่งนี้ถูกทิ้งร้างจนพื้นขรุขระ หญ้าบางบริเวณสูงกว่าตัวคนเสียอีก เป็นเหตุให้รถกู้ภัยเข้ามาไม่ได้ ต้องใช้แรงคนขนอุปกรณ์กู้ภัยต่าง ๆ เข้ามา

“พี่สาว อากาศร้อนขนาดนี้ มีอะไรลงมาค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันดีกว่า อย่างที่เขาพูดกันว่า มีปัญหาให้หาตำรวจ ขอแค่คุณลงมา พวกเราจะช่วยคุณแก้ปัญหาแน่นอน” เผิงหางส่งสัญญาณมือไปทางเพื่อนร่วมงานให้พวกเขาลอบเข้าตึกเงียบ ๆ

อารมณ์ของหญิงผู้นี้แปรปรวนอย่างหนัก ทั้งร้องไห้ทั้งขอโทษเผิงหางพลางบอกว่าเธอไม่อยากรบกวนทุกคน แต่เธอไม่มีหนทางแล้วจริง ๆ และเพราะสะเทือนใจมากเกินไปทำให้ร่างกายเธอเอนมาด้านหน้าเรื่อย ๆ หากพลาดนิดเดียวก็พร้อมตกลงจากตึกได้ทุกเวลา

ที่แท้เรื่องเกิดจากสามีของหญิงผู้นี้ป่วยตายไปเมื่อสองปีก่อน และมีลูกเล็กที่ยังต้องเรียนหนังสือ ด้วยความที่ไม่มีทักษะวิชาใด ๆ จึงได้แต่มาทำงานก่อสร้างใช้แรงงานเหมือนผู้ชาย หารู้ไม่ว่าทำไปได้กว่าครึ่งปี ผู้รับเหมากลับเบี้ยวเงินหนีหายไป ตอนนี้ลูกของเธอป่วยหนัก ทางโรงพยาบาลก็เร่งรัดเงินค่ารักษา ขอความช่วยเหลือไปทั่วก็ยังรวบรวมเงินได้ไม่พอ เธอสิ้นไร้หนทาง ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจริง ๆ

หญิงอายุไม่ถึงสี่สิบปีผู้นี้ผิวพรรณคล้ำดำ ร่างกายผ่ายผอมเหี่ยวแห้งราวกับหัวไชเท้าดองโดนดูดน้ำจนเกลี้ยง เสียงเธอร้องไห้คร่ำครวญโหยหวนจนเผิงหางสะท้อนใจ เขาปาดเหงื่อบนใบหน้าพร้อมส่งเสียงก่นด่ากับเพื่อนร่วมงาน “พวกนายทุนเดี๋ยวนี้มันชั่วช้าสิ้นดี!”

ด่าเสร็จก็หันไปมองด้านนอกเทปกั้นเขต ก่อนจะยกมือเท้าเอวพูดแขวะ “อากาศร้อนขนาดนี้ยังอุตส่าห์มีคนมามุงเรื่องชาวบ้านกันอีกนะ บอกชาวมุงพวกนั้นอย่าเอะอะโวยวายด้วยล่ะ เกิดกระตุ้นผู้ก่อเหตุจนพลาดเสียชีวิตขึ้นมาแล้วจะแย่”

“ลูกพี่ ข้างนอกนั่นเป็นพวกคนงานที่ไซต์ก่อสร้างใกล้ ๆ ปกติไม่ค่อยเจอเรื่องบันเทิงเท่าไหร่ พอเกิดเรื่องตื่นเต้นแบบนี้ขึ้นมา พวกเขาเลยอดมามุงดูด้วยไม่ได้” เพื่อนร่วมงานนามเสี่ยวหยางรับคำสั่งแล้วหันไปพูดกับเหล่าคนงานก่อสร้างที่มามุงดูเหตุการณ์

เฉินเหล่ากวางยกมือขึ้นพาดเหนือหัวพลางถอนหายใจพูดกับฝูหลี “เฮ้อ…พวกผู้รับเหมาที่เบี้ยวเงินหนีพรรค์นี้สารเลวจริง ๆ”

ฝูหลีไม่ตอบอะไร ความจริงเขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของพวกมนุษย์ที่เศร้าไปกับเรื่องของคนอื่นด้วยแบบนี้สักเท่าไหร่

“พี่น้องทุกท่าน พวกเรากำลังเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุ ขอความกรุณาทุกคนอย่าได้พูดอะไรที่เป็นการกระตุ้นผู้ก่อเหตุเป็นอันขาดนะครับ” นายตำรวจอายุน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา เหงื่อที่ชุ่มหัวและใบหน้าที่เปียกชื้นนั้นราวกับว่าเขาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำก็ไม่ปาน “เธอยังมีลูกชายที่ป่วยหนักอยู่ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ลูกชายเธอคงน่าสงสารแย่”

สถานที่เกิดเหตุพลันเงียบลงในทันที

ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยมีคนงานคนหนึ่งส่งเสียงขึ้นว่า “น้องสาวคนนี้ชีวิตลำบากจริง ๆ คุณตำรวจต้องจับตัวไอ้คนที่เบี้ยวเงินหนีไปมาให้ได้นะครับ”

เสี่ยวหยางยิ้มแห้ง ต่อหน้าบรรดาคนงานหน้าดำ ๆ เหล่านี้ เขาได้แต่พยักหน้ารับปาก “วางใจได้ครับ พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่”

 

ท่าทางการเจรจาไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ ไม่รู้หญิงผู้นั้นคิดอะไร จู่ ๆ ถึงลุกขึ้นยืน เห็นชัดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ ทุกคนในที่เกิดเหตุส่งเสียงด้วยความตกใจ

เผิงหางรีบตะโกนอย่างร้อนรน “พี่สาว! คิดถึงลูกชายคุณบ้าง เขากำลังรอคุณกลับไปหาเขาอยู่นะ”

หญิงผู้นั้นปิดหน้าร้องไห้ “ฉันผิดต่อลูกเอง ฉันมันไร้ประโยชน์”

พูดจบเธอก็ปาดน้ำตา แล้วหลับตาเตรียมจะกระโดด

“ผมมียาวิเศษประจำตระกูลที่ช่วยรักษาลูกชายคุณได้ครับ!”

เสียงใสที่ตะโกนดังลั่นนี้เปี่ยมไปด้วยพลัง พวกเขารู้สึกเหมือนประโยคนี้ทะลวงแก้วหูทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจของทุกคน

หญิงผู้นั้นเปิดตาขึ้นอีกครั้ง สอดส่ายสายตารอบด้านมองหาคนพูด

เผิงหางโล่งอกชั่วคราว เวลาแบบนี้การโกหกไม่ใช่การหลอกลวง แต่เรียกว่า ‘แผนการ’ ต่างหาก

ฝูหลีมุดผ่านเทปกั้นเขตแล้วเงยหน้าจ้องตากับหญิงผู้นั้นตรงๆ “คุณลงมาก่อน ผมรับประกันว่าจะรักษาลูกชายคุณให้หาย”

เผิงหางมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่สวมเสื้อยืด aidadas[2]ก๊อป กางเกงขาสั้นลายดอก รองเท้าแตะเปื้อนฝุ่น ดูแล้วพอจะคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นคนงานก่อสร้างแถวนั้น

ทว่าเด็กคนนี้ก็ซื่อเหลือเกิน จะโกหกทั้งทีดันโจ่งแจ้งเสียขนาดนี้ หลอกคนลงมาได้สิแปลก

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าหญิงที่เพิ่งยืนบนยอดตึกเมื่อครู่กลับตัวโงนเงน แล้วหันหลังเดินกลับลงมาจริง ๆ จนตำรวจดับเพลิงที่หลบอยู่หลังขอบหน้าต่างชั้นล่างยังตั้งตัวไม่ทัน

สองนาทีให้หลังหญิงผิวคล้ำร่างผอมก็เดินออกมาจากตึก มือแห้งผากคว้าตัวฝูหลีแน่น ดวงตาทอประกายราวจะลุกเป็นไฟ หากเปลวไฟนี้ถูกดับลง เกรงว่าเธอคงไม่เหลือกำลังใจจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

“แน่นอนครับ” ฝูหลีพยักหน้า “ผมไม่เคยหลอกใครอยู่แล้ว”

เสี่ยวหยางเขยิบไปใกล้เผิงหาง มองภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ลูกพี่ ตอนนี้เราควรทำยังไงต่อ”

“จะทำอะไรได้ล่ะ ก็ตามพวกเขาไปโรงพยาบาลสิ อารมณ์ผู้ก่อเหตุยังไม่มั่นคง ถ้าพวกเราไปตอนนี้ ผมกลัวเธอจะคิดสั้นอีก” เขาสูดลมหายใจลึก ๆ เมื่อครู่โดนแดดส่องจนหน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมด “ไปเถอะ จะช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด อาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว ตามไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย”

เผิงหางหันไปมองเด็กหนุ่มที่ถูกหญิงผู้นั้นดึงตัวไว้ไม่ปล่อยแล้วทำหน้ากลุ้มใจ ไม่รู้พวกเขาจะไปช่วยเด็กหนุ่มหา ‘ยาวิเศษประจำตระกูล’ อะไรนั่นมาจากที่ไหนเนี่ยสิ

 

ทีมดูแลโลกปีศาจและทีมดูแลผู้ฝึกตนอยู่ในตึกเดียวกัน เนื่องจากด้านหนึ่งคุมอมนุษย์เป็นหลัก ส่วนอีกด้านหนึ่งคุมมนุษย์เป็นหลัก จึงทำให้เบื้องหลังทั้งสองทีมเกิดความขัดแย้งกันบ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าทะเลาะกันใหญ่โต

ตอนจางเคอคุมตัวปีศาจร้ายกลับมา เขาก็กลายเป็นจุดสนใจของพนักงานทั้งตึกทันที พนักงานที่ทำงานอยู่ในตึกสำนักงานนี้มีทั้งมนุษย์และปีศาจ เพื่อจับปีศาจร้ายตนนี้ ไม่กี่วันที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่หลายคนต่างได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน แม้จางเคอจะเป็นศิษย์เอกของสำนักชิงเซียว แต่ตบะยังไม่นับว่าแกร่งกล้านัก ไม่รู้เขาไปเก่งกว่าบรรดายอดฝีมือของกรมควบคุมตั้งแต่เมื่อไหร่

“เทพซานชิง[3]ช่วยลูกด้วย” เหล่าหวงแห่งทีมดูแลผู้บำเพ็ญเพียรอุทานพร้อมถอยหลังสามก้าวเมื่อเห็นหน้าปีศาจร้ายชัด ๆ “หัวขาว หน้ามนุษย์ เท้าแดงแบบนี้ ช่างเหมือนอสุรกายในตำนานไม่มีผิด”

“เหมือนอะไรกันล่ะ” สวีย่วนแขวะ หมั่นไส้ท่าทางแกล้งทำเป็นมีลับลมคมในของเหล่าหวง “จะเป็นตัวอะไรก็ช่าง ยังไงก็เป็นคนของทีมดูแลโลกปีศาจของพวกเราจับมาได้แล้วกัน”

“คุณหนูสวีอย่าเพิ่งใจร้อน” เหล่าหวงพูดกลั้วหัวเราะพลางลูบเคราหร็อมแหร็มบนคาง “อสุรกายตนนี้นามว่าจูเยี่ยน ได้ยินว่าร้ายกาจอย่างยิ่ง เพียงแต่หลังสิ้นราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์ถัง บันทึกเกี่ยวกับมันได้ขาดตอนลง คิดไม่ถึงว่าจะยังมีปีศาจระดับนี้อยู่ในโลกจริง ๆ”

“ยังนึกอยู่เลยว่าเป็นตัวอะไร ที่แท้ก็แค่เพียงพอนตัวหนึ่ง” จูเยี่ยนขยับตัวไม่ได้เพราะถูกมัด มันจึงหรี่ตาเหล่มองเหล่าหวง ความหยิ่งทะนงของผู้เป็นราชันปีศาจบรรพกาลปรากฏออกมาชัดเจนยิ่ง “อย่างเจ้าก็เหมาะให้ข้าฆ่าเล่นเท่านั้นแหละ”

เหล่าหวงไม่โกรธ อีกทั้งยังยิ้มกว้างพลางพูดต่อ “เล่าลือกันว่านิสัยจูเยี่ยนอำมหิตนัก ในบันทึกประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการสมัยราชวงศ์ฮั่นเขียนไว้ว่า จูเยี่ยนเคยชักนำให้สองแคว้นทำศึกกันจนผู้คนล้มตายหลายแสนเพียงเพราะอารมณ์ไม่ดี”

ทุกคนสูดลมหายใจเฮือก ชีวิตคนนับแสนในสายตาอสูรตนนี้เป็นเพียงแค่ของเล่นเท่านั้นหรือ เมื่อพวกเขามองจูเยี่ยนอีกครั้ง แววตาพลันฉายความหวาดกลัวขึ้นอีกหลายเท่า

“มียอดฝีมือให้ความช่วยเหลือคุณชายจางใช่หรือไม่” เหล่าหวงชี้ไปที่แส้สีดำซึ่งมัดตัวจูเยี่ยน “ไม่ทราบแส้นี้มีความเป็นมาอย่างไรถึงกับสามารถควบคุมอสูรร้ายอย่างนี้ได้”

จางเคอมองแส้ในมือ “ปีศาจที่ให้ยืมแส้นี้มา เขาเรียกมันว่าแส้สยบปีศาจ”

เหล่าหวงคิดอยู่นานก็นึกประวัติความเป็นมาของแส้สยบปีศาจนี้ไม่ออก เขาจึงพูดอย่างเสียดาย “ดูท่าคงเป็นยอดฝีมือชั้นเซียน พวกเราควรขอบคุณเขาให้มาก ๆ”

“ยอดฝีมือบอกว่าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ขอแค่พวกเราให้รางวัลทำความดีกับเขาก็พอ” จางเคอหัวเราะแห้ง ๆ “อีกอย่าง จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่ยอดฝีมืออะไรหรอก แส้นี่เขาได้มาโดยบังเอิญเท่านั้น”

ยอดฝีมือที่แท้จริงที่ไหนจะสนใจกับรางวัลทำความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ แถมยังไปเป็นกรรมกรแลกเงิน จากที่เขารู้มา มนุษย์หรือปีศาจที่มีตบะสูงจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องกินอาหารของมนุษย์ เพียงสูบพลังทิพย์จากตะวันจันทราก็สามารถดำรงชีพได้

มีแต่พวกตบะไม่ถึงขั้นเท่านั้นถึงต้องกินอาหารเพื่อบรรเทาความหิว

เมื่อจางเคอเล่าทุกอย่างที่ตัวเองรู้หมดแล้ว ทุกคนก็ลงความเห็นตรงกันว่าให้มอบเงินรางวัลแก่ปีศาจมีน้ำใจตนนี้ นอกจากนั้นยังมอบโอสถฟื้นพลังวิญญาณหนึ่งเม็ด การบำเพ็ญตบะนั้นไม่ง่าย แม้ปีศาจพลเมืองดีตนนี้จะไม่ได้กระทำอะไรมากมาย แต่จิตใจอันห้าวหาญกล้าเสี่ยงอันตรายยื่นมือเข้าช่วยเหลือนี้ก็ควรค่าแก่การสรรเสริญ

เพราะทุกคนไม่กล้าแก้มัดแส้สยบปีศาจออกจากจูเยี่ยน สุดท้ายจึงตัดสินใจกักตัวมันในค่ายกลสะกดวิญญาณชั่วคราว รอหัวหน้าจวงกลับมาค่อยจัดการ

จูเยี่ยนผู้นั่งกลางค่ายกลสะกดวิญญาณถลึงดวงตาแดงฉานมองคนด้านนอกอย่างเดือดดาล

“จักรพรรดิของข้าจะหวนคืนในไม่ช้านี้”

สวีย่วนที่แทะเมล็ดทานตะวันไปสองเม็ดได้ยินเสียงพร่ำรำพันสำเนียงต่างถิ่นก็พูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าปีศาจก็มีโรคจูนิเบียว[4]กับเขาเหมือนกันนะเนี่ย”

ในละคร ฝ่ายอธรรมที่ชอบพร่ำเพ้อว่าลูกพี่ตัวเองจะกลับมาสร้างซีนมักมีชีวิตไม่เกินสามตอน

 

[1] คำว่า กวาง มาจาก กวางกุ้น แปลว่า ชายโสด

[2] ชื่อแบรนด์สมมุติ

[3] หรือสามบริสุทธิ์ สามปรมาจารย์สูงสุดของลัทธิเต๋า

[4] หรือโรคเด็ก ม.2 หมายถึง คนที่มีความเพ้อฝันสูง หรือมีพฤติกรรมแปลกประหลาด ที่เปรียบเทียบว่าเป็นเด็ก ม.2 เนื่องจากช่วงวัยนี้เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ จินตนาการสูง คิดว่าตัวเองพิเศษ หรือสามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็นได้จริง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องหลุดโลก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า