[ทดลองอ่าน] อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 2 บทที่ 52

不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 2

月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน

นกแก้ว
แปล

— โปรย —

‘พยับเมฆบนท้องนภาหมุนแปรปรวนคล้ายจะบังเกิดอสนีบาต
ฝูหลีมองมังกรทองที่ขวางด้านหน้าตนก่อนแหงนหน้ามองฟ้า’
เขาไม่เคยคาดคิดและก็ไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าวันหนึ่งจะมีใครเอาชีวิตทั้งชีวิตมาปกป้องเขา
หลังจากตัดสินใจเข้าทำงานใน ‘กรมควบคุม’ ความสัมพันธ์ของฝูหลีกับจวงชิงก็รุดหน้า
ทว่าจะอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปกป้องเขาถึงเพียงนี้
การมีใครสักคนร่วมต่อสู้ไปด้วยกันก็ดีเช่นนี้เอง
ไม่ว่าต้องเจอกับปีศาจตนใด หรือเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายสักแค่ไหน
ขอแค่มีใครสักคนยอมเดิน ‘จับมือ’ กันไปก็ใช้ได้แล้ว
ว่าแต่ ‘จับมือ’ เลยเหรอ ปีศาจน้อยใหญ่ในกรมควบคุมจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม
แต่ความจริงจะว่าอะไรก็ช่างเถอะ แค่อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันก็พอแล้ว

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 52

 

ครั้นกระโดดเข้าไปในทางเชื่อมสู่ยมโลกแล้วฝูหลีก็ต้องเสียใจทีหลัง เพราะเขาไม่รู้จักหนทางของที่นี่เลย

ยมโลกในจินตนาการของมนุษย์นั้นควรจะอัดแน่นด้วยจิตอาฆาตแค้น เกลื่อนกลาดด้วยสิ่งสกปรก มีเครื่องมือลงทัณฑ์แขวนตามทุกมุมมืด แต่ความเป็นจริงนั้นยมโลกก็มีตึกรามบ้านช่องมากมายไม่ต่างจากโลกมนุษย์ ผิดแค่ที่เดินตามถนนเป็นผี ไม่ใช่มนุษย์

ท้องฟ้าของยมโลกมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ กระนั้นกลับมองเห็นพระจันทร์และดาวในตอนกลางคืน ฝูหลีเดินมาถึงถนนใหญ่ที่มีผีเดินขวักไขว่ก็เห็นจอดิจิทัลบนตึกหลังหนึ่งฉายภาพผู้ดำเนินรายการกำลังวิจารณ์พฤติกรรมชั่วช้าของศิลปินคนหนึ่งยามมีชีวิต เพื่อให้แฟนคลับที่ชื่นชอบศิลปินคนนี้ใจเย็นลง

ศิลปินคนนี้ฝูหลีเคยเห็นตอนทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่โรงแรมหยวนเยว่ เพราะวิญญาณของศิลปินชายคนนี้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมลงนรก สุดท้ายจึงโดนบังคับคุมตัวไป

“เพื่อน นายคงไม่ใช่ติ่งไอ้ลู่เหรินเจียนี่หรอกนะ” ผีชายหนุ่มตนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับฝูหลี “ฉันจะบอกนายให้นะ หมอนี่มันเดนมนุษย์ ถูกลงทัณฑ์กระทะทองแดงร้อยปี ตายแล้วก็ยังนึกว่าตัวเองเป็นดาราดังอยู่อีก”

“เปล่าครับ ตัดสินได้ดี” ฝูหลีเห็นผีรอบๆ ใช้สายตาเหมือนมองเห็นเด็กหนุ่มผู้หลงเดินทางผิดมองตนก็รีบแสดงจุดยืนของตัวเองทันที “ผมไม่บ้าดาราครับ”

“งั้นก็ดีแล้ว ไม่นานมานี้มีผีน้อยตนหนึ่งยืนกรานว่าลู่เหรินเจียถูกปรักปรำ อีกทั้งยังขู่ยมทูตให้ปล่อยตัวลู่เหรินเจีย ถ้าไม่ปล่อยเธอจะกระโดดแม่น้ำลืมเลือน” ผีชายส่ายหัวถอนหายใจ “ใครจะไปรู้ว่าแค่แหย่เท้าก็ดันตกลงไปจริงๆ กว่ายมทูตจะงมขึ้นมาได้ ชาติหน้าก็ได้แต่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานแล้ว”

พอเห็นความปรารถนาในการนินทาของผีชายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝูหลีจึงต้องรีบตัดบท “พี่ชาย ไม่ทราบว่าจวนยมทูตไปทางไหนครับ”

“จะไปหายมทูตทำไมน่ะ” ผีชายว่า “ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ นายเพิ่งตายอาจจะไม่รู้กฎเกณฑ์ จะไปเกิดใหม่น่ะต้องเข้าคิวกันทั้งนั้น ต่อให้ไปจวนยมทูตใช้เส้นสายก็ไม่ได้ผลหรอก”

ผีชายพล่ามต่ออีกยาวเหยียด แต่เห็นฝูหลีฟังไม่กระดิกก็ถอนหายใจแล้วพูด “จากถนนสายนี้ไปเลี้ยวซ้าย ข้ามสะพานวั่งชวน[1]แล้วเดินตรงไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว”

“ขอบคุณมากครับ” ฝูหลีฝ่าฝูงชนแออัดจอแจ ถนนด้านขวามีลานกิจกรรมขนาดใหญ่ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยผีหนุ่มสาวโยกย้ายส่ายสะโพกเหมือนเต้นรำ บนถนนแม้ไม่มีไฟจราจร แต่ก็มียมทูตติดปลอกแขนสีแดงคอยรักษาระเบียบ เดินผ่านสี่แยกไป ฝูหลีก็หยิบกิ่งหมีกู่ของตัวเองออกมา ก่อนพบว่าของนี่ใช้ประโยชน์ในยมโลกไม่ได้อย่างที่คิด

“สหาย เป็นผีมาใหม่จากข้างบนหรือเปล่า ร้านมือถือตรงถนนวั่งชวน13 มีส่วนลดให้ผีใหม่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์” ผีตนหนึ่งยัดใบปลิวให้ฝูหลี จากนั้นก็หันไปยัดอีกใบให้ผีข้างหลังต่อ

ใบปลิวสองสามใบที่ตกอยู่บนพื้นถูกลมหยินพัดมาแทบเท้าฝูหลี เขาก้มลงเก็บใบปลิวตรงเท้าเดินไปทิ้งถังขยะอีกฟากถนน แล้วก็เห็นแม่น้ำสีแดงหม่นอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ดอกไม้สีแดงสดใสบานสะพรั่งสองฟากฝั่งแม่น้ำดูงดงามเพริศแพร้ว

วานรขาวเคยเล่าให้ฟังว่า ตรงแม่น้ำลืมเลือนจะมีคนแจวเรือข้ามฟากอยู่มาก ทำหน้าที่พาดวงวิญญาณข้ามไปอีกฝั่งแม่น้ำเพื่อรับชีวิตใหม่

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ในแม่น้ำลืมเลือนก็มีเรือจำนวนหนึ่งอยู่จริงนั่นแหละ ทว่าหาใช่เรือข้ามฟาก แต่เป็นเรือทัศนาจร เหนือแม่น้ำมีสะพานโค้งตั้งตระหง่าน บนนั้นแขวนโคมไฟสีแดงสว่าง กลายเป็นจุดเด่นกระแทกตาที่สุดบนแม่น้ำแห่งนี้

ฝูหลีเดินมาถึงหัวสะพานก็เห็นยมทูตคอยจัดระเบียบความเรียบร้อยบนสะพาน ด้วยเหตุนี้เขาจึงร่ายมนตร์พรางตาใส่ตัวเองแล้วเดินอาดๆ ข้ามสะพานวั่งชวนไป

พอพ้นสะพานมาแล้วบริเวณนั้นยังมีคนลากรถคอยเรียกลูกค้า บรรดาผีหน้าใหม่ที่เพิ่งมาไม่นานจึงถูกลากไปอย่างมึนๆ ท่ามกลางสายตาผีหน้าเก่าที่มองพวกเขาเหมือนเหยื่อหน้าโง่

เมื่อเบียดผ่านกลุ่มผีออกมาได้ ฝูหลีก็เหยียบย่างสู่ถนนหินปูน ลมหยินที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ กรีดหน้าเขาไม่หยุด หลังเข้าเขตแดนซึ่งกางครอบจวนยมทูต เสื้อผ้าทั้งหมดบนกายเขาก็สลายเป็นเถ้าถ่าน เปลี่ยนกลับเป็นคุณชายในชุดคลุมแพรสวมกวานหยก

“ผู้มาเป็นใคร” ข้างใต้ป้ายจวนยมทูตขนาดใหญ่มีผู้เฝ้าประตูประจำการแปดนายซึ่งล้วนหน้าตาดุร้าย ไอหยินเข้มข้น

“ผู้น้อยฝูหลี อยากจะขอพบหัวหน้ายมทูตลี่ซวี”

นายประตูหัวเราะเยาะ กล่าวว่า “ในยมโลกมีผีตั้งมากมายอยากพบหัวหน้ายมทูต ถ้าเจ้ามีธุระต้องการพบเขาจริงก็กรุณาโทร.เข้าเบอร์ส่วนตัวหรือส่งอีเมลผ่านช่องทางติดต่อของสำนักงานยมทูต จะมีเจ้าหน้าที่จัดการอีเมลเจ้าภายในสามวัน”

ฝูหลีไม่ถือสาท่าทางไม่เป็นมิตรของนายประตู เขาตะโกนไปทางประตู “ท่านหัวหน้ายมทูต ผู้น้อยฝูหลีขอเชิญท่านออกมาพบ”

เสียงของฝูหลีดังลอดผ่านประตูจวนยมทูตทะลุจนถึงภายใน

สีหน้านายประตูเปลี่ยนเป็นเฝ้าระวังทันควัน ต่างกำอาวุธในมือแน่น กลัวฝูหลีจะอาละวาดปุบปับ ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงคือ จู่ ๆ ประตูใหญ่ด้านหลังพวกเขาก็เปิดออก พร้อมหัวหน้ายมทูตที่รีบร้อนเดินออกมา

“สหายธรรมฝู” ลี่ซวีเห็นฝูหลีมายมโลกอย่างไม่คาดคิดก็เหลือบมองนายประตูข้างหลัง ก่อนพยายามปรับสีหน้าตนเองให้เป็นปกติ “มิตรสหายอุตส่าห์มาจากแดนไกล ช่างเป็นเรื่องน่ายินดี เชิญสหายธรรมฝูด้านใน”

นายประตูมองตากัน พานนึกเสียใจที่เมื่อครู่แสดงกิริยาก้าวร้าวเกินไปหน่อย ที่แท้คนคนนี้ก็เป็นคนรู้จักกับหัวหน้ายมทูตจริงๆ

ลี่ซวีก้าวปราด ๆ พาฝูหลีไปห้องทำงานส่วนตัว เท่านั้นไม่พอ ยังกางม่านอาคมตรงประตูห้องก่อนค่อยพูด “สหายธรรมฝู คนเป็นมีทางของคนเป็น คนตายมีทางของคนตาย ท่านไม่ควรมาที่นี่”

“เพราะข้ามีเรื่องไม่กระจ่างอย่างหนึ่ง” ฝูหลีมองลี่ซวี “วิญญาณสัตว์เลี้ยงตอนนั้นของข้า ท่านเป็นผู้พาไปใช่หรือไม่”

ลี่ซวีประหลาดใจ เรื่องนี้ผ่านมาสองพันปีแล้ว ตอนที่มนุษย์ผู้นั้นตาย ฝูหลีไม่มีปฏิกิริยาเกินเหตุใดๆ ทั้งสิ้น เหตุใดอยู่ๆ ถึงยกเรื่องเก่าขึ้นมาพูดเอาตอนนี้ แม้เขาจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับฝูหลี แต่เขารู้ว่าด้วยนิสัยของฝูหลี ไม่น่าใช่คนที่จะบุกรุกนรกโดยใช่เหตุได้

“ไม่ทราบเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” ลี่ซวีตระหนักถึงจุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นฝูหลีคงไม่ปรากฏตัวที่นี่แน่

“มีเซิ่นฝังความทรงจำปลอมใส่หัวมนุษย์ ให้มนุษย์คนนั้นนึกว่าตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงที่ข้าเลี้ยงเมื่อตอนนั้น” ฝูหลีมองลี่ซวี “เรื่องตอนนั้นนอกจากท่านแล้วยังมีใครรู้อีกหรือไม่”

ลี่ซวีอ้า ปากพะงาบๆ กระดากที่จะตอบคำถามนี้

 

มนุษย์ซึ่งมีสายเลือดขัตติยะ อีกทั้งยังมีบุญญาธิสมภารสิบชาติ ถูกเลี้ยงโดยสัตว์ปีศาจ เมื่อตายแล้วควรไปเกิดใหม่เป็นกษัตริย์ ทว่ากลับรั้งอยู่ในนรกแปดสิบปีไม่ยอมไปเกิดใหม่ จนกระทั่งข่าวเรื่องปีศาจบนบรรพตเงาหมอกทั้งหมดตายด้วยน้ำมือมังกรเขียวแพร่กระจาย วิญญาณผู้มากด้วยบุญญาธิการนับไม่ถ้วนผู้นั้นกลับหลั่งน้ำตาเลือด ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง แล้วกระโดดลงสระเกิดใหม่

ไม่มีใครรู้ว่าสรุปแล้วคนผู้นั้นไปเกิดใหม่เป็นใคร เนื่องจากชวดฤกษ์ยามที่ดีที่สุดทำให้พลาดชะตาวาสนาในการเป็นกษัตริย์ ดังนั้นชาติภพหน้าจะดีหรือร้ายล้วนไม่มีใครล่วงรู้

ผีฝึกตนที่รู้เรื่องนี้มีไม่น้อย หากฝูหลีถามเขาว่ายังมีใครรู้อีกบ้าง เขาก็จำไม่ได้จริงๆ เพราะมีคนในยมโลกรู้เรื่องนี้เยอะมาก เช่น ท่านพญายม ยมราชทั้งสิบแปดขุมนรก ผู้พิพากษาขั้นต่างๆ เทพเฉิงหวง[2]

“คำถามนี้ตอบยากหรือ” ฝูหลีเห็นสีหน้าลี่ซวีแปลก ๆ ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ

“ข้ากำลังนับน่ะว่าสรุปมีกี่คนที่รู้” ลี่ซวีแหงนหน้านั่งนับ “นอกจากที่ไปเกิดใหม่และสิ้นอายุขัยหมดแล้ว ตอนนี้ที่รู้เรื่องนี้น่าจะเหลือสิบกว่าคนกระมัง”

ฝูหลีหรี่ตามองลี่ซวี ดูไม่ออกเลยว่าหัวหน้ายมทูตท่านนี้จะปากสว่างขนาดนี้

พอเห็นท่าทีของฝูหลี ลี่ซวีก็รู้ว่าตัวเองโดนเข้าใจผิด เขายิ้มขื่นพลางอธิบายว่า “สหายธรรมฝู เรื่องนี้หาใช่ข้าเป็นผู้แพร่งพราย เรื่องเมื่อตอนนั้นยาวนัก ยากจะบอกเล่าได้ทั้งหมด หากให้ยกขึ้นมาพูดอีกก็รังแต่จะทำให้ชอกช้ำกันเปล่าๆ ผู้น้อยเห็นว่าหากต้องการสืบหาว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางแผนการใส่ท่าน ไม่สู้ไปสืบความกับทางปีศาจเซิ่นโดยตรงดีกว่า”

“ทางปีศาจเซิ่นข้าต้องไปอยู่แล้ว” ฝูหลีรู้ดีว่าต่อให้ถามอีกก็คงไม่ได้ความไปมากกว่านี้ จึงลุกขึ้นแล้วเอ่ย “ข้าหาได้มีเจตนาขัดแย้งกับยมโลก แต่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ว่าใครก็คงไม่พอใจ”

“ขอสหายธรรมฝูวางใจ ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างแน่นอน” ลี่ซวีเองก็รู้ว่าเรื่องนี้มีสาเหตุจากข้อมูลทางยมโลกรั่วไหลแน่ เพราะนอกจากในยมโลกแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องราวในอดีตครั้งนั้น

“สหายธรรมฝู ถนนหนทางในยมโลกขรุขระและซับซ้อน ข้าส่งท่านกลับไปแล้วกัน” ลี่ซวีกลัวฝูหลีจะแหวกเปิดเส้นทางระหว่างยมโลกกับแดนหยางโดยตรงจนสร้างความโกลาหล ดังนั้นจึงเสนอตัวไปส่งอีกฝ่ายเอง

“รบกวนด้วย” ฝูหลีไม่ปฏิเสธ

ทั้งสองเดินออกจากจวนยมทูต ทันทีที่พ้นเขตอาคม เสื้อผ้าบนตัวฝูหลีก็เปลี่ยนกลับมาเป็นรูปแบบทันสมัย เขามองไปยังหอคอยอันงดงามวิจิตรด้านหลังจวนยมทูต “นั่นศาลนรกหรือ”

“ขอรับ” ลี่ซวียิ้มตอบ “ตบะของสหายธรรมฝูสูงส่งจนหลุดพ้นสามภพแล้ว ไม่มีวันได้ไปที่แห่งนั้นชั่วนิรันดร์”

ต่อให้ศาลนรกตกแต่งงดงามแค่ไหนก็เป็นเพียงสถานที่ที่ใช้ตัดสินโทษวิญญาณผู้ล่วงลับ ความเป็นตายของปีศาจซึ่งบำเพ็ญตบะจนแกร่งกล้าหลุดพ้นสามภพไม่อยู่ในความดูแลของนรก แม้นลี่ซวีจะมองพลังตบะของฝูหลีไม่ออก แต่มั่นใจได้ว่าตบะอีกฝ่ายต้องสูงล้ำแน่นอน

เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่ง ฝูหลีชี้ไปที่สะพานเล็ก ๆ อีกแห่ง “นั่นคือสถานที่อะไรหรือ ทำไมถึงมีวิญญาณเข้าแถวเยอะเชียว”

“นั่นคือสะพานไน่เหอ วิญญาณที่ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้ว เมื่อเดินข้ามสะพานไน่เหอก็จะตัดสิ้นชะตาเก่า กลายเป็นวิญญาณดวงใหม่” ลี่ซวีเดินขึ้นมาข้างฝูหลี “บรรดาผีที่ต่อแถวพวกนั้นคือรอไปเกิดใหม่”

“ข้าไม่อยากไปเกิดใหม่ ข้าไม่อยากลืมนาง” ชายหนุ่มในชุดบัณฑิตโบราณสีเขียววิ่งออกจากแถว ร่างกายผอมแห้งนั้นราวกับมีแรงไม่จำกัด ถึงขนาดหนีการไล่ล่าของยมทูตได้จนวิ่งตรงมาทางฝูหลี

ลี่ซวีเอาเท้ายันวิญญาณดวงนั้นล้มลงพื้น ก่อนใช้โซ่ล่ามวิญญาณมัดตัวชายหนุ่มชุดบัณฑิตเขียว

“ขอร้อง พวกท่านปล่อยข้าไปเถอะ ข้าพูดไว้แล้วว่าจะรอไปพร้อมกับนาง พวกเราสัญญากันไว้แล้ว” โซ่ล่ามวิญญาณรัดรึงร่างชายชุดบัณฑิตเขียวจนเห็นเป็นปล้องๆ กระนั้นเขาก็ยังดิ้นรนไม่หยุดเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของโซ่ล่ามวิญญาณนี้

“ขอร้องพวกท่าน ขอร้องพวกท่านละ” เดิมวิญญาณไม่มีน้ำตา แต่ดวงตาผีหนุ่มตนนี้กลับหลั่งรินเป็นสายเลือด เขามองอีกฝั่งของสะพานวั่งชวนอย่างสิ้นหวัง ดูคล้ายเฝ้ารอใครบางคนให้ปรากฏตัว ทว่าขณะเดียวกันก็กลัวนางมาเร็วเกินไป

ลี่ซวีมองยมทูตลากตัวผีตนนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ สองมือผีบัณฑิตชุดเขียวครูดกับพื้น ใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามดิ้นให้หลุดจากโซ่ แต่นอกจากทิ้งรอยเลือดสองรอยเป็นทางบนพื้นแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก

ฝูหลีมองดูรอยลากจากมือที่เปื้อนเลือดด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

โอกาสไปเกิดใหม่ไม่ได้มีมาง่าย ๆ ทำไมผีชายตนนี้กลับไม่ยอมไป ยังมีอะไรสำคัญไปกว่าสิ่งนี้อีก คนเราตายแล้วก็เหมือนตะเกียงดับ ชะตาวาสนาเก่าก่อนล้วนหมดสิ้นลงไปแล้ว ยังมีอะไรให้ปล่อยวางไม่ได้อีก

“ทุกปีก็จะมีพวกงมงายในรักไม่ยอมไปเกิดใหม่แบบนี้ บอกว่าจะรอคนที่ตนรักสุดหัวใจ” เพียงลี่ซวีปัดมือ รอยเลือดบนพื้นก็หายไป “ต่อให้รอได้แล้วอย่างไร ไปเกิดใหม่ชาติหน้าอาจจะไม่มีวันเจอหน้ากันเลยก็ได้ หรือไม่ก็อาจเกลียดขี้หน้าถึงขั้นกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกันเลยก็ได้ เดิมทีพวกคำพูดไม่แยกจากทุกชาติภพของพวกมนุษย์ก็มีไว้หลอกลวงอยู่แล้ว ข้าเป็นยมทูตมาสองพันปี ไม่เคยเห็นคู่รักคู่ไหนสามารถสานต่อบุพเพของชาติก่อนได้เลย”

“มนุษย์ช่างประหลาดแท้” หลังจากเงียบอยู่นาน สุดท้ายฝูหลีก็ได้บทสรุปนี้ สิ่งที่เรียกว่าความรักซึ่งมองก็ไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้ มีอะไรน่ายึดมั่นกัน

ลี่ซวีหันมองใบหน้านิ่งเฉยของฝูหลีแล้วพลอยนึกถึงมนุษย์ที่หลั่งน้ำตาเลือดเช่นกันผู้นั้น ก่อนพยักหน้าช้า ๆ “ใช่แล้ว มนุษย์ช่างประหลาดนัก” ร่ำร้องเพรียกหาสิ่งที่ไม่มีวันได้มา ทั้ง ๆ ที่รู้ผลลัพธ์แล้วก็ยังกอดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ทั้งน่าขันและน่าเศร้า เขาหัวเราะหยันทีหนึ่ง “อันความรักหากมองทะลุจนเห็นชัดแจ้งแล้วจะพบว่ามันก็เท่านั้นเอง”

ฝูหลีมองลี่ซวีอย่างพิจารณา “ท่าน…ดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับเรื่องนี้?”

ลี่ซวีสะอึกไปครู่หนึ่ง หัวเราะก่อนจะตอบ “ได้เห็นการพลัดพรากจากตายทุกวัน ๆ ไหนเลยจะไม่มีความรู้สึกร่วมสักหน่อย”

“ก่อนท่านเป็นยมทูตก็เป็นมนุษย์มาก่อนใช่ไหม” ฝูหลีเดินขึ้นสะพานวั่งชวน มองสายน้ำสีแดงหม่นเบื้องล่างผ่านราวจับ “ท่านน่าจะเคยเกิดความรู้สึกดีๆ กับมนุษย์คนอื่นเช่นกัน ท่านจะช่วยบอกให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าความรักคืออะไร”

“ความรัก…” ลี่ซวีหยิบบุหรี่ออกมาจุดก่อนจะพ่นควันวงใหญ่ “ก็แค่ผายลมเท่านั้นแหละ ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว”

ฝูหลีก้มลงพลางเหลือบมองก้นลี่ซวี “อืม ดูเหมือนจะมีเหตุผล”

“ที่คุณวิ่งมานรกในเวลางานก็เพื่อมาถกปรัชญาชีวิตกับหัวหน้ายมทูตหรอกเหรอ” จวงชิงจ้องฝูหลีเขม็งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไว้กลับไปคุณก็เลิกล้มความคิดที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นข้าราชการอะไรนั่น แล้วไปเป็นนักปรัชญาแทนดีไหม”

“สวัสดีคุณชายจวง” ลี่ซวีดับบุหรี่แล้วเป็นฝ่ายทักทายจวงชิง

“สวัสดีท่านหัวหน้ายมทูต” จวงชิงค้อมหัวให้ลี่ซวีน้อยๆ พอหันมาหาฝูหลีอีกทีหน้าก็ตึงอีกครั้ง “ฝูหลี คุณนี่นับวันจะยิ่งใจกล้าขึ้นทุกทีนะ ขนาดยมโลกก็กล้าบุกมาได้ ไม่กระโดดสระเกิดใหม่ไปด้วยเลยล่ะ”

“ผมกระโดดลงไปก็ไม่มีประโยชน์” ฝูหลีเป็นปีศาจที่จริงจังอย่างยิ่ง “อย่างไรก็ไปเกิดใหม่ไม่ได้”

“สมองอย่างคุณนี่มีแต่ตายแล้วไปเกิดใหม่นั่นแหละถึงจะแก้ได้” จวงชิงทิ้งคำพูดจบก็หันหลัง เดินไปได้สองก้าวเห็นฝูหลียังไม่ตามมาก็หน้าบึ้งพูดว่า “ยังจะยืนทำอะไรอยู่อีก รอให้ท่านหัวหน้ายมทูตชวนกินข้าวหรือไง”

ฝูหลีประสานมือคารวะลี่ซวีแล้วไล่ตามจวงชิงไป

ลี่ซวีมองแผ่นหลังของปีศาจทั้งสอง ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่าภาพนี้ดูตลกดีจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาเอาบุหรี่เข้าปากดูดทีหนึ่ง เมื่อไม่ได้รสชาติอะไรถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองดับบุหรี่ไปตอนจวงชิงมา

เขาส่ายหัวแล้วโยนบุหรี่ทิ้งถังขยะ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปทางจวนยมทูต

ตอนเดินกลับมาถึงทางแยก ผีบัณฑิตชุดเขียวที่หนีออกมายังขัดขืนดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ส่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมาน จนกระทั่งเมิ่งผอกรอกน้ำแกงเข้าปาก ผีหนุ่มผู้บ้าคลั่งถึงเริ่มสงบลงทีละนิด การรอคอยสิ้นสุดลงช้า ๆ ความรู้สึกใด ๆ ในแววตาค่อย ๆ เลือนหาย สุดท้ายก็เหลือเพียงความว่างเปล่าไร้อารมณ์ และกระโดดลงสระเกิดใหม่ตามการลากจูงของยมทูตอย่างว่าง่าย

ความรักความแค้นทั้งหมดจบลงด้วยน้ำแกงถ้วยเดียว

 

“จวงชิง ในยมโลกมีหม้อไฟด้วยละ ดูน่ากินทีเดียว” ฝูหลีคว้ามือรั้งจวงชิงเอาไว้ “เราลองไปชิมกันหน่อยไหม ไว้พวกเราแกล้งเป็นผีใหม่จะได้ส่วนลดด้วย”

จวงชิงหยุดเท้า หันมองฝูหลีพลางเอ่ย “ส่วนลดผีใหม่? จะฟันจนกระเป๋าคุณฉีกสิไม่ว่า”

เมื่อออกจากเมืองผี จวงชิงหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมา ทำให้ทางยมโลกเปิดประตูเส้นทางกลับสู่โลกมนุษย์โดยอัตโนมัติ จากนั้นคว้าแขนเสื้อฝูหลีโยนอีกฝ่ายเข้าไป

ครั้นกลับถึงโลกมนุษย์ ฝูหลีมองไปรอบ ๆ และพบว่าที่นี่คือทะเลทราย จวงชิงพาเขามาที่นี่ทำไมน่ะ

“ฝูหลี” จวงชิงมองอีกฝ่าย “ผมไม่สนว่าแต่ก่อนคุณใช้ชีวิตแบบไหน แต่ในเมื่อเข้ามาทำงานในกรมควบคุมแล้ว คุณต้องฟังคำสั่งผม เรื่องครั้งนี้ผมจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้ามีครั้งหน้าผมจะติดหนังสือเตือนไปทุกแผนก เข้าใจไหม”

“ขอโทษ เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดให้รอบคอบเอง แต่ผมก็มีเหตุผลเหมือนกัน” ฝูหลีเหลือบมองพระอาทิตย์ดวงโตบนฟ้า ก่อนจะเสกร่มคันใหญ่พร้อมชุดโต๊ะและเก้าอี้สองตัว “แดดแรงขนาดนี้ พวกเรานั่งคุยกันเถอะ”

ทะเลทรายแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับเผ่ามังกร

จวงชิงมององุ่นสดใหม่บนโต๊ะด้วยสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก่อนจะยอมนั่งลงใต้ร่มบังแดด “ว่ามา”

“สองพันปีก่อนผมเลี้ยงมนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงไว้คนหนึ่ง…”

“สัตว์เลี้ยง?” จวงชิงหน้าตึงก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น “ดูไม่ออกจริง ๆ ว่าคุณเคยมีความคิดแบบนั้นด้วย”

ความคิดแบบไหนกัน ฝูหลีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เข้าใจและไม่อยากคิดมากกับเรื่องเล็กน้อยจึงพูดต่อ “ร่างกายเขาไม่ค่อยดี ก่อนป่วยตายเขาขอไม่ให้ผมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอื่นอีก ผมรับปากเขาไว้”

จวงชิงเผลอทำองุ่นในมือร่วงลงโต๊ะเลยปัดมันทิ้งลงทรายไปทั้งอย่างนั้น

“วันนี้มีมนุษย์คนหนึ่งมาหาผม บอกว่าชาติก่อนรู้จักกับผม เขานึกว่าตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงที่ผมเลี้ยงไว้คนนั้น”

“นึกว่า?” จวงชิงจับสังเกตคำนี้ได้

“ใช่” ฝูหลีพยักหน้า “นึกว่า”

จากนั้นฝูหลีก็วิเคราะห์ต่ออย่างใจเย็น “เมื่อมนุษย์ไปเกิดใหม่ กรรมเวรบุพเพวาสนาในชาติก่อนล้วนกลายเป็นธุลีดิน นาทีที่เขาสิ้นลม วาสนาระหว่างผมกับเขาก็สิ้นสุดลงแล้ว เวลาผ่านไปสองพันปี ไม่รู้เขาไปเกิดใหม่กี่ครั้งแล้วด้วยซ้ำ จู่ๆ จะคิดถึงเรื่องเมื่อหลายชาติก่อนได้อย่างไร อีกอย่าง ภาพนิมิตพวกนั้นก็ไม่ตรงกับความจริงด้วย”

พอเห็นสีหน้าเฉยชาของฝูหลีแล้วจวงชิงก็พลอยอึดอัดใจขึ้นมา อีกทั้งเขาเองก็ไม่เข้าใจสาเหตุของความอึดอัดนี้

“คนที่รู้ว่าผมเคยเลี้ยงมนุษย์มีแค่คนในยมโลกเมื่อตอนนั้น ดังนั้นผมจึงไปสอบถาม” ฝูหลีหยิบไอศกรีมสองแท่งจากถุงเฉียนคุนและยื่นส่งให้จวงชิงแท่งหนึ่ง “เดี๋ยวผมอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณหน่อย”

จวงชิงแกะห่อไอศกรีม ก้มหน้ากัดคำหนึ่ง “ลองว่ามา”

“ไม่มีใครชำนาญเส้นทางใต้ทะเลเท่ากับเผ่ามังกรอย่างพวกคุณอีกแล้ว ผมอยากจะตามหาปีศาจตนหนึ่งน่ะ”

“ใคร”

“เซิ่น”

 

พื้นผิวมหาสมุทรส่องประกายระยิบระยับ คลื่นซัดหาดทรายเบา ๆ เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง ใต้ผิวน้ำ มังกรตนหนึ่งกำลังแหวกว่ายด้วยความเร็ว หากมีคนตาไวพอก็จะเห็นว่าบนหัวมังกรมีกระต่ายตัวหนึ่งนั่งอยู่

ความเร็วในการว่ายน้ำของมังกรนั้นเร็วมาก พริบตาเดียวก็สามารถว่ายจากพื้นผิวสู่ใต้ทะเลได้หลายรอบ

เมฆครึ้มบนฟ้าเริ่มรวมตัว ดูท่าฝนใกล้จะตกลงมาแล้ว สภาพอากาศเหนือท้องทะเลแปรปรวนอย่างมาก เดี๋ยวมีลมเดี๋ยวมีฝน เป็นเรื่องที่ปกติเสียยิ่งกว่าปกติ

ตอนที่จวงชิงทะยานพ้นผืนน้ำ ฝูหลีที่หมอบอยู่บนแผงคอก็สะบัดร่างที่ค่อนข้างอวบอ้วนเพื่อสลัดน้ำทะเลก่อนเปลี่ยนร่างเป็นคน “มาแล้ว”

ไก่ฟ้าตัวหนึ่งบินเรี่ยท้องน้ำชั่วครู่ก่อนที่จู่ ๆ จะพุ่งลงน้ำ ทันทีที่ไก่ฟ้าสัมผัสน้ำก็เปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ที่คล้ายกับมังกรมีเกล็ดสีน้ำตาลหม่นรูปร่างประหลาด ซึ่งพอลงน้ำแล้วก็ยากจะสังเกตเห็น

ตอนที่เซิ่นเห็นมังกรทองก็คิดจะมาทำความเคารพ ทว่าครั้นเห็นข้างกายมังกรทองมีคนอีกคนก็ตกใจจนหมุนตัวหนี

ฝูหลีเขวี้ยงแส้ในมือไปมัดตัวเซิ่นลากกลับมา “ปีศาจเซิ่น เจ้าคิดจะหนีไปไหน”

เซิ่นม้วนหาง เปิดปากพูดจีนกลางงึมงำแบบไม่กระดกลิ้น “ปล่อยข้านะ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

“ข้ายังไม่ทันถามอะไรเลยเจ้าก็บอกว่าไม่รู้แล้ว” ฝูหลีสะบัด ๆ แส้ให้รัดเซิ่นแน่นขึ้น “ใครเป็นคนสั่งให้เจ้าฝังความทรงจำปลอมใส่หัวมนุษย์ รู้หรือไม่ว่านี่เป็นการทำผิดกฎของกรมควบคุมดูแลผู้ฝึกตน”

เซิ่นหันไปทางมังกรทองหวังให้อีกฝ่ายช่วยเขาพูดเพราะเห็นแก่ความเป็นสัตว์น้ำด้วยกัน

“ปีศาจที่ทำร้ายมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ โทษสถานเบาคือปรับเงิน โทษสถานหนักคือคุมขังในค่ายกลสะกดวิญญาณ” จวงชิงเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ “ว่าอย่างไร”

เซิ่นสิ้นหวังแล้ว ที่แท้มังกรตนนี้ก็เป็นพวกไม่รักพวกพ้อง มันสะบัดหัวก่อนจะอ้าปากพ่นควันออกมา

เหนือผิวน้ำพลันเกิดหมอกหนาทึบ ปรากฏเป็นภูเขาเซียนท่ามกลางสายหมอก ฝูหลีมองก้อนหินและแมกไม้บนภูเขากลางหมอกหนาด้วยอาการตะลึงงัน

นี่มัน…บรรพตเงาหมอก

 

[1] จากวั่งชวนเหอที่แปลว่าแม่น้ำลืมเลือน

[2] เทพเจ้าประจำเมือง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า