不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 1
月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน
นกแก้ว
แปล
— โปรย —
โลกมนุษย์ยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นทุกที
แต่คนเป็นมนุษย์เองกลับไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง
ก็ใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าความแปรปวนปั่นป่วนของท้องฟ้า ทะเล อากาศจะเกี่ยวข้องกับปีศาจได้
ถ้า ‘ฝูหลี’ ไม่เริ่มเดินทางมาอยู่ในเมืองหลวงของมนุษย์อย่างจริงจัง
บางทีเขาเองก็คงไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน และเรื่องนี้ก็จะเป็นความลับต่อไป
แต่ในเมื่อวันนี้เขามาแล้ว แถมยังมาเพราะมีความคิดอยากลองรับราชการดูอีกด้วย
ปีศาจแก่เฒ่าเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนบอกว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
แต่เขากลับไม่ลดละความพยายาม จนกระทั่งได้รับโอกาส
ทว่า…โอกาสที่ว่านี้ไม่ใช่ได้รับราชการกับพวกมนุษย์หรอกนะ
แต่เขาต้องไปช่วยปราบปีศาจน่ะ
ก็แหม ใครใช้ให้เขาแสดงฝีมือซะจนใครเห็นก็ต้องเรียกเขาว่า ‘ลูกพี่’ ล่ะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 6
ภายในสถานีรถไฟอันพลุกพล่าน มีทั้งหนุ่มสาวแต่งตัวทันสมัย ทั้งหญิงชายวัยกลางคนแบกกระเป๋าเล็กบ้างใหญ่บ้าง ทุกคนก้าวเดินฉับ ๆ ราวกับตัดขาดจากผู้คนรอบข้าง ทว่าขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นหนึ่งในคลื่นมนุษย์อันมหาศาลนี้
แต่ไรมาสถานีรถไฟเป็นแหล่งรวมผู้คนสารพัดสารพัน แม้ปัจจุบันจะกวดขันกันอย่างเข้มงวด ติดกล้องวงจรปิดทุกซอกทุกมุม กระนั้นก็ยังคงมีพวก ‘ใจกล้าบ้าบิ่น’ พยายามหยิบฉวยทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ
รถไฟเพิ่งเข้าจอดที่สถานีไม่ทันไร ก็มีชายชราถามเสียงดังว่ามีใครเห็นกระเป๋าของตนบ้าง ผู้โดยสารแต่ละคนต่างรีบร้อนออกจากรถไฟ บางคนออกไปโดยไม่แม้แต่หันมอง บางคนมองประเดี๋ยวเดียวอย่างเห็นใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครหยุดเท้าเพื่อช่วยเหลือเขาสักคน
ชายชราผิวคล้ำแดด ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย เสื้อบนกายซักจนขาวซีดถึงขั้นชายเริ่มลุ่ย เห็นได้ว่าชีวิตเขาไม่ได้มั่งคั่ง เสียงร้องไห้ของชายชราเรียกความสนใจจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสถานี เจ้าหน้าที่กลัวชายชราจะสะเทือนใจจนกระทบถึงร่างกายจึงพยุงเขามานั่งแถวนั้น ท่ามกลางฝูงชนอันเร่งรีบก็ยังมีคนหยิบยื่นกระดาษทิชชูให้บ้าง น้ำขวดบ้าง แม้ว่าจากนั้นพวกเขาจะยังคงสาวเท้าอย่างรีบร้อนและทำได้แค่หันมามองชายชราไม่กี่ครั้งก็ตาม
ชายว่างงานยืนดูเหตุการณ์ไกลๆ อยู่สักพักก็หันหลังเตรียมเดินตามคลื่นมนุษย์ออกไปข้างนอก ทว่าเดินไปได้แค่สองก้าวก็ถูกใครบางคนตบบ่า เจ้าตัวชะงักกึก ก่อนจะวิ่งโกยอ้าวโดยไม่แม้แต่จะหันหลัง
“จะหนีไปไหน” ชายหนุ่มสวมสูทผูกเน็คไทเตะข้อเท้าด้านหลังของคนร้ายจนเสียการทรงตัวชนปังเข้ากับกำแพง กระเป๋าสตางค์กับมือถือหลายเครื่องร่วงหล่นจากตัว
พอเห็นว่าเรื่องแดงขึ้นมาแล้ว คนร้ายก็รีบตะเกียกตะกายพยายามหนีออกจากที่เกิดเหตุ ไม่มีแก่ใจแม้แต่จะร้องโอดโอย จากนั้นไม่รู้ว่าสุภาพบุรุษหน้าตาหล่อเหลา ผมเผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่าทางภูมิฐานทำอะไรถึงสามารถใช้เท้าเดียวเหยียบคนร้ายให้นอนนิ่งบนพื้น ลุกยังไงก็ลุกไม่ขึ้น
“กับคนแก่ยังริขโมย ไม่กลัวบาปกลัวกรรมบ้างเลยหรือไง” จวงชิงหิ้วตัวเจ้าหัวขโมยขึ้นมาส่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่รีบวิ่งมาหา พร้อมกับหยิบกระเป๋าสตางค์และมือถือบนพื้นส่งให้ ในบรรดาของเหล่านั้นมีกระเป๋าใบเล็กซึ่งห่อในถุงพลาสติกที่สะดุดตาเป็นพิเศษ เขาปัด ๆ ฝุ่นบนถุงก่อนจะเดินไปตรงหน้าชายชรา
“นี่ใช่ของคุณปู่หรือเปล่าครับ”
ชายชรารับถุงพลาสติกมาเปิดด้วยมือสั่นเทา ข้างในมีแบงก์สีแดงอยู่ไม่กี่ใบ นอกนั้นเป็นแบงก์ย่อยหลักสิบหลักหน่วย แม้จะดูเต็มกระเป๋าแต่ความจริงยอดเงินรวมกันแล้วไม่เท่าไหร่
“ขอบใจนะ ขอบใจ!” ชายชราขอบคุณจวงชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความซาบซึ้ง แม้แต่คนแถวนั้นยังปรบมือให้ด้วยความประทับใจ
จวงชิงเบียดแทรกตัวผ่านกลุ่มคนมุงแล้วเดินชายเสื้อสูทแบรนด์เนมปลิวออกจากโถงกลางสถานีรถไฟ
“เถ้าแก่ แท็กซี่ไหม”
“ไม่ครับ”
“พี่ชายสุดหล่อ ไปตงเฉิงหรือเปล่า ตงเฉิงเหมาเจ็ดสิบห้าหยวนส่งถึงหน้าประตูบ้านเลยนะ”
“ไม่ไปครับ”
จวงชิงเมินบรรดาคนขับรถแท็กซี่ที่พยายามเรียกลูกค้า เขากวาดสายตามองหารอบ ๆ จากนั้นเดินตรงไปยังรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล้วเคาะกระจก
เมื่อกระจกรถเลื่อนลง หัวล้านเลี่ยนก็โผล่ออกมา “เจ้านายกลับมาสักที”
“รถไฟล่าช้านิดหน่อย” จวงชิงเปิดประตูโยนกระเป๋าเดินทางไปที่เบาะหลังรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่ง ก่อนจะขมวดคิ้วพูดทันที “ผู้บำเพ็ญเพียรจะแสวงหาความสะดวกสบายได้ยังไง ปิดแอร์ซะ”
ชายหัวล้านหันไปมองจวงชิง พูดอ้อมแอ้มว่า “เจ้านาย นี่ปลายเดือนแล้ว งบเดินทางเดือนนี้ของแผนกเราก็ยังใช้ไม่หมดเลย อย่าขี้งกนักสิครับ”
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับขี้งก” จวงชิงทำหน้าเคร่ง “ผู้บำเพ็ญเพียรที่แท้จริงไม่ควรกลัวร้อนกลัวหนาว”
“แต่ผมเป็นแค่ปลาที่กลัวความร้อน…”
จู่ ๆ รังสีกดดันอันน่ากลัวก็จู่โจมอย่างฉับพลัน ชายหัวล้านนามฉู่อวี๋กลืนน้ำลายเอื๊อกพลางยื่นมือไปปิดแอร์ “เจ้านายพูดถูกต้องครับ ผมต้องควบคุมสัญชาตญาณเดิมให้ได้ถึงจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่ง”
“อืม” จวงชิงหลับตาลง เอนหลังพิงเบาะ ใบหน้างดงามราวเทพสลักเสลาช่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ
รถยนต์เคลื่อนที่ไปได้ครึ่งทางพวกเขาก็เผชิญกับรถติด แม้อุณหภูมิภายในห้องโดยสารพุ่งสูงเกือบสี่สิบองศา ทว่าผู้โดยสารทั้งสองคนในรถกลับไม่มีเหงื่อไคลไหลแม้แต่หยดเดียว ราวกับดวงอาทิตย์ที่แขวนอยู่บนฟ้าเป็นเพียงหลอดไฟที่แทบไม่มีความร้อนใด
“จับตัวปีศาจร้ายที่พวกนายรายงานฉันเมื่อไม่กี่วันก่อนได้หรือยัง”
“จับได้แล้วครับ” ฉู่อวี๋นั้นใจเย็น เจอรถติดหนักก็ไม่แสดงอาการอะไร “เจ้าหนุ่มจางเคอนั่นเป็นคนจับได้ ได้ยินว่ามียอดฝีมือให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้ก็ยังใช้แส้สยบปีศาจนั่นมัดตัวมันไว้อยู่ พลังตบะของพวกเรายังไม่แก่กล้าพอจะทำอะไรมันสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เลยรอเจ้านายกลับมานี่แหละครับ”
พูดถึงตรงนี้ฉู่อวี๋ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “จะว่าไปทำไมเจ้านายถึงนั่งรถไฟกลับมาล่ะ”
“ทางนั้นไม่มีเที่ยวบินตรงมาที่นี่”
“งั้นเจ้านายก็ไปเมืองไห่ซื่อแล้วบินตรงจากที่นั่นกลับมาก็ได้นี่ครับ” ฉู่อวี๋แอบประจบเล็กๆ อีกครั้ง “ถ้าไม่เพราะปัจจุบันมีพวกกล้องเรดาร์อยู่ทุกที่ ด้วยตบะอย่างเจ้านาย บินจากต่างประเทศกลับมาใช้เวลาแค่พริบตาเดียวด้วยซ้ำ”
ในรถเงียบไปสักพัก ก่อนจวงชิงจะเปิดปากตอบเนือยๆ “ค่าเครื่องบินจากไห่ซื่อมานี่เบิกไม่ได้”
ฉู่อวี๋ “…”
ในโรงพยาบาล พอเผิงหางเห็นฝูหลีหยิบอะไรบางอย่างสีแปลก ๆ ใส่แก้ว แล้วใช้ช้อนบี้ ๆ สองที จากนั้นเทน้ำใส่ เตรียมจะเอาไปให้คนไข้ในห้องผู้ป่วยดื่มก็ตกใจจนรีบดึงตัวฝูหลีไว้ “พ่อหนุ่ม ถ้าเอายาปลอมคุณภาพต่ำให้คนอื่นดื่มแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาเธอต้องเข้าคุกนะ”
“แต่นี่เป็นยาจริงนะครับ” ฝูหลีปัดมือเผิงหางออก “คำสัญญาลูกผู้ชายหนักกว่าพันจิน ผมรับปากอะไรใครไว้ไม่เคยคืนคำ”
หรือสมองเด็กหนุ่มนี่จะเพี้ยนไปแล้ว
“เขาเป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรง ใช่ว่าดอกไม้ใบหญ้าทั่วไปจะรักษาได้นะ” เผิงหางตามไปดึงชายเสื้อฝูหลี “เธออย่าล้อเล่นดีกว่า เรื่องนี้ปล่อยให้พวกเราตำรวจจัดการเถอะ ฉันโทร.ติดต่อกับทางกรมแล้ว เดี๋ยวพวกเราจะช่วยติดต่อหน่วยงานมูลนิธิในเขตที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของผู้ก่อเหตุเพื่อยื่นเรื่องขอเงินช่วยเหลือพิเศษเอง อย่าวู่วามทำอะไรซี้ซั้วดีกว่านะ เกิดปัญหาขึ้นมาจะรับผิดชอบไม่ไหว”
ฝูหลีชักเริ่มลังเล หลายปีมานี้เขาแทบไม่ได้คบค้าสมาคมกับพวกมนุษย์ ถึงจะมีไปถิ่นอาศัยของมนุษย์บ้าง แต่ก็เพื่อแอบดูรายการข่าวเท่านั้น ไม่แน่ว่าร่างกายมนุษย์อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นไปได้ว่ากินยาพวกนี้แล้วอาจจะไม่ได้ผลก็ได้
ทว่าทันใดนั้นประตูห้องแพนทรี่ก็เปิดผาง ใครจะไปรู้ว่าหญิงที่เมื่อครู่ยังเตรียมจะกระโดดตึก พอเห็นแก้วที่ส่งกลิ่นยาในมือฝูหลีก็รีบแย่งแก้วไป ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปทางห้องผู้ป่วยทันที
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน” เผิงหางร้อนใจแทบบ้า อยากจะรีบเข้าไปขวางหญิงผู้นั้นไว้ แต่ตัวเองกลับถูกขวางแทน
“อย่าเพิ่งร้อนใจ อาจจะได้ผลก็ได้”
“ชีวิตคนไม่มีคำว่าอาจจะ!” เผิงหางตะโกนลั่น “ที่นอนบนเตียงคนไข้นั่นคือชีวิตเด็กคนหนึ่งนะ!” เขาผลักฝูหลีออกด้วยมือเดียว ก่อนจะสาวเท้ายาว ๆ ตามไป
ฝูหลีก้มมองมือที่ถูกปัดออกแรง ๆ ด้วยสายตาอธิบายไม่ถูก แต่ก่อนเขาเองก็เคยเห็นมือปราบในโลกมนุษย์มาเหมือนกัน พวกมือปราบใจกล้าขนาดนี้เลยหรือ
ไม่ว่าใครก็อย่าได้ดูถูกเรี่ยวแรงของคนเป็นแม่ซึ่งจนตรอกแล้วเป็นอันขาด ตอนที่เผิงหางตามมาถึงห้องผู้ป่วย ยาในแก้วก็ถูกเด็กน้อยดื่มไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าถึงรู้สึกว่ากลิ่นยาปลอมนี่หอมมากจริง ๆ แต่ก็อาจจะเพราะใส่สารเพิ่มกลิ่นหอมบางอย่างที่ไม่ดีต่อร่างกายก็เป็นได้
พอเห็นแววตาเปี่ยมไปด้วยความหวังของเธอแล้ว เผิงหางก็พูดไม่ออกว่านี่คือยาปลอม เขาหันไปส่งสัญญาณมือกับเพื่อนร่วมงานให้ไปเรียกคุณหมอมา เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือทันการณ์
นายแพทย์เจ้าของไข้ได้ยินว่ามีคนให้ยาอะไรก็ไม่รู้กับคนไข้ก็ตกใจมาก โยนกล่องข้าวที่เพิ่งกินไปได้สองคำทิ้งแล้วรีบวิ่งห้อมาห้องผู้ป่วย ใช่ว่าพวกเขาตื่นตูมเกินเหตุ แต่เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ญาติผู้ป่วยได้ข่าวตำรับยาพื้นบ้านอะไรสักอย่างมา เลยเอามาให้ผู้ป่วยลอง ผลสุดท้ายผู้ป่วยอาการแย่ลงจนช่วยไม่ทันและเสียชีวิต
เมื่อวิ่งหอบแฮกมาถึงประตูห้องผู้ป่วย คุณหมอที่ยันขอบประตูปรับลมหายใจยังไม่ทันเข้าที่ดีก็ได้ยินผู้ป่วยที่อายุแค่เก้าขวบพูด
“แม่ฮะ ดูเหมือนว่าท้องผมไม่ค่อยปวดแล้วละ”
คุณหมอเจ้าของไข้คิดในใจ หรือว่าในนั้นจะมีตัวยาแก้ปวด แก๊งต้มตุ๋นขายยาสมัยนี้มันช่างสารเลวสิ้นดี ทำแต่เรื่องต่ำช้าน่าเฉือนเนื้อให้ตายช้า ๆ เป็นพันครั้ง เอาให้ไร้ทายาทสืบสกุลไปเลย
เขาหอบหายใจอีกสองทีแล้วเดินไปหน้าเตียงผู้ป่วย ตรวจร่างกายคนไข้เด็กคร่าว ๆ
หัวใจปกติ ชีพจรปกติ รูม่านตาไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ พอลองกดช่วงท้องเบาๆ คนไข้ก็ไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวด
“พวกคุณให้เด็กกินอะไร” คุณหมอเจ้าของไข้มองไปทางหญิงผู้เป็นแม่ ทว่าเธอกลับส่ายหน้าตอบว่าไม่รู้ อีกทั้งพอหันไปมองนอกประตูก็ไม่เห็นเด็กหนุ่มเมื่อครู่แล้ว
คนล่ะ
เผิงหางส่ายหัว เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเด็กหนุ่มนั่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“เจ้านาย!” ฉู่อวี๋ที่ขับรถอยู่หน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน พูดกับผู้ชายที่นั่งข้างหลัง “คุณได้กลิ่นหรือเปล่า!”
ร่างเดิมเขาเป็นปลา ประสาทสัมผัสจึงดีเลิศ อีกทั้งกลิ่นหลินจือเนื้อ[1]เข้มข้นขนาดนี้ กระทั่งเขาก็ยากจะมองข้าม
จวงชิงที่ตอนแรกหลับตาทำสมาธิค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปมองโรงพยาบาลที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนพูดเสียงเบา “ไท่ซุ่ย…”
หลินจือเนื้อใช้เวลาเติบโตหนึ่งพันปี รักษาได้สารพัดโรค เพียงแต่คนหรือปีศาจส่วนใหญ่ไร้วาสนาจะได้ลิ้มลอง ผู้ที่กินไท่ซุ่ยหากตบะไม่แข็งแกร่งพอ ผลเสียสถานเบาคือป่วยหนักยากรักษา ผลเสียร้ายแรงคือบ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนล้มตาย นานวันเข้ามนุษย์ถึงได้มีคำเล่าลือว่า หากคนไหนโชคไม่ดี จะถูกคนอื่นล้อเลียนว่าทำเทพไท่ซุ่ย[2]ไม่พอใจ
แต่ไท่ซุ่ยที่เขาได้กลิ่นนี้แปลกมาก เพราะไร้ซึ่งจิตอาฆาตหรือไอมารเจือปน ถึงขั้นไม่มีบาปกรรมติดตาม
สมัยนี้ผู้บำเพ็ญเพียรนับวันยิ่งเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ ความสามารถด้อยลงทุกรุ่น ๆ หากใครมีไท่ซุ่ยบริสุทธิ์เช่นนี้ในครอบครอง ย่อมถูกผู้คนนับไม่ถ้วนรุมล้อมสรรเสริญ ดังนั้นมันจะโผล่ออกมาง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร
กลิ่นไท่ซุ่ยจางลงรวดเร็วมาก เพียงไม่กี่อึดใจก็หายไปแบบไร้ร่องรอย
จวงชิงเคยเห็นของดีมามากมาย ด้วยเหตุนี้ไม่ทันไรเขาก็เลิกสนใจ
“เฮ้อ…เดี๋ยวนี้เพื่อนพ้องเผ่าปีศาจของพวกเราก็อยู่ยากเหมือนกัน” ฉู่อวี๋ซึ่งหายจากอาการตะลึงชี้ไปยังเด็กหนุ่มที่เก็บขวดน้ำแร่ตรงหน้าโรงพยาบาล “ตกต่ำถึงขั้นเก็บขวดพลาสติกแลกเงินกันแล้ว”
จวงชิงเหลือบตาขึ้นมอง เห็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อยืดกำลังเก็บขวดน้ำแร่โยนใส่ถุงพลาสติกในมือ
“หากนายไม่ตั้งใจบำเพ็ญตบะแล้วถูกขับไล่ออกจากสำนัก ก็ต้องมาแย่งงานเขาทำแบบนี้แหละ”
กลิ่นมังกร?
ฝูหลีเงยหน้ามองดวงอาทิตย์แผดจ้าบนท้องฟ้า เมื่อก่อนเวลามังกรเดินทางผ่านมา ถ้าพบว่าอากาศร้อนจัดจะยังช่วยโปรยฝนมอบความชุ่มฉ่ำในยามแล้งแก่ปวงประชาบ้าง แต่ตอนนี้นับวันมังกรยิ่งขี้เหนียวขึ้นทุกที
กระทั่งปรากฏการณ์มังกรบันดาลฝนอันเป็นคุณธรรมอันดีงามยังลืมกันแล้ว
สมกับที่ว่ารุ่นใหม่สู้รุ่นเก่าไม่ได้จริงๆ
[1] หรือไท่ซุ่ย เป็นกลุ่มโปรตีนของราเมือกชนิดหนึ่งที่เกาะรวมตัวเป็นตอขนาดใหญ่ เมื่อเฉือนเนื้อออกสามารถงอกใหม่ได้ หากดื่มน้ำที่แช่มันไว้สามารถช่วยให้หายปวดหัว ชาวบ้านจึงเล่าลือว่ามันคือไท่ซุ่ยหรือยาอายุวัฒนะตามตำราแพทย์จีนโบราณ
[2] เทพไท่ซุ่ย หรือไท่ส่วยเอี๊ยะ เป็นเทพผู้คุ้มครองดวงชะตา คนไหนที่โชคไม่ดีชาวบ้านจะเรียกกันว่า ‘ฟ่านไท่ซุ่ย’ มาจากวลีเต็มๆ ว่า ‘ชงฟ่านไท่ซุ่ย’ หรือที่คนไทยรู้จักในนามดวงชง ปีชง การแก้ชงก็คือการไปกราบไหว้เทพผู้คุ้มครองดวงชะตา