君有疾否
ปฏิปักษ์คู่บัลลังก์
如似我闻 หรูซื่อหว่อเหวิน เขียน
เจ้าเจิน แปล
LadyVanila วาด
— โปรย —
คนหนึ่งกุมอำนาจทางการทหาร คนหนึ่งกุมอำนาจผู้ตรวจการแผ่นดิน
คนหนึ่งแสร้งเป็นพวกตัดแขนเสื้อเพื่อเข้าหา
คนหนึ่งหลีกลี้หนีหน้าพวกตัดแขนเสื้อ ทว่ากลับตัดแขนเสื้อเสียเอง
เมื่อสติปัญญาปะทะร้อยเล่ห์ในเกมชิงอำนาจแห่งราชสำนัก
ฉู่หมิงอวิ่น ที่เอาแต่รุกไล่ตามจีบ ซูซื่ออวี้
เจอหน้าอีกฝ่ายเป็นต้องหยอดคำหวานด้วยมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ
เขาจะทำให้จิตใจของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเฉยชาและมั่นคงนี้
มีอันต้องสั่นคลอนเพราะคำพร่ำพลอดทุกคราที่เจอหน้า
จนทลายฉายาบุรุษไร้ใจได้หรือไม่
หรือแผนโค่นล่ม จะกลับกลายเป็นแผนพิชิตรัก
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1.1
แคว้นต้าเซี่ย รัชศกยงเหอปีที่แปด วันครีษมายัน[1]
ชานเมืองนอกนครหลวงฉางอัน ทะเลแมกไม้ดกครึ้ม ลมพัดผ่านแหวกเป็นรอยแยก เสียงหวีดร้องใสกระจ่างดังขึ้นคราหนึ่ง กลางป่าเขียวชอุ่มพลันมีนกขนดำที่ไม่สะดุดตาตัวหนึ่งโฉบออกมา ก่อนจะทะยานสู่นภา นกตัวนั้นกระพือปีกแฉลบผ่านหอคอยที่ตั้งตระหง่านเหนือประตูเมือง ผ่านถนนสายยาวอันคึกคักรุ่งเรือง ก่อนมุดหัวเข้าไปในจวนผู้บัญชาการ ร่อนลงบนไหล่บุรุษชุดดำที่มีท่วงท่าสง่าผ่าเผยคนหนึ่งกลางลาน
ฉินเจาเก็บกระบอกไม้ไผ่ที่อยู่บนขาของนก กวาดสายตามองจดหมายคร่าว ๆ แล้วหมุนกายเหยียบขึ้นบันได
กลิ่นไม้จันทน์ลอยอบอวลภายในห้องหนังสือ บุรุษหนุ่มสวมเสื้อคลุมแพรไหมสีครามผู้หนึ่งนั่งเอนกายอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ เขากำลังหลุบตาปอกผลลิ้นจี่ เปลือกลิ้นจี่สีแดงสดขับนิ้วมือของเขาให้ขาวผ่อง
“กลับมาได้จังหวะพอดี” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยกับผู้ที่เข้ามาโดยไม่เงยหน้า “กินหรือไม่”
ฉินเจามอบจดหมายให้ “เฉินเสวียนเหวินตายแล้ว”
การเคลื่อนไหวของฉู่หมิงอวิ่นชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองฉินเจา หยิบผ้าแพรไหมขึ้นเช็ดมือจนสะอาดสะอ้านแล้วจึงรับจดหมาย อ่านทีละบรรทัดอย่างไม่ใส่ใจ ใบหน้าของเขาปราศจากคลื่นอารมณ์ เพียงแต่ยามวางจดหมายลงบนโต๊ะกลับหัวเราะขึ้นเบา ๆ อย่างคลุมเครือ “เฉินเสวียนเหวินมีบุญคุณช่วยเหลือข้า การส่งคนคุ้มกันเขากลับบ้านเกิดอย่างลับ ๆ เดิมทีก็เป็นน้ำใจอย่างที่สุดแล้ว นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าจะเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายขึ้นกับเขา”
“เป็นข้าน้อยที่ไร้ความสามารถ” ฉินเจาเอ่ย
“เอาเถอะ” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย “ผู้อื่นฆ่าตัวตาย ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะขัดขวางได้”
ฉินเจานิ่งเงียบไม่พูดจา
เฉินเสวียนเหวินคนนั้นอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ตำแหน่งสูงสุดเป็นถึงเจ้ากรมทหาร รับใช้ฮ่องเต้มาสามรุ่น มีบารมีในราชสำนักมากล้น ไม่กี่วันก่อนเขาเกษียณตัวเองลากลับบ้านเกิด องค์เหนือหัวพระราชทานของขวัญให้ ขุนนางหลายชีวิตร่วมส่งลา ทุกอย่างล้วนสงบราบรื่นเฉกเช่นตลอดชีวิตของเขา แม้แต่องครักษ์เงาที่พวกเขาส่งไปคุ้มครองล้วนออกเดินทางกลับมารายงานภารกิจแล้ว ใครจะคาดเดาได้ว่าจู่ ๆ เขาก็ปลิดชีพตนคาบ้าน
ยามที่องครักษ์เงาทราบข่าวแล้วกลับไปถึง ทั้งห้องเหลือเพียงคราบเลือดกระจัดกระจาย ศพของเฉินเสวียนเหวินถูกขุนนางท้องถิ่นรับไปบรรจุใส่โลงและฝังแล้ว จากคำบอกเล่า จู่ ๆ เขาก็ดื่มสุราขับขานบทเพลงสุดเหวี่ยงตลอดทั้งคืน หลังจากนั้นก็ไร้ซึ่งข่าวคราว พอเพื่อนบ้านผลักประตูเข้าไปถามไถ่ กลับเห็นเขากุมกระบี่ปลิดชีวิตตนเองจนสิ้นใจ โลหิตสดกระเซ็นทั่วพื้น ยิ่งไปกว่านั้นมีคนกล่าวว่าได้เห็นตัวอักษรเลือดไหลย้อยแปดคำที่เขาเขียนไว้บนผนัง
“มิทนถูกบีบ ขอตายเพื่อปณิธาน”
“เขาเขียนประโยคนี้ก่อนตายจริง ๆ หรือ” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยถาม
“ตอนองครักษ์เงากลับไปถึงก็ไม่เห็นตัวอักษรใดหลงเหลืออยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ ทางการกำลังระงับข่าวด้านนั้นไว้ กล่าวเพียงว่าถึงแก่กรรมแล้ว อย่างอื่นล้วนปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึง”
“เหอะ เฉินเสวียนเหวินเป็นคนระดับใด จู่ๆ มาตายอยู่ในบ้านกะทันหันขนาดนี้ ทางการคงกลัวว่าจะมีข้อสงสัยที่สะเทือนถึงนครหลวงจนชักนำปัญหาตามมาอยู่จริง ๆ อย่างไรเสียก็อยู่ไกลจากนครหลวง ย่อมอยากปกปิดเรื่องราวให้ผ่านพ้นไปโดยเร็วที่สุด การปกปิดอำพรางว่าสุขสงบก็เป็นสิ่งที่คนเหล่านั้นถนัดมิใช่หรือ” ฉู่หมิงอวิ่นพิงพนักเก้าอี้ ปลายนิ้วแตะบนจดหมายเบา ๆ “ข่าวลือใช่ว่าจะเกิดขึ้นตามอำเภอใจ อีกทั้งประโยคนี้ก็มีความเด็ดเดี่ยวห้าวหาญของเขาจริง ๆ น่าจะเป็นของจริง เกรงว่าเพราะทิ้งเบาะแสไว้ชัดเจนเกินไป จึงถูกคนทำลายทิ้ง”
ฉินเจามึนงง “เรื่องนี้มีปัญหาภายในจริง ๆ หรือ”
ฉู่หมิงอวิ่นกลับถาม “พบครอบครัวของเฉินเสวียนเหวินอยู่ที่นั่นด้วยไหม”
ฉินเจาไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าเอ่ย “ดูจากรายงาน ไม่พบเห็นมาก่อน”
“เรื่องนี้มิน่าแปลกใจ”
“อะไรหรือ”
“‘มิทนถูกบีบ ขอตายเพื่อปณิธาน’ นี่ต้องไม่ใช่ความแค้นส่วนตัวแน่นอน เฉินเสวียนเหวินเป็นขุนนางมาหลายปี ไม่กล่าวถึงลูกศิษย์นับร้อย ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากเขาไม่ว่าจะมากหรือน้อยล้วนมีนับไม่ถ้วน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความลับที่เขาล่วงรู้ทั้งหมด หากสามารถใช้งานเขาเพื่อตนเองได้ ก็จะได้เปรียบเหนือราชสำนัก” ฉู่หมิงอวิ่นยิ้มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ย “ไร้ทางชักจูงเข้าเป็นพรรคพวก จึงใช้ครอบครัวมาข่มขู่ ไม่ใช่วิธีการใหม่อะไร”
“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จำต้องยื่นมือเข้าแทรกแล้ว” ฉินเจาเอ่ย
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาพาครอบครัวของเขาไปยังที่อื่นเอง หรือตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย “ให้องครักษ์เงาที่ยังอยู่ที่นั่นสืบข่าวจากทางการอีกครั้งก่อน ลองดูว่าพบอะไรหรือไม่”
“รับทราบ” ฉินเจาชะงัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ยังมีอีกเรื่อง ตอนนี้ดูแล้วอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง คนที่พวกเราสังเกตเห็นระหว่างทางก่อนหน้านี้แอบติดตามเฉินเสวียนเหวินเช่นกัน องครักษ์เงาเพิ่งพบร่องรอยของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้งที่ฉางอัน ยืนยันได้ว่าเป็นคนจากตระกูลซู”
“…ตระกูลซู?” ฉู่หมิงอวิ่นย่นคิ้วเล็กน้อย “ซูซื่ออวี้หรือ”
ฉินเจามองเขาพลางพยักหน้า
แคว้นต้าเซี่ยดำรงอยู่มานานกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว เนื่องจากอัครมหาเสนาบดีผู้ก่อตั้งราชสำนักวางแผนก่อกบฏ นับแต่นั้นจึงยกเลิกตำแหน่งนี้ สามขุนนางใหญ่เหลือเพียงสองตำแหน่ง คือผู้บัญชาการควบคุมงานทหาร ผู้ตรวจการดูแลงานตรวจตรา ร่วมกันช่วยเหลือฮ่องเต้ปกครองบ้านเมือง
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระชนมพรรษาเยาว์วัยทั้งอ่อนแอไร้ความสามารถ ราชสำนักจึงถูกฉู่หมิงอวิ่นผู้อยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการและซูซื่ออวี้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการกุมอำนาจบริหาร กลายเป็นการเผชิญหน้าที่ทัดเทียมกันระหว่างฝ่ายฉู่กับฝ่ายซู
“เจ้าสงสัยการกระทำของซูซื่ออวี้หรือ” ฉู่หมิงอวิ่นมองทางเขา คิดใคร่ครวญแล้วเอ่ยอีกหน “กล่าวได้ยาก”
ฉินเจาไตร่ตรองแล้วกล่าว “นั่นสินะ อย่างไรเสียซูซื่ออวี้ก็เป็นบุรุษผู้มีคุณธรรมที่ผู้คนล้วนเรียกขานกัน วิธีเช่นนี้ต่ำช้าอยู่บ้าง”
“เหอะ ๆ” ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะเยาะ “ท่าทางของบุรุษผู้มีคุณธรรมที่แสดงให้คนดูนั้น เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นบุรุษผู้มีคุณธรรมจริง ๆ”
“…เช่นนั้นแล้วท่านคิดเห็นอย่างไร”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย “ข้ามิได้สนิทชิดเชื้อกับซูซื่ออวี้เสียหน่อย”
ฉินเจา “…”
“ทว่าข้าเป็นกังวลอีกเรื่องมากกว่า” ฉู่หมิงอวิ่นยกมุมปากเอ่ยเสียงเนิบนาบ “คนในสำนักตรวจการล้วนเป็นคนของราชสำนัก ซูซื่ออวี้ไร้ทางโยกย้ายเป็นการส่วนตัวได้อิสระ เช่นนั้นคนที่สะกดรอยตามเฉินเสวียนเหวินตลอดทางจะเป็นใครกัน”
“ไม่ชัดเจน พวกเราเกือบจับอีกฝ่ายได้สามครั้ง แต่ก็ล้วนหลบหนีได้ทุกครั้ง”
“หนึ่งในนั้นยังมีครั้งหนึ่งที่เปิดเผยตัวตนออกไปให้อีกฝ่ายรู้” ฉู่หมิงอวิ่นยกมือเล็กน้อย ปรามฉินเจาที่จะเอ่ยขอโทษอีกครั้ง “องครักษ์เงาเป็นข้าที่บ่มเพาะมา ข้ารู้ดีว่ามีความสามารถมากเพียงใด คนที่ทำให้พวกเขาจนตรอกถึงขนาดนี้ได้ เจ้าคิดว่าจะเป็นคนที่ซูซื่ออวี้ได้มาอย่างส่ง ๆ รึ”
ฉินเจาเข้าใจในทันที ทว่าตอบกลับไม่ถูกชั่วขณะ
ฉู่หมิงอวิ่นยิ้มบาง ๆ นัยน์ตากลับเยือกเย็น “สหายร่วมงานของข้าคนนี้ มีเบื้องหลังอำนาจในยุทธภพอะไรสักอย่าง หรือมีกองกำลังที่แอบบ่มเพาะไว้เช่นเดียวกับข้ากันนะ หลายปีมานี้ข้าไม่เคยรู้แจ้งเลย ดูท่าจะเข้าใจเขาน้อยเกินไปจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่ข้ามองเห็นทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
รอยยิ้มที่มุมปากของเขานิ่งค้าง นิ้วมือขยี้เมล็ดลิ้นจี้ ออกแรงเพียงนิด เมล็ดก็สลายเป็นผุยผงอยู่ระหว่างนิ้ว “ตรวจสอบอย่างละเอียดให้กระจ่าง อย่างไรเสียตอนนี้ คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าก็คือเขา”
“แต่ก็ไม่อาจดูแคลนอำนาจที่อยู่เบื้องหลังซูซื่ออวี้ได้ หากทำให้เขารู้ตัว เกิดความระแวดระวังขึ้นมาก็จะยุ่งยากเอาได้”
“สิ่งที่เจ้ากังวลนั้นถูกต้อง พวกเรา…”
จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ฉู่หมิงอวิ่นหยุดบทสนทนาแล้วขานรับ ประตูห้องหนังสือเปิดออกเสียงดังแอ๊ด สตรีนางหนึ่งยกถาดเคลือบสีแดงเดินเข้ามา จังหวะเคลื่อนไหวงดงามหยาดเยิ้ม ก่อนทำความเคารพเขาอย่างอ่อนช้อย “ใต้เท้าเหน็ดเหนื่อยกับงานมาทั้งวัน หรูจีด้อยปัญญา ยากจะแบ่งเบาความกังวลจากใต้เท้า ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ได้เพียงทำน้ำแกงมามอบให้ใต้เท้า หวังว่าใต้เท้าจะไม่รังเกียจ”
ฉู่หมิงอวิ่นตอบรับอืม พลางโบกมือเอ่ย “วางไว้ตรงนี้ เจ้าออกไปก่อนเถิด”
หรูจีวางถาดลงตามคำสั่ง ทว่ากลับไม่จากไปไหน นางปราดมองฉินเจาที่ยืนหลุบตาอยู่อีกด้าน ทันใดนั้นสายลมหอมกรุ่นระลอกหนึ่งก็พัดผ่าน หรูจีอ้อมผ่านโต๊ะหนังสือไปถึงข้างกายของฉู่หมิงอวิ่นแล้วกัดริมฝีปากเบา ๆ กายนวลหอมละมุนพลันแนบประชิดไหล่ของเขา นางโน้มตัวเอ่ยข้างหูของฉู่หมิงอวิ่นอย่างขุ่นเคือง “น้ำแกงนี้ตุ๋นอย่างพิถีพิถันอยู่หลายชั่วยาม[2] หากหรูจีไม่เห็นใต้เท้าดื่มจนหมด ก็จำต้องบิดพลิ้วไม่จากไปแล้ว”
ฉู่หมิงอวิ่นเอียงศีรษะทอดมอง ยกมือเชยคางของนางขึ้น ปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยผ่านมุมปาก นางหลุบตากำลังจะคลี่ยิ้ม ฉับพลันสีหน้าก็ขาวซีด ตกใจร้องแค็กอยู่ในลำคอหนหนึ่งก็ไร้ทางเปล่งเสียงออกมาได้อีก
ฉู่หมิงอวิ่นบีบลำคอของนางด้วยสีหน้าเฉยชา “ฟังคำพูดของข้าไม่เข้าใจหรือ”
หรูจีถูกตรึงไว้แน่น พ่นเสียงออกมาไม่ได้สักคำ นางตัวสั่นระริกพลางส่ายหน้าสุดชีวิตจนกระทั่งฉู่หมิงอวิ่นปล่อยมือ จึงรีบร้อนถอยออกไปพร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้น
ฉู่หมิงอวิ่นยกน้ำแกงขึ้นพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอียงชามเทน้ำแกงทั้งหมดลงในกระถางที่อยู่มุมโต๊ะ แล้วจึงปรายตามองฉินเจาที่อยู่อีกด้าน “เจ้าอยากจะพูดอะไร”
ฉินเจาเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ศิษย์พี่มีวาสนารักไม่ตื้นเขินเลย”
“ศิษย์พี่ของเจ้าอารมณ์ไม่ดี หากล้อเล่นอีกหนข้าจะตีเจ้า” ฉู่หมิงอวิ่นเอนกายกลับพิงเก้าอี้ เอ่ยอย่างรำคาญใจ “ตำแหน่งในราชสำนักของข้ามั่นคงขึ้นทุกวัน คนที่จับตาดูข้าก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายปีมานี้มีสตรีที่ถูกส่งมายังจวนคนไหนบ้างไม่คิดหาหนทางรวบรวมข่าวสาร ซ้ำยังต้องแบ่งเงินจำนวนมากให้พวกนางใช้จ่าย หากไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก แทนที่จะเผชิญหน้ากับพวกนาง มิสู้ให้ข้าส่องกระจกชื่นชมตนเองทั้งคืนยังจะดีเสียกว่า”
“เช่นนั้นท่านวางแผนอย่างไร” ฉินเจาถาม
“บนโลกนี้สิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับเงินมากที่สุดก็คือชีวิตของพวกสายสืบสอดแนม ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเก็บกวาดให้สะอาด” ฉู่หมิงอวิ่นยกมือขึ้นนวดคลึงหว่างคิ้ว “เมื่อครู่พูดถึงไหนแล้วนะ”
“ซูซื่ออวี้” ฉินเจาเอ่ย “ต้องการสืบความเคลื่อนไหวของเขาและเบาะแสของลูกน้องให้กระจ่าง เกรงว่าคงเป็นไปได้ยากที่เขาจะไม่รู้ตัว”
“เขาจะต้องรู้ตัวแน่” ฉู่หมิงอวิ่นไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นฉับพลัน “หากทำให้เขารู้ทว่าทำอะไรไม่ถูกเล่า”
“เป็นไปได้หรือ” ฉินเจาเอ่ยอย่างสงสัย
ฉู่หมิงอวิ่นกวาดสายตามองชามที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ พลันยกยิ้มมุมปาก “พอดีเลย ไม่ต้องรอช้าเร็วอะไรแล้ว” เขายืดตัวตรงพลางมองทางฉินเจา ก่อนออกคำสั่งว่า “ไปสั่งการให้คนแพร่ข่าว จะเล่าความว่าอย่างไรย่อมได้ แค่บอกว่าความจริงแล้วข้าโปรดปรานบุรุษ จะต้องให้ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งนครหลวงก่อนเช้าวันพรุ่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องให้ซูซื่ออวี้ได้ยินอย่างชัดเจน”
หากให้บรรดาคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนของฉางอันพิจารณาเลือกบุรุษผู้เป็นที่ต้องตาต้องใจ คนที่อยู่ลำดับแรกย่อมเป็นซูซื่ออวี้ผู้ตรวจการคนปัจจุบันของราชสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูซื่ออวี้เกิดมาเพียบพร้อมด้วยอำนาจและชื่อเสียง บรรพชนนับขึ้นไปสี่รุ่นล้วนเป็นแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ ซูเจ๋ว์บิดาของเขาเป็นขุนนางที่อดีตฮ่องเต้ทรงฝากฝังพระโอรสให้ดูแล ส่วนเขาอยู่ในตำแหน่งสามขุนนางใหญ่ ได้รับความโปรดปรานและความไว้วางใจจากฮ่องเต้อย่างล้ำลึก กระนั้นเขากลับไม่มีนิสัยวางอำนาจบาตรใหญ่แม้แต่น้อย สุภาพอ่อนโยนต่อผู้คน แต่ไรมาปฏิบัติต่อผู้อื่นนุ่มนวลมีมารยาทอยู่เสมอ คนที่ทาบทามเขาให้ตระกูลของตน แม้จะเคยถูกปฏิเสธไปอย่างอ้อม ๆ ก็ยังคงต้องการรับเขามาเป็นบุตรเขยอย่างไม่ย่อท้อ
แต่ฉู่หมิงอวิ่นกลับรู้สึกเสมอว่าในความสุภาพของซูซื่ออวี้ อีกฝ่ายวางระยะห่างที่พอเหมาะพอดีต่อผู้คน ดูคล้ายอ่อนโยนความจริงกลับเฉยเมย เขาคร้านจะเปลืองความคิดทำความรู้จักกับคนประเภทนี้ ดังนั้นต่อให้พวกเขาสองคนอยู่ร่วมราชสำนักเดียวกันมาหลายปี ฉู่ซูสองฝ่ายโต้เถียงกันไม่ว่างเว้น เขาและซูซื่ออวี้นับตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันก็รู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น
ทว่าหลังจากนี้ เกรงว่าจำต้องเกี่ยวข้องกันให้มากขึ้นแล้ว
ฉู่หมิงอวิ่นก้าวเท้าออกจากตำหนักใหญ่ ปราดมองกลุ่มขุนนางที่เลิกจากการประชุมกำลังจะออกจากวังหลวงแวบเดียวก็พบเงาร่างประหนึ่งต้นหยกไม้จือหลัน[3]ของบุรุษที่ได้รับความชื่นชอบที่สุดในนครหลวงผู้นั้น
“ใต้เท้าซูช้าก่อน”
ซูซื่ออวี้หยุดเท้าแล้วเอี้ยวตัวมามอง เอ่ยถามว่า “ใต้เท้าฉู่มีธุระหรือ”
“อืม” ฉู่หมิงอวิ่นเดินไปถึงข้างกายเขา “มีคำพูดหนึ่งข้าคิดมาเนิ่นนานแล้ว ยังคิดว่าควรบอกให้เจ้าได้รู้”
“เชิญกล่าว”
ฉู่หมิงอวิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก คว้ามือของซูซื่ออวี้ที่อยู่ข้างกายมากุมไว้ “เจ้ายอมฟังจริงหรือ”
“ไยต้องเอ่ยว่ายอมหรือมิยอม มีธุระอันใดก็พูดมาได้ตามตรง” ซูซื่ออวี้คิดจะดึงมือกลับอย่างแนบเนียน ทว่ากลับถูกกุมไว้แน่นกว่าเดิมเล็กน้อย เขายิ้มบาง ๆ พร้อมชำเลืองมองขุนนางที่เดินผ่านข้างกาย เอ่ยต่อว่า “สองสามวันมานี้ในนครหลวงมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าใต้เท้าฉู่ชื่นชอบบุรุษ ผู้แซ่ซูคิดว่าควรหลีกเลี่ยงจากข้อสงสัยเป็นดี”
“เจ้าอยากเลี่ยงจากข้อสงสัยหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นเอียงศีรษะเล็กน้อยเผยสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาราง ๆ ครู่ต่อมากลับคลี่ยิ้มอีกครั้ง ฉวยจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันได้ตอบโต้กุมมือของเขาด้วยสองมือ เปิดปากเอ่ยด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “ซื่ออวี้ ข้าชอบเจ้ามานานแล้ว”
จังหวะเท้าของขุนนางที่เดินอยู่บนถนนวังหลวงต่างซวนเซทันที
“…” ซูซื่ออวี้ตกใจอึ้งชั่วขณะ ครู่ต่อมาจึงยิ้มเอ่ยอย่างอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย “เรื่องขบขันนี้ไม่น่าสนใจ ใต้เท้าฉู่…”
“เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นตัดบทเขา ก่อนจะกระชับมือให้แน่นขึ้นอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ “ฟ้าดินเป็นพยาน ชีวิตนี้ของข้าหวังเพียงแต่งงานรับ…แค็ก…หวังเพียงอยู่กับเจ้าคนเดียวจนแก่เฒ่า เจ้ายินดีหรือไม่”
“ไม่ยินดี” ซูซื่ออวี้เอ่ยอย่างจริงใจเช่นกัน
“ข้าพอเดาได้ ดังนั้นเมื่อก่อนจึงไม่กล้าแสดงความรู้สึกในใจต่อเจ้า” สีหน้าฉู่หมิงอวิ่นไม่แปรเปลี่ยน “ทว่าสองสามวันมานี้ในที่สุดข้าก็คิดได้ ต่อให้ร้องขอแล้วไม่ได้มา อย่างไรก็อยากลองดูสักตั้ง”
“ใต้เท้าฉู่จำคนผิดใช่หรือไม่ เจ้ากับข้าแต่ไรมามีเพียงมิตรภาพระหว่างสหายร่วมงานเท่านั้น กลายเป็นความกลัดกลุ้มทุกข์ใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” ซูซื่ออวี้ยิ้มเอ่ย
ฉู่หมิงอวิ่นจ้องมองเขา “คำพูดนี้ของเจ้า กำลังตำหนิที่เมื่อก่อนข้าทำดีต่อเจ้าไม่มากพอใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ใต้เท้าฉู่คิดมากแล้ว” ซูซื่ออวี้ออกแรงชักมือกลับ
“ตอนนี้เจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ไม่โทษเจ้า วันหน้าข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นแน่นอน ซื่ออวี้ หัวใจของข้าไม่มดเท็จ” ฉู่หมิงอวิ่นซุกมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิกตนเองหนึ่งที เอ่ยด้วยถ้อยคำลึกซึ้ง
จู่ ๆ รอยยิ้มของซูซื่ออวี้ก็ลึกซึ้งขึ้น เขาหรี่ตาเล็กน้อยพลางเอ่ยปากอย่างนิ่มนวล “เจ้าป่วยใช่หรือไม่”
“ป่วยเป็นไข้ใจ” ฉู่หมิงอวิ่นตอบอย่างไม่ลังเล
“เสียมารยาทแล้ว” ซูซื่ออวี้ผงกศีรษะให้ ก่อนจะหมุนกายจากไป
“ข้าจะรอเจ้าเปลี่ยนใจ” ฉู่หมิงอวิ่นมองส่งด้วยสายตาลึกซึ้ง จนกระทั่งเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจึงสำรวมสีหน้าท่าทางแล้วยกยิ้มขึ้นบาง ๆ เขาเผชิญกับสายตาซับซ้อนของบรรดาขุนนางที่กวาดผ่านตนเองอย่างไม่แยแสสักนิด ภายในใจคิดทวนบทสนทนาเมื่อครู่หนึ่งรอบ รู้สึกว่าแม้การแสดงของตนออกจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่ผลลัพธ์กลับชัดเจนอย่างยิ่ง ยังนับว่าน่าพึงพอใจ
ส่งผลให้จังหวะการก้าวเท้าออกจากประตูวังหลวงของใต้เท้าฉู่ในวันนี้มีชีวิตชีวาขึ้นสองสามส่วน
วันเวลาในหน้าร้อนแสนสงบและผ่อนคลาย องครักษ์ที่เฝ้าประตูจวนซูอดเงยหน้าหรี่ตารับแสงอาทิตย์สดใสไม่ได้ ขณะที่กำลังสบายใจ หูกลับได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นฉับพลัน เขายกทวนวงเดือนขึ้นขวางเงาร่างที่เตรียมถลันสู่ด้านในจวน ก่อนจะตะโกนถามด้วยเสียงดุดันว่า “ใคร”
ผู้มาใหม่ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าจึงไม่ชนเข้า เขาค้อมตัวกุมเข่าพร้อมเงยหน้าขึ้นหอบหายใจ เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่งดงามหมดจด ซูไป๋เช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก “ข้าเอง!”
องครักษ์จำได้ว่าเป็นผู้ดูแลข้างกายของคุณชาย จึงเก็บอาวุธทันที ขอโทษขอโพยแล้วอดเอ่ยยิ้ม ๆ ขึ้นมาไม่ได้ว่า “เหตุใดจึงรีบร้อนเสียจนเป็นเช่นนี้ เจ้าทำนายน้อยท่านนั้นหายไปแล้วรึ”
“หายกับเจ้าสิ” ซูไป๋อารมณ์ไม่ดี “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คุณชายเล่า”
“เมื่อครู่เห็นคุณชายเดินไปทางห้องหนังสือ น่าจะยังอยู่”
ซูไป๋พุ่งตัวไปยังห้องหนังสือทันใด ทั้งผลักประตูทั้งรีบเอ่ยโดยไม่หยุดพักหายใจ “คุณชาย! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
คนสองคนที่อยู่ในห้องหยุดการสนทนาแล้วหันหน้ามา เพียงมองเห็นบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายคุณชายของตน ซูไป๋ก็ขาอ่อนยวบ ก้มหน้าปิดปากสนิท
พ่อบ้านซูอี้หันกลับไปคำนับให้ซูซื่ออวี้ เอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลา” หลังจากซูซื่ออวี้พยักหน้ารับ ซูอี้จึงเดินไปด้านหน้าซูไป๋ ขมวดคิ้วแน่นตำหนิเบา ๆ “ไร้มารยาท หุนหันพลันแล่นอะไรกัน!”
ซูไป๋ก้มหน้างุดอย่างห่อเหี่ยว “ท่านพ่อ…”
ติดที่มีซูซื่ออวี้อยู่ ซูอี้จึงกล่าวไม่ได้มากนัก เพียงถลึงตาใส่เขาหนหนึ่งเป็นการตักเตือนก็จากไป
ซูซื่ออวี้ยืนหัวเราะเบา ๆ อยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ “ก่อนมาไม่รู้จักถามให้ชัดเจนว่ามีใครอยู่ ถูกดุด่าอีกแล้วเห็นหรือไม่”
ตอนนี้ซูไป๋ถึงเงยหน้าขึ้น ลูบจมูกไปมา เอ่ยอย่างอับอาย “ยังเป็นคุณชายที่ดีที่สุด” เขาก้าวไปด้านหน้า มองเห็นซูซื่ออวี้ถือเทียบเชิญอยู่ในมือ “นี่คืออะไรหรือ”
“เทียบเชิญที่ซ่งเหิงจอหงวน[4]คนใหม่ส่งมา อีกไม่กี่วันเขาจะจัดงานเลี้ยงฉลอง” ซูซื่ออวี้วางเทียบเชิญไว้ด้านข้าง “ตอนสอบคัดเลือกขุนนางเห็นสำนวนการเขียนของเขาลื่นไหลเด็ดเดี่ยวและตรงไปตรงมา เป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง”
“อ้อ” ซูไป๋พยักหน้า
“เมื่อครู่เจ้าอยากพูดอะไร เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นงั้นหรือ” ซูซื่ออวี้ถาม
“อ้อ!” ซูไป๋ได้สติคืนกลับมาทันที รีบเอ่ยว่า “ข้างนอกล้วนพูดกันว่าผู้บัญชาการฉู่คิดถึงท่าน!”
ซูซื่ออวี้ดื่มชาอึกหนึ่ง เอ่ยอย่างราบเรียบ “แค่การพูดคุยไร้สาระเท่านั้น”
“ตะ…แต่มันแพร่สะพัดไปทั่วโรงน้ำชาแล้วนะขอรับ! ยามนี้ใต้เท้าฉู่ทุ่มเทกำลังรวบรวมสิ่งที่ท่านชื่นชอบอย่างสุดความสามารถ กระทั่งว่าท่านเคยไปที่ใดมาบ้างเขาก็อยากรู้ แม้แต่หญิงงามในจวนก็ล้วนย้ายออกจนสิ้น…” ซูไป๋มีสีหน้ายุ่งเหยิง “ข้าน้อยคิดว่า…ไม่เหมือนเรื่องโกหกนะขอรับ”
“เจ้าพบเขาน้อยครั้ง เวลานี้จู่ ๆ เขาบอกว่าคิดถึงข้า เจ้าก็เชื่อหรือ” ซูซื่ออวี้เหลือบตาขึ้นมองเขา
ซูไป๋พยักหน้า หลังจากสบเข้ากับสายตาของซูซื่ออวี้ก็รีบส่ายหน้าทันที
“แค่ข่าวซุบซิบเท่านั้น หากตั้งใจโต้แย้งคงยากหลีกเลี่ยงข้อสงสัยว่าเพราะอยากปกปิด มิสู้รอให้มันหายไปเอง”
“ไม่ได้นะคุณชาย!” ซูไป๋เอ่ยทันควัน “เป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคตท่านก็จัดงานแต่งยากแล้ว! ปัจจุบันท่านยังไม่ได้แต่งงาน ตอนนี้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ยังไม่พูดถึงคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าท่านเป็น…เพียงดูท่าทีนี้ของผู้บัญชาการฉู่ ต่อไปยังจะมีแม่นางคนไหนกล้าแต่งกับท่านหรือ!”
“…เจ้าคิดไปเสียไกล” ซูซื่ออวี้ถอนหายใจคราหนึ่ง มองท่าทางราวกับถูกไฟลนของเขา พลางควานมือหาพู่หยกในแขนเสื้อ “เช่นนั้นข้าสั่ง…”
“ไม่ใช่ขอรับ! คุณชาย ท่านน่ะไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยไปถึงขั้นไหนแล้ว!” ซูไป๋เอ่ยแทรกคำพูดของเขาอย่างร้อนใจ ก่อนจะหน้าแดงก่ำอึกอักอยู่เนิ่นนานจึงตัดสินใจเอ่ย “พวกเขาพูดกันว่าคุณชายเที่ยงตรงน่ายำเกรง ฉู่หมิงอวิ่นคนนั้นเมื่ออยู่บนเตียง…มากกว่าครึ่งอยู่ด้านล่าง”
“…” ซูซื่ออวี้ถอนมือกลับ ยกจอกชาขึ้นถือหลวม ๆ ส่งเสียง “อ้อ” หนึ่งหนแล้วพยักหน้ายิ้มเอ่ย “นั่นเป็นการชมเชยข้าไม่ใช่รึ แค่คำพูดคุยไร้สาระเท่านั้น ไยต้องสนใจ”
ใบหน้าของซูไป๋เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ สับสน สุดท้ายกลายเป็นความเลื่อมใสหลังจากฉุกคิดขึ้นได้ “คุณชาย ท่านไม่ธรรมดาจริง ๆ!”
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ซูซื่ออวี้ยิ้ม “คนที่ให้เจ้าไปรับเล่า”
“พบแล้วขอรับ กำลังตามมาด้านหลัง อีกเดี๋ยวเดียวคงถึงแล้ว”
[1] หรืออุตตรายัน คือการที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงจุดหยุดซึ่งก็คือจุดสุดทางเหนือ เป็นวันที่มีช่วงกลางวันยาวนานกว่ากลางคืน สำหรับประเทศจีนถือเป็นวันเริ่มต้นของฤดูร้อนในเดือนมิถุนายน
[2] หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง
[3] อุปมาถึงผู้ที่โดดเด่น มีอนาคต
[4] หรือ จ้วงหยวนในสำเนียงจีนกลาง คือชื่อเรียกผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกขุนนางระดับประเทศเพื่อเข้ารับราชการ