[ทดลองอ่าน] ปฏิปักษ์คู่บัลลังก์ บทที่ 2.2

君有疾否
ปฏิปักษ์คู่บัลลังก์

如似我闻 หรูซื่อหว่อเหวิน เขียน
เจ้าเจิน แปล
LadyVanila วาด

— โปรย —

คนหนึ่งกุมอำนาจทางการทหาร คนหนึ่งกุมอำนาจผู้ตรวจการแผ่นดิน

คนหนึ่งแสร้งเป็นพวกตัดแขนเสื้อเพื่อเข้าหา

คนหนึ่งหลีกลี้หนีหน้าพวกตัดแขนเสื้อ ทว่ากลับตัดแขนเสื้อเสียเอง

เมื่อสติปัญญาปะทะร้อยเล่ห์ในเกมชิงอำนาจแห่งราชสำนัก

ฉู่หมิงอวิ่น ที่เอาแต่รุกไล่ตามจีบ ซูซื่ออวี้

เจอหน้าอีกฝ่ายเป็นต้องหยอดคำหวานด้วยมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ

เขาจะทำให้จิตใจของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเฉยชาและมั่นคงนี้

มีอันต้องสั่นคลอนเพราะคำพร่ำพลอดทุกคราที่เจอหน้า

จนทลายฉายาบุรุษไร้ใจได้หรือไม่

หรือแผนโค่นล่ม จะกลับกลายเป็นแผนพิชิตรัก

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 2.2

 

รอยแตกบนผนังหินแผ่ขยายจากจุดเล็ก ๆ ออกไปรอบด้าน หลังจากเสียงอื้ออึงสองสามหนก้อนหินก็ถล่มลงดังสนั่น ด้านหลังเศษหินที่เกลื่อนเต็มพื้นปรากฏเส้นทางคับแคบมืดมิด ซูซื่ออวี้ถอนมือกลับ บริเวณนิ้วมีแสงเย็นส่องประกายแวบหนึ่ง พริบตาเดียวก็หายลับเข้าไปในแขนเสื้อ ทว่าก็เพียงพอให้ฉู่หมิงอวิ่นมองเห็นมันชัดเจน เป็นกระบี่สั้นติดข้อมือเล่มหนึ่ง

มิน่าเล่าเมื่อครู่ถึงหักพัดอย่างไม่ลังเล ที่แท้บนตัวเขายังพกอาวุธไว้อีก

ซูซื่ออวี้คว้าตะเกียงจากบนผนัง หันกลับมาเรียกฉู่หมิงอวิ่นให้ลุกขึ้น

ฉู่หมิงอวิ่นลองขยับหัวไหล่พลางลุกขึ้น ในใจอดชื่นชมไม่ได้ว่าฝีมือการพันแผลของซูซื่ออวี้ยอดเยี่ยมนัก สายตาของเขาหยุดอยู่ที่แขนเสื้อของซูซื่ออวี้ จู่ ๆ ก็เอ่ยว่า “จากกำลังภายในของใต้เท้าซู ยามนั้นย่อมรู้ว่ายามตรวจตราคนนั้นหลบซ่อนอยู่หลังมุมไหนกระมัง”

ซูซื่ออวี้หัวเราะ เอ่ยอย่างเปิดเผย “ใช่”

“เช่นนั้นที่เจ้าโอ้เอ้ไม่เปิดโปง แท้จริงแล้ววางแผนอะไรอยู่กันแน่”

ซูซื่ออวี้ส่ายหน้า “วางแผนอะไรอยู่กล่าวตอนนี้ล้วนเป็นคำพูดเลื่อนลอย มีอะไรน่าเอ่ยถึงกัน”

เขาลงมือน้อยครั้งเกินไป ฉู่หมิงอวิ่นมองระดับวรยุทธ์สูงต่ำไม่ออก กับการพูดจายิ่งเชี่ยวชาญการเบี่ยงประเด็น ยากจะหลอกล่อเอาคำพูดอะไรออกมาได้ รับมือยากจริง ๆ ฉู่หมิงอวิ่นครุ่นคิด เอ่ยว่า “ระหว่างทางน่าเบื่อ ใต้เท้าซูพูดคุยสักสองสามประโยคกับข้าเป็นอย่างไร”

ซูซื่ออวี้อาศัยแสงตะเกียงพิจารณาเส้นทาง ไม่สนใจคำพูด ‘ระหว่างทางน่าเบื่อ’ ของเขา

ฉู่หมิงอวิ่นกุมหัวไหล่พิงศีรษะกับผนังหิน “โอ๊ย…เจ็บแผลยิ่งนัก”

ซูซื่ออวี้หันหน้ามามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เร็วไม่ช้ารอบหนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ใต้เท้าฉู่ นี่คือ…กำลังบอกใบ้ให้ข้าอุ้มเจ้าใช่หรือไม่”

“นั่นไม่จำเป็น” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย “เจ้าคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าเถิด” ไม่รอให้ซูซื่ออวี้เปิดปากก็เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “เบี่ยงเบนความสนใจข้าหน่อย คงไม่รู้สึกเจ็บเกินไปนัก”

ซูซื่ออวี้มองเขา “ใต้เท้าฉู่คิดว่าพวกเราสามารถคุยอะไรกันได้เล่า”

ฉู่หมิงอวิ่นยิ้มจนตาเป็นเสี้ยวครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เอาเช่นนี้ เจ้าและข้าสลับกันถามอีกฝ่ายดีหรือไม่”

“…” ซูซื่ออวี้เอ่ย “หากอีกฝ่ายไม่พูดความจริงจะมีอะไรน่าสนใจ”

“ฉะนั้นเพียงคุยคลายความอึดอัดก็พอ” ฉู่หมิงอวิ่นเดินไปข้างกายเขา เอ่ยด้วยเสียงเนิบ ๆ “แยกแยะจริงเท็จได้หรือไม่ก็ต้องดูตนเองแล้ว อีกอย่าง ถ้าอีกฝ่ายโกหกนั่นแสดงว่าเขากำลังหลีกเลี่ยงคำถามอยู่ไม่ใช่หรือ” แววตาของเขาวูบไหวไม่มั่นคง ประดับด้วยรอยยิ้มทีเล่นทีจริงจ้องมองซูซื่ออวี้

ซูซื่ออวี้ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ยกเท้าก้าวไปตามทางเดิน “เจ้าอยากถามก็ถามเถิด”

ฉู่หมิงอวิ่นติดตามเขา เอ่ยว่า “ใต้เท้าซูมองดูแล้วสุภาพเรียบร้อย คาดไม่ถึงว่ายังซ่อนความสามารถเช่นนี้ไว้ ในเมื่อเจ้าพกกระบี่สั้นติดข้อมือติดกาย เหตุใดไม่เคยได้ยินคนกล่าวว่าเจ้ารู้วรยุทธ์เล่า”

ไฟตะเกียงดุจเมล็ดถั่ว ส่องสว่างได้เพียงเส้นทางหินใต้เท้าเท่านั้น ภายในพื้นที่ว่างคับแคบมีเพียงเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป ข้างหูของซูซื่ออวี้เกือบรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนของคนด้านหลัง เขาเบี่ยงตัวออกอย่างอึดอัด แล้วจึงเปิดปากเอ่ย “ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดหรอก เป็นเพียงความเคยชินหลังจากผ่านไปหลายปีเท่านั้น

“ตอนข้าอายุสิบห้าเคยติดตามท่านพ่อออกรบ” ซูซื่ออวี้เอ่ย

ฉู่หมิงอวิ่นมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างประหลาดใจ บนใบหน้าของซูซื่ออวี้คล้ายกับมีความอาวรณ์ปรากฏขึ้นมา ที่มากกว่าคือความซับซ้อนยากอธิบาย แสงไฟในทางเดินสลัวรางเกินไป สีหน้าของเขาเกิดขึ้นแวบเดียวพลันเลือนหาย ไม่ทันมองให้ชัดเจน

ซูซื่ออวี้เอ่ยต่อด้วยท่าทางสบาย ๆ “หลังจากนั้นเขาก็สั่งห้ามข้าลงมือกับคนอื่นอีกเด็ดขาด ต้องการให้ข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่นครฉางอันตอนนั้นไม่เหมือนเช่นทุกวันนี้ มีความวุ่นวายบ่อย ๆ เวลานั้นข้าอายุน้อยพลังฮึกเหิม ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ลงมือ ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อจึงให้ข้าสวมชุดขาวเป็นการจำกัดกรอบ ทุกวันเมื่อถูกพบเข้าข้าล้วนต้องไปคุกเข่ารับโทษอยู่หน้าหอบรรพชน คุกเข่าอยู่หลายหนจึงเรียนรู้การซ่อนกระบี่ปกปิดร่องรอยไม่ให้เขาพบเห็น หลบเลี่ยงการลงโทษได้ไม่น้อย”

“ทำให้คนประหลาดใจยิ่งนัก” ฉู่หมิงอวิ่นมองใบหน้าที่ถูกแสงไฟส่องสะท้อนของซูซื่ออวี้แวบหนึ่ง “เจ้าตอนเด็กน่ารักกว่าตอนนี้มากจริง ๆ”

ซูซื่ออวี้หัวเราะอย่างไร้ความเห็นให้กับการประเมินนี้

“เหตุใดพ่อของเจ้าจึงห้ามไม่ให้เจ้าลงมือ” เขาถาม

ซูซื่ออวี้หันหน้ามองเขาปราดหนึ่ง ยิ้มเอ่ย “นี่คือคำถามที่สอง”

ฉู่หมิงอวิ่นยกมือขึ้นทำท่าทางเชื้อเชิญอย่างไม่สนใจ ซูซื่ออวี้ถอนสายตากลับด้วยท่าทางสงบนิ่ง เปิดปากเอ่ย “ข้ากลับแปลกใจมาตลอด จากตำแหน่งฐานะของใต้เท้าฉู่ในตอนนี้ เหตุใดจึงไม่รับครอบครัวมาอยู่ร่วมกัน”

สีหน้าของฉู่หมิงอวิ่นแปรเปลี่ยนฉับพลัน สายตาดุจคมมีดเฉือนผ่านใบหน้าของซูซื่ออวี้ หลังจากเห็นเขายังคงมีใบหน้าไม่ใส่ใจจึงสำรวมสีหน้าท่าทาง เอ่ยอย่างสบาย ๆ “ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านอาจารย์เก็บมา ไหนเลยจะมีครอบครัว”

ซูซื่ออวี้พยักหน้า เอ่ยเพียง “ขอโทษด้วย”

เขายังจำสภาพของฉู่หมิงอวิ่นคราแรกที่เจอได้ ภายในนครหลวงชื่อเสียงของชายหนุ่มผู้ไม่รู้ที่มาที่ไปในสงครามระหว่างต้าเซี่ยกับซยงหนู[1]แพร่สะพัดไปทั่ว ทุกศึกล้วนไร้พ่าย แข็งแกร่งไร้เทียมทาน สามมลฑลคืนสู่มาตุภูมิ ชนเผ่านอกจงหยวน[2]ล่าถอยนับร้อยลี้ พลทหารหนุ่มคนนี้ย่ำสู่ตำหนักใหญ่ด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ยอมรับการพิจารณาด้วยสายตาประหลาดใจของขุนนางหลายคนในราชสำนัก ใบหน้าประดับรอยยิ้มเหลาะแหละ กลับมักเผยความเย็นเยือกครึ้มทะมึนบนหว่างคิ้วในยามที่ผู้คนไม่สนใจ

เวลานั้นบิดาของซูซื่ออวี้ยังมีชีวิตอยู่ แม่ทัพใหญ่ซูเจ๋ว์มองเขาอยู่เนิ่นนาน เอ่ยกับซูซื่ออวี้ว่า “คนผู้นี้มิได้อยู่ในโคลนตมโดยแท้”

ซูซื่ออวี้คิดเช่นเดียวกัน หลังเลิกประชุมเช้าจึงส่งคนไปตรวจสอบที่มาของเขา เสียเวลาสองสามปีจึงสืบได้ว่า

ตระกูลฉู่แห่งมณฑลเหลียงโจวร่ำรวยด้วยสินทรัพย์มหาศาล คบหากับยอดฝีมือในยุทธภพมากมาย ยามซยงหนูรุกลงใต้ได้เข่นฆ่าผู้คนในเมืองนับไม่ถ้วน ตระกูลฉู่ย่อมไร้ทางรอดพ้น ไม่รู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างไร เพียงแต่มีคนเคยพูดว่าเห็นเด็กหนุ่มเปื้อนโลหิตทั่วกายคุกเข่าอยู่หน้าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปลีกตัวอยู่อย่างสันโดษในคืนฤดูหนาวที่น้ำหยดเป็นน้ำค้างแข็ง หน้าตาคล้ายคลึงกับผู้บัญชาการฉู่ที่หยิ่งผยองไม่ยอมให้ใครมาบังคับในตอนนี้ยิ่งนัก

ดูแล้วเขาคงไม่ชื่นชอบคำถามนี้จริง ๆ

“ตาข้าแล้ว ยังคงเป็นคำถามเมื่อครู่ เหตุใดบิดาของเจ้าจึงห้ามไม่ให้เจ้าลงมือ” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย

ซูซื่ออวี้ได้สติกลับคืน ยกตะเกียงเล็กน้อยให้มองหน้ากันและกันได้ชัดเจน จากนั้นเขาจึงยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ย “น่าจะ…เพราะไม่ชอบท่าทางที่ข้าสังหารคน”

ฉู่หมิงอวิ่นตกใจเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เข้าใจความหมายในคำพูดของเขาให้ละเอียด พลันได้ยินซูซื่ออวี้เอ่ยว่า “ถึงแล้ว”

พวกเขาหยุดฝีเท้า ซูซื่ออวี้หันกลับมามองฉู่หมิงอวิ่นปราดหนึ่ง ส่งตะเกียงให้เขา สองมือกดบนประตูหินผลักให้เปิดออกช้า ๆ เสียงก้อนหินเสียดสีกันดังอื้ออึง แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามา ก่อนสาดทอตามรอยแยกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหลับตาปรับให้ชินกับสภาพ

ยามลืมตาภาพเบื้องหน้าที่มองเห็นก็ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ห้องเรียบง่าย โต๊ะหนังสือไม้ถง[3] ม้วนตำราเหลืองตะเกียงสัมฤทธิ์ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นห้องหนังสือ ฉู่หมิงอวิ่นและซูซื่ออวี้เดินออกมา หันหน้ากลับไปก็พบว่าด้านหลังประตูหินถูกอำพรางจนกลายเป็นชั้นหนังสือแถวหนึ่ง เมื่อปิดหากันก็ปราศจากรอยแยก

“…คิดไม่ถึงว่าจะออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้” ฉู่หมิงอวิ่นพิจารณาช้า ๆ หนึ่งรอบ ถอนสายตากลับมายิ้มเอ่ยกับซูซื่ออวี้ “ไปเถิด ไปหาซ่งเหิงแล้วพูดคุยกันสักหน่อย”

ออกมาจากห้องหนังสือ เดินลงไปตามระเบียงทางเดินยาวก็ถึงลาน จันทราลอยถึงกลางนภา เสียงดนตรีเงียบลงแล้ว พวกเขาวิ่งอุตลุดอยู่ในคุกใต้ดินนานเพียงนั้น จนงานเลี้ยงด้านบนเลิกรา บรรดาสาวใช้ก้มหน้าเก็บถ้วยและถาด เดินขวักไขว่ไปมาอย่างรีบเร่ง

ซูซื่ออวี้ขวางผู้หนึ่งไว้ ยิ้มแล้วเอ่ยถาม “แม่นาง ไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ”

สาวใช้คนนั้นอายุยังน้อย มองเขาแวบหนึ่งอย่างตัวสั่นงันงก รีบก้มหน้าลงแล้วส่ายศีรษะ “บ่าวไม่ทราบ”

“เช่นนั้นงานเลี้ยงนี้เลิกตั้งแต่เมื่อใด”

สาวใช้ตัวสั่นเทิ้มมากขึ้น “เมื่อหนึ่งจอกชา[4]ก่อนเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยความวิงวอนสองสามส่วน “บ่าวเป็นเพียงคนรับใช้ทั่วไป ใต้เท้าได้โปรดอย่าถามอีกเลย”

สายตาของซูซื่ออวี้อ่อนลงเล็กน้อย ปล่อยนางเดินจากไปแล้วจึงหันหน้ามองทางฉู่หมิงอวิ่น ฉู่หมิ่งอวิ่นหันหน้าไปทางด้านขวา “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงดนตรีจากทางนั้น”

ด้านขวาคือป่าเล็ก ๆ ผืนหนึ่ง ต้นไม้บุปผาเว้นระยะเป็นระเบียบ แผ่ผสานร่มเงา ดวงจันทร์สาดส่องดอกพุดซ้อนขาว มีคนอยู่ดังคาด

“กิ่งนี้…หรือกิ่งนี้”  ถานจิ้งชี้ดอกพุดซ้อนพลางหันกลับมาถาม หญิงสาวในชุดกระโปรงบางพลิ้วด้านหลังเขาแย้มยิ้มมองเขาทว่าไม่ได้ตอบคำถาม เขากลับพยักหน้าคล้ายได้ยินบางอย่าง “เช่นนั้นก็ฟังเจ้า” เด็ดกิ่งบุปผาสีขาวไร้ตำหนิหนึ่งกิ่งแล้ว ส่งถึงมือของนาง

เจ้ากรมช่างถานจิ้งปัดฝุ่นบนชุด เหลือบตาขึ้นเห็นคนสองคนที่เดินเข้ามาหาตนเองก็ตกใจเล็กน้อย รีบคำนับแล้วเอ่ย “ใต้เท้าฉู่ ใต้เท้าซู”

ฉู่หมิงอวิ่นและซูซื่ออวี้ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ หญิงสาวก็รีบถดตัวไปอยู่ด้านหลังถานจิ้ง มีเพียงใบหน้าเกลี้ยงเกลาโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง มองพวกเขาอย่างหวาดกลัว ถานจิ้งหันหน้ากลับไปจับมือของนาง เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “อาซิ่ว ไม่ต้องกลัว”

อาซิ่วจับมือของถานจิ้งแน่น ก้มศีรษะไม่กล้ามองผู้มาใหม่อีก

ถานจิ้งเอ่ยกับพวกเขาอย่างละอาย “ภรรยาข้ากลัวคน ใต้เท้าทั้งสองโปรดอย่าได้ถือสา”

“ไม่เป็นไร” ซูซื่ออวี้ยิ้ม

“ซ่งเหิงอยู่ไหน” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยเข้าตรงประเด็น

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ” ถานจิ้งส่ายหน้า “อาจเพราะเกิดเรื่องด่วน เมื่อครู่มีผู้ดูแลคนหนึ่งมารายงานบางอย่างกับจอหงวนซ่ง ท่าทางของเขาค่อนข้างลุกลี้ลุกลน หลักจากขอโทษพวกเราแล้วก็ยกเลิกงานเลี้ยง ภรรยาข้าไม่ค่อยออกจากจวน เมื่อได้เห็นความแปลกใหม่ของที่นี่ ข้าจึงถามเขาว่าสามารถเดินเล่นได้หรือไม่ เขารีบร้อนตอบแล้วก็จากไปทันที” เขาครุ่นคิดก่อนยกมือชี้ไปยังที่หนึ่ง “ดูเหมือนจะไปทางนั้น หากใต้เท้าทั้งสองมีธุระต้องการพบเขา ลองไปดูได้”

สถานที่ที่ถานจิ้งชี้ก็คือที่ตั้งของห้องหนังสือ ทว่ายามฉู่หมิงอวิ่นและซูซื่ออวี้ออกมา ที่นั่นไม่มีใครเลยสักคน

ฉู่หมิงอวิ่นยกมุมปากยิ้มขึ้นช้า ๆ “ไม่เป็นไรแล้ว เพียงต้องการทักทายเขาเท่านั้น ไม่นับเป็นเรื่องสำคัญอะไร” เขาหันหน้ากลับไปมองซูซื่ออวี้ “น่าเสียดายจริง ๆ ดูท่าคืนนี้คงไม่ได้พบแล้ว”

ซูซื่ออวี้ยิ้มทว่าไม่พูดจา

ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเผ่นแน่บไปแล้ว พวกเขากล่าวลาถานจิ้งก็ต่างแยกย้าย ท้องฟ้ายามราตรีด้านนอกจวนมืดมิด แสงตะเกียงส่องสลัว เหลือเพียงรถม้าไม่กี่คันรออยู่อย่างกระจัดกระจาย

“ฉู่หมิงอวิ่น” จู่ ๆ ซูซื่ออวี้ก็เปล่งเสียงขึ้นจากด้านหลัง

ฉู่หมิงอวิ่นขานรับพร้อมหยุดเดิน หันหน้าเล็กน้อยมองไป ไฟตะเกียงสะท้อนส่วนคิ้วและดวงตาสว่างไสว เขาเอ่ยเสียงค่อย “หืม”

ซูซื่ออวี้ลังเลครู่หนึ่งอย่างยากจะพบเห็น สายตาหยุดลงบริเวณด้านข้าง น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “ถึงอย่างไรก็นับว่าเจ้าช่วยข้าไว้หนหนึ่ง…ต่อไปอย่าได้ทำเช่นนี้อีก ผู้แซ่ซูไม่ถึงขั้นดูแลตนเองไม่ได้”

ฉู่หมิงอวิ่นลากเสียง “อ้อ” ยาวหนึ่งครั้ง หัวเราะอย่างจับอารมณ์ไม่ถูกพร้อมเอ่ยแสดงความเข้าใจ “ดูแล้วการที่ต้องเอ่ยขอบคุณคนอย่างข้า คงทำให้คนซื่อสัตย์อย่างใต้เท้าซูลำบากใจจริง ๆ”

ซูซื่ออวี้เงียบไปครู่หนึ่ง “ผู้แซ่ซูซาบซึ้งใจเหลือล้น วันหน้าหากมีความต้องการนอกเหนือจากงานหลวง ข้าย่อมช่วยเหลือเต็มที่ไม่เป็นปัญหาแน่นอน”

ดวงหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาไฟสีทึบอาบย้อมด้วยความเยือกเย็น ฉู่หมิงอวิ่นยกมือกดบริเวณบาดแผลที่หัวไหล่ พลันหมุนกายกลับมา “เวลาเหมาะเจาะพอดี ข้าว่าไม่ต้องรอวันหน้าอะไรแล้ว”

เขาชี้หน้าของตนเอง ยิ้มอย่างได้คืบจะเอาศอก “เจ้าหอมข้าสักที จากนี้ก็ไม่ติดค้างกันแล้ว”

“…” ซูซื่ออวี้ย่นคิ้วเล็กน้อย มองเขานิ่ง ๆ

ฉู่หมิงอวิ่นสูดจมูกอย่างประหลาดใจ กุมหัวไหล่ ก้มหน้าก้มตาทำท่าทางจะร่ำไห้ออกมา “ซี้ด…เจ็บแผลนัก”

“…ใต้เท้าฉู่”

“ดูเหมือนจะเจ็บไปถึงกระดูกแล้ว โอ๊ย จริง ๆ นะ…”

“…ฉู่หมิงอวิ่น” ซูซื่ออวี้ตัดบทเขา

ฉู่หมิงอวิ่นเหลือบตาขึ้นลอบมองเขา สุดท้ายก็กลั้นหัวเราะไม่ไหว เขาพยายามทนต่อแรงสั่นสะเทือนที่กระทบถึงไหล่ โบกปัดมือ “ช่างเถิด ไม่เล่นแล้ว” ชะงักครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนคลายรอยยิ้มแล้วเอ่ย “เจ้ายิ้มให้ข้าสักทีก็เป็นอันว่าไม่ติดค้างกันแล้ว ทว่าที่ข้าต้องการไม่ใช่รอยยิ้มปลอม ๆ ที่ประดับไว้ตลอดวันของเจ้า แต่เหมือนกับ…” เขาคิดเล็กน้อยว่าจะอธิบายอย่างไร “เหมือนกับที่เจ้ายิ้มตอนตู้เย่ว์ทำท่าโง่เขลาก่อนหน้านี้ รอยยิ้มจากใจ คงไม่ยากกระมัง”

“…ข้าไม่เคยยิ้มให้ความโง่เขลาของเขา” ซูซื่ออวี้เอ่ยแก้ เขามองฉู่หมิงอวิ่น พบว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายถึงกับค่อนข้างจริงจัง

ซูซื่ออวี้มองฉู่หมิงอวิ่นด้วยระยะห่างไม่กี่ก้าวอยู่เนิ่นนาน ใบหน้าละมุนละไมกระทั่งความจนใจล้วนแสดงออกมาได้อ่อนโยนยิ่ง เขาค่อยๆ ยกมุมปากโค้งขึ้น ภายในดวงตาฉายแววอบอุ่น

สติของฉู่หมิงอวิ่นล่องลอยไปชั่วขณะหนึ่ง แสงตะเกียงในจวนส่องจากด้านหลังของอีกฝ่าย ทะลุผ่านม่านราตรีอาบไล้ลงกลางฝ่ามือเขา ราวกับนำพาความอบอุ่นมาด้วย

“เจ้าดูแตกต่างจากที่ข้าเคยคิดไว้มาก” ซูซื่ออวี้เอ่ย

ฉู่หมิงอวิ่นได้ยินก็เลิกคิ้วน้อย ๆ เอ่ย “คำพูดนี้ฟังแล้วไม่เหมือนคำชมเท่าไรนัก”

“งั้นหรือ” ซูซื่ออวี้ยิ้ม มองรถม้าที่รออยู่ด้านข้าง “ดึกมากแล้ว ผู้แซ่ซูขอตัวลา”

 

ฉินเจาที่อยู่ข้างรถม้ายืนรอนานแล้ว พอเห็นฉู่หมิงอวิ่นเดินเข้ามาใกล้ก็ก้าวเข้าไปต้อนรับ “เกิดอะไรขึ้น”

ฉู่หมิงอวิ่นเล่าเรื่องคร่าว ๆ ฉินเจาเงียบอยู่นาน ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกมาโดยตลอดพยายามพักใหญ่แล้วก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกซับซ้อนให้เขาเห็น ถามขึ้นเพียง “ศิษย์พี่ ที่ท่านบาดเจ็บคือไหล่ หรือว่าศีรษะกันแน่”

ฉู่หมิงอวิ่นเอนกายพิงเบาะนุ่ม หันไปกลอกตาให้เขา

“ท่านมีความรู้สึกเช่นนั้นต่อเขาจริง ๆ หรือ” ฉินเจาซักถาม

“เป็นไปได้ด้วยรึ” ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะเยาะ จัดแจงท่าทางแล้วเหลือบตามองเขา “เจ้าคิดว่าซูซื่ออวี้เป็นคนเช่นไร กล่าวว่ายอมข้าหนึ่งเรื่องเกินครึ่งคือการหยั่งเชิง ข้ารับธนูสักดอกถึงแลกกับการที่ให้เขาลดความระแวดระวังลงได้สักหน่อย ไม่ได้เสียเปล่าขนาดนั้น”

“เช่นนั้นความต้องการนี้ของท่านได้ผลสรุปอะไรแล้วใช่หรือไม่” ฉินเจาถาม

ฉู่หมิงอวิ่นมองผืนราตรีสีเข้มนอกหน้าต่างรถม้า ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยช้า ๆ “ข้ารู้สึกว่าเขายิ้มเช่นนั้นแล้วน่ามองจริง ๆ”

“…”

 

เช้าวันรุ่งขึ้นมีคนมารายงาน กล่าวว่าพบศพหนึ่งที่นอกนครหลวง ผิวหน้าทั้งหมดถูกฉีกกระชาก ตามร่างกายเละเทะ น่าอนาถจนมิอาจทนมอง เจ้าเมืองจิงจ้าวอิ่น[5]เร่งส่งคนไปดูทันที จากลักษณะเฉพาะบนร่างกายที่ตรวจสอบได้ สุดท้ายยืนยันว่านั่นคือซ่งเหิงจอหงวนคนปัจจุบัน ถัดมาติด ๆ มีบุรุษผู้หนึ่งโผล่มามอบตัว กล่าวว่าหลังจากสอบตกตนเกิดความริษยาในใจ วู่วามชั่วขณะจึงลงมือโหดร้ายเช่นนี้ บัณฑิตคนอื่นมาชี้ตัว บอกว่าคนผู้นี้ได้มอบจวนให้ซ่งเหิง เดิมทียังคิดว่าเป็นบัณฑิตผู้มีคุณธรรม คาดไม่ถึงว่าจิตใจจะอำมหิตเยี่ยงนี้

มูลเหตุและหลักฐานสอดคล้องกันทั้งหมด จึงถูกตัดสินให้จำคุกและตัดหัวหลังผ่านฤดูใบไม้ร่วง คดีจบลงอย่างราบรื่น ผลลัพธ์ได้รายงานต่อหน้าพระพักตร์ แม้พูดกันว่าจอหงวนถูกลอบทำร้าย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงความแค้นส่วนตัวระหว่างคนหมู่บ้านเดียวกัน ไม่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง แลกมาได้เพียงการทอดถอนใจของฮ่องเต้และขุนนาง และความเสียดายจากคนที่ให้ความสำคัญกับความสามารถของเขา ผ่านไปเช่นนี้เหมือนหินก้อนเล็กตกลงกลางทะเลสาบ สร้างได้แต่ระลอกคลื่นเล็ก ๆ เท่านั้น

เรื่องราวผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เรื่องซุบซิบในโรงน้ำชาผ่านไปไม่กี่วันก็เปลี่ยนเป็นหัวข้อใหม่ บัณฑิตคนหนึ่งอย่างซ่งเหิง เส้นสายบางเบา ยังไม่ทันได้รับตำแหน่ง ผลงานยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เมื่อคดีเสร็จสิ้นลงแล้วก็ประหนึ่งฝุ่นผงในสายลมที่ปลิวตกพลันหยุดนิ่ง

ผู้ที่ให้ความสนใจเกรงว่าคงมีเพียงสองคนนั้น

ขณะฟังรายงานในตำหนักจินเตี้ยน[6]ซูซื่ออวี้และฉู่หมิงอวิ่นสบตากันและกัน ต่างฝ่ายต่างมีความคิดของตน ทั้งคู่ไม่เอ่ยถึงเรื่องในคุกใต้ดินคืนนั้น แต่พวกเขาเข้าใจทันทีว่า ซ่งเหิงที่เชิญเหล่าขุนนางมางานเลี้ยงคืนนั้นถูกสวมรอยแทนที่ด้วยคนที่สวมผิวหนังส่วนใบหน้าของเขา จากนั้นฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าท่าไม่ดีจึงรีบโยนคดีนี้ออกมาปกปิดเรื่องอื่น อย่างไรเสียก็เป็นการตายอย่างไร้พยานหลักฐาน

ครั้นเลิกประชุมเช้าฉู่หมิงอวิ่นเรียกตัวซูซื่ออวี้ไว้ เอ่ยถามทั้งที่รู้ดี “เหตุใดใต้เท้าซูจึงไม่รายงานเรื่องคุกใต้ดินต่อฝ่าบาท”

“ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ พระอุปนิสัยยังไม่มั่นคง ไยต้องนำการคาดเดาไปรบกวนพระองค์ในตอนนี้” ซูซื่ออวี้เอ่ยอย่างราบเรียบ มองฉู่หมิงอวิ่นครู่หนึ่ง “ใต้เท้าฉู่ก็ยังไม่เอ่ยถึงเช่นกันไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าอ่านสิ่งใดได้จากเรื่องนี้เล่า”

ฉู่หมิงอวิ่นยกยิ้ม มองตรงเข้าไปในดวงตาของซูซื่ออวี้ “สิ่งที่ใต้เท้าซูและข้าคิดก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

ซูซื่ออวี้หัวเราะเบา ๆ เคลื่อนสายตามองทางกระเบื้องชายคาสีมรกตที่เชิดหาผืนฟ้า “…ใบไม้ร่วงหล่นหนึ่งใบพลันตระหนักสารทฤดูมาเยือน[7]

ตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการมองสิ่งเล็ก ๆ นี่คือหมากตัวแรกที่ผู้มีใจทะเยอทะยานวางลงบนกระดาน

 

ชานเมืองตะวันตกที่อยู่ห่างออกไปจากนครฉางอันสิบกว่าลี้มีภูเขาอยู่หลายลูก สลับเรียงรายสูงตระหง่านง้ำ สันเขาคดเคี้ยววกวน เหล่านกและสัตว์ร้ายสวนกันไปมาขวักไขว่ระหว่างกิ่งไม้พัวพันของต้นไม้เก่าแก่ ปักษาร้องขานประสานเสียง เป็นสถานที่ที่คนผ่านทางน้อย

บนหน้าผาแห่งหนึ่งมีบุรุษสองคนดึงบังเหียนหยุดม้า ทอดสายตามองเบื้องหน้า ชายแขนเสื้อสีครามของบุรุษผู้นำหน้าถูกลมพัดกระพือ บริเวณขอบคอและแขนปรากฏลวดลายดอกบัวซ้อนหลายชั้น สีแดงเข้มดุจโลหิต  เขาหันหน้ากลับมาถามคนด้านหลัง “แน่ใจหรือว่าคือที่นี่”

ฉินเจาเอ่ย “ขอรับ แต่ยืนยันตำแหน่งที่แน่นอนไม่ได้”

ฉู่หมิงอวิ่นหันหน้ากลับไป ยกมือขึ้นกดเส้นผมดำขลับที่ถูกพัดจนยุ่งเหยิงสองสามส่วนไว้ ในน้ำเสียงเจือความรังเกียจที่ไม่ปกปิด “รกร้างว่างเปล่า”

ในคุกใต้ดินวันนั้นฉู่หมิงอวิ่นสังเกตได้ว่า โครงสร้างซับซ้อนเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่สร้างเสร็จภายในเวลาสั้น ๆ อีกทั้งกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งอยู่ในอากาศแสดงชัดว่าก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนถูกขังอยู่ที่นั่น แปลว่าผู้เป็นเจ้าของทำกรงขังให้ว่างเปล่าเพื่อเขาและซูซื่ออวี้ กระนั้นเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปด้านในกลับพบเข้ากับยามตรวจตรา ดูจากการเดินไปมาไร้ระเบียบภายในคุกใต้ดินของฝ่ายตรงข้าม ยามตรวจตราเคลื่อนไหวเพียงบริเวณนั้น ด้วยเหตุนี้ฉู่หมิงอวิ่นจึงคาดเดาว่ายังมีคนถูกขังอยู่ด้านใน โยกย้ายออกมาไม่ทัน

ในคืนนั้นเขาไม่แสดงท่าทีอะไรยามกลับ ลับหลังกลับสั่งให้องครักษ์เงาจับตาดู และก่อนฟ้าสางก็ปรากฏรถม้าที่ดูเหมือนขนส่งสินค้าสองสามคันลอบออกจากจวนดังคาด แม้ว่าองครักษ์เงาจะตามติดโดยไร้สุ้มเสียงตลอดทาง ทว่าฝ่ายตรงข้ามระแวดระวังอย่างยิ่ง เมื่อเข้าสู่ชานเมืองตะวันตกก็ยิ่งลับลวงตามากขึ้น ลักษณะภูเขาสูงแถบนี้เดิมทีซับซ้อนอยู่แล้ว ตกดึกต้นไม้ปกคลุมยิ่งไม่มีแม้แต่แสงสว่างสักสาย สุดท้ายองครักษ์เงาจึงทำได้เพียงยืนยันตำแหน่งในภูเขาของพวกเขาคร่าว ๆ

ฉินเจาเอ่ย “ตรวจสอบสถานที่เช่นนี้เดิมก็ลำบากแล้ว จะไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว เกรงว่าต้องระวังมากขึ้น”

“หมายความว่าข้าต้องส่งคนมาจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องรอสิบวันถึงครึ่งเดือนงั้นรึ”

“ใช่”

“ยุ่งยากเกินไป” ฉู่หมิงอวิ่นส่ายหน้า มองผืนป่าเขียวครึ้มบนภูเขาลูกตรงข้าม “เสียแรงเปล่า ยังลำบากที่องครักษ์เงาไม่อาจโยกย้ายได้อย่างอิสระ”

“ศิษย์พี่ต้องการล้มเลิกไม่สนใจแล้วหรือ” ฉินเจาถาม

ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะเบา ๆ “ปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ ใจข้าก็ไม่สงบสุขนัก”

“เช่นนั้นทำอย่างไรดี”

“ศิษย์น้อง” ฉู่หมิงอวิ่นหรี่ตาเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น ดวงอาทิตย์อ่อนแสง เมฆซ้อนทับหลายชั้นบนท้องฟ้าออกสีขาวหม่น “แม้แต่อากาศยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าไม่นานคงต้องมีพายุเข้าแน่”

“อะไรหรือ” ฉินเจาตอบโต้ไม่ทัน

“น้ำป่า” ฉู่หมิงอวิ่นยิ้มเอ่ย “ในเมื่อหาไม่พบ มิสู้ลงมือระเบิดภูเขาดีกว่า สวรรค์เป็นใจพอดิบพอดี ถึงเวลาฝนพัดเอาดินโคลนและหินยักษ์ไหลทะลักลงมา สิ่งใดล้วนหลบไม่พ้น พวกมันรักที่จะหดหัวอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็ฝังกลบเสีย”

“แต่ว่า…” ฉินเจาเอ่ยอย่างลังเล “คนที่พวกเขาขังไว้อาจอยู่ที่นี่เช่นกัน”

“เกี่ยวอันใดกับข้ากัน” เขาย้อนถามพลางถอนสายตากลับมามองทางฉินเจา “ผู้ใดจะรู้ว่าคนที่ถูกขังอยู่เป็นใคร อีกอย่าง ดูจากเรื่องของซ่งเหิงก็รู้ แม้ค้นพบรังของพวกมัน แต่ตัวประกันอาจถูกชิงสังหารไปแล้ว ช่วยออกมาไม่ได้ตามเคย”

ฉินเจานิ่งเงียบไม่พูดจา

ฉู่หมิงอวิ่นเคลื่อนสายตาออก เอ่ยต่อว่า “แม้ว่ากรมทหารฟังคำสั่งของข้า แต่จำนวนดินระเบิดหายไปมากเกินก็อาจกระตุ้นให้เกิดความสงสัยได้ ข้าจำได้ว่าถานจิ้งใช้ประโยชน์จากตำแหน่งเจ้ากรมช่างของเขากระทำเรื่องไม่ชอบมาพากล ใช้เรือหลวงลักลอบทำการค้าส่วนตัว มิสู้ไปเจรจากับเขาดู”

“รับทราบ” ฉินเจาเอ่ย

ฉู่หมิงอวิ่นเหล่มองเขา คลี่รอยยิ้ม “หน้าน้ำแข็ง เจ้ามีข้อคัดค้านหรือ”

“ไม่ขอรับ” ฉินเจาส่ายศีรษะ

รอยยิ้มที่มุมปากของฉู่หมิงอวิ่นจางลง เขาย่อมรู้นิสัยศิษย์น้องของตนเอง จึงหันหัวม้าเดินทางกลับ เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “จริงสิ เรื่องของซูซื่ออวี้ที่ข้ามอบหมายให้ตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง”

ฉินเจารีบควบม้าตามทันที ประกบอยู่ด้านหลังฉู่หมิงอวิ่น เอ่ยตอบ “ตรวจสอบไม่พบขอรับ”

“หืม” ฉู่หมิงอวิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย

ฉินเจารวบรวมคำพูดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างชัดเจน “บนทะเบียนรายชื่อกรมทหารไม่มีชื่อของซูซื่ออวี้ สอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ล้วนไม่มีคนได้ยินว่าเขาเคยออกรบ”

“ตรวจสอบละเอียดแล้วหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย “ซูซื่ออวี้อายุเท่ากับข้า ตอนเขาอายุสิบห้าปีก็คงเป็นช่วงสิบสองปีก่อนที่ซยงหนูโจมตีต้าเซี่ย อีกทั้งเขาติดตามซูเจ๋ว์บิดาของเขาออกรบ ไม่บันทึกเข้าทะเบียนรายชื่อก็ดูมีเหตุผล”

“ตรวจสอบแล้ว แม่ทัพในยามนั้นคือซูเจ๋ว์จริง แต่ว่าสงครามเล็กใหญ่ล้วนไม่มีร่องรอยของซูซื่ออวี้ บุตรชายคนเดียวของแม่ทัพใหญ่ย่อมไม่อาจเป็นนายทหารเล็ก ๆ”

ฉู่หมิงอวิ่นครุ่นคิดแล้วเอ่ย “จากน้ำเสียงของซูซื่ออวี้ ยามนั้นอาจเกิดเรื่องบางอย่าง ด้วยอำนาจของซูเจ๋ว์ การบิดเบือนบัญชีทะเบียนรายชื่อ ลบซูซื่ออวี้ออกไปใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กองทหารที่ติดตามซูซื่ออวี้ในตอนนั้นก็น่าจะมีบันทึกไว้ ทว่าล้วนไม่มีแม้แต่น้อย”

“ไม่มีทะเบียนรายชื่อ คนนอกไม่รู้ แล้วเจ้าไม่ได้ลองถามตู้เย่ว์ดูหรือ”

“ถามแล้ว แต่ตอนนั้นตู้เย่ว์เพิ่งแปดขวบ อีกทั้งจินหลิงห่างจากฉางอันไกลเพียงนั้น เขาจะรู้เรื่องในตอนนั้นได้อย่างไร นอกจากนี้ดูท่าทางของเขาแล้ว ครอบครัวเองก็คงไม่เคยพูดถึงมาก่อน” ฉินเจาเอ่ย “ศิษย์พี่ ที่ซูซื่ออวี้พูด อาจเป็นเรื่องเท็จ”

ฉู่หมิงอวิ่นนิ่งเงียบ สีหน้าท่าทางในตอนนั้นของซูซื่ออวี้เขายังจำได้ชัดเจน ราวกับความคิดนับพันตกสู่น้ำอย่างไร้สุ้มเสียง ผสมผสานกลายเป็นรอยยิ้มบางเบา เขาส่ายหน้าช้า ๆ น้ำเสียงแน่วแน่มั่นคงโดยไม่มีสาเหตุ “นั่นไม่ใช่คำโกหก”

“ท่านรู้ได้อย่างไร” ฉินเจาถาม

ฉู่หมิงอวิ่นคิดแล้วจึงเอ่ยเสียงเนิบนาบ “หากเป็นเรื่องโกหก คำโกหกนี้ของซูซื่ออวี้ก็เปิดโปงง่ายเกินไปจริง ๆ มิสู้กล่าวว่าเขารู้ชัดเจนว่าพวกเราจะหาอะไรไม่พบ จึงตอบคำถามของข้าได้อย่างไม่ลังเล ทำให้ข้าคาดเดาไม่ถูก”

สิ่งที่ซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านั้นล้วนคือความคิดและการคาดเดาที่ซับซ้อน กับคนข้างกายคงต้องขบคิดนานครึ่งวันจึงจะเข้าใจชัดเจน ฉินเจาไม่รู้ว่าควรประเมินคนสองคนนี้อย่างไรไปชั่วขณะ เอ่ยได้เพียง “อ้อ”

“แม้ไม่เข้าใจว่าสถานการณ์เช่นนี้แท้จริงแล้วเกิดจากอะไร แต่ว่า…”

กำแพงสูงของนครฉางอันปรากฏลิบ ๆ อยู่เบื้องหน้าแล้ว แนวธงสะบัดพลิ้ว ผนังกำแพงสีเหลืองซีดมิอาจปกปิดเสียงครึกครื้นและความรุ่งเรืองของเมือง สถานที่แห่งนี้คือห้วงฝันข้างหน้าต่างหนาวเหน็บ[8]ของบัณทิตยากจน คือนครหลวงล้ำค่าของผู้แสวงหาประโยชน์ คือสมรภูมิแห่งการเข่นฆ่าไร้เสียงของผู้มีอำนาจ

ฉู่หมิงอวิ่นกระตุกมุมปากยกยิ้ม ท้ายเสียงที่สูงขึ้นเจือด้วยการเฝ้าคอยสองสามส่วน “ข้ากับเขา วันข้างหน้าอีกยาวไกล”

 

 

[1] ชนเผ่าเร่ร่อนที่อยู่ทางทิศเหนือนอกกำแพงเมืองจีน

[2] ดินแดนที่ราบทางตอนกลางของจีน อยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง

[3] เป็นไม้ที่ได้จากต้นถงมู่ น้ำหนักเบาและทนทาน เสื่อมสภาพยาก

[4] หนึ่งจอกชาเท่ากับเวลาประมาณสิบนาที

[5] คือหนึ่งในสามเขตเมืองส่วนกลาง (จิงจ้าวอิ่น โย่วฝูเฟิง จั่วเฝิงอี้) ที่ตั้งขึ้นเพื่อแบ่งการปกครองบริเวณนครหลวงและใกล้เคียง กินพื้นที่ส่วนนครฉางอันและฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ ใช้ชื่อเมืองเป็นชื่อตำแหน่งของขุนนางผู้ปกครองเมือง

[6] เรือนโถงใหญ่ใช้สำหรับงานราชการต่าง ๆ ในสมัยโบราณ

[7] อุปมาว่าในเหตุเล็ก ๆ บางอย่างสามารถมองเห็นแนวโน้มและผลลัพธ์ของสถานการณ์ทั้งหมดได้

[8] เปรียบถึงสภาพแวดล้อมในการเรียนที่ยากลำบาก มักใช้พรรณนาถึงชีวิตลำเค็ญของบัณฑิต

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า