[ทดลองอ่าน] ปฏิปักษ์คู่บัลลังก์ บทที่ 3.1

君有疾否
ปฏิปักษ์คู่บัลลังก์

如似我闻 หรูซื่อหว่อเหวิน เขียน
เจ้าเจิน แปล
LadyVanila วาด

— โปรย —

คนหนึ่งกุมอำนาจทางการทหาร คนหนึ่งกุมอำนาจผู้ตรวจการแผ่นดิน

คนหนึ่งแสร้งเป็นพวกตัดแขนเสื้อเพื่อเข้าหา

คนหนึ่งหลีกลี้หนีหน้าพวกตัดแขนเสื้อ ทว่ากลับตัดแขนเสื้อเสียเอง

เมื่อสติปัญญาปะทะร้อยเล่ห์ในเกมชิงอำนาจแห่งราชสำนัก

ฉู่หมิงอวิ่น ที่เอาแต่รุกไล่ตามจีบ ซูซื่ออวี้

เจอหน้าอีกฝ่ายเป็นต้องหยอดคำหวานด้วยมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ

เขาจะทำให้จิตใจของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเฉยชาและมั่นคงนี้

มีอันต้องสั่นคลอนเพราะคำพร่ำพลอดทุกคราที่เจอหน้า

จนทลายฉายาบุรุษไร้ใจได้หรือไม่

หรือแผนโค่นล่ม จะกลับกลายเป็นแผนพิชิตรัก

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 3.1

 

นครฉางอันคึกคักขึ้นอีกสองสามส่วนภายในคืนเดียว

หลี่เหยียนเจินฮ่องเต้วัยเยาว์ของต้าเซี่ยเถลิงราชย์ครบแปดปี สงครามซยงหนูสงบลง แคว้นพันธมิตรไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ภัยแล้งที่ประสบเมื่อสองสามปีก่อนผ่านพ้นไป ใต้หล้าในที่สุดก็ค่อย ๆ ปรากฏสันติสุขเฉกเช่นชื่อรัชศก ‘ยงเหอ[1]’ เมื่อใส่ใจดูแลเรื่องใต้หล้าพอสมควรแล้ว หลี่เหยียนเจินก็อยากใส่ใจดูแลตนเอง

พระโอรสในอดีตฮ่องเต้มีไม่มาก ทั้งสวรรคตตั้งแต่อายุยังน้อย หลี่เหยียนเจินไม่ทันประดับกวานก็เถลิงราชสมบัติแล้วยามนั้นซยงหนูรุกรานก่อความวุ่นวายบ่อยครั้ง สถานการณ์ปั่นป่วน บรรดาสนมที่เข้าวังเพื่อปรนนิบัติรับใช้ล้วนเป็นสตรีหน้าตาธรรมดาที่เหล่าเชื้อพระวงศ์เลือกให้อย่างฉุกละหุก สงบเสงี่ยมเรียบร้อย น่าเบื่ออย่างยิ่ง ขณะที่หลี่เหยียนเจินเกิดมาพร้อมอารมณ์สุนทรีย์ โปรดปรานโคลงกวีและการร้องรำ ทว่าบทกลอนที่เขาเขียนขึ้นยามว่างนั้นกระทั่งคนที่สามารถร่วมชื่นชมด้วยกันสักคนยังไม่มี ในบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นย่อมมีผู้เป็นยอดด้านการประพันธ์กลอน แต่เพียงเขาหยิบยกขึ้นเล็กน้อย คำตอบของขุนนางและทางวังหลังก็จะเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์อย่างไม่เคยมีมาก่อนว่า “ฝ่าบาท เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า”

น่าปวดใจเหลือเกิน

วันนี้เมื่อเสร็จสิ้นการรายงานทุกอย่างแล้ว หลี่เหยียนเจินมองรอบบริเวณ สายตาหยุดที่ซูซื่ออวี้เป็นพิเศษ ก่อนเอ่ยถึงเรื่องการคัดเลือกสนมอย่างอ้อม ๆ คิดเลือกหาสตรีเฉลียวฉลาดมาเคียงคู่ร่วมเสพความสุนทรีย์

ซูซื่ออวี้หลุบตายิ้มบาง ๆ ตอบ “นี่เป็นเรื่องของวังหลัง ไยฝ่าบาทต้องตรัสถามกับขุนนาง”

ฉู่หมิงอวิ่นเหล่ตามองแวบหนึ่ง เขาจำได้ชัดเจนว่าผู้ใดที่ย่นคิ้วน้อย ๆ ปฏิเสธการคัดเลือกสนมในปีนั้นด้วยคำพูดนุ่มนวลจริงใจ เกลี้ยกล่อมจนหลี่เหยียนเจินไม่กล้าเอ่ยปากอีกหลายปี

โดยสรุปมีใจความว่า พระชันษายังเยาว์วัย ควรบ่มเพาะตนก่อน เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า พระองค์โปรดทรงรออีกสักหน่อย

ตอนนั้นฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยเรื่องนี้กับฉินเจาอย่างไม่ใครใส่ใจนัก อดทอดถอนใจไม่ได้ว่า “ตนเองไม่แต่งงานก็ยังต้องการให้ผู้อื่นบ่มเพาะตนด้วยกันอีก หากวันไหนเขาเกษียณจากตำแหน่งผู้ตรวจการ คาดว่าต้องเร้นกายบำเพ็ญเต๋าเป็นแน่”

ฉินเจาตีหน้านิ่งไม่สนใจเขา

ไม่ว่าอย่างไร การคัดเลือกสนมก็ถูกกำหนดขึ้น เลือกเฟ้นสตรีจากตระกูลสุจริตทั่วหล้าเข้านครหลวงถวายให้องค์เหนือหัวทรงเลือก

เพียงไม่กี่วันก็มีขบวนรถม้าหลายคันเข้าสู่นคร คุณหนูจากตระกูลขุนนางในนครหลวงเตรียมตัวกันอย่างตื่นเต้น เจ้าครองรัฐที่อยู่ห่างไกลถึงดินแดนพระราชทานก็ส่งหญิงงามมาจำนวนมากเช่นกัน เรื่องพูดคุยในหอสุราโรงน้ำชาล้วนเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการคัดเลือกสนม อารมณ์ฮึกเหิมเสียยิ่งกว่างานแต่งงานของตนเอง

บรรยากาศนี้ติดต่อจากคนสู่คนจริง ๆ แม้แต่ฉินเจาก็ไม่อาจเมินเฉยยืนชมอยู่ด้านข้าง ไปหาฉู่หมิงอวิ่นที่ห้องหนังสือเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยตนเอง

ฉู่หมิงอวิ่นค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองเขา “เจ้าอิจฉาแล้วหรือ”

“…” ฉินเจาตีหน้านิ่งเอ่ยว่า “ขุนนางจำนวนมากขนาดนั้นรีบร้อนส่งคนเข้าวัง ท่านไม่รู้หรือว่าพวกเขาวางแผนอะไร”

ราชสำนักและวังหลัง แต่ไรมาล้วนส่งผลกระทบถึงกัน

ฉู่หมิงอวิ่นถูลูกองุ่นสีเขียวฉ่ำน้ำไปมา “กินหรือไม่”

“ศิษย์พี่” ฉินเจาเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “ตอนฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์พวกเรายังไม่เข้าสู่ราชสำนักก็แล้วไปเถิด แต่โอกาสในตอนนี้ท่านก็คิดจะละทิ้งหรือ”

ฉู่หมิงอวิ่นทนต่อสายตาของฉินเจา เคลื่อนถาดผลไม้ไปไว้ด้านข้างช้า ๆ ก่อนจะเลือกเอกสารสองสามม้วนออกมาวางบนโต๊ะ ตอนนี้จึงเหลือบตามองเขา “โอกาสอะไรหรือ”

เขาหัวเราะอย่างเย็นชา “ใช้สตรีเป็นหมาก ส่งเข้าวังหลวงเป่าลมข้างหูงั้นรึ คนไร้ประโยชน์จึงจะอาศัยวิธีการพรรค์นี้มาทำให้ตำแหน่งตนเองมั่นคง”

ฉินเจาไร้คำพูดโต้ตอบ เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้ กระนั้นฉู่หมิงอวิ่นมักเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่ หากพวกเขาเมินเฉยโอกาสนี้ไปเรื่อย ๆ รับประกันได้ยากว่าผู้อื่นจะไม่ใช้วิธีนี้จัดการฉู่หมิงอวิ่น จากความทระนงตนของศิษย์พี่ ย่อมไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แต่เขากลับอดเป็นกังวลไม่ได้

ฉู่หมิงอวิ่นมองท่าทางนี้ของฉินเจา จู่ ๆ ก็เอ่ยว่า “หากเจ้าสนใจก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้…”

ฉินเจามองเขาอย่างประหลาดใจ

ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยเนิบนาบ “ลองคิดดูให้ดีแล้ว แม้ข้าไม่มีลูกน้องสตรีที่สามารถมอบหมายงานให้ได้ แต่ตู้เย่ว์เป็นคนที่เรียกความชื่นชอบจากผู้อื่นได้ดียิ่ง มิสู้ส่งเขาเข้าวังหลวงเป็นอย่างไร เจ้าทนไหวหรือไม่”

“ศิษย์พี่…”

“นี่ พวกเจ้าพูดอะไรถึงข้าน่ะ” ตู้เย่ว์ผลักประตูเข้ามา

ฉินเจา “…”

ฉู่หมิงอวิ่น “วางแผนเตรียมสินเดิมให้เจ้า ฉินเจาต้องการแต่ง…”

“เหลวไหล” ตู้เย่ว์หาเก้าอี้นั่งลงอย่างไม่สนใจ “เพราะเจ้าไร้คุณธรรมทั้งวันต่างหาก ฉินเจาไม่ได้พูดถึงสินเดิมอะไรหรอก”

คำพูดที่เหลือของฉู่หมิงอวิ่นถูกเสียงใสกังวานของตู้เย่ว์กลบมิด ทว่าฉินเจายังคงมองฉู่หมิงอวิ่นด้วยท่าทางประหม่าแวบหนึ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง

ฉู่หมิงอวิ่นเอียงหน้าหัวเราะเยาะ ก่อนจะทอดถอนใจเฮือกใหญ่หยอกล้อ หยิบเอกสารกองนั้นแล้วลุกเดินออกจากห้องหนังสืออย่างไม่สนใคร

ตู้เย่ว์เรียกเขาจากด้านหลัง “นี่ เจ้าจะไปไหน ข้าเพิ่งมานะ!”

ฉู่หมิงอวิ่นเดินไปไกลแล้ว เสียงยังลอยมาดังชัดเจน “กลิ่นคนโง่เขลาในห้องแรงเกินไป ข้าจะออกไปสูดอากาศสักหน่อย”

“เจ้าคนบัดซบผู้นี้” ตู้เย่ว์ขมวดคิ้ว “ระวังเถอะข้าจะวางยาพิษเจ้า”

ความจริงแล้วเขาก็อาศัยการที่ฉู่หมิงอวิ่นไม่ได้ยินจึงกล้าพูดขนาดนี้

“…ตู้เย่ว์” จู่ ๆ ฉินเจาก็เรียกเขา

“อะไรหรือ” ตู้เย่ว์มองอีกฝ่าย

พอฉินเจาสบกับดวงตาสุกใสคู่นั้นของตู้เย่ว์ก็เอ่ยปากไม่ออกขึ้นมา คำพูดนั้นเมื่อครู่ของฉู่หมิงอวิ่นจี้ใจดำเขาเต็ม ๆ ทำให้เขาลนลานจนเกือบทำอะไรไม่ถูก แต่ดีที่เขาเกิดมาพร้อมกับใบหน้าไร้อารมณ์ อีกทั้งตู้เย่ว์ก็ไม่ใช่คนละเอียดอ่อน มองสิ่งผิดปกติอะไรไม่ออก

ฉินเจาไร้คำพูดอยู่เนิ่นนาน จึงเอ่ยแห้ง ๆ ว่า “เจ้ากินองุ่นไหม”

ตู้เย่ว์มองตามไปยังถาดบนโต๊ะหนังสือที่ยังมีลูกองุ่นแวววาวฉ่ำน้ำ พยักหน้าหนึ่งหน “กิน!”

 

ด้านนั้นฉินเจาและตู้เย่ว์นั่งตรงข้ามกันตั้งอกตั้งใจกินองุ่น ด้านนี้ฉู่หมิงอวิ่นถือเอกสารราชการเข้าวังหลวง

ทุกเดือนผู้บัญชาการและผู้ตรวจการต้องถวายรายงานภารกิจทั้งหมดต่อฮ่องเต้ นี่คือระเบียบปฏิบัติ

ตอนที่ฉู่หมิงอวิ่นเข้าสู่ห้องทรงพระอักษรโดยมีนางกำนัลนำทาง ซูซื่ออวี้ก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว ในมือของเขาถือเอกสารราชการสองสามเล่มเช่นกัน กำลังพิจารณาโต๊ะทรงพระอักษรไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ หลี่เหยียนเจินที่อยู่บนตำแหน่งประมุขในมือถือมีดแกะสลักเล่มหนึ่ง ก้มหน้าก้มตาตั้งอกตั้งใจสลักเสลา ข้างกายของเขามีท่อนไม้ขนาดสูงเท่าตัวคนตั้งอยู่ ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ มองออกว่าเป็นวัสดุชั้นยอด น่าจะเป็นไม้หายากที่สักแห่งถวายเป็นเครื่องบรรณาการ

ฝ่าบาทยามนี้นอกจากเรื่องบ้านเมืองเรื่องใต้หล้าแล้ว ทุกเรื่องล้วนเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการแกะสลักและวาดภาพ

ฉู่หมิงอวิ่นประสานมือค้อมคำนับ หลี่เหยียนเจินขานรับส่ง ๆ กระทั่งสายตาก็ไม่แบ่งความสนใจมาให้ ปากกล่าวว่า “วางเอกสารราชการไว้บนโต๊ะเถิด”

บนโต๊ะทรงพระอักษรมีรูปเหมือนของสตรีผู้เข้าร่วมการคัดเลือกสนมที่คลี่ออกครึ่งหนึ่งสองสามแผ่นวางอยู่ก่อนแล้ว บนม้วนกระดาษยังมีมีดแกะสลักสองสามเล่มวางระเกะระกะ  ฉู่หมิงอวิ่นเข้าใจทันทีว่าซูซื่ออวี้กำลังพิจารณาสิ่งใด เขากำลังหาตำแหน่งที่สามารถวางเอกสารราชการได้ ฉู่หมิงอวิ่นก้าวขึ้นหน้าวางเอกสารราชการทับรูปเหมือนโดยตรง ซูซื่ออวี้มองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะวางสิ่งของลงตาม

ซูซื่ออวี้จัดระเบียบแขนเสื้อ มองหลี่เหยียนเจินที่ยังคงหมกมุ่นกับมีดแกะสลักแล้วกระแอมเบา ๆ ตระกูลซูสนับสนุนเขาตั้งแต่ตอนเป็นรัชทายาท อีกทั้งซูซื่ออวี้อายุมากกว่า หลี่เหยียนเจินจึงยังมีความเคารพต่ออีกฝ่าย เมื่อได้ยินเสียงก็รีบเงยหน้าขึ้น ยิ้มเอ่ย “เราฟังอยู่ พวกเจ้ารายงานเถิด”

ฉู่หมิงอวิ่นและซูซื่ออวี้พบกับเหตุการณ์เช่นนี้จนเคยชินแล้วจริง ๆ ยอมให้หลี่เหยียนเจินมองดูท่อนไม้พร้อมฟังรายงานจนจบ สุดท้ายหลี่เหยียนเจินก็ถอนสายตา ยิ้มมองพวกเขาพลางถอนหายใจเอ่ยว่า “เราได้รับการช่วยเหลือจากขุนนางที่รักทั้งสองคน ใต้หล้าร่มเย็น ทะเลสงบแม่น้ำสะอาด เรียกได้ว่าโชคดีอย่างยิ่ง”

ฉู่หมิงอวิ่นและซูซื่ออวี้ยิ้มรับ ต่างมีความคิดของตนในใจ

หลี่เหยียนเจินเงียบลงครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ยังมีอีกเรื่อง เราอยากถามขุนนางที่รักทั้งสองคนเสียหน่อย”

“ฝ่าบาทตรัสถามได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม้ท่อนนี้เป็นของชั้นดี เราคิดว่ามีเพียงแกะสลักเป็นหญิงงามล้ำเลิศจึงจะไม่หักหาญความการุณย์ของสวรรค์ ขุนนางที่รักพอจะมีใครแนะนำหรือไม่”

“…”

เงียบกริบลงชั่วขณะ ซูซื่ออวี้จึงเปิดปากเอ่ย “ตอนนี้กำลังคัดเลือกสนม คนงามในใต้หล้าล้วนมารวมตัว ฝ่าบาททรงเลือกหนึ่งในนั้นเถิด”

หลี่เหยียนเจินโคลงศีรษะ “เราย่อมเรียกเข้ามาดูแล้ว หญิงงามมากมายปานนั้นก็ยังไม่สู้ขุนนางซูที่รัก ไม่เข้าตาเรา”

“กระหม่อมเป็นบุรุษจะนำมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร” ซูซื่ออวี้ยิ้มเอ่ย “นอกจากนี้ หากพูดถึงเรื่องรูปโฉมแล้ว ใต้เท้าฉู่จึงจะเรียกได้ว่าล้ำเลิศ”

ฉู่หมิงอวิ่นที่เงียบงันมาโดยตลอดเบนหน้ามองไป เลิกคิ้วเอ่ย “ข้าก็เป็นบุรุษ”

ซูซื่ออวี้สบตาเขา หัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ย “ข้าพูดเมื่อใดว่าไม่ใช่ ใต้เท้าฉู่รีบร้อนเน้นย้ำไปไย”

“…” ฉู่หมิงอวิ่นแสร้งไม่ได้ยิน หันหน้ากลับมาก็สบกับสายตาเพ่งพิศของหลี่เหยียนเจินที่หยุดอยู่บนใบหน้าเขา เขาอดตกใจครู่หนึ่งไม่ได้ ยังไม่ทันปริปากกลับเห็นหลี่เหยียนเจินส่ายหน้าด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม “ขุนนางฉู่ที่รักแม้รูปโฉมงดงาม แต่หน้าตาเพริศพริ้งเกินไป ไม่ใช่แบบที่เราชอบ”

ซูซื่ออวี้ตกอยู่ในความเงียบ

ฉู่หมิงอวิ่นเลิกคิ้ว หัวเราะเยาะหนึ่งครา แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หน้าตาของกระหม่อมไม่ถูกใจฝ่าบาท ช่าง…น่าขายหน้า ยากจะยอมรับจริง ๆ”

หลี่เหยียนเจินยกมือขึ้น “ไม่เป็นไร” เขาเบนหน้ามองซูซื่ออวี้ “เมื่อครู่เจ้าหัวเราะหรือ”

ซูซื่ออวี้เหลือบตาขึ้นอย่างสงบนิ่ง “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นขุนนางซูที่รักชอบเช่นนี้หรือไม่” เพิ่งจะถามออกไป หลี่เหยียนเจินกลับส่ายหน้าหัวเราะกับตนเอง “เราลืมไป แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่เคยชอบสิ่งใด”

 

คนงามในใต้หล้านี้มีไม่มากนัก สถานที่รวมตัวนอกจากวังหลวงและจวนชนชั้นสูงแล้ว ก็ยังมีถนนบุปผาตรอกหลิว[2] เสียงกระซิบกระซาบดุจนกนางแอ่นนกขมิ้น กลิ่นหอมอวลลอยแตะจมูก คือสถานที่สุดแสนเริงรมย์ในโลกมนุษย์

เกี้ยวหลังหนึ่งหยุดลงด้านหน้าหองามของหงซิ่วเจา[3] แม่เล้าที่ต้อนรับแขกอยู่หน้าประตูเพียงเห็นบุรุษเดินออกมาจากเกี้ยวก็ปรี่เข้าต้อนรับทันที ยิ้มเอ่ยด้วยความห่วงใย “เหตุใดท่านจึงมาด้วยตนเองเล่า มีเรื่องอันใดส่งคนมาบอกข่าวก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ รีบร้อนเช่นนี้…”

บุรุษผู้นั้นโบกมือปัด เอ่ยตัดบทแม่เล้า “นางเล่า”

“กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องเจ้าค่ะ ข้าจะไปเรียกนางเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้อง” บุรุษผู้นั้นยกเท้าเดินขึ้นชั้นบน เสียงหัวเราะเริงรมย์ที่ชั้นล่างแผ่วเบาลงทันใด สาวใช้เปิดประตูให้เขา คำนับอย่างเคารพนบนอบหนึ่งหนก็ล่าถอยไป ภายในห้องนี้ตกแต่งอย่างนุ่มนวลสบายตา ไร้สิ่งงดงามหรูหรา ทำให้คนรู้สึกราวกับเดินเข้ามาในสถานที่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ม่านมุ้งผืนบางซ้อนทับหนาหลายชั้น พลิ้วไหวตามสายลม เงาร่างอรชรปรากฏใกล้สายตาแล้ว มือขาวนวลข้างหนึ่งแหวกม่านออก หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ให้เขา ใบหน้างามพริ้มเพรา

จิ้งซูคำนับบุรุษผู้นั้นหนึ่งครั้งแล้วจึงเหลือบตาขึ้นเอ่ย “ท่านจะมาด้วยตนเอง เหตุใดจึงไม่แจ้งล่วงหน้าก่อนสักคำ”

บุรุษผู้นั้นนั่งลง ยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร อยากมาดูเจ้าสักหน่อยเท่านั้น”

จิ้งซูก้าวขึ้นหน้ารินชาเต็มจอกให้เขาด้วยตนเอง คลี่ยิ้มบางเบา ขณะกำลังจะเปิดปากเอ่ย ด้านนอกพลันเกิดเสียงอึกทึกแว่วมาแต่ไกล กระทั่งพื้นล้วนสั่นสะเทือนเล็กน้อย ทว่าก็เล็กน้อยถึงขั้นถูกเสียงหัวเราะสนุกด้านล่างดังกลบ หากเป็นผู้มีกำลังภายในตื้นเขินเกรงว่ายากจะสังเกต บุรุษผู้นั้นมองออกนอกหน้าต่าง พวกเขาสบตากันอย่างตกใจระคนสงสัย สังหรณ์ถึงความไม่สงบ

เสียงฝีเท้าโกลาหลพุ่งมาทางนี้ บ่าวรับใช้ไม่สนใจมารยาทผลักประตูโผล่ศีรษะเข้ามา เปิดปากร้องเรียก “นายท่าน! แย่แล้ว ชานเมืองตะวันตกเกิดเรื่องแล้วขอรับ!”

“เกิดอะไรขึ้น” บุรุษผู้นั้นลุกพรวดทันที

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังเลื่อนลั่นขึ้นที่ปลายขอบฟ้า จิ้งซูสาวเท้าไปยังริมหน้าต่างอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงแสงอสนีบาตประหนึ่งอสรพิษปรากฏอยู่เหนือเมฆทะมึน ณ ที่ไกล เสียงฟ้าร้องประหนึ่งลั่นฆ้องก้องสนั่นทั่วผืนฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ฉับพลันเมฆหนาก็สลายตัว ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาราวกับคว่ำอ่าง

 

เหยียนเย่ติดตามฉินเจาเข้าจวนผู้บัญชาการ ทะลุผ่านระเบียงทางเดินสีชาดที่คดโค้งสู่ห้องหนังสือ เขาชื่นชมความโอ่อ่าของจวนตลอดทาง เอ่ยหยั่งเชิงสองสามคำถาม ทว่าบุรุษชุดดำผู้นั้นมอบเพียงเงาหลัง และเสียง “อืม” อย่างเย็นชาสองสามหนให้เขา ช่างอับจนหนทางจริง ๆ เขาปิดปากเงียบด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจะหยุดเท้าตามฉินเจา เห็นประตูห้องหนังสือค่อย ๆ เปิดออกก็รีบจัดการสีหน้าทันที

ฉู่หมิงอวิ่นกำลังยกพู่กันร่างบางสิ่งลงบนภาพ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้นมองเหยียนเย่ครู่หนึ่ง “เจ้ามาทำอะไร”

เหยียนเย่ทำความเคารพ ยิ้มพลางเอ่ยตอบ “ข้าน้อยได้ยินว่าใต้เท้ากำลังสืบข่าวของอดีตเจ้ากรมเฉิน บังเอิญข้าพอรู้เรื่องอยู่บ้างจึงรีบมาบอกใต้เท้า”

ฉู่หมิงอวิ่นวางพู่กัน เอนหลังพิงเก้าอี้ “เจ้ารู้ว่าครอบครัวของเฉินเสวียนเหวินอยู่ที่ใดงั้นหรือ”

“รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เหยียนเย่เอ่ย “ไม่กี่วันก่อนข้าน้อยเดินทางไปยังหลินอัน ได้พบปะกับเจ้าเมือง เขาเอ่ยถึงอดีตเจ้ากรมเฉินว่าไม่รู้เพราะเหตุใดจึงตามหาตนกะทันหัน ซื้อจวนนอกเมืองหลินอันแล้วก็ย้ายครอบครัวเข้าไป อดีตเจ้ากรมเฉินไม่ยอมพูดมากนัก ตัวเขาเองก็ไม่กล้าถาม แต่ว่าผ่านไปไม่กี่วัน จู่ ๆ จวนหลังนั้นก็เกิดไฟไหม้กลางดึก ตอนที่เขาส่งคนไป ไฟก็เผาไหม้ได้ประมาณหนึ่งแล้ว”

“ไฟไหม้กลางดึกหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นเลิกคิ้วขึ้น

“ขอรับ เจ้าเมืองไหนเลยจะกล้าเมินเฉยคดีนี้ เขาส่งคนไปตรวจสอบหลายคน ก็ไม่พบร่องรอยคนวางเพลิง อาจเป็นสิ่งของจำพวกเทียนไขในจวนที่ทำให้เกิดเรื่อง”

“เหอะ” ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะเยาะ “หากคนวางเพลิงปล่อยให้เขาตรวจสอบพบได้ง่าย ๆ ก็ไม่มีหน้าไปสังหารครอบครัวเฉินเสวียนเหวินแล้ว”

คนที่เดินผ่านจุดเกิดเหตุระหว่างการตรวจสอบมีไม่น้อยจริง ๆ น้ำเสียงของฉู่หมิงอวิ่นเหน็บแนมยิ่งนัก เหงื่อเย็นส่วนหนึ่งไหลซึมออกมาจากขมับของเหยียนเย่อย่างห้ามไม่อยู่ ไม่กล้ามองฉู่หมิงอวิ่น แสร้งยิ้มเอ่ย “ใต้เท้ากล่าวถูกต้อง”

“ความหมายของเจ้าคือ ทั้งครอบครัวของเฉินเสวียนเหวินล้วนถูกไฟคลอกกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วงั้นหรือ”

“เรื่องนี้…เกรงว่าไม่แน่นอน” เหยียนเย่เอ่ยอย่างลังเล

“หืม” ฉู่หมิงอวิ่นมองเขา

เหยียนเย่อดยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อไม่ได้ เอ่ยด้วยความกังวล “จะ…เจ้าเมืองผู้นั้นก็เดาไว้เช่นกัน ข้าน้อยเพียงมาเล่าต่อ ไม่ชัดเจนขอรับ”

ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะ เอ่ยเนิบ ๆ “เจ้ากลัวขนาดนี้ กลัวข้าจะทำอะไรงั้นหรือ”

“จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ” เหยียนเย่ยิ้ม รวบรวมความกล้าเอ่ยต่อ “มีคนพูดว่าเห็นรถม้าหยุดอยู่ที่นั่นกลางดึก เหมือนกับช่วยคนออกมา อาจเป็นหลานชายคนเดียวของอดีตเจ้ากรมเฉิน แต่กลางคืนมืดเกินไป มองเห็นไม่ชัด”

สายตาของฉู่หมิงอวิ่นผ่อนคลายลง ก่อนจะมองทางฉินเจา ฉินเจาสบตาเขาก็เข้าใจ ผงกศีรษะให้ ตั้งใจว่าเมื่อเหยียนเย่กลับแล้วจะสั่งคนไปยังหลินอันสักรอบ

ทว่าเหยียนเย่พูดก็พูดจบแล้ว กลับไม่คิดจะจากไป ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าสนใจเรื่องอดีตเจ้ากรมเฉินเพียงนี้ มีเรื่องอันใดหรือ ข้าน้อยแม้ไร้ความสามารถ แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจช่วยใต้เท้าแบ่งเบาภาระได้”

ฉู่หมิงอวิ่นมองเขาปราดหนึ่ง ย่อมเข้าใจความคิดฉวยโอกาสประจบสอพลอของเขา ดังนั้นจึงเอ่ยส่ง ๆ ว่า “ไม่มีอะไร เพียงได้ยินว่าหลานชายของเฉินเสวียนเหวินหน้าตาไม่เลวเท่านั้น”

“…” เหยียนเย่คิดขึ้นได้ว่าบุรุษเบื้องหน้าเป็นพวกชื่นชอบบุรุษได้อย่างไม่สะทกสะท้านและไม่รู้จักอาย คำพูดที่เตรียมไว้ก่อนหน้าจึงไหลกลับคืนลงไปทันใด ทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ อย่างกระดากอาย

ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “จริงสิ เจ้ามาที่จวนข้าเช่นนี้ ไม่กลัวถูกซูซื่ออวี้รู้เข้าหรือ”

“ใต้เท้าวางใจ” เหยียนเย่รีบเอ่ย “ตอนนี้ท่านผู้ตรวจการไม่ได้อยู่ที่สำนักตรวจการ ข้าออกมาหลังจากที่เขาออกไปแล้ว”

“หืม” ฉู่หมิงอวิ่นสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “ซูซื่ออวี้ไปที่ใด”

“มีคนกล่าวหาว่าเจ้ากรมช่างถานจิ้งใช้เรือหลวงลักลอบทำการค้า ซื้อขายดินระเบิด ท่านน่าจะทราบ รายงานของสำนักตรวจการตอนนี้ล้วนต้องผ่านสายตาของใต้เท้าซู เรื่องนี้ร้ายแรงมาก หากเป็นการใส่ความ การทำลายชื่อเสียงขุนนางของราชสำนักให้แปดเปื้อนถึงเพียงนี้เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมของสำนักตรวจการของพวกเรา หากเป็นความจริง ก็กลัวว่าการถวายรายงานหน้าพระพักตร์อาจแหวกหญ้าให้งูตื่น ใต้เท้าซูจึงยึดรายงานไว้ก่อน จากนิสัยของเขา ข้าน้อยเดาว่าเขาจะต้องไปตรวจสอบด้วยตนเองเป็นแน่”

สีหน้าฉู่หมิงอวิ่นเยือกเย็นเล็กน้อย “กล่าวหาว่าถานจิ้งซื้อขายดินระเบิดหรือ”

สีหน้าของฉินเจาแปรเปลี่ยนเช่นกัน จ้องมองเหยียนเย่เขม็งรอเขาพูดต่อ

“ขอรับ” เหยียนเย่ค่อนข้างมึนงงกับการตอบสนองของเขา เอ่ยต่อว่า “พูดแล้วก็น่าประหลาด เจ้ากรมช่างถานจิ้งใช้เรือหลวงลอบทำการค้าไม่ใช่เรื่องเพียงวันสองวัน เมื่อก่อนยังนับว่าสำรวมตน พวกเราจึงล้วนปล่อยผ่านโดยรู้กันในใจ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถึงขั้นนำดินระเบิดเข้ามาหลายลำใหญ่”

ปลายนิ้วของฉู่หมิงอวิ่นเคาะโต๊ะเบา ๆ แววตาเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน

การค้าขายดินระเบิดครั้งนั้นของเขากับถานจิ้งลุล่วงไปนานแล้ว ทางชานเมืองตะวันตกเกิดการระเบิดแล้ว น้ำป่าก็กลบฝังไว้อย่างหมดจดพอดิบพอดี เรื่องราวจบสิ้น ทว่าตอนนี้ถานจิ้งนำดินระเบิดขนาดนี้เข้ามาทำไมกัน หรือในนครหลวงยังมีคนต้องการจะเคลื่อนไหว

เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตรวจสอบด้วยตนเอง ซูซื่ออวี้มีวีธีตรวจสอบอย่างไร”

เหยียนเย่คิดแล้วก็เอ่ย “รายงานที่กล่าวหานั้นข้าน้อยได้เห็นแวบหนึ่งเมื่อคราวที่ส่งขึ้นไป ดูเหมือนจะมีบันทึกคำพูดของคนใกล้ตัวเจ้ากรมถาน บอกว่าในคลังสินค้าของตลาดตะวันตกมีรายการบัญชีต่าง ๆ ที่เขาติดต่อกับทุกคน ใต้เท้าซูอาจจะคิดไปเอาบัญชีเหล่านั้น”

ฉู่หมิงอวิ่นพลิกมือปิดแผนที่ ลุกขึ้นจัดระเบียบเสื้อคลุม เปิดปากเอ่ย “พอแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”

“อะไรนะขอรับ” เหยียนเย่มองเขาอย่างตกตะลึง

ฉู่หมิงอวิ่นเหลือบมองด้วยหางตาปราดหนึ่ง “หรือต้องรอให้ข้าส่งเจ้า”

“มิกล้า ๆ” เหยียนเย่เอ่ยซ้ำ ๆ “เพียงแต่…ใต้เท้าจะทำอะไรหรือ”

“จู่ ๆ ก็คิดถึงซูซื่ออวี้ ข้าจะไปพบเขาสักหน่อย” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย

“…หา?”

แต่พวกท่านเพิ่งพบกันตอนประชุมเช้าไม่ใช่รึ

ฉู่หมิงอวิ่นมองเขาอย่างรำคาญใจ เหยียนเย่จึงรีบร้อนกล่าวลาทันที จากไปเองอย่างรู้จักวางตัว ฉู่หมิงอวิ่นและฉินเจาสบสายตากันครู่หนึ่ง ออกจากจวนพลิกตัวขึ้นม้า มุ่งสู่ตลาดตะวันตก

คนที่ไปติดต่อเรื่องดินระเบิดกับถานจิ้งคือฉินเจา เขาย่อมรู้จักสถานที่ คลังสินค้าแห่งนั้นอยู่ริมตลาดตะวันตกของฉางอัน มองจากที่ไกลดูรกร้าง ชำรุดทรุดโทรม ราวกับถูกปล่อยทิ้งไร้คนมานาน แต่พวกเขารู้ว่าที่แห่งนั้นคุ้มกันแน่นหนาอย่างไร

พอฉินเจาเอ่ยว่าต้องการเข้าไปด้วย ก็ถูกประโยค ‘เจ้ารับมือซูซื่ออวี้ไหวงั้นรึ’ ของฉู่หมิงอวิ่นหยุดไว้ ฉู่หมิงอวิ่นถามโครงสร้างและตำแหน่งบัญชีภายในคลังสินค้าชัดเจนแล้ว ก็สั่งการให้ฉินเจาพาองครักษ์เงาหลบซ่อนตัวอยู่รอบด้านเตรียมป้องกัน เพื่อเลี่ยงซูซื่ออวี้กลับไปก่อน จากนั้นก็แตะเท้าเล็กน้อย โฉบกายข้ามเข้าไปในกำแพงอย่างรวดเร็ว

ภายในคลังสินค้าเงียบสงบมาก มีเพียงเสียงฝีเท้าของผู้คุ้มกันที่เดินผ่านไปมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ฉู่หมิงอวิ่นหลบเลี่ยงจากผู้คุ้มกันสองสามกลุ่มได้อย่างคล่องแคล่ว ในใจประเมินลักษณะพื้นที่ เลียบตามทางเดินเข้าสู่ห้องบัญชี บนลิ้นชักไม้ถงยังคงคล้องโซ่ทองเหลืองเส้นเล็กอย่างเรียบร้อย ฉู่หมิงอวิ่นพิจารณาหนึ่งรอบก็หักสิ่งกีดขวางสีทองเหลืองโยนลงด้านข้างแล้วดึงลิ้นชักออก ทว่าด้านในกลับว่างเปล่า

ยังถูกซูซื่ออวี้ตัดหน้าหนึ่งก้าวเช่นเคย

ฉู่หมิงอวิ่นยืดตัวตรงนวดคลึงหว่างคิ้ว ออกจากห้องบัญชีแล้วไตร่ตรองครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินไปทางคลังสินค้า ไม่ถึงร้อยก้าวเขาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายคนเลือนราง จึงหัวเราะขึ้นเบา ๆ แล้วเดินตามไป

 

ซูซื่ออวี้ผลักประตูคลังสินค้า จู่ ๆ ก็หยุดเท้าฉับพลันแล้วหมุนตัวกลับมาทันใด ระหว่างยกมือกระบี่สั้นที่ข้อมือก็เผยคมแหลมพร้อมส่องประกายแสงเย็นเยือกออกมา กลับถูกคนขวางก่อนจับข้อมือไว้กลางคัน ใบหน้าที่โผล่มาในครรลองสายตานับว่าพอคุ้นเคย อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มให้เขาในระยะที่ห่างจากคมกระบี่ไม่ถึงครึ่งนิ้ว “ไง ใต้เท้าซู”

ซูซื่ออวี้ประหลาดใจเล็กน้อย “…ใต้เท้าฉู่หรือ” เขาถอนมือกลับ กดกระบี่เข้าในฝ่ามือซ่อนคมเอาไว้ ทว่าไม่ลดความระแวดระวัง “คนที่ตามหลังข้าเมื่อครู่คือเจ้าหรือ”

“นอกจากข้า เจ้ายังอยากพบใครหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นยิ้มจนดวงตาเป็นเสี้ยว

“ใต้เท้าฉู่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ซูซื่ออวี้ถาม

“ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นมองเขา จงใจถอนหายใจแล้วเอ่ยช้า ๆ “ก่อนหน้านี้บังเอิญเห็นเงาร่างของใต้เท้าซูบนถนน ยังไม่ทันได้ทักทายเจ้าก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว จึงทำได้เพียงตามมา ข้าตามหาลำบากเพียงนี้ ก็อยากถือโอกาสพูดคุยกับเจ้าให้มากสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เจ้าระวังตัวจนเป็นเช่นนี้” เขาหยุดครู่หนึ่ง รอยยิ้มชัดเจนขึ้น “หากว่าเมื่อครู่ข้าช้าไป เกรงว่ากระบี่นั่นคงทะลุหน้าผากข้าไปแล้ว”

“เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว ใต้เท้าฉู่เป็นคนที่เคยผ่านศึกสงครามมา อุบายเล็ก ๆ เพื่อปกป้องตัวเองของข้านี้ เจ้าสามารถป้องกันได้ไม่มีพลาด ไยต้องกล่าวคำพูดหากว่าอะไรเหล่านี้ด้วย” ซูซื่ออวี้ยิ้มเอ่ยเบา ๆ พร้อมเก็บกระบี่สั้นติดข้อมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ “แต่ว่า ใต้เท้าฉู่ตามมาขนาดนี้ เพื่อพูดคุยกับข้าไม่กี่ประโยคเท่านั้นหรือ ฟังแล้วดูไม่เหมือนนิสัยของเจ้า”

“ข้าคิดถึงเจ้า หาโอกาสใกล้ชิดเจ้า ไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลรึ”

“…” ซูซื่ออวี้ย่นคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ใต้เท้าฉู่ ข้าเป็นบุรุษ เจ้าแทะโลมแล้วไม่รู้สึกอึดอัดใจเลยหรือ”

ฉู่หมิงอวิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเจือความขบขัน “ข้ารู้สึกดีมากต่างหาก อีกอย่างหัวใจที่ซื่อสัตย์ของข้าดวงนี้ล้วนพูดแต่ละคำด้วยใจจริง จะอึดอัดได้อย่างไร…”

“เป็นข้าพลั้งปากเอง” ซูซื่ออวี้ยกมือขึ้นตัดบทเขา หมุนกายเดินเข้าไปในคลังสินค้าอย่างจนปัญญา ครั้นได้ยินว่าด้านหลังมีเสียงฝีเท้าตามมา ซูซื่ออวี้ก็อดขยับริมฝีปากเอ่ยคำสองคำออกมาอย่างไร้เสียงไม่ได้ว่า “คู่กรรม

“จริงสิ” ซูซื่ออวี้ถามขึ้นกะทันหัน “บาดแผลที่ไหล่ของใต้เท้าฉู่เป็นอย่างไรบ้าง”

“หายดีนานแล้ว” ฉู่หมิงอวิ่นปิดประตูคลังสินค้า หันกลับมาแย้มยิ้มมองเขา “เจ้าอยากลองจับดูหรือไม่”

ซูซื่ออวี้หันหน้ามา กวาดสายตามองไหล่ ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของเขา จู่ ๆ ก็ยิ้มขึ้นพร้อมเอ่ย “ไม่ต้อง ดูแล้วบาดแผลบนผิวหนังจะเป็นอย่างคำพูดของใต้เท้าฉู่ ไม่นับว่าเป็นอันใดจริง ๆ”

อย่างไรเสียผิวหน้าก็หนาได้ถึงเพียงนี้แล้ว

ฉู่หมิงอวิ่นฟังความหมายในคำพูดของซูซื่ออวี้ออกด้วยจิตใจเลื่อนลอย

 

ภายในคลังสินค้ามืดมิดหนาวเหน็บ บนผนังมีเพียงหน้าต่างบานเล็กที่เปิดอยู่ แสงค่อนข้างสลัว กล่องใหญ่หลายสิบกล่องวางทับซ้อนกันข้างผนังเกิดเป็นเงาดำทะมึน

ซูซื่ออวี้เดินไปข้างหน้าตั้งใจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นมือเปิดกล่องช้า ๆ กลิ่นดินประสิวลอยปะทะจมูกทันที ดินระเบิดสีดำอัดแน่นเต็มกล่อง

ฉู่หมิงอวิ่นขมวดคิ้วก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว โบกมือไล่กลิ่นแสบจมูกให้หายไป “แปลก นี่เป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ เหตุใดจึงมีดินระเบิดมากขนาดนี้ นี่ เจ้าว่าเอาพวกนี้มารวมกันแล้วพอจะระเบิดฉางอันครึ่งนครได้หรือไม่”

ซูซื่ออวี้เปิดกล่องอีกสองสามกล่อง พบว่าล้วนเต็มไปด้วยดินระเบิด ได้ยินอีกฝ่ายพูดก็หัวเราะแล้วเอ่ย “นครฉางอันจะเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ จากความเห็นข้า ทำให้จวนผู้บัญชาการราบคาบไม่นับเป็นปัญหา”

“เอ๋” ฉู่หมิงอวิ่นยิ้ม “งั้นหรือ ข้าคิดว่ายังรวมสำนักตรวจการได้ด้วย”

ซูซื่ออวี้หันหน้ากลับมา สบสายตาพร้อมยิ้มเล็ก ๆ กับฉู่หมิงอวิ่น ต่างคนต่างมีความคิดของตน แม้ไม่กล่าวก็เห็นได้ชัดเจน

ฉู่หมิงอวิ่นกอดอกมองประเมินซูซื่ออวี้จากทางด้านหลัง ความคิดสับเปลี่ยนไปมา ตาเห็นซูซื่ออวี้จัดทุกอย่างคืนที่เดิม คิดจะจากไป ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยบางอย่างเพื่อยื้ออีกฝ่าย หูก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในฉับพลัน นัยน์ตาทอประกายวาบ เขาหันหน้ามองประตูเหล็กที่ปิดแน่นสนิทด้านหลังแวบหนึ่ง ผ่อนเสียงเบาเอ่ยกับซูซื่ออวี้ “มานี่”

เดิมทีซูซื่ออวี้หมุนกายจะจากไปแล้ว เห็นสถานการณ์จึงเดินเข้ามาอย่างมึนงง “ใต้เท้าฉู่ เหตุ…”

เขาถูกฉู่หมิงอวิ่นดึงไปที่ด้านหลังประตูโดยไม่ทันป้องกัน บริเวณเอวกระชับแน่น ทั้งตัวคนถูกฉู่หมิงอวิ่นรั้งเข้าสู่อ้อมกอด หลังแนบสนิทกับแผ่นอก ซูซื่ออวี้ต้องการขืนตัวออกทันใด มืออีกข้างของฉู่หมิงอวิ่นกลับชิงโอบมาด้านหน้าหยุดการกระทำของเขาไว้ ก่อนจะเอียงศีรษะแนบริมฝีปากเข้ามาใกล้หูเขา เปล่งเสียงแผ่วเบาอย่างถึงที่สุด “ชู่…”

ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดบริเวณหู สัมผัสนุ่มนวลที่ส่งมาจากบริเวณนั้นทำให้คิ้วของซูซื่ออวี้ขมวดแน่น แต่ถึงกระนั้นกลับควบคุมตนเองไม่ได้ขืนตัวออก เพราะขณะที่ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกที่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาแล้ว

การลักลอบค้าขายดินระเบิดเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เมื่อเทียบกับการที่ต้องหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากทางการ ดินระเบิดจำนวนมหาศาลเหล่านี้เดิมทีก็อันตรายถึงชีวิต ไม่ระวังเล็กน้อยก็ระเบิดแล้ว ไม่เพียงแค่ทรัพย์สินเสียหาย ยิ่งกว่านั้นยังพัวพันถึงชีวิตคนนับไม่ถ้วน ดังนั้นถานจิ้งจึงวางระบบตรวจตราในคลังเก็บดินระเบิดไว้อย่างเข้มงวด ป้องกันไม่ให้สิ่งของจำพวกไฟเข้ามาได้ และเวลานี้ก็มีผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งมาลาดตระเวนพอดี

ประตูเหล็กบานหนาค่อย ๆ เปิดออก ปกปิดร่างกายของพวกเขาสองคนมิดชิด เสียงฝีเท้าดังกังวานอยู่ภายในห้องโล่ง ๆ แห่งนี้

ฉู่หมิงอวิ่นรู้สึกถึงความร่วมมือของคนในอ้อมกอด จึงค่อย ๆ กระตุกมุมปากยิ้ม ผ่อนคลายการควบคุมซูซื่ออวี้ ทว่าฝ่ามือกลับไม่เพียงไม่เก็บคืน ยังแนบติดกับข้างเอวของเขา ค่อย ๆ เคลื่อนไหวลูบไล้ทีละเล็กทีละน้อย

ซูซื่ออวี้ตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาพยายามไม่มองการกระทำของเขา รวบรวมสติฟังเสียงผู้คุ้มกันตรวจสอบสิ่งของ

สัมผัสของเสื้อคลุมที่อยู่ใต้ฝ่ามือนุ่มลื่น รูปเอวที่อยู่ในมืออ่อนนุ่มบอบบาง หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ไม่เหมาะจะเอ่ยปาก ฉู่หมิงอวิ่นอยากเอ่ยชมรูปร่างของซูซื่ออวี้ยิ่งนัก ดูว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองอย่างไร คิดแล้วก็ค่อนข้างน่าเสียดาย ทันใดนั้นมือของเขาก็หยุดชะงัก ปลายนิ้วกดลงเบา ๆ ยืนยันสิ่งของที่ตนต้องการหา

แขนที่โอบตัวซูซื่ออวี้กระชับแน่น มือของฉู่หมิงอวิ่นค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นด้านบนจนกระทั่งถึงบริเวณคอเสื้อ นิ้วขาวผ่องวาดเป็นรูปวงกลมบนลวดลายสีเข้มตรงคอเสื้ออย่างไม่ช้าไม่เร็ว พยายามลูบไล้เต็มที่สองสามหนก่อนจะสอดเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเล

ร่างกายของซูซื่ออวี้แข็งทื่อสุดขีด ผิวหนังที่มีเพียงเสื้อผ้าชั้นในเนื้อบางขวางกั้นรู้สึกแจ่มชัดถึงความอบอุ่นของฝ่ามือนั้น แนบชิดแน่นพร้อมเคลื่อนลงด้านล่างช้า ๆ ราวกับอสรพิษ

กลุ่มผู้คุ้มกันตรวจสอบเสร็จแล้วก็ทยอยเดินออกไปด้านนอก มือของฉู่หมิงอวิ่นยังคงเคลื่อนลงด้านล่าง วินาทีที่ประตูเหล็กปิดหากันซูซื่ออวี้ก็เอียงหน้ามองเขา ส่งสายตาคมกริบเป็นการเตือน ฉู่หมิงอวิ่นเห็นสายตาเขา หางตาก็ยกโค้งเล็กน้อยเผยรอยยิ้มแพรวพราว อ้าปากเป่าลมแผ่วเบาข้างหูของซูซื่ออวี้ รอยยิ้มเด่นชัดขึ้น

เขาลูบคลำถึงมุมหนึ่งของสิ่งนั้นแล้ว เสียงฝีเท้านอกประตูเงียบลงในที่สุด

ซูซื่ออวี้ออกแรงอย่างรวดเร็วรุนแรง ถองศอกใส่อกของฉู่หมิงอวิ่น อาศัยขนาดร่างกายปลีกตัวออกฉับไว ก่อนจะถอยเว้นระยะสองสามก้าว แต่ขณะนั้นเองก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งติดไปพร้อมกับมือที่ชักออกของฉู่หมิงอวิ่น เขาเหลือบตามองก่อนจะตกตะลึงอีกครั้ง

“ซี้ด…เหตุใดเจ้าถึงยังพกหนังสือติดตัวมาด้วย” ฉู่หมิงอวิ่นไม่ได้หลบเลี่ยงความโกรธที่ส่งมาจากดวงตาของซูซื่ออวี้ เขาสะกดกลั้นความเจ็บปวด ชูหนังสือในมือ หลังจากเห็นสีหน้าซูซื่ออวี้เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยสมใจแล้วก็หลุบตาพลิกดูหนังสือในมือ “ที่แท้ก็คือสมุดบัญชี”

“ไม่ใช่สิ่งน่าสนใจอะไร ใต้เท้าฉู่โปรดส่งคืนเจ้าของ” ซูซื่ออวี้สำรวมความรู้สึกทั้งหมด จัดแจงคอเสื้อที่คลายเล็กน้อยพร้อมเอ่ย

“ได้สิ” ฉู่หมิงอวิ่นยิ้มให้เขา นิ้วมือชี้ที่ปากของตน “เจ้าจูบข้าหนึ่งที”

ซูซื่ออวี้เหลือบตามองเขา ยิ้มเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “เรื่องขบขันไม่น่าสนใจนี้เล่นครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว”

“เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องขบขันหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นพลิกเปิดบัญชี ยกมือฉีกหน้ากระดาษออกสองแผ่น “เช่นนั้น…ตอนนี้เล่า”

ขณะเดียวกับที่เสียงฉีกกระดาษดัง แววตาของซูซื่ออวี้ก็เคร่งขรึมขึ้น ยิ้มมองเขาโดยไม่พูดจาสักคำ

ฉู่หมิงอวิ่นยังคงยิ้มแย้ม เอียงหน้าเล็กน้อยสบสายตาของซูซื่ออวี้ พลิกกระดาษสองสามหน้าแล้วฉวยมือฉีกออกอีกครั้ง “ตอนนี้ยังคิดว่าข้าล้อเจ้าเล่นอยู่ไหม”

“ผู้บัญชาการ” น้ำเสียงของซูซื่ออวี้เข้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากลึกกว่าเดิม จ้องมองเขาพลางเอ่ย “ที่เจ้าถืออยู่ในมือคือหลักฐานสำคัญของคดีหนึ่ง ต่อให้ฐานะเจ้าสูงส่ง หากก่อกวนงานของทางการเช่นนี้ก็ต้องลงโทษ”

“งั้นหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นยกบัญชีขึ้นมองดูอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นก็เอนหลังพิงบางสิ่ง เอียงกายเล็กน้อยมองซูซื่ออวี้แล้วยิ้มเอ่ย “คดีสำคัญอะไร เจ้าถึงกับออกมาหาหลักฐานด้วยตนเอง เจ้าลองพูดสิ ข้าอาจช่วยเจ้าได้”

“โปรดอภัยที่ผู้แซ่ซูไม่อาจบอกได้” ซูซื่ออวี้เอ่ยราบเรียบ “เรื่องจุกจิกนี้จะกล้ารบกวนผู้บัญชาการได้อย่างไร ตอนนี้เจ้าคืนสมุดมาก็นับเป็นการช่วยเหลืออย่างยิ่งแล้ว”

ฉู่หมิงอวิ่นเลิกคิ้วนิด ๆ ถอนสายตาคืน ซ้อนหน้ากระดาษที่ฉีกออกในมือแล้วหนีบกลับเข้าไปในบัญชีอย่างลวก ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปส่งมันให้กับซูซื่ออวี้ “ช่างเถิด ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว” สายตาของเขากวาดผ่านใบหน้าของซูซื่ออวี้รอบหนึ่ง ยักไหล่ผายมือแล้วหมุนตัวเดินออกสู่ด้านนอก “ดูท่าทางเจ้าตอนนี้แล้วเหมือนไม่ต้องการเห็นข้านัก เช่นนั้นข้าขอตัวลา”

ซูซื่ออวี้มองฉู่หมิงอวิ่นเปิดประตูออกไปดื้อ ๆ อย่างเงียบเชียบ เงาร่างหายลับไปทันใด เขากำสมุดบัญชีในมือ ขมวดคิ้วแน่น

 

[1] แปลว่า ปรองดอง

[2] อุปมาถึงแหล่งเริงรมย์

[3] แปลว่า ชายแพรแดงโบกเรียก อุปมาถึงสตรีโบกทักทาย ในบริบทนี้ใช้สื่อถึงนางคณิกา

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า