[ทดลองอ่าน] ปฏิปักษ์คู่บัลลังก์ บทที่ 2.1

君有疾否
ปฏิปักษ์คู่บัลลังก์

如似我闻 หรูซื่อหว่อเหวิน เขียน
เจ้าเจิน แปล
LadyVanila วาด

— โปรย —

คนหนึ่งกุมอำนาจทางการทหาร คนหนึ่งกุมอำนาจผู้ตรวจการแผ่นดิน

คนหนึ่งแสร้งเป็นพวกตัดแขนเสื้อเพื่อเข้าหา

คนหนึ่งหลีกลี้หนีหน้าพวกตัดแขนเสื้อ ทว่ากลับตัดแขนเสื้อเสียเอง

เมื่อสติปัญญาปะทะร้อยเล่ห์ในเกมชิงอำนาจแห่งราชสำนัก

ฉู่หมิงอวิ่น ที่เอาแต่รุกไล่ตามจีบ ซูซื่ออวี้

เจอหน้าอีกฝ่ายเป็นต้องหยอดคำหวานด้วยมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ

เขาจะทำให้จิตใจของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเฉยชาและมั่นคงนี้

มีอันต้องสั่นคลอนเพราะคำพร่ำพลอดทุกคราที่เจอหน้า

จนทลายฉายาบุรุษไร้ใจได้หรือไม่

หรือแผนโค่นล่ม จะกลับกลายเป็นแผนพิชิตรัก

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 2.1

 

ลมราตรีพัดโชย ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟ ประหนึ่งดวงดาราร่วงหล่นดุจสายฝน

นครฉางอันในฐานะเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในใต้หล้า แม้เข้าสู่ยามค่ำแล้วก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ และในราตรีนี้ หน้าประตูจวนแห่งหนึ่งด้านทิศตะวันตกของเมืองมีผู้คนคลาคล่ำราวกับตลาด รถม้าล้ำค่าวิ่งผ่านหอมกำจายฟุ้งทั่วถนน เชื้อพระวงศ์ผู้มีชื่อเสียง ขุนนางคนสำคัญ มารวมตัวกันเกินกว่าครึ่งภายในเวลาอันรวดเร็ว

สายตาของฉู่หมิงอวิ่นกวาดมองรอบบริเวณ ก่อนหยุดลงที่ซ่งเหิงซึ่งต้อนรับแขกเหรื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหน้าประตู “เจ้ากรมทั้งหกมาแล้วสี่คน ฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊อย่างละครึ่ง จอหงวนคนนี้หน้าใหญ่ใจโตจริง ๆ” เสียงพูดของเขาชะงัก หัวเราะเย้ยหยันแล้วเอ่ย “ความกล้าก็มีมากนัก”

ผู้ที่ยืนโดดเด่นบนศีรษะเต่ามังกร[1]ในการสอบเคอจวี่ แต่ไหนแต่ไรมาเป็นตัวละครในราชสำนักที่รีบร้อนคบหาสหายดึงคนมาเป็นพรรคพวก ที่ผ่านมาถึงขั้นปรากฏตัวแย่งชิงคนในอันดับรายชื่อ ทว่าผู้ชิงจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่เช่นนี้เกรงว่ายังคงเป็นคนแรก แขกที่ได้รับเชิญมีทั้งฝ่ายฉู่และฝ่ายซู ทำให้ผู้คนคาดเดาความคิดไม่ออกชั่วขณะ ราวกับเป็นเพียงงานเลี้ยงฉลองธรรมดาทั่วไป ไม่หวั่นกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้คลางแคลงใจ ทั้งไม่หวั่นกลัวคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน

รถม้าหน้าประตูทยอยแยกย้าย เสียงดนตรีภายในจวนค่อย ๆ ดังขึ้น ซ่งเหิงมองรอบด้านอย่างค่อนข้างกังวลครู่หนึ่ง ฉู่หมิงอวิ่นปล่อยม่านลง เอ่ยกับฉินเจา “เอาละ ตัวประกอบเพียงพอแล้ว ข้าจะเข้าไปแล้ว”

“ข้าไปกับท่านด้วย” ฉินเจาเอ่ยพลางจะลุกขึ้น

ฉู่หมิงอวิ่นถอนสายตาที่แฝงด้วยรอยยิ้มกลับมามองเขาแวบหนึ่ง “งานเลี้ยงไม่มีที่ของเจ้า เข้าไปยืนเป็นต้นเสามีสิ่งใดน่าสนใจกัน”

“ท่านไม่ได้พกอาวุธ” ฉินเจาเอ่ย

“เจ้าจะเข้าไปวิวาทรึ” ฉู่หมิงอวิ่นยกพัดในมือขึ้น “มีสิ่งนี้ก็เพียงพอแล้ว”

ฉินเจาตอบกลับไม่ถูก กระนั้นก็ยังคงต้องการลุกขึ้น

“ชิ” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ศิษย์น้อง ใบหน้าน้ำแข็งนี้ของเจ้า เหตุใดถึงมีหัวอกเยี่ยงมารดาอยู่ตลอดทั้งวัน”

ฉินเจา “…”

“ข้าต้องให้เจ้ามาคุ้มครองตั้งแต่เมื่อไร” ฉู่หมิงอวิ่นแหวกม่านแล้วลงจากรถม้า “ดื่มด่ำกับเวลาว่างในรถม้าให้ดีเถิด”

ฉู่หมิงอวิ่นเพิ่งปรากฏกาย ซ่งเหิงก็รีบร้อนรุดเข้ามาต้อนรับทันที เอ่ยราวกับโล่งใจว่า “ข้ายังนึกว่าใต้เท้าฉู่งานรัดตัว จะไม่มาเสียแล้ว”

ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะ “เทียบเชิญของท่านจอหงวน ให้ยุ่งสักเพียงใดก็ต้องหาเวลามาสักหนไม่ใช่รึ”

ซ่งเหิงพูดจาถ่อมเนื้อถ่อมตัว นำทางเขาเข้าสู่จวนด้วยตนเอง ลานภายในจวนกว้างขวาง ตัวประกอบเข้านั่งประจำที่ นางระบำชุดแดงกลางลานเต้นรำพร้อมขับขานบทเพลง ขุนนางคุ้นหน้าพูดคุยออกรสไม่มีหยุดพัก

เท้าของซ่งเหิงกลับเลี้ยวไปอีกทิศทาง นำฉู่หมิงอวิ่นไปยังตำแหน่งสูงกลางจวน เขาพบสายตาแปลกใจของฉู่หมิงอวิ่น จึงรีบร้อนอธิบาย “ใต้เท้าฉู่เชิญด้านนี้ ข้าจัดตำแหน่งพิเศษให้ท่านโดยเฉพาะ”

ตลอดทางล้วนขึ้นสู่ด้านบน หลังกิ่งไม้รกครึ้มอำพรางปรากฏศาลาสีแดงหลังหนึ่ง สามด้านติดสระน้ำ ทางน้ำคดโค้งไหลวกวนอ้อมด้านหน้าศาลาทอดลงเบื้องล่าง ที่นี่อาศัยลักษณะพื้นที่ทำให้เขตลานทั้งหมดอยู่ในครรลองสายตา ทว่าผู้คนด้านล่างกลับไร้ทางลอบมองขึ้นมาที่นี่ เป็นตำแหน่งที่เงียบสงบอย่างยิ่ง

ฉู่หมิงอวิ่นอดทอดถอนใจไม่ได้ “ที่พักแห่งนี้ของเจ้า จัดวางได้ล้ำเลิศมากจริง ๆ”

ซ่งเหิงยิ้มเอ่ย “บัณฑิตยากจนอย่างข้า ไหนเลยจะพักอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้ เพราะคหบดีคนรู้จักที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันซื้อเอาไว้ หลังจากสอบตกก็บอกว่าปล่อยว่างแล้วน่าเสียดาย จึงมอบให้ข้าเป็นการอวยพร”

ฉู่หมิงอวิ่นพยักศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ ห่างออกไปอีกสองสามก้าวในที่สุดก็มองเห็นว่าในศาลามีคนนั่งอยู่ก่อนเขาแล้ว ภายในใจอดรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนมองซ่งเหิงที่อยู่ด้านข้างปราดหนึ่ง

ฉู่หมิงอวิ่นและซูซื่ออวี้ตำแหน่งทัดเทียมกัน แต่ไหนแต่ไรมางานเลี้ยงใหญ่เล็กล้วนแยกเป็นสองฝั่งนั่งตรงข้าม ต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะกัน ตอนนี้ไม่รู้ว่าจอหงวนผู้เพิ่งสอบผ่านคนนี้ได้ยินข่าวลือว่าเขาถวิลหาซูซื่ออวี้จึงตั้งใจเอาใจเขา เลือกศาลาเช่นนี้ให้นั่งด้วยกันโดยเฉพาะใช่หรือไม่ ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการแอบนัดพบโดยแท้

เอาใจฉู่หมิงอวิ่นสำเร็จหรือไม่ยังไม่ตัดสิน แต่จอหงวนคนนี้ได้ล่วงเกินซูซื่ออวี้แล้วแน่นอน

ซูซื่ออวี้ผลัดเปลี่ยนจากเสื้อคลุมขุนนางเป็นชุดขาวงามสง่าทั้งตัว เขากำลังหันหน้าเล็กน้อยสอบถามบางอย่างกับสาวใช้ ได้ยินคำพูดจำพวก “เครื่องหอม” ราง ๆ พอได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันหน้ากลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นฉู่หมิงอวิ่นก็ย่นคิ้วเล็กน้อยจนไม่อาจสังเกตเห็น ใบหน้ากลับยังคงยิ้มบาง ๆ พร้อมทักทาย ฉู่หมิงอวิ่นตอบรับไปตามอารมณ์แล้วนั่งลงข้างอีกฝ่าย ซ่งเหิงเอ่ยคำพูดสุภาพสองสามประโยคก่อนล่าถอยออกไปพร้อมกับสาวใช้ทั้งหมด ฉับพลันภายในศาลาก็เหลือเพียงพวกเขาสองคนนั่งอยู่อย่างเงียบสงบ

ฉู่หมิงอวิ่นทอดถอนใจเงียบ ๆ ให้ซ่งเหิง ซูซื่ออวี้ และตนเอง นี่จะเป็นค่ำคืนที่ลำบากยากเข็ญมากเพียงใดกัน

เสียงเพลงนุ่มนวลภายในลานชัดเจนขึ้นทันใด พวกเขาสองคนไร้คำให้เอื้อนเอ่ย ฉู่หมิงอวิ่นจึงคลี่พัดออกปิดกั้นสายตาที่เผลอประสานกันเป็นครั้งคราวไปจนสิ้น ความเงียบงันและบรรยากาศแปลกประหลาดในงานเลี้ยงทำให้บ่าวรับใช้ที่มาส่งสำรับและสุราตกใจจนเร่งฝีเท้าไม่เป็นจังหวะ

ฉู่หมิงอวิ่นยกจอกสุรา มองจันทร์เสี้ยวที่แขวนบนท้องนภาสูงครู่หนึ่ง ในใจยังไม่ทันทอดถอนใจอีกครั้งให้แล้วเสร็จดี จู่ ๆ กลับมีมือข้างหนึ่งยื่นมากลางอากาศกดมือที่ถือจอกสุราของเขาไว้ มือข้างนั้นขาวผ่องและเรียวยาว กระดูกนิ้วเด่นชัด ฉู่หมิงอวิ่นมองไล่ขึ้นไป ซูซื่ออวี้ส่ายหน้าเบา ๆ ให้เขา

ซูซื่ออวี้ฉวยสุราในมือเขาไป มืออีกข้างเปิดฝาครอบกระถางเครื่องหอมรูปสัตว์มงคลออก เทสุราเต็มจอกลง กระถางเครื่องหอมมอดดับทันใด ตามมาด้วยกลิ่นหอมแปลกประหลาดรุนแรงกำจายออกมา ก่อนจะเลือนหายไปในทันที

ฉู่หมิงอวิ่นหุบพัดแล้ว มือข้างหนึ่งค้ำคางมองการกระทำของเขา เมื่อกลิ่นหอมลอยออกมาเขาก็เข้าใจ รีบกลั้นหายใจแล้วระมัดระวังรอบด้านทันที

ซูซื่ออวี้นั่งเงียบ ดื่มชาในจอกจนหมด หลังจากใช้สายตากวาดมองฉู่หมิงอวิ่นรอบหนึ่งแล้วในที่สุดจึงเปล่งเสียงขึ้น “เหตุใดครั้งนี้ใต้เท้าฉู่จึงไม่พกกระบี่มาหรือ”

“ซ่งเหิงพูดกำชับเป็นพิเศษว่าภายในจวนคุ้มกันแน่นหนา ไม่จำเป็นต้องพกอาวุธมาทำลายความสำราญ” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อีกอย่าง ครั้งก่อนข้าพกกระบี่เข้าร่วมงานเลี้ยงในวังก็ทำให้หลายคนหมดสนุกไม่ใช่หรือ”

“ยากนักที่จะเห็นเจ้าทำตามกฎระเบียบ แต่เกรงว่าจะเป็นการมอบความหวังดีที่ผิดพลาดเสียแล้ว” ซูซื่ออวี้หัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ย

ฉู่หมิงอวิ่นหมุนจอกสุราหยกขาว “เครื่องหอมชั้นดี สุราชั้นเลิศ เมื่อเข้าสู่ร่างกายพร้อมกันก็จะกลายเป็นยาสลบชั้นยอด มิสู้ใต้เท้าซูลองทายดู จอหงวนคนนี้ติดตามอำนาจขั้วที่สามนอกจากเจ้าและข้า หรือว่าเขาไม่ประมาณตนต้องการกลายเป็นขั้วที่สามเสียเองกันแน่” กล่าวจบไม่ทันรอคำตอบก็โยนจอกในมือลง หยกขาวผสานด้วยกำลังตกปะทะพื้นส่งเสียงดังกังวาน

แผ่นหินใต้เท้าเกิดเสียงกลไกอื้ออึง แยกตัวเปิดออก แล้วพวกเขาก็ร่วงหล่น

ทั้งสองคนต่างยืดกายตรงก่อนจะเหยียบย่างกลางอากาศ แผ่นหินเหนือศีรษะปิดหากันแน่นสนิท ชั่วพริบตาเท้าก็ย่ำอยู่บนพื้นดินแล้ว ในอากาศอวลกลิ่นกระแสน้ำเน่าเหม็น ที่เข้าสู่สายตาล้วนเป็นความมืดทะมึน ฉู่หมิงอวิ่นหันหน้าสู่ทิศที่มีเสียงสวบสาบเบา ๆ ดังขึ้น “ใต้เท้าซู…ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

สิ่งที่ตอบกลับเขาคือเปลวไฟวูบไหว ก่อนจะนิ่งลงแล้วทอแสงสว่างออกมา ซูซื่ออวี้พิจารณารอบด้านพร้อมหัวเราะอย่างจับอารมณ์ไม่ออก “ข้ายังไม่อ่อนแอถึงขั้นนั้น ทำให้เจ้าเป็นห่วงเสียเปล่าแล้ว”

ฉู่หมิงอวิ่นเดินขึ้นหน้าจับมือของเขาให้ชูแสงไฟสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ซูซื่ออวี้ขมวดคิ้วมองปราดหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้สะบัดออก สามด้านของสถานที่ที่พวกเขาอยู่ล้วนเป็นผนังหินมันวาว ทิศทางที่กำลังหันหน้าหาคือลูกกรงที่ทำจากเหล็ก ไม่มีแม้กระทั่งประตู มองลอดผ่านซี่ลูกกรงแยกแยะทางเดินยาวลึกด้านนอกออกได้เลือนราง

“มิน่าถึงสร้างสระน้ำไว้ที่สูง ที่แท้ด้านล่างก็ซ่อนคุกใต้ดินไว้” ซูซื่ออวี้หยุดครู่หนึ่ง “ใต้เท้าฉู่ปล่อยมือได้หรือยัง”

ฉู่หมิงอวิ่นปล่อยมือ “เจ้ามางานเลี้ยงเหตุใดยังพกกระบอกคบเพลิงอีก”

“เหลือจากเมื่อวานตอนออกไปข้างนอกแล้วลืมหยิบออก แต่ก็มีแค่แท่งนี้ อยู่ได้ไม่นานนัก” ซูซื่ออวี้มองเขา “เพียงแต่ใต้เท้าฉู่พบกลไกแล้วก็ช่างเถิด เหตุใดต้องแตะต้องมันด้วย”

“งานเลี้ยงหงเหมิน[2]จัดขึ้นอย่างไร้ความละอายเช่นนี้แล้ว เจ้าคิดว่ายังจะจากไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกรึ” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยอย่างสบาย ๆ “มิสู้ลองดูเสียหน่อยว่าเตรียมสิ่งใดไว้ให้พวกเรา”

ซูซื่ออวี้ไม่ปริปากเห็นด้วยหรือปฏิเสธ สายตาหยุดอยู่บนกรงเหล็กด้านหน้า “ได้ยินมาว่ากระบี่พกเล่มนั้นของเจ้าตัดเหล็กดุจโคลน วันนี้ไร้วาสนาได้ยล ช่างน่าเสียดายจริง ๆ”

ฉู่หมิงอวิ่นยื่นมือจับกรงเหล็กนั้น ถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วล้วงหาพัดจากแขนเสื้อออกมาคลี่กาง ยิ้มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “การเหน็บแนมนั้นเก็บไว้ก่อนเถิด ใช้สิ่งนี้ก็ให้ผลลัพธ์ไม่ต่าง” เสียงพูดเพิ่งสิ้นลง มือที่ถือพัดของเขาก็กระชับแน่น ฟาดลงบนกรงเกิดเป็นประกายไฟหลายสาย หลังเหล็กปะทะเหล็กเสียงดังอื้ออึงรุนแรงระลอกหนึ่ง กลางลูกกรงเหล็กก็พลันทลายออกเป็นช่องโหว่ความสูงเท่าตัวคน แท่งเหล็กที่ถูกสะบั้นขาดตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้งคร้างสะท้อนก้อง

“ไม่ว่าอย่างไร ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ พวกเราร่วมมือกันออกไปจากที่นี่จะดีที่สุด” ซูซื่ออวี้ออกจากห้องขังตามหลังเขา

“หืม” ฉู่หมิงอวิ่นได้ยินก็หยุดเท้าหมุนตัวกลับมา พลิกมือหุบพัดแล้วใช้เชยคางของซูซื่ออวี้โดยตรง เขาโน้มตัวเข้าใกล้เล็กน้อย รอยยิ้มไม่ชัดเจนแต่สายตากลับเยือกเย็น “คำพูดนี้ของเจ้า ควรนับเป็นคำเชิญชวน…หรือคำขอร้องดีล่ะ”

“ร่วมมือ” ใช้คำได้น่าขบขันจริง ๆ คุกใต้ดินเล็กแคบแห่งนี้ต่อให้มีเขาคนเดียวก็ไม่นับว่าเป็นปัญหา ส่วนท่าทางสุภาพของซูซื่ออวี้ มองอย่างไรล้วนเหมือนเป็นภาระอย่างหนึ่ง หากตายอยู่ที่นี่ก็ยิ่งมีประโยชน์สำหรับเขา ฉู่หมิงอวิ่นไม่คิดว่ามีความจำเป็นอะไรต้องร่วมมือจริง ๆ

ซูซื่ออวี้หัวเราะเสียงเบา ยกมือขึ้นจับพัด ค่อย ๆ เงยหน้ามองเขา

นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ฉู่หมิงอวิ่นได้มองศัตรูของตนอย่างถี่ถ้วนถึงเพียงนี้ นิ้วมือเรียวยาว บนเสื้อคลุมแขนกว้างสีขาวปักลวดลายเมฆาสีเข้ม เมื่อไล่สายตาขึ้นไปตามแขนและหัวไหล่ก็มองเห็นลำคอขาวผ่อง ริมฝีปากสีจางที่หยักโค้งเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ คิ้วตาดุจหยกดุจภาพวาดที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟอบอุ่นสาดสะท้อน ไปจนถึงอารมณ์นิ่งเฉยภายในดวงตาอันอ่อนโยน

มีข่าวลือแพร่สะพัดทั่วทั้งนครหลวงว่าเป็นพวกตัดแขนเสื้อ[3]กับคนเช่นนี้ ไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อยเลยจริง ๆ

เกิดเสียง ‘เป๊าะ’ ดังขึ้น แกนพัดในมือของซูซื่ออวี้ถูกหักออกทีละแกน เขาถอนมือกลับ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มชัดเจนขึ้น “เจ้าเข้าใจคำพูดของข้า”

แววตาของฉู่หมิงอวิ่นแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนหัวเราะแผ่วเบาและเชื่องช้า หลังจากยกแกนพัดขึ้นต่อไฟจากกระบอกคบเพลิงเสร็จแล้วก็ขว้างออกไปอย่างแรง พัดกระดาษกลายเป็นลูกไฟพุ่งไปในทางเดินมืดมิด ขณะที่หมุนเป็นวงนั้นประกายไฟก็กระเด็นรอบทิศจุดตะเกียงน้ำมันบนผนังหินให้ลุกโชนตลอดทาง ก่อนจะจบด้วยการกระแทกเข้ากับมุมผนังหิน ตามด้วยเสียงเล็ก ๆ สองสามเสียงแล้วร่วงเป็นเศษเถ้าอยู่ที่พื้น กระนั้นไฟตะเกียงกลางทางเดินกลับสว่างขึ้นแล้ว

เขาผายมือ ดวงตาแฝงด้วยรอยยิ้มสามส่วน “ใต้เท้าซู เชิญ”

 

คุกใต้ดินแห่งนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด นี่คือสิ่งที่ฉู่หมิงอวิ่นและซูซื่ออวี้รู้สึกได้หลังจากเลี้ยวผ่านหัวมุมมา

ไม่กี่ก้าวจากหัวมุมนี้ ตะเกียงน้ำมันต่างลุกไหม้โชติช่วง ส่องแสงสว่างไสว ทอดสายตามองไปมีเพียงสถานที่ที่พวกเขาอยู่ที่มืดมิด ราวกับเขตแดนถูกแบ่งแยกความมืดและความสว่าง ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน ห้องขังที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ายิ่งมีมากขึ้น บนประตูบานหนาปิดแน่นด้วยลูกกรงซี่เล็ก ด้านในไร้กลิ่นอายคน ทั้งหมดล้วนว่างเปล่า บรรยากาศหมักหมมกลิ่นคาวโลหิต ระหว่างเดินก็กระตุ้นกลิ่นอับให้ลอยคลุ้ง รอบด้านเงียบจนเหลือเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขาสองคน

โครงสร้างของคุกใต้ดินซับซ้อนมาก ทางแยกตัดสลับไขว้กันไปมา ฉู่หมิงอวิ่นอาศัยความรู้สึกเดินเลี้ยวอยู่หลายหน หลังก้าวออกจากเส้นทางหนึ่งก็หยุดเท้าฉับพลัน สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย ซูซื่ออวี้ที่ตามอยู่ด้านหลังเดินมาถึงข้างกายเขา มองเศษเถ้ากองหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เอ่ยว่า “พวกเรากลับมาที่เดิมแล้ว”

คำพูดนี้ของเขาไร้ซึ่งการหยอกล้อ ฉู่หมิงอวิ่นกลับยกเหยียดมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นใต้เท้าซูมีความเห็นที่ดีกว่าอย่างไร”

ซูซื่ออวี้หัวเราะเสียงนุ่มนวล “ไหนเลยจะมีความเห็นที่ดีกว่าอะไรได้ สถานที่เช่นนี้เจ้าและข้าล้วนไม่คุ้นเคย มีเพียงลองเดินดูเท่านั้น” เขามองทางฉู่หมิ่งอวิ่น “สัญชาตญาณของผู้ที่โรมรันในสนามรบมานานมักเที่ยงตรง ใต้เท้าฉู่นำทางต่อเถิด”

ฉู่หมิงอวิ่นเอียงศีรษะสบตาซูซื่ออวี้แวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเดินเข้าสู่ทางเดินต่อ ครั้งนี้เขาไม่เดินตามอารมณ์อีก ให้ความสนใจกับร่องรอยสึกกร่อนบนผนังหินตลอดทาง เมื่อเดินได้ประมาณครึ่งจอกชา[4] จู่ ๆ ฉู่หมิงอวิ่นก็ยกมือขึ้นขวางซูซื่ออวี้ไว้ หยุดเดินแล้วตั้งใจฟังชั่วครู่ ริมฝีปากพลันปรากฏรอยยิ้มออกมา เขามองทางแยกด้านขวา เอ่ยกับซูซื่ออวี้ว่า “ในที่สุดคนให้ถามทางก็มาแล้ว”

ครู่ต่อมาก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นแจ่มชัด ยามตรวจตราสิบกว่าคนกำลังเดินเข้ามา ผู้เป็นหัวหน้าเห็นพวกเขาสองคนก็ตื่นตกใจก่อนเป็นอย่างแรก แล้วจึงตะโกนทันที “จัดการพวกเขา!”

ฉู่หมิงอวิ่นขวางอยู่ด้านหน้าซูซื่ออวี้ ถอนหายใจเบา ๆ “ยุ่งยากจริง ปล่อยให้เจ้าทำพัดพัง คราวนี้ทำได้เพียงสู้ด้วยมือเปล่าแล้ว”

พูดจาน่าสงสารสองสามส่วน ทว่าการกระทำกลับดุดัน เขาหักข้อมือของยามตรวจตราราวกับไม่ต้องออกแรงพยายาม กดดาบยาวแทงทะลุสองคนด้านหน้าพร้อมกันในคราเดียว ก่อนเอี้ยวตัวหลบคมดาบที่ฟันเข้ามาจากด้านข้าง ฉวยพลิกมือบีบกระดูกคอของคนผู้นั้นจนแตกละเอียด แม้ฉู่หมิงอวิ่นจะถูกยามตรวจตราล้อมโจมตี กลับไม่ดูจนตรอกสักนิด ตรงกันข้ามความคล่องแคล่วระหว่างที่เคลื่อนที่ไปมากลับปราดเปรียวสบายอารมณ์อยู่หลายส่วน ขณะที่เคลื่อนไหวนั้นกระทั่งเลือดครึ่งหยดก็ไม่เปรอะเปื้อนชายเสื้อผ้าแม้แต่น้อย

การรุกโจมตีของฝ่ายตรงข้ามอ่อนกำลังลง ฉู่หมิงอวิ่นถึงคิดได้ฉับพลันว่าก่อนหน้านี้เหมือนมีคนพุ่งไปทางซูซื่ออวี้ จึงรีบหาจังหวะหันกลับไปมองปราดหนึ่ง

เห็นเพียงด้านหลังของตนเองมีศพจำนวนหนึ่งนอนแผ่อยู่แล้ว สีหน้าของซูซื่ออวี้เรียบเฉย เขาไพล่มือไว้ด้านหลัง เบี่ยงกายหลบดาบอยู่เนือง ๆ รอจนคมดาบนั้นประชิดตัวแล้วจึงลงมืออย่างจำใจ ตัดคอสะบั้นชีพจร ปราดเปรียวว่องไวจนทำให้คนตกใจพูดไม่ออก

ฉู่หมิงอวิ่นเลิกคิ้วแล้วถอนสายตากลับ เอ่ยในใจว่าการตัดสินใจตรวจสอบซูซื่ออวี้อย่างละเอียดนั้นถูกต้องจริง ๆ อย่างน้อยที่สุดในนครหลวงแห่งนี้ เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่รู้ว่าผู้ตรวจการสุภาพเรียบร้อยผู้นี้เป็นวรยุทธ์

จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบเร่งดังเข้ามา จึงผลักคนที่ขวางอยู่เบื้องหน้าออก ก่อนจะเห็นยามตรวจตราอีกกลุ่มกรูกันมาจากทางแยกดังคาด โจมตีเข้ามาตามคนด้านหน้า กำลังคนแข็งแกร่งขึ้นทันตา ราวกับว่าไม่มีสิ้นสุด

ฉู่หมิงอวิ่นถูกคนดึงแขนฉับพลัน ซูซื่ออวี้เอ่ยขึ้นก่อนเขาจะลงมือ “ตามข้ามา”

ซูซื่ออวี้ดึงเขาล่าถอยกลับทางเดิม ฉู่หมิงอวิ่นไม่รู้ต้นสายปลายเหตุกลับยังคงติดตามไป ยามตรวจตราเหล่านั้นร้อนรนขึ้นทันที สาวเท้ายาวไล่ตามมา ตลอดทางล้วนมียามตรวจตราจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากทางแยกอื่น คุกใต้ดินที่เงียบสงบก่อนหน้านี้กลับอลม่านวุ่นวายขึ้นในพริบตา ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ซ่อนคนจำนวนมากขนาดนี้ไว้อย่างไร

ซูซื่ออวี้หยุดอยู่ที่เศษเถ้ากองนั้น ยกมือขึ้นลูบคลำหาบางสิ่งบนผนังหิน

ฉู่หมิงอวิ่นพิงผนังหิน มองเส้นทางที่ยามตรวจตรายังไล่ตามมาไม่ทันพลางเอ่ยโดยไม่หันหน้ามา “เจ้าพบบางอย่างแล้วรึ”

สิ่งที่ตอบเขาคือเสียง ‘ครืน’ ที่ดังกังวานขึ้น ฉู่หมิงอวิ่นหมุนตัวกลับมาด้วยความตกใจ เห็นเพียงแผ่นหินด้านหน้าของซูซื่ออวี้ยกตัวขึ้นสูง ปรากฏทางเดินสายหนึ่งด้านหน้าเขา ทั้งตะเกียงน้ำมันก็ส่องสว่างไสว

เขาอ้าปากต้องการจะพูดบางสิ่ง จู่ๆเสียงลมดาบคำรามกลับดังขึ้นด้านหลังหู ฉู่หมิงอวิ่นหมุนตัวถีบผู้ลอบโจมตีทันที เพียงเหลือบตาก็มองเห็นยามตรวจตราทั้งหมดกรูกันเข้ามา ซูซื่ออวี้ยกมือฉุดเขาไปด้านหลังประตู ในเวลาอันรวดเร็วควันสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งก็ลอยแผ่กระจาย บีบให้ยามตรวจตรากลุ่มนั้นรีบร้อนล่าถอย เพียงช่วงเวลานี้ก็ทำให้ซูซื่ออวี้ดึงกลไกลงให้ประตูปิดหากันเรียบร้อยแล้ว

ฉู่หมิงอวิ่นตกตะลึงไปชั่วขณะอย่างแท้จริง มองซูซื่ออวี้ทิ้งขวดเคลือบสีขาวที่ว่างเปล่าแล้วลงบนพื้น เอ่ยอย่างยากจะเข้าใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าซูยังใช้พิษเป็นด้วย”

“ในตำราการทหารไม่ได้เขียนไว้หรือว่าการทหารมิหน่ายกลอุบาย[5] เป็นเพียงวิธีการที่อาศัยความสูญเสียน้อยที่สุดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น” ซูซื่ออวี้ยิ้มบาง ๆ มองฉู่หมิงอวิ่น แล้วเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “อีกอย่าง ใต้เท้าฉู่คงไม่คิดว่าข้าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาอะไรอยู่แล้ว ไยข้าต้องเสแสร้งด้วย”

ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะอย่างยอมรับสองสามส่วน เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีเส้นทางลับ”

“แค่คาดเดาเท่านั้น บังเอิญว่าถูกต้องพอดี” ซูซื่ออวี้หมุนกายมองเส้นทางหินที่ทอดยาวเบื้องหน้า “ดูจากตำแหน่ง คุกที่พวกเราเจอด้านในสร้างอยู่ใต้สระน้ำ  ทั้งยังมียามตรวจตราเฝ้าดูแล แสดงว่าเป็นสถานที่คุมขังคน เช่นนั้นแล้วกรงเหล็กที่พวกเราตกลงไป เกินครึ่งคือสร้างขึ้นมาเพื่อพวกเราโดยเฉพาะ ไม่กล่าวถึงห้องขังที่ถูกปล่อยร้าง ก่อนหน้านี้พวกเราอ้อมกลับมาถึงที่นี่ ก็หมายความว่าที่นี่เชื่อมถึงสถานที่หลายแห่งในคุกใต้ดิน ทว่าเหตุใดต้องเปลืองแรงเชื่อมกับทางตันด้วยเล่า”

ฉู่หมิงอวิ่นเข้าใจความหมายของเขาแล้ว “กล่าวได้ว่า พวกเราอยู่ที่ทางเข้าคุกใต้ดินแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้เส้นทางที่เดินเข้าไปด้านในจึงซับซ้อน อีกทั้งหาทางออกไม่เจอ” เขาชะงัก หรี่ตาเล็กน้อย “ดูแล้ว ซ่งเหิงวางแผนขังพวกเราให้ตายที่นี่หรือ”

ซูซื่ออวี้ยิ้ม จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้น “จริงสิ”

“หืม” ฉู่หมิงอวิ่นเบนหน้ามองเขา

“กลไกยังสามารถเปิดได้ ใต้เท้าฉู่ต้องการออกไปเก็บพัดหรือไม่” ซูซื่ออวี้เอ่ย

ฉู่หมิงอวิ่นถาม “ข้าจะต้องการมันทำไม”

“อีกเดี๋ยวหากเกิดเรื่องอีก เจ้าก็ไม่ต้องสู้ด้วยมือเปล่าแล้ว”

“…” ฉู่หมิงอวิ่นคิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ซูซื่ออวี้จะใส่ใจคำพูดเรื่อยเปื่อยประโยคนั้นของเขา “เถ้ากระดาษกองหนึ่ง หรือต้องการให้ข้าโปรยมันออกไปลวก ๆ เช่นเดียวกับเจ้า”

“พัดกลายเป็นเถ้าแล้ว แต่เหล็กชั้นดีที่ฝังในแกนพัดน่าจะยังอยู่” ซูซื่ออวี้เอ่ย หยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสริม “ข้าใช้พิษแต่ไรมาไม่เคยโปรยอย่างลวก ๆ”

“เช่นกัน” ฉู่หมิงอวิ่นยกเท้าก้าวไปด้านหน้า “ร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อนี้ของข้ายังต่อสู้ไหว เจ้าลืมพัดเล่มนั้นเสียเถิด”

ซูซื่ออวี้ไม่ยึดติดกับคำถามนี้ ก้าวเท้าตามไป

ทางเดินหินสายนี้ยังคงเงียบสงบ แต่เมื่อไม่มีอุปสรรคเหล่านั้นแล้ว ยิ่งเดินไปด้านหน้าเส้นทางยิ่งกว้างขึ้น ในใจฉู่หมิงอวิ่นกลับรู้สึกไม่ถูกต้องขึ้นมาราง ๆ

ลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่านข้างแก้ม ฉู่หมิงอวิ่นหยุดเท้า ซูซื่ออวี้รู้สึกถึงลมสายนั้นเช่นกัน จึงเอ่ยถามว่า “น่าจะใกล้ถึงทางออกแล้วใช่หรือไม่”

ฉู่หมิงอวิ่นไม่ส่งเสียง เพียงมองพิจารณาตะเกียงน้ำมันที่ผนังหินด้านหนึ่ง ตะเกียงนั้นมอดดับอยู่ บนตัวตะเกียงสัมฤทธิ์ไม่คล้ายกับมีร่องรอยน้ำมันเหมือนตะเกียงอื่น น่าจะไม่ค่อยถูกใช้งาน

ซูซื่ออวี้มองตามสายตาของเขา ไตร่ตรองเล็กน้อยก็ยกเท้าก้าวเข้าไป

ฉู่หมิงอวิ่นคิ้วกระตุก พลั้งปากเอ่ย “กลับมา!”

ช้าไปเสียแล้ว พอซูซื่ออวี้เหยียบเท้าไปด้านหน้า แผ่นหินใต้เท้าของเขาก็ยุบลงทันที ผนังหินส่วนบนทั้งสองด้านพลิกเปิดออก ลมรุนแรงก่อตัวขึ้น ฝนลูกธนูจับเป็นกลุ่มบินว่อนออกมาจากความมืดไม่ขาดสาย

ฉู่หมิงอวิ่นเห็นชัดว่าซูซื่ออวี้เหลือบตากวาดมองด้านบนแล้ว กลับยังคงต้องการจะไปด้านหน้าต่อ ฉู่หมิงอวิ่นก้าวถึงด้านหลังซูซื่ออวี้อย่างฉับไวก่อนฉุดเขาไว้แนบอก การกระทำนี้รวดเร็วดั่งเมฆเหินน้ำไหล ลูกธนูบินร่วงบีบเข้ามาถึงด้านหน้า เขากดซูซื่ออวี้ไว้ในอก ในระยะเวลาเพียงชั่วพริบตาทันเพียงเอี้ยวตัวถอยเท้ากลับ ใช้หัวไหล่รับธนูดอกหนึ่งที่พุ่งมาด้านหน้าซูซื่ออวี้ ทะลวงออกจากฝนลูกธนูห่านี้

ซูซื่ออวี้ถูกแขนของเขากักตัวไว้จนรู้สึกอึดอัด กำลังจะเปลี่ยนท่าทางพลันได้ยินเสียงลูกธนูปักเนื้อดังขึ้นข้างหู คนข้างกายตัวสั่นเทาเล็กน้อยจนเกือบไม่รู้สึกถึง ก่อนตามด้วยกลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้ง เขานิ่งงัน หันกลับไปมองด้วยความตกใจ

ฉู่หมิงอวิ่นคลายมือปล่อยซูซื่ออวี้ ยกมือขึ้นดึงลูกธนูออกแล้วโยนลงด้านข้าง สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ระหว่างนั้นนอกจากคิ้วที่ขมวดแน่นกลับไม่พบอารมณ์อื่นอีก ฉู่หมิงอวิ่นพิจารณารอยเลือดสีแดงเข้มที่ไหลชุ่มทั่วหัวไหล่ไม่หยุด “ยังไหว บนลูกธนูไม่มีพิษ” เขาสกัดจุดห้ามเลือด แล้วถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “ดูท่าคำพูดนี้ไม่อาจพูดส่งเดชได้จริง ๆ เพิ่งพูดว่าต่อสู้ไหว คาดไม่ถึงว่าตอนนี้ต้องมาใช้ทั้งร่างกายบังให้เจ้าจริง ๆ

“แต่ในเมื่อมีกลไก อย่างน้อยก็บอกได้ว่าเส้นทางนี้ถูกต้อง” ฉู่หมิงอวิ่นกวาดสายตามองลูกธนูที่ปักอยู่เต็มพื้นข้างกาย กระนั้นกลับไร้คนตอบรับ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกตัวว่าตนเองพูดเสียเนิ่นนานซูซื่ออวี้กลับไม่สนใจสักประโยค จึงมองไปอย่างสงสัย

ซูซื่ออวี้กำลังละสายตาจากกลไก เหยียบลงบนแผ่นหินที่ยุบลงไปแล้วอีกครั้ง ยกมือขึ้นแตะตะเกียงน้ำมันนั่น ฉู่หมิงอวิ่นคว้ามือของเขาไว้ โมโหขึ้นสองสามส่วน “เจ้ายังจะแตะอีกหรือ”

ซูซื่ออวี้มองเขาอย่างซับซ้อนแวบหนึ่ง ขืนตัวให้หลุดจากมือเบา ๆ แต่คิดแล้วก็ดึงเขามาด้านหน้าของตนเอง ซูซื่ออวี้เลี่ยงบาดแผลบนหัวไหล่ของฉู่หมิงอวิ่นอย่างระมัดระวัง ปกป้องเขาไว้ด้วยรูปกายของตน แตะฝ่ามือลงบนไหล่ที่ไม่บาดเจ็บของเขา เอ่ยอย่างอบอุ่น “วางใจเถิด”

ชั่วขณะนั้นฉู่หมิงอวิ่นไม่รู้ว่าที่ซูซื่ออวี้ให้วางใจคือจะขวางลูกธนูแทนตนเองหรือมีวิธีแล้วจริง ๆ

ด้านซูซื่ออวี้จับตะเกียงสัมฤทธิ์อีกครั้งอย่างไร้อุปสรรค ออกแรงเล็กน้อยค่อย ๆ หมุนตะเกียงเสียงชวนอึดอัด กลไกบนผนังหินสองด้านพลิกลงตาม เกิดเสียงตอบสนองในเส้นทางข้างหน้าก่อนจะปรากฏเส้นทางคับแคบสายหนึ่ง

ยามนี้ซูซื่ออวี้จึงถอยออกหนึ่งก้าว เอ่ยถามฉู่หมิงอวิ่น “แผลบนไหล่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะเย้ยหยันหนึ่งหน “ไม่ตายหรอก”

ซูซื่ออวี้ก็ไม่ถามต่อ หันมองด้านหน้า “ใต้เท้าฉู่ว่า ควรเดินไปทางไหนดี”

ฉู่หมิงอวิ่นเดินไปเก็บลูกธนูด้านหน้าขึ้นมาดอกหนึ่ง เพ่งมองหัวธนูแล้วเอ่ย “ไม่รู้”

ซูซื่ออวี้ยิ้มเอ่ยอย่างจนปัญญา “ใต้เท้าฉู่…”

จู่ ๆ ฉู่หมิงอวิ่นก็หมุนกายขว้างลูกธนูออกไป ลูกธนูบินแหวกอากาศ ปลายแหลมคมบีบอัดด้วยกำลัง ปักลึกลงบนมุมผนังหิน “ถามดูก็รู้แล้ว” เขาเอ่ยกับซูซื่ออวี้ จากนั้นจึงมองยังหัวมุมแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ออกมา”

บริเวณหัวมุมมีเสียงสวบสาบ ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็ถลันออกมา ผู้มาใหม่พุ่งหาพวกเขาด้วยความรวดเร็วจนเกือบกลายเป็นเสี้ยวเงาสายหนึ่ง ฉู่หมิงอวิ่นยืนนิ่ง ยามฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามาถึงเบื้องหน้าจึงงอนิ้วยกมือขึ้นทันทีทันใด เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทลายการพุ่งเข้ามาของฝ่ายตรงข้าม บีบคอของอีกฝ่ายแล้วตรึงไว้กับผนังแน่น

เดิมทีซูซื่ออวี้มองดูอยู่อย่างสงบ จนกระทั่งเห็นท่าทางการลงมือของฉู่หมิงอวิ่น รูม่านตาของเขาจึงหดฉับพลัน เบนหน้าหลับตาราวกับอดทนต่อบางสิ่ง ก่อนลืมตาอีกครั้งแล้วมองกลับไป บนใบหน้าคืนรอยยิ้มบาง ๆ เฉกเช่นปกติอีกครั้ง

ผู้ที่มาเห็นชัดว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มยามตรวจตราก่อนหน้านี้ ใบหน้ายังเขียวคล้ำจากพิษ เขาถูกฉู่หมิงอวิ่นบีบคอจนหายใจติดขัด สีหน้าย้อมด้วยสีแดงม่วงมากขึ้นสองสามส่วน มองปราดเดียวก็ทำให้คนรู้สึกผวา วรยุทธ์ของยามตรวจตราคนนี้นับว่าอยู่เพียงระดับกลางเท่านั้น คาดว่าเพราะถูกพิษไม่มากจึงคิดจะหลบหนีออกไป ฉวยโอกาสซ่อนตัวจนมาถึงด้านหลังพวกเขาท่ามกลางความวุ่นวายจากห่าลูกธนูที่พุ่งลงมา คงนึกไปว่าจะไม่ถูกพบเข้า

“รู้ทางสินะ” ฉู่หมิงอวิ่นถาม

ยามตรวจตราจ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ

“ชิ” ฉู่หมิงอวิ่นออกแรงที่มือมากขึ้น คลี่ยิ้มเยือกเย็น “คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกไม่เสียดายชีวิต เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”

“ใต้เท้าฉู่” ซูซื่ออวี้กดลงบนแขนของเขา

“หืม” ฉู่หมิงอวิ่นเอียงหน้ากวาดมองซูซื่ออวี้แวบหนึ่ง

“สามารถเจรจาให้บรรลุเป้าหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงลงมือแล้ว”

ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะตามอารมณ์ คลายมือปล่อยให้ยามตรวจตราทรุดนั่งกับพื้น “เช่นนั้นเจ้าก็มา”

ยามตรวจตรากุมคอไอท่าทางทรมาน ขณะเดียวกันก็จ้องบุรุษชุดขาวตรงหน้าอย่างหวาดหวั่นระคนสงสัย ได้ยินเพียงอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเสียงนุ่มนวลว่า “หากเจ้าไม่เสียดายชีวิตจริง ๆ ก็คงไม่พยายามหลบหนีมา ในเมื่อคิดอยากมีชีวิตออกไป ไม่สู้มาทำข้อตกลงดีกว่า เจ้าพาพวกเราออกไป พวกเราไว้ชีวิตเจ้า เป็นอย่างไร”

ยามตรวจตราจ้องดวงตาอ่อนโยนของซูซื่ออวี้เขม็ง ไม่ลืมพิษที่คนผู้นี้ใช้ เสียงแหบแห้งเอ่ย “ข้าจะเชื่อพวกเจ้าได้ยังไง”

ซูซื่ออวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ควานหาขวดยาสีเขียวออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ ยิ้มเอ่ย “เจ้าเป็นคนนำทาง ในเมื่อเจ้าไม่มีทางเชื่อใจพวกเรา ก็ต้องเริ่มจากพวกเราเชื่อเจ้าแล้ว” เขาวางขวดยาในมือยามตรวจตรา ปลายนิ้วแผ่ไออุ่น “สิ่งนี้เจ้าจงรับไป”

ยามตรวจตรากำขวดยาในมือแน่น ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ได้”

ฉู่หมิงอวิ่นกอดอกมองอย่างไร้อารมณ์ เห็นเพียงซูซื่ออวี้หมุนกายเดินเข้ามาเอ่ย “ไปเถิด” พลางยื่นมือต้องการประคองเขา

ฉู่หมิงอวิ่นเลิกคิ้วหัวเราะ “เจ้าต้องการประคองข้าออกไปหรือ” เขามองซูซื่ออวี้พร้อมเอ่ย “เช่นนั้นมิสู้เจ้าอุ้มข้าเสียเลยล่ะ”

ซูซื่ออวี้มองเขาปราดหนึ่ง มือหนึ่งรั้งไหล่เข้าหา ค้อมตัวเล็กน้อยหมายจะอุ้มเขาขึ้นจริง ๆ ฉู่หมิงอวิ่นรีบยั้งมืออีกฝ่ายไว้ทันที ไฟโทสะที่มีแต่เดิมในใจกองนั้นหายไปจนหมดสิ้น เอ่ยอย่างขบขัน “พอแล้ว ล้อเจ้าเล่น ไหนเลยจะอ่อนแอเพียงนั้น”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ” ซูซื่ออวี้สำรวจสีหน้าของเขาอย่างถี่ถ้วน กลับมองอะไรไม่ออกจริง ๆ

ฉู่หมิงอวิ่นโบกมือส่ง ๆ เดินตามยามตรวจตราที่มองบุรุษสองคนนี้ด้วยใบหน้าบอกไม่ถูก ซูซื่ออวี้ยังคงตามอยู่ด้านหลังเช่นเดิม เห็นเงาร่างของฉู่หมิงอวิ่นเดินอย่างไร้อุปสรรคอยู่นานก็เบาใจลง

ยามตรวจตรานำพวกเขาเดินไปตามเส้นทางเดิมก่อนหน้า ฉู่หมิงอวิ่นถามถึงประโยชน์ของทางเดินแคบที่มีกลไกปรากฏขึ้นสายนั้น ยามตรวจตรากลับสนใจเพียงเดินไปด้านหน้าอย่างเงียบ ๆ ไม่ปริปาก

เท้าของยามตรวจตราเลี้ยวอ้อมสองสามรอบ เดินอยู่เนิ่นนานในที่สุดก็พาพวกเขามาถึงภายในห้องหินแห่งหนึ่ง รอบด้านไม่มีทางให้เดินต่อ ฉู่หมิงอวิ่นขมวดคิ้วเอ่ย “กลไกอีกแล้วรึ”

ยามตรวจตรามองเขาแวบหนึ่งก็เคลื่อนสายตาออกไปทันที “อืม” เขาถอยไปอยู่ด้านหลังฉู่หมิงอวิ่นและซูซื่ออวี้ คลำบนผนังหินอยู่นานก็ดึงห่วงทองแดงห่วงหนึ่งออกมา ยามตรวจตราเหลือบมองทางพวกเขา สบเข้ากับสายตาเปื้อนรอยยิ้มของซูซื่ออวี้พอดี หัวใจของเขากระตุกวูบ พยายามอดทนก้มหน้า ออกแรงทั้งหมดหมุนห่วงทองแดงอย่างแรง พลันหมุนกายออกวิ่งกลับไปยังทางที่มาอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าบุรุษคนนั้นจะน่าเชื่อถือ แต่จากวรยุทธ์และไอสังหารของบุรุษชุดน้ำเงินข้างกายเขา ตนเองเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง จะรักษาชีวิตรอดได้อย่างไร พอเสียงระเบิดจากห่วงทองแดงดังขึ้นด้านหลัง เท้าของเขาก็ออกวิ่งฉับไว ไม่กล้าหันหน้ากลับไป

ประตูห้องหินปิดผนึกเสียงดังตูม

ฉู่หมิงอวิ่นซัดฝ่ามือออกไปในเสี้ยววินาทีที่ประตูปิดลงมา ลมฝ่ามือบีบอัดด้วยกำลังพุ่งโจมตี ปะทะกับประตูหินหนากลับทำได้เพียงทำให้มันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเท่านั้น

“ชิ” ฉู่หมิงอวิ่นลดมือลงอย่างเดือดดาล หันหน้ามองซูซื่ออวี้ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงคิดขึ้นได้ว่าบนใบหน้าบุรุษคนนี้นอกจากรอยยิ้มเช่นเคยแล้วโดยภาพรวมก็ไม่ปรากฏอารมณ์อื่นใด เขานั่งลงพิงกับผนังอย่างตามใจตน หัวเราะแฝงความเยาะเย้ย “คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าซูก็มองผิดเช่นกัน กลับทำให้คนคนนั้นรอดชีวิตไปได้”

ซูซื่ออวี้ยืนอยู่ตรงกลางเงยหน้าเล็กน้อยพิจารณาเพดาน ได้ยินคำพูดก็เอ่ยโดยไม่หันมอง “ติดอยู่ที่นี่อย่างน้อยสามวันพวกเราถึงจะหิวตาย ส่วนเขาอย่างมากหลังจากเวลาสามจอกชา[6]ก็จะพิษกำเริบตาย”

“ที่เจ้าให้ไม่ใช่ยาถอนพิษหรอกหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นถาม

“เหตุใดข้าต้องพกยาถอนพิษติดตัว” ซูซื่ออวี้มองเขาปราดหนึ่งอย่างฉงน รอยยิ้มที่มุมปากค่อย ๆ กดลึกขึ้น “ข้าแค่มอบยาพิษที่เหลือให้เขา รับประกันว่าจะไม่ลงมืออีกเท่านั้น น่าเสียดาย เขากลับคิดว่าตนฉลาด ตัดทางรอดของตนเอง”

“นี่คือความเชื่อใจที่เจ้ากล่าวงั้นหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นเลิกคิ้วถาม

“ข้าไม่เคยพูดว่านั่นคือยาถอนพิษ” ซูซื่ออวี้ยิ้มบาง ๆ เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “แต่ว่าข้าก็ไม่ถนัดเชื่อใจอะไรจริง ๆ ยิ่งเทียบกันแล้ว สิ่งที่ตนเองได้เห็นได้ยินน่าเชื่อถือกว่ามาก”

ฉู่หมิงอวิ่นนั่งอยู่ในเงาที่ทอดออกมาจากแสงเทียน หรี่ตาเล็กน้อยมองเงาร่างที่อยู่ไม่ไกลนักอย่างเฉยชา “สมกับเป็นซูซื่ออวี้ผู้สุภาพอ่อนน้อมที่ผู้คนต่างชื่นชม”

“ชมเกินไปแล้ว” เขาตอบรับเสียงราบเรียบ สายตาเคลื่อนไปอยู่บนผนังหินมันวาว

ตอนออกแรงเมื่อครู่บาดแผลถูกกระทบกระเทือนจนปริ ความเจ็บปวดรุนแรงราวกับถูกฉีกทึ้งตีขึ้นมายังหัวไหล่อีกครั้ง ฉู่หมิงอวิ่นพ่นลมหายใจขุ่น ยกมือสกัดจุดบนไหล่อีกหน พยายามห้ามเลือดไว้ ก่อนจะเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หากตายอยู่ที่นี่จริง ๆ คาดว่าอีกหลายสิบปีก็คงไม่มีใครค้นพบ แต่มีคนอย่างใต้เท้าซูอยู่ด้วยกันก็ไม่นับว่าเสียเปรียบเท่าไรนัก ไม่แน่ว่าเมื่อพวกเขาพบกระดูกอาจฝังพวกเราสองคนที่เดียวกันก็ได้”

“เลี่ยงประเด็นนี้เถิด” ซูซื่ออวี้เดินเข้าไปใกล้ผนังหินด้านหนึ่ง ยื่นมือกดบนผนังลูบคลำและเคาะอย่างละเอียด “จากการกระทำอันดีงามของใต้เท้าฉู่ ก่อนฝังต้องคึกคักมากเป็นแน่ ผู้แซ่ซูไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยว จนเข้าสู่แดนธาราเหลือง[7]แล้วก็ยังไม่อาจสงบ” มือของเขาหยุดชะงัก จู่ ๆ ก็ยิ้มเอ่ย “ดังคาด ห้องหินนี้เป็นสิ่งอำพราง ผนังหินกลวงเช่นกัน ด้านหลังน่าจะมีเส้นทาง พักผ่อนพอแล้วก็ลุกขึ้นเถิด พวกเราควรไปจากที่นี่”

“รอสักครู่ ตอนนี้ข้าขยับไม่ได้” เสียงของฉู่หมิงอวิ่นแหบเล็กน้อย

ซูซื่ออวี้ตกใจ หมุนกายเดินกลับมายอบตัวลงข้างกายเขา ตอนนี้จึงมองเห็นชัดว่าสีหน้าของฉู่หมิงอวิ่นซีดเผือดแล้ว ขับให้ส่วนดวงตาและคิ้วที่เพริศพริ้งอยู่แต่เดิมของเขาน่าดึงดูดมากขึ้น

มองการกระทำที่ซูซื่ออวี้คลายเสื้อคลุมตัวนอกของตนเอง ฉู่หมิงอวิ่นอดเอ่ยหยอกล้อไม่ได้ “ใต้เท้าซูตอนนี้ต้องการเอาเปรียบข้าใช่หรือไม่”

ซูซื่ออวี้ไม่มองเขา มือฉีกแขนเสื้อของชุดตัวในออกมาผืนหนึ่งเตรียมพันแผลให้ คิดแล้วก็ยังคงเอ่ยอธิบาย “กลิ่นหอมที่ข้าใช้ในยามปกติล้วนคือกลิ่นสงบจิตใจ มีประโยชน์ด้านบรรเทาอาการปวดไม่มากก็น้อย”

“ใต้เท้าซู ตัดแขนเสื้อแล้ว” ฉู่หมิงอวิ่นยิ้มเอ่ยเนิบนาบ “ตอนนี้เจ้ามอบเสื้อตัวในให้ข้า สำหรับข้านับเป็นความสนิทสนมทางผิวกาย บัดนี้ความบริสุทธิ์ของข้าถูกทำลายแล้ว ใต้เท้าซูจะรับผิดชอบหรือไม่”

ซูซื่ออวี้ทนไม่ไหวเหลือบตาขึ้นมองดูว่าเขาใช้สีหน้าเช่นไรยามพูดคำประเภท ‘ความบริสุทธิ์ของข้า’ ออกมา ก่อนจะก้มหน้าอีกหนพิจารณาคอเสื้อที่ถูกเลือดอาบย้อมเป็นวงใหญ่ของเขา “หากใต้เท้าฉู่พูดเล่นมากอีก ข้าเกรงว่าคงอยู่ไม่ถึงตอนที่ข้ารับผิดชอบเจ้าแล้ว”

ตอนนี้ในที่สุดซูซื่ออวี้ก็เห็นแผลลูกธนูบริเวณนั้นชัดเจน ลึกกว่าที่เขาคาดไว้อยู่บ้าง เกือบเข้าถึงกระดูก ไม่รู้ว่าฉู่หมิงอวิ่นเอาแรงจากไหนมาพูดคุยหัวเราะเล่น ซูซื่ออวี้เงียบครู่หนึ่ง ก่อนเปิดปากเอ่ยเสียงเบา “เจ้าไม่จำเป็นต้องขวางลูกธนูดอกนั้นเพื่อข้า”

ฉู่หมิงอวิ่นเอนหลังพิงผนังหินเย็นเยียบแล้วปล่อยให้เขาพันแผล ยามซูซื่ออวี้โน้มตัวเข้ามาใกล้ เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมอ่อนจาง แตกต่างกับกลิ่นหอมสงบจิตใจที่ใช้กันทั่วไปอยู่มาก ในลมหายใจแผ่ความอบอุ่นอ่อนโยน ไหลเข้าสู่จิตใจขณะหายใจเข้าออก สบายจนกระทั่งความเจ็บปวดล้วนบรรเทาลงหลายส่วน เขาเหล่มองเงาเล็ก ๆ จากแพขนตาที่ทาบทอลงบนใบหน้าซูซื่ออวี้  ยกมุมปากโค้งขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “คราวก่อนไม่ใช่ว่าข้าแสดงความรู้สึกต่อเจ้าแล้วหรือ ตอนนี้ทั้งนครหลวงล้วนรู้แจ้งว่าข้าหลงรักเจ้า เหตุใดเจ้าจึงลืมเร็วปานนี้”

บนใบหน้าของซูซื่ออวี้ยังคงมีรอยยิ้มบาง ๆ “ที่นี่มีเพียงพวกเราสองคน เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแล้ว เจ้าและข้าอยู่ร่วมราชสำนักกันมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรมานอกท้องพระโรงไม่เคยพูดคุย ในท้องพระโรงมีความคิดแตกต่าง กี่ครั้งที่ข้าขวางเรื่องสำคัญของเจ้าข้าย่อมรู้แจ้ง เป็นเช่นนั้นแล้วหากเจ้ายังมีความรู้สึกล้ำลึกต่อข้าได้ เว้นเสียแต่ว่า…” เขาพยายามคลายคอเสื้อของฉู่หมิงอวิ่นออก ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เลือดและเนื้อที่ติดกับชุดด้านในแข็งตัวแล้ว อาจเจ็บสักหน่อย”

“เว้นเสียแต่ว่าอะไรหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นซักถามด้วยความสนใจยิ่ง

“เว้นเสียแต่ว่าเจ้าป่วยจริง ๆ”

ฉู่หมิงอวิ่นเริ่มหัวเราะขึ้นเบา ๆ ก่อนกดเสียงต่ำลง “ป่วยเป็นไข้ใจ”

ซูซื่ออวี้เหลือบตามองเขา ดวงตาปรากฏรอยยิ้มออกมา “กัดฟันให้แน่น”

“หืม”

หลังเสียงผ้าแพรไหมดัง “แควก” บนหัวไหล่ที่เปลือยเปล่าของฉู่หมิงอวิ่นพลันอาบย้อมด้วยสีแดง

ทั่วทั้งห้องเงียบสนิท จนกระทั่งซูซื่ออวี้พันแผลเสร็จ จัดเสื้อผ้าให้เขาเรียบร้อยแล้ว ฉู่หมิงอวิ่นจึงกุมหัวไหล่เบา ๆ เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “…เจ้าอ่อนโยนหน่อยไม่ได้รึ …มีความผิดจนต้องแค้นเคืองเช่นนี้เลยหรือ”

ซูซื่ออวี้ดูเหมือนอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ถึงกับยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาบนหน้าผากของอีกฝ่าย น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงด้วยรอยยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด”

 

[1] หลังการสอบเคอจวี่ ซึ่งเป็นการสอบคัดเลือกข้าราชการในสมัยโบราณที่ดำเนินการโดยราชสำนัก ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งเป็นจอหงวนจะได้รับพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้ให้เข้าเฝ้า โดยคุกเข่าลงบนหินสลักรูปเต่ามังกร ด้วยเหตุนี้จึงใช้เรียกผู้สอบได้จอหงวน

[2] เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ชาติจีนที่เคยเกิดขึ้น เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงลอบสังหาร ปัจจุบันใช้อุปมาถึงงานเลี้ยงที่มีเจตนาร้ายแอบแฝง

[3] หมายถึง บุรุษที่รักชอบเพศเดียวกัน

[4] ครึ่งจอกชาเท่ากับเวลาประมาณห้านาที

[5] หมายถึง วิธีในการต่อสู้นั้นรวมถึงการใช้เล่ห์เหลี่ยม ใช้กลอุบายเพื่อเอาชนะศัตรู

[6] สามจอกชาเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

[7] ดินแดนหลังความตาย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า