[ทดลองอ่าน] คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน เล่ม 1 ตอนที่ 1

《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน

 

เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —
บล็อกเกอร์สาวด้านอาหารทะลุมิติมาเป็น เจียงซูเหย่า
ผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
นางวางแผนบีบบังคับให้ เซี่ยสวิน
บุรุษหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครรับนางเป็นภริยา
นางผู้ไม่เหมือนใคร เพราะมองโลกตามหลักความเป็นจริง
ไม่เคยปรารถนาความรักจากสามี

ช่วงเวลาที่ออกเรือนกลับกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่นางมีอิสรเสรีที่สุด
ขอเพียงได้ทำอาหารที่ชื่นชอบและกตัญญูต่อมารดา
เท่านี้นางก็พึงใจแล้วจริงๆ

สามีน่ะหรือ…
ที่แท้ก็หล่อเหลาสมดังคำเล่าลือ เขาเป็นดั่งหิมะบนยอดเขาที่ขาวโพลน
เป็นดั่งโสมที่ส่องแสงสุกสกาวท่ามกลางหมู่เมฆ
เป็นสิ่งที่คนธรรมดามิอาจจินตนาการถึง
บุรุษรูปงามระดับบนี้ไม่มีทางแตะต้องนาง
วันเวลาของนางหลังจากนี้ปลอดภัยแล้ว!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

1

อากาศร้อนค่อยๆ หายไป ฤดูสารทมาเยือน หลังพิรุณในฤดูสารทตกแล้ว บรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงก็เริ่มไปมาหาสู่กันดั่งเช่นวันวาน เพียงแต่ตั้งแต่ย่างเข้าสู่ฤดูสารท มีเพียงเรื่องเดียวที่ถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในงานเลี้ยงนั่นก็คือ…เซี่ยซานหลาง[1]จะแต่งภริยาแล้ว!

กล่าวถึงเซี่ยสวิน นายน้อยสกุลเซี่ยแล้ว นับว่าเป็นบุรุษหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครในเมืองหลวง บิดาคือเซี่ยกั๋วกง[2] ท่านตาเป็นอาจารย์ของรัชทายาท ไม่ว่าชาติตระกูลหรือรูปร่างหน้าตาล้วนเอกอุ เคยออกท่องยุทธภพ สง่าผ่าเผย เป็นคนเปิดเผย น้อยนักที่เหล่าลูกหลานของผู้ดีมีเงินในฉางอันจะมี มิหนำซ้ำโอรสสวรรค์ยังแต่งตั้งให้เป็นทั่นฮวา[3]ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ หน้าตาหล่อเหลาคมคาย เมื่อขี่ม้าไปตามถนนใหญ่ สามารถดึงดูดความสนใจของสตรีสูงศักดิ์มากมาย

ในความคิดของทุกคน แค่บุคลิกที่โดดเด่นและความสามารถของเขาก็เหมาะสมกับองค์หญิงเกินพอแล้ว

อย่างไรก็ตาม กลับคาดไม่ถึงว่าเจียงซูเหย่าที่ไร้ยางอายจะคว้าเขาไปครอง!

เจียงซูเหย่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ล้วนเป็นชื่อเสียงฉาวโฉ่ เกิดในสกุลเจียงแห่งจวนเซียงหยางปั๋ว ทว่ากลับไม่มีกิริยาท่าทางของสตรีสูงศักดิ์สักกระผีก สมองกลวง เป็นถุงฟางข้าว[4]ใบหนึ่ง มักแอบมองคุณชายรูปงามจนถูกหัวเราะเยาะหลายครา

ไม่นานมานี้องค์หญิงใหญ่จัดงานเลี้ยงขึ้น นางอยากเด็ดดอกไม้ แต่ไม่ทันระวังจึงพลัดตกน้ำ และเซี่ยสวินที่อยู่ริมตลิ่งช่วยไว้ ทว่านางกลับโวยวายว่าตนไม่เหลือความบริสุทธิ์แล้ว ต้องการให้เซี่ยสวินแต่งให้นางให้ได้

นี่เป็นเหตุผลที่บอกว่านางไร้ยางอาย สูญเสียความบริสุทธิ์ก็ปลงผมออกบวชเป็นแม่ชีไปสิ ไฉนยังตามตอแยเซี่ยซานหลางอยู่อีก

ทุกคนเดิมเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่มีทางสำเร็จ กลับคิดไม่ถึงว่าจวนเซี่ยกั๋วกงจะผงกศีรษะเห็นด้วย

สตรีที่รู้เบื้องหลังเปิดเผยว่า หลังเจียงซูเหย่ากลับเรือนแล้วก็โวยวายหลายหน ครั้งสุดท้ายผูกคอตาย ครั้นช่วยมาได้ ก็พบว่าลมหายใจรวยรินแล้ว

เมื่อเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูขององค์หญิงใหญ่ผู้จัดงานเลี้ยง ยามเข้าวังนางพลั้งปากบอกฮ่องเต้เรื่องนี้ บังเอิญว่าหลินกุ้ยเฟย[5]ผู้เป็นพี่สาวร่วมอุทรของเซียงหยางปั๋วฮูหยินก็อยู่ที่นั่นด้วย เพราะหวังให้คนเห็นใจหลานสาวตนเอง จึงกล่าวถึงเรื่องนี้

ฮ่องเต้ไม่รู้ถึงชื่อเสียงถุงฟางข้าวของเจียงซูเหย่า รู้เพียงว่านางเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอกของเซียงหยางปั๋ว เซียงหยางปั๋วค่อนข้างอับโชคเรื่องบุตรธิดา แม้รับอนุภริยาหลายคนแล้ว กลับยังมิอาจให้กำเนิดบุตรชายได้แม้แต่คนเดียว เมื่อเห็นว่าอายุมากแล้ว ภรรยาเอกยังไร้ซึ่งข่าวดี สุดท้ายไม่ง่ายเลยกว่าจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดเด็กหญิงคนหนึ่ง

พระองค์เห็นใจเซียงหยางปั๋วมาก ความเห็นใจนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกดีต่อเจียงซูเหย่าเล็กน้อย หลังได้ยินหลินกุ้ยเฟยเล่าทั้งน้ำตาว่าเจียงซูเหย่าผูกคอตาย “เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์” ก็ทอดถอนใจ และบังเอิญว่าเซี่ยสวินอยู่ที่ตำหนักบูรพาเพื่อเข้าพบรัชทายาทพอดี พระองค์จึงเชิญเซี่ยสวินมาสอบถามหลายประโยค

ที่น่าประหลาดคือ แม้แต่ฮองเฮาผู้พูดน้อย สุขุมเยือกเย็นที่พำนักอยู่ในวังหลังมาโดยตลอดก็อยู่ด้วย และอยากให้ทั้งสองสมรสกัน

เซี่ยสวินได้ยินฮองเฮากล่าวถึงการแต่งงานของตน เมื่อกลับจวนก็หารือกับบุพการี แม้ไม่เต็มใจ แต่ก็ยังไปสู่ขอที่สกุลเจียง

 

เจียงซูเหย่านั่งอยู่ข้างเตียง เกิดอาการคันที่ลำคอเพราะถูกรัดจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นางคิดจะยกมือขึ้นเกา ทว่าเมื่อนึกถึงสถานการณ์ในเวลานี้จำต้องอดทนไว้ก่อน

วิธีการของผู้อื่นที่ทะลุมิติมาคือการหาคนมาสอบถามถึงสถานการณ์ทันทีที่ลืมตาด้วยคำพูดสั้นๆ ไม่กี่คำ แต่เมื่อนางลืมตากลับเป็นใบ้ชั่วคราวเพราะบาดเจ็บที่ลำคอ มิหนำซ้ำยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ก็ถูกจับยัดเข้าเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว

เสียงที่ดังมาจากที่ไกลๆ ใกล้เข้ามา เจียงชูเหย่ารู้ว่าเซี่ยสวินเข้ามาแล้ว จึงนั่งลงอย่างว่าง่าย

ตามมาด้วยเสียงร้องเพลงของสตรีผู้มีวาสนาบริบูรณ์[6] พอเลิกผ้าคลุมหน้าแล้ว เบื้องหน้าพลันสว่างขึ้นทันใด เจียงซูเหย่าเงยหน้า บังเอิญสบตางดงามเกินไปคู่หนึ่ง

พอเห็นหน้าเซี่ยสวิน เจียงซูเหย่าให้โล่งอก

สามีในอนาคตที่แท้ก็หล่อเหลาสมดังคำเล่าลือ ไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย เขาเป็นดั่งหิมะบนยอดเขาที่ขาวโพลน ดั่งโสมที่ส่องแสงสุกสกาวท่ามกลางหมู่เมฆ เป็นสิ่งที่คนธรรมดามิอาจจินตนาการ บุรุษรูปงามระดับนี้ไม่มีทางแตะต้องนาง วันเวลาของนางหลังจากนี้ปลอดภัยแล้ว

เมื่อเห็นดวงหน้าของเจียงซูเหย่าที่พอกแป้งหนาเตอะจนดูเหมือนสวมหน้ากาก เซี่ยสวินขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้ารังเกียจอย่างปิดไม่มิด

หลังเขากลับเมืองหลวงไม่นานก็เคยได้ยินชื่อเสียงฉาวโฉ่ของเจียงซูเหย่า กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่สตรีเช่นนี้จะตามพัวพันเขา และเขาถูกบังคับให้รับนางเป็นภริยา

ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้ ครั้นนึกถึงวันนั้นขณะที่นางตกน้ำ นางพาตัวมาแนบชิดเขา พอขึ้นฝั่งแล้วก็ตะโกนเสียงดังลั่นว่านางเสียความบริสุทธิ์อย่างไร้ยางอาย ทำให้เห็นถึงพฤติกรรมอย่างชัดแจ้ง

ทั่วทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายเย็นชา บรรยากาศในห้องพลันหนักอึ้งกว่าเดิม

ขั้นตอนต่อไปก็ทำอย่างขอไปที หลังคล้องแขนดื่มสุรามงคลแล้ว สตรีผู้มีวาสนาบริบูรณ์ก็ยกถ้วยป้อนบัวลอยให้เจียงซูเหย่า

เจ้าสาวโดยทั่วไปจะกัดหนึ่งคำ หลังสตรีผู้มีวาสนาบริบูรณ์ถามว่า “จะคลอดบุตรหรือไม่” แล้ว เจ้าสาวก็จะก้มหน้าตอบอย่างขวยเขินว่า “คลอดเจ้าค่ะ”

ตั้งแต่เช้ายังไม่มีข้าวตกถึงท้องของเจียงซูเหย่าแม้แต่เมล็ดเดียว ไหนเลยจะรู้เรื่องนี้ กินเข้าไปคำเดียว เคี้ยวครู่หนึ่ง แล้วเกือบจะคายออกมาด้วยความพะอืดพะอม

สตรีผู้มีวาสนาบริบูรณ์ตกตะลึงตาค้าง ถามตะกุกตะกักว่า “จะ…คลอดบุตรหรือไม่”

คอของเจียงซูเหย่าเพิ่งหายดี กินโดยไม่เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนเลยจึงทำให้เจ็บคอ นางพองแก้มเพราะพะอืดพะอม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ใบหน้ายับย่น “ฝืดคอเกินไปแล้ว”

ความรังเกียจของเซี่ยสวินที่นั่งข้างนางพุ่งสูงถึงขีดสุด

หลังสตรีผู้มีวาสนาบริบูรณ์ร้องเพลงจบแล้ว เซี่ยสวินเดินออกจากห้องโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ยกเว้นยามที่เลิกผ้าคลุมหน้าออกแล้ว ก็ไม่ชายตามองเจียงซูเหย่าสักแวบเดียว

บรรดาสตรีในห้องมองหน้ากันไปมา จากนั้นเดินออกจากห้องเงียบๆ โดยไม่ได้นัดหมาย ไม่กล่าวคำพูดสิริมงคลแม้แต่ประโยคเดียว

 

เช้าวันรุ่งขึ้น บ่าวไพร่ทั้งหมดในจวนต่างรู้ว่าคืนวันแต่งงานนายท่านสามนอนค้างในห้องหนังสือ

ทุกคนต่างรอคอยที่จะเห็นเรื่องน่าหัวเราะของเจียงซูเหย่า ขณะที่เจียงซูเหย่าที่เป็นศูนย์กลางของการนินทาไม่ได้โศกเศร้าอย่างที่พวกเขาจินตนาการสักนิด

หลังนางตื่นนอนอย่างสบายใจ เหล่าหญิงรับใช้ก็ปรนนิบัติหวีผมล้างหน้าแต่งตัวให้นาง

ดวงหน้าเดิมนั้นงามผุดผาด สดใสยิ่ง ทว่ารูปร่างหน้าตาเช่นนี้เมื่ออยู่ในยุคนี้กลับไม่ใคร่เป็นที่ชื่นชอบ ผู้อื่นมีแต่นินทาว่าร้ายว่านางมี “รูปโฉมดั่งปีศาจจิ้งจอก”

บุรุษเมื่อแต่งภรรยาต้องแต่งให้สตรีผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม อ่อนโยน อ่อนหวาน หรือไม่ก็สง่างาม ใจกว้าง มีเพียงรับอนุภรรยาเท่านั้นถึงจะตั้งใจเลือกสตรีที่งดงามเพริศพริ้ง

ปกติแล้วสิ่งที่เซียงหยางปั๋วฮูหยินทนเห็นไม่ได้ที่สุดก็คือเหล่าอนุภรรยาที่งามหยาดเยิ้มกลุ่มนั้นในจวนเซียงหยางปั๋ว ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นหน้าตางามผุดผาดของบุตรสาวตนเองก็โกรธจัด จึงจงใจให้นางแต่งกายให้แลดูบอบบาง

เนื่องจากเจ้าของร่างเดิมถูกมารดาบังคับให้กินไม่อิ่มทุกวัน เพียงเพื่อให้นางแลดูอ่อนแอบอบบาง รูปร่างดี นางจึงกลายเป็นลิงผอมแห้งขึ้นมาจริงๆ

คิ้วดุจใบหลิวของนางส่วนใหญ่ถูกโกนออกไปครึ่งหนึ่ง และถูกวาดให้เป็นคิ้วแบนและบางจนกลายเป็นเลขแปด[7]คล้ายกำลังขมวดคิ้ว ใบหน้าพอกแป้งหนาทั้งวันเพื่อปกปิดความมีชีวิตชีวาและสีแดงเลือดฝาด และเมื่อจับคู่กับเสื้อผ้าสีเรียบ จึงดูไม่เข้ากัน มองแล้วช่างน่าขบขันยิ่งยวด

เจียงซูเหย่าห้ามหญิงรับใช้ทาแป้งให้นาง ก่อนลงมือประทินโฉมด้วยตนเอง ไม่ง่ายเลยกว่าจะวาดคิ้วให้เรียวและมีพลังดุจกระบี่ ทันใดนั้นดวงหน้างามผุดผ่องสดใสก็เพิ่มความองอาจผึ่งผายขึ้นหลายส่วน ทำให้ลดทอนความเจ้าเล่ห์และความเย้ายวนเพราะใบหน้าเรียวเล็ก ตาโต ริมฝีปากแดงลงได้

จากนั้นทาชาดที่ริมฝีปากอีกครา การประทินโฉมของวันนี้ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว

เจียงซูเหย่ามองตนเองในคันฉ่องด้วยความพึงใจ หลังหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเซียงหยางปั๋วฮูหยิน ในที่สุดนางก็มีอิสระด้านรสนิยมความงามจริงๆ สักที เมื่อคิดว่าวันเวลานับจากนี้ไปไม่มีผู้ใดสนใจการกินของนางอีกแล้ว ดวงหน้าของนางอดเผยรอยยิ้มลิงโลดไม่ได้

เจ้าของร่างเดิมเป็นคนเจ้าอารมณ์ หญิงรับใช้ข้างกายล้วนแต่ขลาดกลัว แม้วันนี้จะเป็นวันวันแรกหลังจากแต่งงาน ก็มิกล้าปลุกนางแต่เช้า

ดังนั้นเมื่อเซี่ยสวินมาถึง เจียงซูเหย่าเพิ่งหวีผม ล้างหน้า แต่งตัวเสร็จ ยังไม่ทันกินอาหารเช้า

เซี่ยสวินไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงฉากที่เจียงซูเหย่าต้องเฝ้าห้องหอคนเดียวและแอบร่ำไห้เงียบๆ เมื่อเขาไม่กลับห้องหอเมื่อวาน คำตำหนิในใจพลันสลาย

“สายแล้ว สมควรไปยกน้ำชาคารวะผู้ใหญ่ได้แล้ว” จู่ๆ เขาก็ส่งเสียง ทำหญิงรับใช้รอบกายเจียงซูเหย่าตกใจสะดุ้งโหยง แล้วค่อยๆ ยอบกายคารวะ

เจียงซูเหย่ารีบลุกขึ้นจากโต๊ะเครื่องประทินโฉม วิ่งไปข้างกายเซี่ยสวิน “ข้าแต่งตัวเสร็จแล้ว ไปกันเถิด ไปกันเถิด”

วันแต่งงานวันแรก นางอารมณ์ดีมาก

มีรูปโฉม มีเงิน(สินเดิม) ไม่ถูกกดดันให้แต่งงาน และการมีสามีเท่ากับมีเครื่องตกแต่ง ไม่ต่างกับที่คนในยุคปัจจุบันกล่าวไว้หรอกหรือ “ความสุขสามอย่างในชีวิตคือ เลื่อนขั้น ร่ำรวย สามีตาย” ช่างเป็นชีวิตที่ดีจริงๆ!

เมื่อเห็นท่าทางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนเสียกิริยาเช่นนี้ของนาง เซี่ยสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้

นางชอบเขามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ แค่เห็นเขาก็ยินดีปรีดาถึงเพียงนี้แล้ว

เซี่ยสวินตัวสูงขายาว ยามที่ในใจมีเรื่องครุ่นคิดจะก้าวเท้าเร็วมาก เจียงซูเหย่าจำต้องวิ่งเหยาะๆ ถึงจะตามทัน โชคดีที่วันนี้นางแต่งกายเรียบง่ายและสวมเครื่องประดับศีรษะน้อยชิ้น มิเช่นนั้นอีกประเดี๋ยวคงเหนื่อยจนเหงื่อซึม

ครั้นเดินได้สักพัก เซี่ยสวินเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าข้างกายยังมีอีกคนเดินตามมา

ทันใดนั้นเขาก็หยุดเดินแล้วหมุนตัวกลับมา เจียงซูเหย่าที่พยายามรีบไล่ตามให้ทันเขาเกือบชนเขาเข้า

เจียงซูเหย่ารีบหยุดกะทันหัน โดยอยู่ห่างจากเขาเพียงครึ่งก้าว

ปิ่นระย้าหินโมราแดงพันด้วยไหมเงินที่เสียบอยู่บนศีรษะของนางแกว่งไปมาอย่างแรง แสงตะวันส่องกระทบจี้บนปิ่นระย้า แล้วสะท้อนแสงเจิดจ้า ทำเซี่ยสวินอดหรี่ตาไม่ได้

ริมฝีปากแดงของคนตรงหน้าอ้าเล็กน้อยเพื่อหอบหายใจ แก้มแดงเรื่อจากการวิ่งเมื่อครู่ มีเหงื่อเม็ดเล็กเกาะที่ปลายจมูก ท่ามกลางความงามหยาดเยิ้มเจือด้วยความน่ารัก ไร้เดียงสา นัยน์ตาทั้งสองข้างแวววาว ทั้งกระจ่างใสและสว่างไสว กำลังเบิกกว้างมองเขาด้วยความแปลกใจ

เซี่ยสวินรู้สึกว่าตนถูกแสงตะวันที่สาดส่องเครื่องประดับของนางทำให้แสบตา จึงเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว

เจียงซูเหย่าในความทรงจำของเขา ยกเว้นใบหน้าขาวยามเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นและดวงหน้าลายพร้อยยามนางตกน้ำวันนั้น ที่แท้เมื่อลบการแต่งหน้าหนาเตอะออกแล้ว นางก็มีหน้าตาเยี่ยงนี้

เขาถอยหลังสองสามก้าว เอามือไพล่หลัง ไม่มองเจียงซูเหย่าอีก แต่มองตรงไปด้านหน้า “หลังจากนี้เจ้าก็แต่งกายเช่นนี้เถิด มารดาไม่ชอบสตรีที่แต่งหน้าจัด”

เจียงซูเหย่าเดิมตั้งใจเช่นนี้อยู่แล้ว นางขานรับ “อืม เข้าใจแล้ว”

เซี่ยสวินแปลกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่านางจะเชื่อฟังเช่นนี้ แตกต่างจากวันนั้นที่ร่ำไห้โวยวายราวกับเป็นคนละคน

เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย ภริยาที่สามารถจับจูงมือเขาไปชั่วชีวิตสมควรเป็นคนที่มีใจตรงกันกับเขา ไม่ใช่เจียงซูเหย่าที่ใช้ความตายมาข่มขู่เพื่อให้ได้แต่งให้เขา งานสมรสเช่นนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีจุดจบที่ดี

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ชะลอฝีเท้าเพื่อให้เข้ากับจังหวะก้าวของเจียงซูเหย่าโดยไม่รู้ตัว

ยามที่คนทั้งสองมาถึงเรือนหลัก ก็มีคนอยู่เต็มห้องโถงแล้ว

 

[1] นายน้อยสามสกุลเซี่ย

[3] บัณฑิตจิ้นชื่อที่สอบเข้ารับราชการหน้าพระที่นั่งได้ลำดับที่หนึ่งถึงสาม ได้แก่ จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา ตามลำดับ

[4] หมายถึง คนที่ไม่มีความสามารถ อ่อนหัด

[6] หมายถึง สตรีที่มีวาสนาดี มีครอบครัวพรั่งพร้อม บิดามารดามีสุขภาพแข็งแรง มีบุตรธิดา สามีภรรยารักใคร่ พี่น้องปรองดอง ตามประเพณีการแต่งงานแบบดั้งเดิมมักให้สตรีผู้มีวาสนาบริบูรณ์เตรียมเรื่องต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว

[7] เลขแปดในภาษาจีนมีขีดสองเส้น “八”

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า