《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน
เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
เจียงซูเหย่าผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
กลับกลายเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารแปลกๆ หลากหลายรายการ
ด้วยเหตุนี้เซี่ยสวินสามีแต่เพียงในนามจึงชื่นชอบ
และหวงแหนนางยิ่งยวด
ขอเพียงได้กินอาหารฝีมือภริยา เท่านี้เขาก็พึ่งใจแล้วจริงๆ
ส่วนสหายร่วมงานผู้ตะกละตะกลามเหล่านั้นน่ะหรือ…
อย่าหวังว่าจะได้มากินอาหารฝีมือภริยาที่เรือนของเขาอีก
แค่เขาแบ่งปันให้บ้างเป็นครั้งคราว
เท่านี้ก็นับว่าเขาใจกว้างอักโขแล้ว!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
42
หลังจากที่กลับมาจากเรือนของสวีซื่อ เจียงซูเหย่าก็กลับมาเอนกายอยู่บนเก้าอี้ในลานบ้านของตัวเองอย่างเบื่อหน่าย
สูตรอาหารที่เจียงซูเหย่าคิดออกทั้งหมดได้ถูกส่งไปให้หลินซื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนางก็ส่งจดหมายมาแจ้งว่าร้านอาหารจะเปิดในอีกไม่กี่วัน น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ความใฝ่ฝันของเจียงซูเหย่าที่คิดอยากจะมีประสบการณ์ในการเป็นเถ้าแก่ใหญ่ที่ได้ตรวจสอบการเปิดกิจการสักครั้ง สุดท้ายกลับเป็นสิ่งที่ยากจะเป็นจริงได้
นางไม่ชอบอ่านหนังสือและฝึกคัดตัวอักษร งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของนางคือการทำอาหาร หลังจากพักผ่อนบนเก้าอี้โยกสักครู่ ได้ลุกขึ้นเข้าไปในห้องครัวเล็ก
เมื่อตอนเที่ยงกินของร้อนที่มีรสเค็มไป ยามนี้รู้สึกตะกละ อยากจะกินของหวานเย็นๆอยู่บ้าง
เครื่องโม่แป้งขนาดเล็กที่ประณีตละเอียดอ่อนถูกย้ายไปที่ครัวเล็กเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับโถและไหน้ำปรุงรสที่วางเรียงอยู่ข้างผนัง เรือนทิงจู๋ที่มีรสนิยมและเงียบเชียบพลันดูติดดินขึ้นมาในฉับพลัน หากไม่รู้คงเข้าใจว่าเป็นลานบ้านของครอบครัวชาวนาที่ไหนสักแห่ง
เจียงซูเหย่าหยิบข้าวเจ้ามาโม่แป้ง เหล่าสาวใช้ย่อมจะไม่กล้ามองอยู่เฉยๆ จึงรีบเข้าไปช่วยด้วย
ดังนั้นเมื่อเซี่ยสวินกลับมาแล้วก็ได้เหล่าสาวใช้ผลักเครื่องโม่แป้งไปรอบๆ เจียงซูเหย่าโยนข้าวเจ้าลงในเครื่องโม่แป้งโดยสีหน้าไร้อารมณ์
เขาเดินเข้าไป เหล่าสาวใช้ส่งเสียงและแสดงการคารวะ เจียงซูเหย่าที่กำลังเหม่อลอยอยู่ก็ตกใจสะดุ้งโหยง แล้วจ้องมองเขา
เซี่ยสวินลูบจมูกอย่างขัดเขิน แล้วถามว่า “กำลังทำอะไรอยู่”
“โม่แป้ง”
เป็นสิ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน เซี่ยสวินพยักหน้า เอามือไพล่หลัง เรือนร่างสูงโปร่งดุจต้นสน …มองดูสาวใช้ที่โม่แป้ง
เจียงซูเหย่าราวกับมองเห็นเงาของพวกคุณลุงที่ชอบดูผู้คนเดินหมากในสวนสาธารณะได้จากบนร่างเขา
ในจวนเซี่ยกั๋วกงไม่มีบ่าวไพร่คนใดที่ไม่กลัวนายท่านสามที่มีใบหน้าเย็นชาโอหังถือดีผู้นี้ เหล่าสาวใช้ที่ถูกสายตาของเขาจับจ้องก็มือไม้อ่อน แข้งขาอ่อนยวบ และมีเม็ดเหงื่อไหลออกมาจากขมับ
พวกนางยิ่งผลักก็ยิ่งประหม่ามากขึ้น เมื่อแขนสั่นสะท้านจนไม่มีแรง เซี่ยสวินพลันโพล่งขึ้นมาว่า “ผลักไม่ไปแล้ว?”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ สาวใช้แทบจะตกใจจนปล่อยโฮออกมา ยังไม่ทันได้คุกเข่าเพื่อขอรับโทษ ก็ได้ยินเซี่ยสวิน
กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกที่ราบเรียบไร้คลื่นว่า “อย่างนั้นข้าเอง”
สิ้นเสียงพูด ก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น แย่งงานของสาวใช้ไปทำ
ครั้นแล้วเรือนทิงจู๋จึงได้ปรากฏฉากนี้ขึ้นมา …เซี่ยสวินนายท่านสามของจวนเซี่ยกั๋วกงได้ผลักเครื่องโม่แป้งด้วยใบหน้าเยียบเย็น และฮูหยินสามโยนข้าวเจ้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ป๋ายจื่อมองอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ามีความรู้สึกอย่างไรอยู่พักหนึ่ง
ในเมืองหลวงที่ใหญ่โตนี้ สามารถหาคนสูงศักดิ์ที่มีงานอดิเรกที่แปลกๆมีไม่มากนัก คนทั้งสองกลับเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด
หลังจากที่โม่แป้งเสร็จแล้ว เจียงซูเหย่าได้เทแป้งลงในโถกระเบื้อง เซี่ยสวินก็เดินตามนางเข้าไปในห้องครัวเล็กด้วย
อากาศค่อยๆร้อนขึ้นแล้ว เจียงซูเหย่าได้เปลี่ยนหน้าต่างของห้องครัวเล็กทั้งหมดเป็นหน้าต่างที่ติดมุ้งลวด จะถูกเปิดกว้างในตอนกลางวัน โดยจะหันไปทางไม้เลื้อยสีเขียวที่สวยและสงบเงียบนอกหน้าต่าง เพื่อที่จะได้ไม่หงุดหงิดและร้อนอบอ้าว
เมื่อทำอาหาร
นำหม้อตั้งด้วยไฟอ่อน นำข้าวเจ้าที่ถูกบดละเอียดและแป้งข้าวเหนียวมาผสมกับน้ำ แล้วกวนให้เข้ากัน ในขณะที่คนน้ำอุ่นในหม้อด้วยช้อนขนาดใหญ่ ก็ให้ค่อยๆเทส่วนผสมลงไป
ในการเคี่ยวเหลียงเกา[1]ไม่สามารถหยุดมือได้ ต้องกวนไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ในหม้อเกาะติดกัน เมื่อน้ำสีขาวในหม้อค่อยๆ แข็งตัว ถึงจะสามารถปิดไฟได้
เทของเหลวข้นสีขาวลงในชาม พักไว้ ปล่อยให้เย็นอยู่ข้างๆ จากนั้นเคี่ยวน้ำตาลทรายแดงด้วยไฟอ่อน ๆ หลังจากต้มน้ำตาลทรายแดงจนเย็นแล้ว เหลียงเกาก็จะแข็งตัวอย่างสมบูรณ์
พลิกเหลียงเกาให้คว่ำในชามขนาดเล็ก ตักน้ำตาลทรายแดงที่เคี่ยวแล้วสองสามช้อนลงบนเหลียงเกา โรยหน้าด้วยงาขาว เหลียงเกาน้ำตาลทรายแดงก็ถือว่าทำเสร็จแล้ว
เหลียงเกาน้ำตาลทรายแดงเป็นของที่เหมาะกับหน้าร้อนมาก สีของเหลียงเกาคล้ายหยกขาว นวลเนียน มันวาว น้ำตาลทรายแดงออกสีน้ำตาลเล็กน้อย ขับเน้นให้เหลียงเกายิ่งดูขาวมากขึ้น
เจียงซูเหย่ากับเซี่ยสวินมีคนละชาม ได้นั่งลิ้มรสอยู่ในลานบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่
หลังจากที่เหลียงเกาเย็นสนิทแล้ว ด้านในยังเผยให้เห็นความเย็นที่นุ่มนวล รสชาติจะนุ่มละมุน คล้ายวุ้นแช่เย็นนิดๆ เมื่อเคี้ยวจะมีความเหนียวหนึบกว่าวุ้นแช่เย็น
มีความหนึบหนับแต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ น้ำจากน้ำตาลทรายแดงมีรสหวานเข้มข้น และมีความขม ไหม้เล็กน้อย
เหลียงเกาที่เด้งดึ๋งและอ่อนนุ่มสั่นไหวไปมาอยู่ในปาก ให้ความรู้สึกหวานฉ่ำ เย็นและสดชื่น
เซี่ยสวินมองดูนางกินไปแค่ครึ่งชามแล้วก็ไม่กินอีก เอ่ยถามว่า “ทำไว้เยอะขนาดนี้ กินแค่ครึ่งชามเองหรือ”
“ครึ่งชามก็อิ่มแล้ว” เจียงซูเหย่าเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงร้องเรียกให้ป๋ายจื่อมาหา “เอาไปให้ที่บ้านใหญ่สองสามชาม”
ป๋ายจื่อรับคำ แล้วยื่นจดหมายมาให้ “ฮูหยิน นี่เป็นจดหมายที่คุณหนูสกุลเก่อส่งมาเจ้าค่ะ”
เจียงซูเหย่ารับมา เปิดจดหมายและอ่านอย่างช้าๆ
คำขึ้นต้นจดหมายย่อมเป็นการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามมารยาท เก่อชิงซูดูเหมือนจะเข้าใจว่าเจียงซูเหย่าไม่ใช่คนมีความรู้ความสามารถอะไร จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง และเข้าประเด็นหลักหลังจากพูดคุยเล่นไม่กี่ประโยค …ครั้งก่อนเจ้าเคยบอกว่าตระกูลหลินจะเปิดร้านอาหาร แล้วเมื่อไรจะเปิดกิจการ และไก้เลือกสถานที่แล้วหรือยัง
เซี่ยสวินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อได้ยินชื่อของเก่อชิงซู หลังจากที่กินเหลียงเกาช้อนสุดท้ายหมดแล้ว ได้วางช้อนลง พึมพำว่า “นางเขียนจดหมายมาหาเจ้าจริงๆสินะ”
“ถูกต้อง” เจียงซูเหย่าอ่านจดหมาย โดยไม่มีเวลาไปสนใจเขา
“เขียนว่าอย่างไร”
“พูดคุยเล่นเรื่อยเปื่อย”
“พูดคุยเล่น พูดคุยเรื่องอะไร” เมื่อนึกถึงเรื่องที่เก่อชิงซูพุ่งเป้ามาที่เขาเมื่อครั้งก่อน เขาพลันตื่นตัวขึ้นมาทันควัน
เจียงซูเหย่าอ่านจดหมายจบแล้ว ก็พับจดหมาย ขมวดคิ้วมองเซี่ยสวิน “ไฉนท่านดูแปลกๆ” เขาไม่เหมือนกับคนที่ชอบซุบซิบนินทา
เซี่ยสวินกระแอมไออย่างไม่สบายใจ
“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด นางถามว่าข้าจะเปิดร้านอาหารเมื่อไร”
เซี่ยสวินพยักหน้า “ร้านอาหารเปิดที่ท่าเรือ ไม่ได้ขายให้กับชนชั้นสูง ถึงนางอยากจะอุดหนุน เกรงว่าจะไม่มีโอกาส”
“ใช่ อย่างไรก็ตามนับว่ามีน้ำใจแล้ว” เจียงซูเหย่ากล่าว ก่อนจะเรียกสาวใช้ให้ไปเอาพู่กัน แท่งหมึก กระดาษ ที่ฝนหมึกมา
เซี่ยสวินไม่เข้าใจเก่อชิงซูอย่างถ่องแท้ และไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนางที่ทำเป็นเข้าหาเจียงซูเหย่าแบบนี้ ถึงอย่างไรคนทั้งสองมีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูไม่เหมือนจะสามารถคบหาเป็นสหายกันได้
ขณะที่เขาคิดเพ้อเจ้ออยู่นั้น เจียงซูเหย่าทอดถอนใจหลังจากที่เขียนจดหมายตอบกลับไปเสร็จแล้ว
“เป็นอะไรไป”
เจียงซูเหย่าเอามือเท้าคาง บ่นว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่คิดว่าคุณหนูเก่อไม่สามารถไปร่วมได้ ข้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือครั้งแรกในชีวิตกับการมีส่วนร่วมในการเปิดร้าน ข้ากลับไม่สามารถไปดูด้วยได้”
เซี่ยสวินรู้สึกงุนงง “เหตุใดจะไม่ได้”
เจียงซูเหย่ากะพริบตา “อะ ข้าสามารถไปได้หรือ”
“เจ้าอยากไป สามารถไปได้แน่นอน” เซี่ยสวินนับวันดู “วันที่เปิดร้านอาหาร ข้าได้หยุดพักพอดี ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่”
“จริงหรือ” เจียงซูเหย่าเบิกตากว้าง แล้วโน้มตัวไปด้านหน้าอย่างตื่นเต้น
“ไม่โกหกแน่นอน” เซี่ยสวินเห็นนางตื่นเต้นแบบนี้ พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซียงหยางป๋อฮูหยินถึงได้ชอบตามใจบุตรสาวคนนี้นัก เมื่อเห็นนางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ตัวเองก็รู้สึกเบิกบานใจไปด้วย แทบอยากจะเอาใจนางให้ดีอกดีใจเช่นนี้ตลอดไป
“แต่ว่า…” เจียงซูเหย่ากล่าวอย่างลังเลว่า “เช่นนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินสามของจวนเซี่ยกั๋วกง จะต้องประพฤติตัวให้เรียบร้อยเหมาะสม” ในที่สุดนางเริ่มจะปรับตัวให้เข้ากับความคิดของคนสมัยโบราณ และพินิจพิจารณาการกระทำของตัวเอง
เค้าลางนี้เพิ่งปรากฎอออกมา ยังไม่ทันได้เป็นรูปเป็นร่างก็ถูกเซี่ยสวินกดลงไปก่อน
“มีอะไรไม่ดี เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้ายังไม่ถือสา คนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาปากมาก” เซี่ยสวินยื่นมือออกไป ให้สาวใช้ตัก
เหลียงเกาให้เขาอีกชาม
ความซึมเศร้าในใจของเจียงซูเหย่าได้สลายหายไป ถอนหายใจกล่าวว่า “เซี่ยป๋อยวน ท่านเป็นคนดีจริงๆ”
คำชมนี้ฟังดูแปลกพิกล เซี่ยสวินส่งเสียง “อือ”คำหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้หวังว่าจะได้รับคำชมประโยคนี้ แต่เขายังเม้มปากดีใจอยู่ครู่หนึ่ง
เข้าเวรในวันรุ่งขึ้น ลิ่นเฉิงกำลังวางแผนว่าจะนัดเหล่าสหายออกไปแข่งม้านอกเมืองในวันหยุด เมื่อถามเซี่ยสวิน เขากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ป๋อยวน เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว” ลิ่นเฉิงรำพึงรำพันว่า “หลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ออกเวรแล้วก็วิ่งเร็วที่สุด วันหยุดก็ไม่ออกไปเที่ยว พวกเราห่างเหินต่อกันแล้ว”
เซี่ยสวินกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “อย่าได้ก่อกวน”
ลิ่นเฉิงโอดครวญ และกล่าวว่า “ข้ารู้สึกช่วงนี้พวกเรายิ่งห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆ วันหยุดมิสู้ไปรวมตัวกันที่บ้านของ
เจ้า เจ้าเห็นว่าดีหรือไม่”
บรรดาสหายที่มองอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆต่างมองหน้ากันไปมา ความคิดหนึ่งที่เรียกว่า “ขอกินฟรี” เกิดขึ้นพร้อมกัน
ในชั่วพริบตา แล้วส่งเสียงคล้อยตามกันว่า “เห็นด้วย เห็นด้วย”
“ข้ารู้สึกว่าข้อเสนอแนะของเหวินเหราดีมาก”
“ใช่ ใช่”
เซี่ยสวินกวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง คนเหล่านี้เมื่อก่อนหวาดกลัวความน่าเกรงขามของพี่ใหญ่ ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนบ้านเขาในฐานะแขก
เขากล่าวว่า “คราวหน้าเถอะ วันหยุดข้ามีธุระ”
ทุกคนถอนหายใจเบาๆ แล้วแยกย้ายกันไปด้วยความเสียใจ
เมื่อเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ หัวใจของเซี่ยสวินก็บีบรัดเล็กน้อย
ดูเหมือนคำพูดของเหวินเหราจะเป็นความจริง เขาดูห่างเหินกับสหายแล้ว
พวกเขาอยากจะไปมาหาสู่กับตนมากๆ แต่ตนกลับบอกปฏิเสธ พวกเขารู้สึกผิดหวัง ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล จากนี้ไปจะต้องระวังให้มาก
ลิ่นเฉิงเดินเข้าไปใกล้เซี่ยสวิน ถามเสียงเบาว่า “เจ้ามีธุระอะไร”
เซี่ยสวินตอบว่า “ข้าต้องไปดูการเปิดร้านอาหารเป็นเพื่อนฮูหยิน”
ลิ่นเฉิงสูดลมหายใจพักหนึ่ง แล้วโพล่งถามออกไปเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่า “ที่ไหน”
“ที่ท่าเรือของตระกูลหลิน”
ลิ่นเฉิงพยักหน้า เอามือไพล่หลังเดินวางท่าจากไปด้วยสีหน้าลำพองเล็กน้อย
เขาเข้าใจว่ามีเขาคนเดียวที่ได้ยินเรื่องดี โดยหารู้ไม่ว่าเพื่อนร่วมงานทั้งหลายที่ก้มหน้าทำงานอยู่นั้นได้เงี่ยหูฟังและกระซิบกระซาบกันว่า “ท่าเรือของตระกูลหลินคือท่าเรือฝั่งตะวันตกของชานเมืองหลวงใช่หรือไม่”
“คงไม่ต้องขนาดนั้นกระมัง หรือว่าเจ้าจะไปซื้ออาหารที่ท่าเรือ”
“เหอเหอๆ วันหยุดข้าไปขี่ม้าที่ชานเมือง แล้วแวะผ่านไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“ข้ากลับรู้สึกว่าไม่จำเป็น อาหารของป๋อยวนถูกจัดเตรียมเป็นพิเศษโดยฮูหยินของเขาทุกวัน รสชาติจะไปเหมือนกับที่ขายให้กับชายหยาบกระด้างกลุ่มนั้นที่ทำงานอยู่ที่ท่าเรือได้หรือ”
“ก็จริง”
ทุกคนหารือกัน บอกว่าการไปกินที่ท่าเรือเป็นการลดตัวมากเกินไป ตัวเองไม่มีทางไปอย่างแน่นอน!
ไม่นานจากนั้น ได้ทยอยไปหาลิ่นเฉิงทีละคน ล้วนแต่บอกว่ามีธุระกะทันหัน วันหยุดไม่สามารถไปขี่ม้าด้วยกันได้แล้ว
นี่ตรงกับความต้องการของลิ่นเฉิงพอดี ใบหน้าแสร้งทำเป็นเสียใจ แต่ในใจกลับลอบยินดี ในหัวสมองของเขาเต็มไปด้วยน้ำแกงวุ้นเส้นเลือดเป็ดที่ได้กินที่บ้านของเซี่ยสวินเมื่อครั้งก่อน ไม่รู้ว่าจะมีขายในร้านอาหารหรือไม่ ตั้งตารอคอยเป็นอย่างยิ่ง
วันหยุดในวันนั้นอากาศดีมาก แสงอาทิตย์เจิดจ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
ลิ่นเฉิงผู้บอกเป็นดิบดีว่าจะไปขี่ม้าที่ชานเมืองคนเดียว กลับไปปรากฏตัวที่ท่าเรือของชานเมืองโดยสวมชุดฝ้ายอย่างตรงต่อเวลา
เขากลัวว่าจะบังเอิญเจอกับเซี่ยสวินที่จะมาที่นี่ ฉะนั้นจึงได้จงใจปลอมตัว เวลานี้ได้ปะปนกับฝูงชน ราวกับเป็นบัณฑิตหน้าขาวที่หน้าตาดีคนหนึ่ง
“ได้ยินหญิงที่ขายขนมเปี๊ยะบอกว่าจะมีร้านอาหารมาเปิดวันนี้กระมัง”
“ใช่ ตั้งแต่ท่านยายที่ขายเนื้อตุ๋นเก็บแผงไป ข้าก็ไม่ได้กินเนื้อตุ๋นมาหลายวันแล้ว คิดถึงรสชาตินั้นยิ่ง ไม่รู้ว่า
ร้านอาหารที่เปิดใหม่จะมีรสชาติเป็นเช่นใด”
“ในเมื่อพวกเขาไปทำงานที่ร้านอาหาร คิดว่ารสชาติคงไม่ได้ด้อยกว่าเมื่อก่อน”
ลิ่นเฉิงเดินตามหลังของชายที่ทำงานใช้แรงงานสองคน และเข้าไปรวมกับฝูงชนเพื่อไปยังถนนสายเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากท่าเรือ
เซียงหยางป๋อฮูหยินลงมือเอง แม้จะเป็นสถานที่ทดลอง แต่มีหน้ามีตาอยู่ไม่น้อย
ถนนสายหนึ่งถูกยึดครองโดยหน้าร้านสี่แห่ง ซึ่งทะลุหากัน ด้านหน้าร้านเต็มไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้ และม้านั่ง แล้วมีธงที่แขวนไว้หน้าร้านเขียนว่า “หลิน”ผืนหนึ่งกำลังปลิวไสวไปตามลม
เมื่อลิ่นเฉิงเดินเข้าไปใกล้ แล้วมีกลิ่นหอมโชยเข้ามาในจมูก
ร้านสุราของตระกูลหลินแตกต่างจากร้านสุราอื่นตรงที่ให้ความสำคัญกับคำว่า “เร็ว” ในการส่งอาหารให้กับลูกค้าซึ่งคล้ายกับแผงขายอาหาร โดยจะตั้งหม้อและโต๊ะไว้หน้าร้าน ทำไปด้วยขายไปด้วย
มีเสียงตะโกนบอกราคาของเสี่ยวเอ้อร์ดังอยู่ที่หน้าประตู พร้อมกับแจ้งชื่อรายกายอาหารอย่างคล่องแคล่ว และตะโกนเรียกลูกค้าให้เข้ามานั่ง
ลูกจ้างของตระกูลหลินไม่ว่าจะทำอะไรล้วนแต่เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่นานนัก พวกผู้ชายที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายก็นั่งลงสั่งอาหาร เมื่อลิ่นเฉิงมาถึง ได้ถูกเสี่ยวเอ้อร์กล่าวแนะนำยาวเหยียดเป็นชุด จนมึนงงไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี
เสี่ยวเอ้อร์ยกมือขึ้นชี้ “ท่านคิดว่าบะหมี่ราดหน้าชามนี้เป็นอย่างไร” ดูท่าท่านนี้ไม่เหมือนจะสามารถกินได้ จึงไม่ได้แนะนำข้าวราดหน้าหรือโหมวยัดไส้กับน้ำแกงอีก
ลิ่นเฉิงพยักหน้า แล้วตามเสี่ยวเอ้อร์ไปที่หน้าแผงขายบะหมี่ราดหน้า
คนทำบะหมี่คือเถ้าแก่เนี้ยที่เคยขายบะหมี่อยู่ร้านอาหารใกล้เคียง ทันทีที่เห็นใบหน้าของลิ่นเฉิง น้ำเสียงพลันดีขึ้นไม่น้อย ถามอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านจะราดหน้าด้วยอะไร”
ลิ่นเฉิงเลือกมาหนึ่งอย่างอย่างตามใจ เถ้าแก่เนี้ยรับคำ หลังจากรับชามบะหมี่มาจากลูกจ้างที่อยู่ด้านหลังแล้ว ก็ได้ตักน้ำราดหน้าที่ร้อนกรุ่นลงบนบะหมี่สีขาวช้อนใหญ่ช้อนหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้กับลิ่นเฉิง
ชามบะหมี่ยังร้อนอยู่ ลิ่นเฉิงรับมาอย่างระมัดระวัง
ในเวลานี้มีคนไม่มากนัก ลิ่นเฉิงมองหาโต๊ะว่าง เมื่อได้กลิ่นหอมของบะหมี่ราดหน้า แทบจะขยับตะเกียบอย่างทนรอไม่ไหว
สีของบะหมี่ราดหน้าเป็นสีน้ำตาลแดง สว่างสดใส ชุ่มชื้น บะหมี่สีขาวน้ำข้น ผิวไข่สีเหลือง เห็ดหูหนูเห็ดหอมสีดำ หูหลัวปัวสีแดง เต้าหู้อ่อนนุ่มสีขาว คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน มีหลากหลายสีสัน
ใช้ตะเกียบคนให้เข้ากัน น้ำราดที่เข้มข้นยังคงข้นเหนียว เกาะอยู่ที่เส้นบะหมี่อย่างแน่นหนา
เมื่อเอาเข้าปากถึงได้เข้าใจความยอดเยี่ยมของน้ำราดที่ข้นเหนียว น้ำราดมีความสดอร่อย หอมกรุ่น เหมาะกับความเค็มของบะหมี่ ซึ่งมีความสด ความหอม ความเข้มข้น และความกลมกล่อม แต่ไม่เลี่ยน
น้ำราดหน้าจะให้ความสำคัญกับน้ำแกงชั้นดี น้ำแกงไก่ที่เคี่ยว กับเห็ดโข่วหมัวอย่างช้าๆ [2] มันสดใหม่จนคนแทบจะกลืนลิ้นลงไปด้วย
ไข่ไก่ที่กระจัดกระจายอยู่ในน้ำราด มีความบาง อ่อนนุ่มและเหนียว ไข่ไก่มีความหอมเข้มข้น น้ำราดสีน้ำตาลแดง
มีความสะดุดตาเป็นพิเศษ เนื่องจากไข่ไก่บางๆทำให้มีรสชาติ เคี้ยวแล้ว ความเค็มของน้ำราดหน้าได้เอ่อล้นออกมาจากไข่ไก่ เมื่อเข้าคู่กับเส้นบะหมี่ที่ยืดหยุ่น เหนียวหนึบ ชุ่มคอ ซึ่งยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อย
ไม่รู้ว่านวดเส้นบะหมี่นี้อย่างไร เห็นอยู่ว่าไม่มีน้ำแกง แต่กลับไม่เหนียวเหนอะ มีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น ลื่น แต่ละเส้นแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
เมื่อบะหมี่ชนิดนี้วางอยู่ตรงหน้า มันยากมากที่จะมีคนที่สามารถกินอาหารได้อย่างสง่างาม ตอนเริ่มแรกลิ่นเฉิงยังควบคุมได้ สุดท้ายก็เอาตะเกียบคีบเส้นเข้าปากคำใหญ่พร้อมกับเสียงดัง “ซูดซาด”
น้ำราดที่ข้นเหนียวกับบะหมี่ที่อยู่ในปาก ทั้งร้อนทั้งสดใหม่ ในน้ำราดได้โรยพริกไทยขาวเล็กน้อย ความร้อนได้กระตุ้นความชาของพริกไทย ในความเผ็ดมีความสด ในความสดมีความกลมกล่อม เมื่อเหยาะน้ำส้มสายชูดำไปสองสามหยด ก็กินคำแล้วคำเล่า กินจนน้ำราดหน้าเลอะที่มุมปาก ไม่สามารถหยุดกินได้
ลิ่นเฉิงกินอย่างมีความสุข โดยไม่สังเกตเห็นว่ามีคนนั่งลงตรงข้ามคนหนึ่ง
คนที่นั่งตรงข้ามผู้นั้นกินไปด้วยพูดกับตัวเองไปด้วยว่า “น้ำที่ราดลงบนบะหมี่นี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เห็ดหอมเห็ดโข่วหมัวมีความสดและความหอม ไข่ไก่มีความกลมกล่อม หน่อไม้มีความสด เห็ดหูหนูมีความหอมสดชื่น แล้วมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของเนื้อในน้ำแกงเนื้อ เห็นอยู่ว่าเป็นวัตถุดิบธรรมดา ทว่ากลับสามารถปรุงออกมาให้มีรสชาติที่ไม่ธรรมดาได้ ดูเหมือนว่าภูมิปัญญาของชางบ้านไม่มีที่สิ้นสุด”
เสียงนี้ น้ำเสียงนี้ การพูดเป็นน้ำไหลไฟดับที่คุ้นเคยนี้…
ลิ่นเฉิงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหลี่ฟู่เพื่อนร่วมงานที่บอกว่าจะไปร้านหนังสือเพื่อจะแย่งชิงหนังสือที่เหลืออยู่แค่เล่มเดียวได้นั่งตรงข้ามเขา ซึ่งกำลังตั้งอกตั้งใจลิ้มรสบะหมี่ราดหน้าอยู่
สายตาของเขากวาดมองร่างของหลี่ฟู่ทีหนึ่ง ชุดผ้าฝ้ายสีเข้ม แล้วมองชุดที่ตัวเองสวมใส่อีกครั้ง นี่จะเหมือนกันเกินไปแล้วกระมัง
คนที่นั่งตรงข้ามยังคงกินบะหมี่เสียงดังซูดซาดพร้อมกับรำพึงรำพัน ลิ่นเฉิงทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเคาะโต๊ะ
หลี่ฟู่เงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง จากนั้นก็แข็งค้าง
คนทั้งสองประสานสายตากัน ผ่านไปครู่ใหญ่ก็พ่นออกมาสี่คำ “บังเอิญจริงๆ”
พวกเขาแสร้งทำเป็นหัวเราะ จากนั้นก็ก้มลงกินบะหมี่พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ในที่สุดหลี่ฟู่ก็หยุดส่งเสียงเสียที
กินไปได้ไม่กี่คำ มีคนมาอยู่ข้างๆคนหนึ่ง แล้วกินบะหมี่เสียงดังซูดซาด ลิ่นเฉิงเดิมไม่ได้สนใจ แต่พอหางตาเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมสีเข้มที่คุ้นเคย ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆอย่างอธิบายไม่ได้
เขาหันไปมอง กลับไม่มีอะไรแตกต่างจากเสื้อผ้าบนร่างของตัวเองแม้แต่น้อย
คนที่สวมเสื้อผ้าชุดนี้ ไม่ใช่กวนอิ้งเพื่อนร่วมงามที่บอกว่าได้นัดสหายไปรวมตัวกันเพื่อแต่งบทกวี ทำให้ไม่สามารถแข่งขี่ม้าได้หรอกหรือ
ลิ่นเฉิงหยุดชะงัก หลี่ฟู่ที่อยู่ตรงข้ามรู้สึกว่าแปลกใจ จึงได้เงยหน้ามองคนที่อยู่ด้านข้างเช่นกัน
ความเงียบโรยตัวปกคลุมบนโต๊ะ กวนอิ้งก็หยุดชะงัก เมื่อเงยหน้าขึ้น คนทั้งสามได้จ้องมองกันและกัน
“…”
ท่ามกลางความเงียบ คนทั้งสามคิดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน เห็นอยู่ว่าพวกเขาได้กำชับพวกบ่าวไพร่แล้วว่า “หาเสื้อผ้าที่ไม่เตะตาที่พวกชาวบ้านสวมใส่กัน” เหตุใดยามนี้เสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างของคนทั้งสามถึงได้เหมือนกันเล่า? ! หรือว่าไม่เตะตาในสายตาของบ่าวไพร่ในจวนล้วนแต่เป็นรูปแบบนี้
[1]เหลียงเกา(凉糕) ของว่างขึ้นชื่อของมณฑลซื่อชวน ทำจากแป้งข้าวเหนียวที่นำไปต้ม ลักษณะนุ่มเหมือนขนมชั้น ราดด้วยน้ำตาลเคี่ยว
[2] เห็ดโข่วหมัว(口蘑) หรือ เห็ดเซนต์จอร์จ ขึ้นในฤดูวสันต์ ช่วงเดือน พ.ค. – มิ.ย. หมวกเห็ดจะสีขาวๆ นวลๆ ด้านๆ ขอบหมวกเห็ดจะงุ้มโค้งเข้าหา เนื้อเห็ดสีขาว และมีกลิ่นคล้ายแป้ง