《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน
เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
บล็อกเกอร์สาวด้านอาหารทะลุมิติมาเป็น เจียงซูเหย่า
ผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
นางวางแผนบีบบังคับให้ เซี่ยสวิน
บุรุษหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครรับนางเป็นภริยา
นางผู้ไม่เหมือนใคร เพราะมองโลกตามหลักความเป็นจริง
ไม่เคยปรารถนาความรักจากสามี
ช่วงเวลาที่ออกเรือนกลับกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่นางมีอิสรเสรีที่สุด
ขอเพียงได้ทำอาหารที่ชื่นชอบและกตัญญูต่อมารดา
เท่านี้นางก็พึงใจแล้วจริงๆ
สามีน่ะหรือ…
ที่แท้ก็หล่อเหลาสมดังคำเล่าลือ เขาเป็นดั่งหิมะบนยอดเขาที่ขาวโพลน
เป็นดั่งโสมที่ส่องแสงสุกสกาวท่ามกลางหมู่เมฆ
เป็นสิ่งที่คนธรรมดามิอาจจินตนาการถึง
บุรุษรูปงามระดับบนี้ไม่มีทางแตะต้องนาง
วันเวลาของนางหลังจากนี้ปลอดภัยแล้ว!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
5
เซี่ยสวินไม่เคยได้กลิ่น “อาหาร” ที่ฉุนเช่นนี้มาก่อน อดถามอย่างกังขาไม่ได้ว่า “นี่คือของกินหรือ”
“เจ้าค่ะ” เจียงซูเหย่าผงกศีรษะอย่างภูมิใจ
เซี่ยสวินขมวดคิ้ว รู้สึกต่อต้านอย่างยิ่ง ขณะที่เจียงซูเหย่าเบะปาก แล้วปิดฝาดัง “ตึง”
ทันใดนั้นภายในรถม้าก็เงียบกริบ
…
มารดาของเจียงซูเหย่าไม่ได้มีภูมิหลังสูงส่ง แต่เนื่องจากบรรพบุรุษปฏิรูประบบการค้าให้เข้ากับยุคสมัยของปฐมกษัตริย์ของแต่ละราชวงศ์ จนกลายเป็นคหบดีเรืองนาม มิหนำซ้ำยังมีราชวงศ์หนุนหลัง ทำให้ร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ
ตามคำบอกเล่าของหญิงรับใช้นามไป๋จื่อ เซียงหยางปั๋วฮูหยินไม่ค่อยอยากอาหารมาโดยตลอด ร่างกายจึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ หากเจียงซูเหย่าอยากมีชีวิตที่ดีในอีกครึ่งชีวิตที่เหลือ จะต้องมีบ้านเดิมคอยสนับสนุน เจียงซูเหย่าคิดจะกอดขาของเซียงหยางปั๋วฮูหยินไว้ให้แน่น ดังนั้นต้องเข้าหานางด้วยอาหารการกิน จึงรีบต้มน้ำมันจูอวี๋เอาไว้
ไม่ใช่ว่าเซียงหยางปั๋วฮูหยินมีปัญหาด้านสุขภาพ เพียงแต่ปีนั้นนางรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจเพราะแผนชั่วของเหล่าอนุภรรยาในเรือนหลังของเซียงหยางปั๋วยามกินอาหาร หลังควบคุมอาหารมาหลายปี นางจึงไม่ค่อยอยากอาหารนักมาโดยตลอด
ในฐานะบล็อกเกอร์[1]ด้านอาหารรสโอชาชื่อดังคนหนึ่ง เจียงซูเหย่าเคยเขียนและเผยแพร่อาหารโบราณหลายตอน ในบล็อก ทั้งยังได้แนะนำน้ำมันจูอวี๋ไว้โดยเฉพาะด้วย ก่อนที่จะมีการนำต้นพริกเข้ามาในจีน สือจูอวี๋[2]เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาหลักของเครื่องเทศรสเผ็ดของอาหารซื่อชวน[3]
ในตำรายาเปิ๋นเฉ่ากังมู่[4] บันทึกไว้ว่า สือจูอวี๋ “มีรสเผ็ดและขม ชาวบ้านจะเก็บในช่วงเดือนแปด โดยนำไปตำและกรองเอาน้ำ จากนั้นใส่ปูนขาวลงไปแล้วคนให้เข้ากัน เรียกว่าน้ำมันอ้าย[5] หรือพริกคั่วน้ำมัน”
หากกล่าวถึงอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารซื่อชวนถูกจัดให้อยู่ในลำดับต้นๆ อย่างแน่นอน เมื่อมีน้ำมันจูอวี๋ ขิง ฮวาเจียว[6] ก็จะสามารถปรุงอาหารซื่อชวนที่มีรสชาติเผ็ดร้อนได้แล้ว
รถม้าแล่นโคลงเคลงจนถึงจวนเซียงหยางปั๋ว เซี่ยสวินก้าวลงจากรถม้าก่อน
เซียงหยางปั๋วและภริยายืนรออยู่หน้าประตูแต่เช้าแล้ว เมื่อเห็นเซี่ยสวิน นัยน์ตาก็ทอประกาย นึกขึ้นได้ว่านี่คือบุตรเขยของตนเอง คนทั้งสองรู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดที่หยามเกียรติของเขา
เซี่ยสวินรู้สึกว่าแววตาของพ่อตาแม่ยายแปลกพิกล แต่ไม่คิดมาก เขาคำนับ จากนั้นประคองเจียงซูเหย่าลงจากรถม้า ทว่าเมื่อหันหน้าไปก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด
เห็นเจียงซูเหย่าลงจากรถอย่างงกๆ เงิ่นๆ รูปร่างที่ราวกับจะปลิวตามลมเหยียบม้านั่ง แล้ว “ลอย” ลงมาอย่างแผ่วเบา คิ้วแบนรูปเลขแปด นัยน์ตามีคลื่นน้ำเอ่อคลอ นางเดินเข้าไปคำนับ กล่าวเสียงเบาคล้ายยุงบินว่า “ท่านพ่อท่านแม่”
ดวงหน้าราบเรียบเสมอมาของเซี่ยสวินเผยความตกใจอย่างหาได้ยาก นี่แตกต่างจากเจียงซูเหย่าที่พูดคุยอย่างมีชีวิตชีวาและกอดไหแน่นไม่ยอมปล่อยมือบนรถม้าคล้ายเป็นคนละคน
เซียงหยางปั๋วฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ เดินเข้าไปจับมือนาง “เหยาเหย่า…”
เซียงหยางปั๋วเห็นนางประพฤติตัวเรียบร้อย ไม่ได้ทำให้จวนเซียงหยางปั๋วขายหน้า ก็ยิ้มกล่าวกับเซี่ยสวิน “บุตรสาวของข้าถูกตามใจจนนิสัยเสีย หวังว่าปั๋วยวนจะอภัยให้มากๆ” ปั๋วยวนเป็นชื่อรอง[7]ของเซี่ยสวิน
เซี่ยสวินกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนกลับมาเป็นคุณชายผู้ถ่อมตนดังเดิม เขารีบคล้อยตาม เดินตามหลังเซียงหยางปั๋วเข้าจวนครึ่งก้าว และพูดคุยกับเซียงหยางปั๋วอย่างถูกคอ
ก่อนที่เจียงซูเหย่าจะออกเรือนได้ใช้เวลาอยู่กับเซียงหยางปั๋วฮูหยินหลายวัน เห็นเพียงแวบเดียวก็ดูออกว่าเวลานี้นางสีหน้าไม่สู้ดี เจียงซูเหย่าถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”
เซียงหยางปั๋วฮูหยินออกแรงจับมือบุตรีเล็กน้อย สุดท้ายก็ทนไม่ไหว บ่นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่พวกที่อยู่เรือนหลังคิดจะออกมาต้อนรับพวกเจ้าหน้าจวนด้วย หลายปีมานี้เอะอะโวยวายอยู่ในจวนของพวกเราก็แล้วไปเถิด วันนี้เจ้ากลับมาเยี่ยมบ้านเดิม พวกนางยังคิดจะมาประสมโรงด้วย ช่างลืมไปแล้วว่าตนเองใช้ชื่อแซ่ตามผู้ใด คาดไม่ถึงว่าตาเฒ่าเลอะเลือนผู้นั้นยังเห็นดีเห็นงามด้วย หากไม่ใช่เพราะแม่ชี้แจงให้เขาฟังอย่างละเอียด เกรงว่าวันนี้พวกนางคงสมปรารถนาแล้ว”
นางลดเสียงลง ทว่าเพลิงโทสะได้ปะทุแล้ว เสียงยังคงดังเล็กน้อย เซียงหยางปั๋วไม่ได้ยิน ทว่าเซี่ยสวินหูดีกลับได้ยินอย่างชัดเจน
เจียงซูเหย่าเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ ไม่ต้องโมโหแล้ว โมโหจนเสียสุขภาพ ไม่คุ้มกันหรอกเจ้าค่ะ”
“วางใจเถิด แม่เพียงโกรธเล็กน้อยเท่านั้น พวกนางเองก็ไม่ได้ประโยชน์ใดเช่นกัน”
เซี่ยสวินได้ยินเรื่องที่ชวนให้กระอักกระอ่วนเหล่านี้ก็เร่งฝีเท้าเล็กน้อย คนในเรือนหลังของจวนเซียงหยางปั๋วเหลวไหลไร้สาระอย่างที่คนเล่าลือจริงๆ เซียงหยางปั๋วฮูหยินดูแตกต่างจากนายหญิงทั่วไปมาก
“อืม นั่นแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ร้ายกาจที่สุด” เจียงซูเหย่ารู้ว่าเซียงหยางปั๋วฮูหยินต่อกรกับเหล่าอนุภรรยาและหญิงรับใช้อุ่นเตียงในเรือนหลังจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ตราบใดที่คนในเรือนหลังของเซียงหยางปั๋วยังไม่ตายหมด เซียงหยางปั๋วฮูหยินก็จะรับมือกับพวกนางจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย ดูคล้ายว่านี่จะเป็นความสนุกที่ได้ต่อสู้มานานปีกระมัง
จวนเซียงหยางปั๋วมีสมาชิกในครอบครัวน้อย มีเพียงเซียงหยางปั๋วที่ต้อนรับบุตรเขยอยู่ที่เรือนหน้า เจียงซูเหย่ากับเซียงหยางปั๋วฮูหยินจูงมือกันไปที่เรือนด้านหลัง
เมื่อสาวเท้าเข้าเรือนด้านหลัง เซียงหยางปั๋วฮูหยินหน้าตาอิ่มเอิบ ยามนี้เจียงซูเหย่าออกเรือนกับเซี่ยสวินถือว่าเป็นรางวัลสำหรับนาง ตามปกติแล้วมักจะมีพวกยายปีศาจกระโดดออกมาสร้างความรำคาญให้นาง แต่วันนี้แต่ละคนกลับขลุกอยู่ในเรือน ไม่ออกมา
นางทอดถอนใจ “เหยาเหย่า ในที่สุดความขุ่นเคืองของแม่หลายปีมานี้ก็ได้ระบายออกมาสักที ไม่ว่าพวกนางจะหาช่องโอ้อวดอย่างไร ก็ไม่มีวันได้เงยหน้าอ้าปาก เหยียบหัวของเจ้า”
เข้าเรือนหลักและก้าวข้ามธรณีประตูแล้ว จู่ๆ เซียงหยางปั๋วฮูหยินก็ตัวส่ายโงนเงน เกือบยืนไม่มั่นคง
เจียงซูเหย่ารีบประคองมารดาให้นั่งเก้าอี้ “ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ”
พอเซียงหยางปั๋วฮูหยินรู้สึกดีขึ้นแล้ว ก็โบกมือกล่าวว่า “ไม่เป็นไร”
หมัวมัวด้านข้างก้าวขึ้นหน้าอธิบายว่า “หลายวันมานี้ฮูหยินไม่เจริญอาหาร นับแต่คุณหนูออกเรือนไปจนถึงยามนี้ กินแค่โจ๊กขาวสองสามชามเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เจียงซูเหย่ารู้ว่ามารดาไม่ค่อยอยากอาหาร แต่ไม่เคยคิดว่าจะรุนแรงถึงขั้นนี้
นางมองเซียงหยางปั๋วฮูหยินอย่างเป็นห่วง แววตานี้ทำเซียงหยางปั๋วฮูหยินรู้สึกอบอุ่นใจ นางลูบศีรษะของบุตรีอย่างอ่อนโยน “เหยาเหย่า ชั่วชีวิตนี้ของแม่ไม่ได้ยากลำบากอันใด บ้านเดิมร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ว่าจะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายมากเพียงใด ชาตินี้ก็ไม่วันใช้ทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษสั่งสมไว้หลายชั่วคนจนหมด แม่มักนอนไม่หลับและคิดฟุ้งซ่านว่าทรัพย์สินของครอบครัวที่มีมากถึงเพียงนี้จะมีวันถูกผลาญจนหมดหรือไม่ เรื่องพรรค์นี้ไม่มีทางเกิดขึ้น แม่มีความสามารถด้านการค้าอยู่บ้าง มีเงินทองที่เก็บสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ…”
เจียงซูเหย่า “…”
“เฮ้อ แม่มีเจ้าเป็นบุตรสาวที่ล้ำค่าเพียงคนเดียว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินทอง ส่วนด้านอำนาจและอิทธิพล ยังมีพี่สาวน้องสาวของแม่และญาติผู้น้องของเจ้าคอยหนุนหลัง เอาเถิด พ่อสารเลวของเจ้าผู้นั้นก็พอจะฝืนใจนับรวมด้วยได้ สิ่งที่แม่ห่วงที่สุดก็คือการสมรสของเจ้า เวลานี้เห็นเจ้าออกเรือนกับคู่ครองที่ดี แม่ก็วางใจแล้ว” น้ำเสียงของเซียงหยางปั๋วฮูหยินอ่อนโยนขึ้น “สุขภาพร่างกายของแม่แย่ลงเรื่อยๆ…”
เจียงซูเหย่ารู้สึกเศร้าสลด
ตอนนั้นเอง หญิงรับใช้รีบเดินเข้ามาพูดบางอย่างกับหมัวมัวที่อยู่ข้างๆ หมัวมัวก้าวขึ้นหน้าขัดจังหวะถ้อยคำของเซียงหยางปั๋วฮูหยิน นางกระซิบข้างหูหลายประโยค
ท่าทางอ่อนแอเมื่อครู่ของเซียงหยางปั๋วฮูหยินที่มี “สุขภาพร่างกายแย่ลงเรื่อยๆ” หายวับไป นางเงื้อฝ่ามือตบโต๊ะอย่างแรงจนจานรองถ้วยชา จานผลไม้ จานขนมที่วางอยู่บนโต๊ะปลิวแล้วตกพื้นดัง “เพล้ง”
“ดีจริงๆ เจ้าพวกไร้ยางอายกลุ่มนี้ยังกล้ายั่วโมโหข้า คอยดูเถิดว่าข้าจะถลกหนังพวกนางออกมาชั้นหนึ่งหรือไม่!” นางลุกขึ้นยืนทันควัน ตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว มองข้ามเจียงซูเหย่าที่นั่งยองตรงหน้านาง แล้วพาสาวใช้และหญิงรับใช้อาวุโสกลุ่มหนึ่งเดินออกไป
รอให้เจียงซูเหย่ามีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกนางก็หายตัวไปจากลานเรือนนานแล้ว
“คุณหนู” ไป๋จื่อเห็นเจียงซูเหย่านั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน ก็ส่งเสียงเรียกเบาๆ ทีหนึ่ง
เจียงซูเหย่าได้สติกลับคืนมา พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ไปกันเถิด ไปห้องครัวกัน”
ไป๋จื่อกะพริบตา “เอ๊ะ”
“ช่วงนี้ท่านแม่ไม่เจริญอาหาร สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงทำอาหารเรียกน้ำย่อยให้นางสองสามอย่าง ด้านอื่น…” นึกถึงท่าทางดุดันของเซียงหยางปั๋วฮูหยินเมื่อครู่ นางสอดมือเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้จริงๆ
ไป๋จื่อผงกศีรษะแล้วเดินตามเจ้านายไปที่ห้องครัวใหญ่ มีหญิงรับใช้วิ่งเอาน้ำมันจูอวี๋มาให้นานแล้ว
เจียงซูเหย่ากวาดตามองวัตถุดิบในห้องครัวอย่างรวดเร็ว ก่อนตัดสินใจว่าจะทำอาหารซื่อชวนสองอย่าง นางม้วนแขนเสื้อขึ้นและเริ่มทำอาหาร
ทุกคนที่อยู่รอบตัวนางอกสั่นขวัญแขวน ทำอันใดไม่ถูก
“ตกตะลึงอันใดกัน ทำงานสิ” เจียงซูเหย่ากล่าว
ภายในครัวกลับมาครึกครื้นตามปกติอีกครา เพียงแต่มีสายตานับไม่ถ้วนมองเจียงซูเหย่าเป็นครั้งคราว กลัวว่านางจะทำลายครัวโดยไม่ตั้งใจ
…
ฮ่องเต้ที่สถาปนาราชวงศ์นี้มีความสามารถอักโข สั่งให้สร้างระบบชลประทาน ปฏิรูปการค้า เปิดเส้นทางการขนส่งทางน้ำ ส่งเสริมการสอบเคอจวี่[8]…ทว่าบุรุษที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับไม่ให้ความสำคัญกับอาหารการกิน ก่อนสถาปนาแคว้น วิธีการปรุงอาหารยังหยุดอยู่ที่การต้มผัก หลังสถาปนาแคว้นแล้วก็เพียงแต่ประดิษฐ์กระทะเหล็กสำหรับผัดผัก พระองค์ชอบกินอาหารรสอ่อน ทำให้อาหารทุกวันนี้ส่วนมากจะมีแต่รสอ่อนและสดใหม่
เจียงซูเหย่ามิอาจเทียบฝีมือกับพ่อครัวใหญ่ได้ แต่ก็มีความรู้มากมาย แม้เปลี่ยนรูปแบบทุกวัน ก็ยังทำได้ไม่ซ้ำกันตลอดสามร้อยหกสิบห้าวัน
ทุกคนเห็นท่าทางของนางคล่องแคล่ว ไม่มีผู้ใดไม่ตื่นตะลึงและกังขา กระทั่งผัดต้าเลี่ยว[9]กับน้ำมันเล็กน้อย ภายในห้องครัวอวลไปด้วยกลิ่นเผ็ดฉุน ทุกคนไม่สนใจกฎเกณฑ์อีกต่อไป เริ่มกระซิบกระซาบกัน
แม้คราวนี้จะมีแขกและเจ้าภาพรวมแล้วแค่สี่คน แต่อาหารก็ยังอุดมสมบูรณ์และประณีตงดงาม หลังเซียงหยางปั๋วฮูหยินจัดการกับกลุ่มคนน่ารำคาญที่เรือนหลังเรียบร้อยแล้ว ก็บังเอิญเจอเจียงซูเหย่าที่เดินตามเหล่าหญิงรับใช้ที่ยกอาหารไปที่ห้องโถงพอดี
“ตัวเจ้ามีกลิ่นอันใด” นางเพิ่งเดินเข้าใกล้ ก็ได้กลิ่นเผ็ดร้อนจางๆ จากกายของเจียงซูเหย่า อดขมวดคิ้วไม่ได้
ครั้นเจียงซูเหย่าเห็นมารดาคิดจะเทศนา ก็รีบเข้าไปกอดแขนของนาง “ท่านแม่ ท่านบอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยอยากอาหารไม่ใช่หรือ ลูกเข้าครัวทำอาหารให้ท่านสองอย่างเจ้าค่ะ”
“เหยาเหย่า เจ้ามีน้ำใจแล้ว” น้ำเสียงของเซียงหยางปั๋วฮูหยินอ่อนลงไม่น้อย “ความหวังดีนี้ของเจ้า วันนี้แม่กินอันใดคงอร่อยไปหมด”
นางย่อมรู้จักบุตรสาวของนางดี แม้เซียงหยางปั๋วฮูหยินจะตื้นตันใจ แต่สิ่งที่แรกที่ทำเมื่อเข้าห้องแล้วก็คือสั่งหญิงรับใช้ที่ยกอาหารมาวางว่า “นำอาหารที่คุณหนูทำไปวางไว้ตรงหน้านายผู้เฒ่า”
เซียงหยางปั๋วคุยกับเซี่ยสวินเรื่องทัศนียภาพของทางเหนือ เมื่อได้ยินประโยคนี้ คิ้วเขากระตุก หันมองเซียงหยางปั๋วฮูหยิน
เซียงหยางปั๋วฮูหยินไม่มีทางหักหน้าเจียงซูเหย่าต่อหน้าเซี่ยสวิน “เหยาเหย่ารู้ว่าวันนี้ข้าไม่ค่อยอยากอาหาร จึงตั้งใจเข้าครัวทำอาหารสองอย่างเป็นพิเศษ ความกตัญญูเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม”
เซียงหยางปั๋วไอแห้งๆ สองที หันไปกล่าวกับเซี่ยสวินว่า “ฮ่าๆ เหยาเหย่ามีคุณธรรมและกตัญญูมาโดยตลอด”
เซี่ยสวินหน้าไม่เปลี่ยนสี พยักหน้าคล้อยตาม
ในเมื่อเซียงหยางปั๋วพูดแล้ว แม้สิ่งที่เจียงซูเหย่าทำจะเป็นยาพิษ เขาก็ต้องคีบชิมแล้วกล่าวชมเชย
บรรดาหญิงรับใช้ทยอยเดินเข้าไปวางจาน ก่อนเปิดฝาออก การเคลื่อนไหวลื่นไหลประหนึ่งเมฆเคลื่อนน้ำไหล
จานอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าเซียงหยางปั๋วถูกเปิดฝาออก กลิ่นเผ็ดฉุนและสดใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกำจายไปทั่ว ทว่ากลิ่นเผ็ดร้อนที่ฉุนกึกกลับทำให้ผู้คนกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
เจียงซูเหย่าแนะนำว่า “นี่คือเต้าหู้ผัดพริกทรงเครื่อง[10] จานนี้เป็นปลาต้มพริก[11]เจ้าค่ะ”
เต้าหู้ผัดพริกทรงเครื่องมีแปดคำ เผ็ด ชา กรอบ หอม สด ร้อน อ่อน นุ่ม เต้าหู้ถูกหั่นเป็นลูกเต๋าขนาดเท่ากันโดยกองรวมกันตรงกลาง สีของน้ำปรุงรสแดงสด ตกแต่งด้วยต้นหอมหั่นท่อน ล้อมรอบด้วยฮวาเจียวป่น กระเทียบสับ และต้นหอมซอย หลังตักใส่จานแล้ว ราดด้วยน้ำมันร้อนจัดเสียงดังซู่ๆ กระตุ้นให้กลิ่นเผ็ดร้อนและกลิ่นกระเทียมลอยอวล
เนื้อปลาต้มใส่ในจานก้นลึก มีน้ำมันแดงสดลอยอยู่บนผิวน้ำ ด้านล่างเป็นเนื้อปลาสีขาวอ่อนนุ่ม ด้านบนตกแต่งด้วยต้นหอมซอยสีเขียวมรกตเล็กน้อย แค่เห็นสีที่ตัดกันอย่างเด่นชัดนี้ก็พาให้คนเจริญอาหารแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านชิมดูสิเจ้าคะ” เจียงซูเหย่ามองเซียงหยางปั๋วอย่างคาดหวัง
ทั้งสี กลิ่น รส ไม่ว่าอย่างไรแค่สองอย่างแรกก็ถือว่าเลิศล้ำแล้ว เซียงหยางปั๋วใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่ง เนื้อปลานุ่มลื่นถูกเคลือบด้วยน้ำแกง เมื่อวางใส่ชามกระเบื้องขาว เนื้อปลาสั่นไหวเล็กน้อยและเด้งมาก
เมื่อเอาเข้าปาก ก็รับรู้ถึงรสชาติสดใหม่ เผ็ดเล็กน้อย ปราศจากกลิ่นคาวปลา กลิ่นสดใหม่อันเป็นเอกลักษณ์กลับเพิ่มขึ้นสองส่วน เนื้อปลาที่ร้อนจัดทำให้ลิ้นชามากขึ้น จากปลายลิ้นจนถึงลำคอเกิดความร้อนสายหนึ่ง
เห็นเซียงหยางปั๋วไม่พูดอันใด และคีบอีกหลายชิ้นเข้าปากติดต่อกัน หลังกินอย่างสะใจก็กล่าวว่า “ยอดเยี่ยม”
[1] Blogger คนที่เขียนหรือทำคอนเทนต์ ถ่ายภาพ หรืออัดวิดีโอเรื่องใดเรื่องที่ตนสนใจเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น ยูทูป เฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ ติ๊กต๊อก
[2] ตั๋งจื่อ เป็นไม้ผลัดใบ มีหนาม ผลสีแดง มีรสเผ็ด ใช้เป็นเครื่องปรุงและยา
[3] เสฉวนในภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็นมณฑลหนึ่งทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมืองเอกของซื่อชวนคือ เมืองเฉิงตู
[4] ตำรายาสมุนไพรจีน เขียนโดยหลี่สือเจิน สมัยราชวงศ์หมิง โดยใช้เวลากว่าสามสิบปี ศึกษาตำรากว่าแปดร้อยเล่ม เขาเขียนตำรานี้เล่มเสร็จเมื่ออายุ 60 ปี และพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก ค.ศ. 1596 รวม 52 เล่ม โดยกล่าวถึงสมุนไพร 1,892 ชนิด
[5] โกฐจุฬาจีน มีกลิ่นหอมแรง ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาตับ ม้าม และ ไต
[6] เครื่องเทศอย่างหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลซื่อชวน คล้ายเมล็ดพริกไทยดำ รสชาติเผ็ดร้อน ชาที่ปลายลิ้น
[7] นอกจากชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แล้ว ยังมีชื่อรองหรือสมญานาม ในสมัยโบราณจะตั้งให้เมื่อลูกชายอายุยี่สิบปีและลูกสาวอายุสิบห้าปี
[8] ระบบการสอบเข้ารับราชการ แบ่งการสอบออกเป็นสามรอบ ได้แก่ ระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ผ่านการสอบสุดท้ายถึงจะมีสิทธิ์ที่สอบหน้าพระที่นั่ง
[9] จันทร์แปดกลีบ หรือโป๊ยกั๊กในภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็นเครื่องเทศและสมุนไพรจากพืชยืนต้นขนาดเล็ก นำเมล็ดของผลแก่ซึ่งมีลักษณะคล้ายดาวแปดแฉกสีน้ำตาลอมแดงมาทำให้แห้งทั้งผล หรืออาจนำไปป่นให้เป็นผงละเอียด
[10] อาหารในสมัยราชวงศ์ชิง มีต้นกำเนิดที่เมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน ส่วนประกอบหลักมีเต้าหู้ พริกหมาล่า เนื้อวัวหรือเนื้อหมู รสชาติกลมกล่อม เผ็ดเล็กน้อย
[11] อาหารขึ้นชื่อของเมืองฉงชิ่ง มณฑลซื่อชวน ต้มปลาในน้ำแกงหมาล่า โรยหน้าด้วยพริกกับฮวาเจียว ส่วนใหญ่ใช้ปลาเฉาฮื้อ