《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน
เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
บล็อกเกอร์สาวด้านอาหารทะลุมิติมาเป็น เจียงซูเหย่า
ผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
นางวางแผนบีบบังคับให้ เซี่ยสวิน
บุรุษหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครรับนางเป็นภริยา
นางผู้ไม่เหมือนใคร เพราะมองโลกตามหลักความเป็นจริง
ไม่เคยปรารถนาความรักจากสามี
ช่วงเวลาที่ออกเรือนกลับกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่นางมีอิสรเสรีที่สุด
ขอเพียงได้ทำอาหารที่ชื่นชอบและกตัญญูต่อมารดา
เท่านี้นางก็พึงใจแล้วจริงๆ
สามีน่ะหรือ…
ที่แท้ก็หล่อเหลาสมดังคำเล่าลือ เขาเป็นดั่งหิมะบนยอดเขาที่ขาวโพลน
เป็นดั่งโสมที่ส่องแสงสุกสกาวท่ามกลางหมู่เมฆ
เป็นสิ่งที่คนธรรมดามิอาจจินตนาการถึง
บุรุษรูปงามระดับบนี้ไม่มีทางแตะต้องนาง
วันเวลาของนางหลังจากนี้ปลอดภัยแล้ว!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
6
เซียงหยางปั๋วฮูหยินสบถด่าในใจว่าเจ้าเฒ่าสารเลว ความสามารถในการเสแสร้งนี่ไม่เลวจริงๆ แต่คำพูดสั้นๆ แค่สองคำนั้นหมายความว่าอันใด ถึงอย่างนั้นก็สมควรพูดสักหลายคำกระมัง ความสามารถในการปลอบโยนเหล่าอนุภรรยาในวันธรรมดาไปตายที่ใดแล้วเล่า
นางรีบแก้ไขสถาการณ์นี้ ยิ้มกล่าว “กินกันเถิด”
หางตาเหลือบเห็นเซียงหยางปั๋วขยับตะเกียบคีบปลาต้มพริกอีกครั้ง ก็อดกังขาไม่ได้ ตาเฒ่าผู้นี้รักเอ็นดูเหยาเหย่าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด ครั้งนี้คงมากเกินไปที่จะเสียสละเพื่อเห็นแก่หน้าของนาง
อย่างไรก็ตามคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ไม่จำเป็นจะต้องเชี่ยวชาญการทำอาหาร แค่มีใจกตัญญูก็พอแล้ว
นางตักน้ำแกงเนื้อแพะช้อนหนึ่ง เนื้อสับละเอียดถูกตุ๋นจนเปื่อยแทบละลายในปาก แต่กลิ่นคาวที่ติดลิ้นยังไม่จางหาย จึงรีบคีบผักขึ้นฉ่ายที่ดองกับน้ำสมสายชูดับกลิ่น กินได้แค่สองคำก็ไม่อยากอาหารแล้ว
เจียงซูเหย่าตักน้ำแกงไก่ตุ๋นเห็ดเยื่อไผ่สดและหอยเป๋าฮื้อถ้วยหนึ่งยื่นให้มารดาในเวลาที่เหมาะสม “ท่านแม่ ค่อยๆ ตุ๋นน้ำแกงไก่นี้ด้วยฟืนเป็นเวลานาน มีน้ำมันบางๆ จากการตุ๋นด้วยไฟอ่อนลอยอยู่ด้านบน สดอร่อยจนข้าเกือบจะกลืนลิ้นลงไปด้วย ท่านชิมดูสิเจ้าคะ”
เมื่อบุตรีโน้มน้าวเช่นนี้ แม้เซียงหยางปั๋วฮูหยินไม่อยากอาหาร แต่ก็บอกปัดไม่ได้ จึงดื่มไปอึกหนึ่ง ทั้งที่เป็นน้ำแกงไก่ที่ตุ๋นด้วยความพิถีพิถัน อร่อยกลมกล่อมอย่างยิ่ง แต่นางดื่มบ่อยแล้ว มักรู้สึกว่าในปากไร้รสชาติ
“ท่านพ่อ” เจียงซูเหย่าตักน้ำแกงไก่ใส่ถ้วยยื่นให้เซียงหยางปั๋ว โดยเล่นบทเป็นบุตรสาวกตัญญูที่ทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่ว
เซียงหยางปั๋วกินอย่างเพลิดเพลิน เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมบนหน้าผากชั้นหนึ่ง ลิ้นชาเล็กน้อย เมื่อได้ลิ้มรสชาติที่เผ็ดจัดจ้านก็มิอาจหยุดมือ
“จะดื่มน้ำแกงไปไย ใครก็ได้ ไปเอาสุรามาที!”
ในที่สุดเซียงหยางปั๋วฮูหยินก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเหลือบมองอาหารสองจานที่มีสีสันจัดจ้านบาดตาหลายครา เจียงซูเหย่ารีบประจบโดยการตักเต้าหู้ผัดพริกทรงเครื่องด้วยช้อนกลางให้นางช้อนหนึ่ง
เต้าหู้สดและนุ่ม ราดด้วยน้ำปรุงรสสีน้ำตาลแดง จับคู่กับข้าวขาวแวววาว ทำให้คนอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับรสชาติของเต้าหู้จริงๆ
เซียงหยางปั๋วฮูหยินคีบข้าวพร้อมเต้าหู้ผัดพริกทรงเครื่องเข้าปาก
ปฏิกิริยาแรกคือร้อนลวก น้ำปรุงข้นเหนียวกักเก็บความร้อนของเต้าหู้ไว้ดีมาก ทำให้ลิ้นชามากขึ้น บางทีอาจจะไม่ใช่ร้อนลวก แต่เป็นลิ้นชา รสชาติสดใหม่และลิ้นชากระตุ้นต่อมรับรส ข้าวสวยหอมนุ่มเข้ากันได้ดีกับเต้าหู้นุ่มที่ละลายในปาก มีครบทุกรสชาติ กระทั่งกลืนลงไปแล้วก็ยังมีรสชาติสดใหม่และชาติดลิ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เซียงหยางปั๋วฮูหยินมองเจียงซูเหย่าด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นนัยน์ตาของบุตรีเจือยิ้ม ก็เข้าใจทันควัน
มีแต่แม่ที่รู้ใจบุตรสาวที่สุด จะต้องเป็นเพราะยายหนูผู้นี้ไปหาพ่อครัวมาจากที่ใดเป็นแน่ แล้วโกหกว่าตนเองเข้าครัวทำอาหารเอง นางฉลาดขึ้นไม่น้อย
เซียงหยางปั๋วฮูหยินเงยหน้ามองเซี่ยสวิน เตรียมจะกล่าวคำพูดถ่อมตนสองสามคำอย่าง “บุตรสาวของข้าฝีมือไม่ดี” กลับเห็นข้าวขาวตรงหน้าเซี่ยสวินลดลงไปกว่าครึ่งถ้วยแล้ว!
ยังคงเห็นตะเกียบคู่นั้นของเซียงหยางปั๋วคีบปลาต้มพริกอยู่เรื่อยๆ กินจนหน้าแดงก่ำ
ถ้อยคำติดอยู่ในลำคอของนาง นางไม่สนใจอันใดอีก รีบตักเต้าหู้ผัดพริกทรงเครื่องใส่ถ้วยหลายช้อน
เมื่อคลุกให้เข้ากันแล้วกินคำใหญ่ ยิ่งรู้สึกอร่อยขึ้น จนลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่นางไม่ค่อยอยากอาหาร
…
ถ้วยข้าวของเซี่ยสวินเกือบจะเห็นก้นถ้วยแล้ว ท่าทางการกินของเขายังคงสง่างาม เหมาะสมตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เหมือนเซียงหยางปั๋วที่กินมูมมาม ดังนั้นพอเขากินอิ่มแล้วก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าเขากินอาหารค่อนข้างเร็วและเสียกิริยาสง่างาม
เขาเหลือบมองอาหารที่ใกล้จะถูกกวาดเรียบ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเก็บสายตากลับคืน นั่งรอให้เซียงหยางปั๋วกินเสร็จเงียบๆ
เซี่ยสวินเกิดมาหน้าตาดี นิสัยเย็นชา ห่างเหิน ยามนี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยิ่งส่งให้ใบหน้าหล่อเหลาทวีความเย็นชา หญิงรับใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่โดยรอบพากันแอบมอง ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านเขยที่เป็นดั่งเซียนจุติลงมายังโลกมนุษย์ถึงได้เป็นทุกข์
“ท่านเขยที่เป็นดั่งเซียนจุติลงมายังโลกมนุษย์” เหลือบมองถ้วยน้ำแกงครู่หนึ่ง ทั้งชาที่ลิ้นและเผ็ด จึงอยากดื่มน้ำชาสักถ้วย…
คนสูงศักดิ์ให้ความสำคัญกับการกินอิ่มแปดส่วน ทว่าวันนี้พวกเขากินจนแน่นท้อง เจียงซูเหย่าเผยท่าทางเกียจคร้านไร้กระดูกอีกครา
…
ทั้งสองคนกล่าวลาเซียงหยางปั๋วและฮูหยินก่อนกลับจวน แสงแดดยามบ่ายกำลังพอดี เมื่อส่องต้องร่างแล้วรู้สึกอบอุ่นจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
เซี่ยสวินเดินเคียงข้างนางพลางเหลือบมองท่าทางของนาง ก็อดรังเกียจไม่ได้ เขาชะลอฝีเท้า เดินออกจากจวนช้าๆ ท่ามกลางแสงตะวันอบอุ่น
“อาหารสองอย่างเมื่อครู่เจ้าเป็นคนทำหรือ” เซี่ยสวินเดินไปพลางถามไปพลาง
เจียงซูเหย่าตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าค่ะ”
เซี่ยสวินกลืนคำพูดที่เหลือลงไป รู้สึกเสียใจที่ชวนเจียงซูเหย่าคุย เขาคงถูกแสงตะวันส่องจนเวียนศีรษะแล้วจริงๆ เขาเร่งฝีเท้า สลัดเจียงซูเหย่าทิ้งอย่างรวดเร็ว
เจียงซูเหย่ามองตามแผ่นหลังของเขา บ่นพึมพำว่า “พิลึกคน”
จวนเซียงหยางปั๋วกับจวนเซี่ยกั๋วกงอยู่ไม่ไกลกัน รถม้าส่ายโคลงเคลงขณะแล่นกลับจวน เจียงซูเหย่าเลิกมุมผ้าม่านขึ้นข้างหนึ่ง ชะเง้อมองด้านนอก เดิมเซี่ยสวินไม่คาดหวังอันใดกับนาง เมื่อเห็นอย่างนั้นก็คร้านจะห้ามปราม
ตลอดทางไม่มีอันใดให้ดูยกเว้นจวนตระกูลต่างๆ เจียงซูเหย่าเตรียมจะปล่อยผ้าม่านลง ก็เห็นรถลากคันหนึ่งอยู่ด้านหน้า กำลังมุ่งหน้าไปที่ประตูหลังของจวนที่อยู่ตรงหัวมุมหลังหนึ่ง
นางเห็นอันใดก็รู้สึกแปลกใหม่ไปหมด ถามว่า “นี่คืออันใด”
ไป๋จื่อไม่ค่อยแน่ใจ กลับเป็นเด็กรับใช้ชายที่นั่งอยู่หน้าตู้โดยสารตอบว่า “เรียนฮูหยิน นี่เป็นการส่งนมแพะของร้านค้าชาวหู[1]ที่ตลาดตะวันตกขอรับ”
“นมแพะหรือ” นัยน์ตาของเจียงซูเหย่าสว่างวาบ “มีนมวัวหรือไม่”
“เรียนฮูหยิน มีนมวัวขอรับ เพียงแต่มีราคาแพง นายน้อยสี่ของจวนพวกเรามักจะดื่มนมวัวขอรับ”
ในราชวงศ์นี้ ฮ่องเต้ไท่จู่ปฏิรูปอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ชาวจงหยวน[2]กับชาวหูไปมาหาสู่กัน ทำให้มีผลิตภัณฑ์จากนมเข้ามาในจงหยวนนานแล้ว
สมัยราชวงศ์ถัง ผลิตภัณฑ์จากนมอย่างเนยแข็ง เป็นบรรณาการที่ชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนส่งให้ราชสำนัก หมอปรุงยาบางคนยังระบุว่านมวัวถือเป็นอาหารบำรุงร่างกาย
ไม่ต้องกล่าวถึงผลิตภัณฑ์จากนม แค่นมวัวก็สามารถทำของหวานอร่อยง่ายๆ ได้มากมายแล้ว เช่น ชานมที่เป็นที่ชื่นชอบของคนหนุ่มสาวยุคใหม่ ชามีหลายประเภท อย่างชาแดง ชาเขียว ชาอู่หลง เป็นต้น ฤดูคิมหันต์เติมไอศกรีม ฤดูเหมันต์เพิ่มครีมชีสและบัวลอยเผือก[8] เมื่อกินแล้วให้ความรู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์
เจียงซูเหย่ารีบกำชับไป๋จื่อ “ข้าต้องการนมวัวเช่นกัน!” เมื่อนึกถึงเนยที่เป็นส่วนประกอบจำเป็นในการทำของหวานแล้ว นางอธิบายอย่างละเอียด ก่อนสั่งไป๋จื่อให้ไปสอบถามร้านค้าของชาวหู
ไป๋จื่อผงกศีรษะรับคำ
เมื่อรถม้ามาถึงจวนเซี่ยกั๋วกง เจียงซูเหย่าที่อารมณ์ดียกชายกระโปรงขึ้นและกระโดดลงมาอย่างไม่ยี่หระโดยไม่จำเป็นต้องใช้ม้านั่ง
เซี่ยสวินเห็นนางแตกต่างจากยามที่อยู่ที่จวนเซียงหยางปั๋วราวกับเป็นคนละคน ก็อดเหลือบมองนางหลายคราไม่ได้ จากนั้นก็เห็นเซี่ยเย่ บุตรชายคนโต และเซี่ยเฮ่า บุตรชายคนรองของเรือนใหญ่ที่เพิ่งกลับจวนยืนอยู่ด้านหลังของนางพอดี
ดวงหน้าของเซี่ยสวินแข็งค้าง เจียงซูเหย่าทำเรื่องน่าขายหน้าต่อหน้าหลานชายทั้งสอง เขารู้สึกอายเล็กน้อย
เซี่ยเย่กับเซี่ยเฮ่ารู้สึกกระอักกระอ่วนเช่นกัน หากก็ยังก้าวเข้ามาคารวะ “ท่านอาสาม ท่านอาสะใภ้สาม”
หลังคำนับแล้ว เห็นวันนี้เจียงซูเหย่าแต่งกายประหลาด จึงอดมองหลายหนไม่ได้ ทันทีที่เห็นก็อึ้งงัน พวกเขาพลันนึกถึงตอนที่ไปเที่ยวทะเลสาบในฤดูวสันต์ของปีก่อน เจียงซูเหย่าแต่งกายแบบนี้เช่นกัน นางกับสหายกลุ่มหนึ่งแอบมองชายหนุ่มในงานชุมนุมกวี แล้วก่อเรื่องน่าขายหน้าขึ้นเรื่องหนึ่ง ยามนั้นพวกเขาสองคนที่อยู่ในกลุ่มก็ถูกแทะโลมด้วยวาจาเช่นกัน
ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนรีบปลีกตัวจากไป ในใจรู้สึกเห็นใจท่านอาสามเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
เซี่ยสวินเห็นแค่สีหน้าของพวกเขาย่อมเดาความคิดของพวกเขาได้ สีหน้าเซี่ยสวินทวีความเย็นชา
เจียงซูเหย่าไม่รับรู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมัวแต่รีบเดินเข้าจวน “มีแป้งพอกอยู่ที่หน้า ข้าอึดอัดจนทนไม่ไหวแล้ว รีบไปล้างหน้า รีบไปล้างหน้า”
เซี่ยเย่กับเซี่ยเฮ่าแยกกัน เมื่อไปถึงเรือนใหญ่เตรียมจะไปคำนับสวีซื่อ แต่พอเดินเข้าลานเรือนก็ได้ยินเสียงสวีซื่อตะโกนว่า “พวกเขาเล่า หายไปที่ใดแล้ว ข้าให้พวกเจ้าคอยเฝ้าพวกเขาไว้ไม่ใช่หรือ!”
เซี่ยเย่แปลกใจเล็กน้อย มารดาเป็นสตรีที่มีความสามารถจากตระกูลผู้มีการศึกษา ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมารยาทเป็นที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตเขายังไม่เคยได้ยินนางตะโกนร้องเรียกเสียงดัง
“มารดา” เขารีบเดินเข้าไปหาสวีซื่อ
สวีซื่อเห็นเขาก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต กล่าวอย่างร้อนใจว่า “เร็วเข้า รีบไปจับตัวพวกน้องชายเจ้ากลับมา!”
“อาเจากับอาเย่าหรือขอรับ” เซี่ยเย่ไม่เข้าใจ
สวีซื่อร้อนใจจนใกล้จะกระทืบเท้าอยู่รอมร่อแล้ว “ใช่ รีบไปเร็ว อย่าปล่อยให้พวกเขาไปที่เรือนของท่านอาสะใภ้สามเจ้าโดยเด็ดขาด” ทุกคนในจวนทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ไม่มีผู้ใดที่ไม่หลบเลี่ยงเจียงซูเหย่าราวกับหนีงูและแมงป่อง มีเพียงเซี่ยเจากับเซี่ยเย่าเท่านั้นที่มักอยากไปที่เรือนของเจียงซูเหย่า วันนั้นพอพวกเขากลับมาแล้ว สวีซื่อจับตามองพวกเขาเป็นพิเศษไม่ให้พวกเขาวิ่งเล่นเพ่นพ่าน วันนี้เจียงซูเหย่ากลับบ้านเดิม นางจึงผ่อนลมหายใจโล่งอกและทำงานของตนเองไป เมื่อหันหน้ามาอีกที เด็กสองคนก็หายตัวไปไม่เห็นแม้แต่เงานานแล้ว
เซี่ยเย่ยังอยากถามเพิ่มเติม ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของสวีซื่อก็หุบปาก แล้ววิ่งออกไปด้วยความงุนงง
อีกด้านหนึ่ง เจียงซูเหย่ากำลังจ้องเจ้าผักกาดน้อยหนึ่งอ้วนหนึ่งผอมอย่างกังขา “พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
อาเจาพูดคล้ายผู้ใหญ่ตัวน้อย “ท่านอาสะใภ้สามไม่ยินดีต้อนรับพวกเราหรือขอรับ”
อาเย่าถือกระบอกไม้ไผ่ในมือ แล้วพยักหน้าตาม
เจียงซูเหย่าเข้ากับเด็กๆ ได้ดีมาก ได้ยินถ้อยคำก็หัวเราะ “พวกเจ้าคงไม่ใช่มากินข้าวเปล่าๆ กระมัง”
อาเจาหัวเราะแหะๆ
นางเลื่อนสายตามองกระบอกไม้ไผ่ในมือของอาเย่า “นี่คืออันใด”
อาเจาตอบแทนว่า “นมวัวขอรับ ท่านหมอบอกว่าการดื่มเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง”
“อืม” อาเย่าผงกศีรษะ เปิดฝาไม้ไผ่ออก แล้วจิบอึกหนึ่ง ใบหน้ายับยู่ยี่ ก่อนปิดฝาอีกครั้ง
“เหตุใดไม่ดื่มแล้วเล่า” เจียงซูเหย่าเห็นอย่างนั้นจึงถาม
ครั้งนี้อาเย่ากล่าวเองช้าๆ เสียงเบาคล้ายกับยุงว่า “รสชาติแย่ขอรับ”
เขาตัวเตี้ย จึงต้องเงยหน้ามองเจียงซูเหย่า นัยน์ตากลมโตที่ดำขาวตัดกันอย่างชัดเจนนั้นรื้นน้ำตา
ชั่วขณะนั้นเจียงซูเหย่าพลันถูกโจมตี นางทำท่าเหมือนซีซือยกมือกุมอก[9] “อย่างนั้นอาสะใภ้สามเอานมวัวมาทำเป็นของหวานให้เจ้าดีหรือไม่”
นางรับกระบอกไม้ไผ่มา เปิดออกดมครู่หนึ่ง กลิ่นคาวของนมค่อนข้างฉุนเล็กน้อย
เจียงซูเหย่าพาซาลาเปาน้อยทั้งสองเข้าครัว แล้วอุ่นนมด้วยเมล็ดซิ่ง[10]และดอกมะลิเพื่อขจัดกลิ่นคาว จากนั้นรอให้นมเย็น ระหว่างนี้ก็หันไปจัดการกับไข่ขาว
…
ขณะที่นางยุ่งง่วนอยู่กับการทำนมตุ๋น[11]ทางนี้ เซี่ยเย่รีบไปที่เรือนทิงเฟิง เขากับเจียงซูเหย่าอายุเท่ากันสมควรจะหลีกเลี่ยงคำครหา จึงให้บ่าวไพร่พาเขาไปที่ห้องหนังสือของเซี่ยสวิน
เซี่ยสวินได้ยินจุดประสงค์การมาของเซี่ยเย่ พลันนั้นก็นึกถึงขนมจีนข้ามสะพานที่ได้กินเมื่อเย็นวันนั้น เขามองสีท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว เพื่อดูว่าถึงเวลากินอาหารแล้วหรือยัง
“ท่านอาสาม” เซี่ยเย่ร้องเรียกเพื่อเรียกสติเซี่ยสวินให้กลับคืนมา
เซี่ยสวินหน้าไม่เปลี่ยนสี “ข้าจะไปดูว่าพวกเขายังอยู่ในเรือนของนางหรือไม่”
เซี่ยเย่หน้าแดงเล็กน้อย เด็กๆ ต้องการมาหาเจียงซูเหย่า หากเขาบอกให้พวกเขาสองคนกลับเรือน นี่จะเป็นการแสดงออกว่ารังเกียจเจียงซูเหย่าอย่างชัดแจ้ง
เซี่ยเย่กวาดตามองดวงหน้าของเซี่ยสวิน เห็นหน้าเขาไม่เปลี่ยนสี ก็ระบายลมหายใจโล่งอก แม้นางจะเป็นภริยาของท่านอาสาม แต่เกรงว่าท่านอาสามจะรังเกียจและโกรธแค้นนางมากกว่าพวกเขากระมัง
เซี่ยเย่เดินตามเซี่ยสวินออกไปด้านนอก ก่อนหยุดฝีเท้าที่นอกลานเล็กๆ เขาไม่อยากเจอท่านอาสะใภ้สามผู้นี้…
เซี่ยสวินไม่กล่าวคำ ก้าวเข้าลานเล็กๆ และเดินตรงไปยังห้องครัว
ตามที่คาดเอาไว้ เขาเจอคนทั้งสามในห้องครัวเล็กจริงๆ
นมตุ๋นเพิ่งทำเสร็จ เจียงซูเหย่าหยิบชามกระเบื้องออกจากหม้อ ร้อนจนรีบเอามือจับติ่งหู หางตาเหลือบเห็นเงาคนที่หน้าประตูห้องครัว เมื่อหันหน้าไปก็เห็นเซี่ยสวิน นางตกใจสะดุ้งโหยง
[1] เป็นคำที่ชาวจีนฮั่นใช้เรียกอนารยชนทางตอนเหนือของจีนรวมๆ พวกหูหรือชาวหูเคยเป็นดั่งคนป่าเถื่อน มีวิถีชีวิตเร่ร่อน เลี้ยงสัตว์ กางกระโจมอยู่ตามทุ่งหญ้า ชาวหูที่รู้จักกันดีก็มีพวกซยงหนู เซียนเป่ย และทูเจี๋ย เป็นต้น
[2] จงหยวน หมายถึง แผ่นดินที่ราบภาคกลางของจีน
[3] บัตเตอร์มิลค์ เป็นของเหลวที่มีรสเปรี้ยวเล็กน้อยที่เหลือจากการปั่นเนยออกจากนม
[4] เชดดาร์ชีส เป็นเนยแข็งชนิดหนึ่งสีเหลืองหรือสีส้มอ่อน เริ่มผลิตในหมู่บ้านเชดดาร์ในอังกฤษ
[5] เนยกี นิยมมากในอินเดีย ทำจากนมวัว นมควาย สมัยก่อนใช้บูชาเทพเจ้าเพราะมีความเชื่อว่าบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ แต่ปัจจุบันนำมาทำอาหารทั้งคาวและหวาน เพราะมีข้อดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เหมาะกับอาหารประเภทผัดและทอด
[6] เป็นไขมันพืชที่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนสถานะจากของเหลว (น้ำมัน) เป็นกึ่งของแข็ง มีคุณสมบัติคล้ายเนยและมันหมู แต่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า มีไขมันทรานส์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
[7] ทำนมอบแห้งโดยหมักนมวัวในถังแล้วตักผิวน้ำนมออกมา ใส่ในกระสอบห้อยแขวนตากแดด แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ด้วยหางม้าหรือเส้นด้ายบางๆ ต่อมาก็วางบนกระดานไม้ให้แห้งสักสองสามวัน
[8] เป็นบัวลอยไต้หวัน ทำจากแป้งและใส่สีต่าง ๆ ลงไป เช่น บัวลอยมันม่วง บัวลอยมันส้ม ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ
[9] ซีซือกุมอก หมายถึง หญิงงามแม้ยามเจ็บปวดก็ยิ่งงดงาม ซีซือหรือไซซีเป็นหนึ่งในสี่หญิงงามของจีน เกิดในยุคชุนชิว
[10] อัลมอนด์ ช่วยดับกระหาย บำรุงปอด ควบคุมไขมันในเลือด ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
[11] พุดดิ้งนมสด มีต้นกำเนิดจากมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางใต้ของจีน โดยมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ทักษะการทำนมตุ๋นถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมณฑลกว่างตง