[ทดลองอ่าน] โฉมตรูคู่หทัย บทที่ 1

《妻恩浩蕩》
โฉมตรูคู่หทัย

 

จี้ชิว เขียน
เหมยชมจันทร์ & เชาว์เหลียน แปล

 

— โปรย —

เฟิงจื่ออี จากเด็กหญิงตัวน้อยในครอบครัวที่กุมความลับบางอย่างจนถูกปองร้าย
ต้องกลายสถานะมาเป็นหญิงรับใช้ของ ฉีเทียนเฮ่า เจ้าเมืองจูเช่ว์
วันเวลาในจวนเหล่านั้นนางอยู่เย็นเป็นสุข

ด้วยทุกคนในจวนรักนางประหนึ่งคนในครอบครัวเดียวกัน
แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อช่วยขจัดภัยพาลและตามล่าหาสมบัติ
เพลงกล่อมเด็กที่มารดาเคยสอนร้องครั้งเยาว์วัยกลับกลายเป็นลายแทงขุมทรัพย์!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

1

ช่วงเทศกาลชิงหมิง[1] ฝนมักตกโปรยปราย ทว่าตกต่อเนื่องกันมาเดือนกว่าแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าท้องฟ้าจะแจ่มใสสักที ฝนตกลงบนพื้นถนนที่กลายเป็นดินโคลน ทำให้ถนนของทางการที่มีน้ำขังอยู่แล้วยิ่งสัญจรลำบากขึ้นกว่าเดิม

บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งและหนูน้อยถือร่มกระดาษขาดๆ คันหนึ่ง ละอองฝนกลายเป็นหยดน้ำฝนไหลผ่านรูขาดๆ ที่ร่ม จนคนทั้งคู่ที่อยู่ใต้ร่มเปียกปอน ทว่าทั้งสองกลับยังคงดื้อดึงค่อยๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า

ชายหลังค่อมวัยกลางคนผู้นั้นเดินลากขากะเผลกข้างหนึ่ง เขาเพิ่งอายุสี่สิบต้นๆ แท้ๆ แต่การโหมทำงานหนักทั้งปีทำให้เขาดูเหมือนผู้เฒ่าอายุหกสิบ ไม่ใช่แค่หน้าซีด กระทั่งตอนนี้ก็ยังหอบแฮ่กประหนึ่งวัว เดินสามก้าวต้องพักหนึ่งก้าว เดินเหินแต่ละทีก็กะโผลกกะเผลกจนเหมือนจะสะดุดล้มได้ทุกเมื่อ ต้องให้หนูน้อยที่ยังสูงไม่พ้นเอวช่วยพยุงถึงเดินสะดวกขึ้นมาบ้าง

“ยายหนู หิวหรือไม่”

“ไม่หิวเจ้าค่ะ”

“จริงรึ” บุรุษวัยกลางคนเข้าใจความหวังดีของหนูน้อย เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ใกล้ถึงแล้ว อีกสักพักก็มีข้าวกินแล้ว”

“เจ้าค่ะ” เด็กน้อยตอบรับอย่างน่าเอ็นดู

หนูน้อยมีดวงตากลมโต แต่รูปร่างกลับผอมกะหร่อง หนำซ้ำยังตัวเตี้ยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ผอมจนหนังหุ้มกระดูก แขนเล็กๆ นั้นผอมแห้งราวกับกิ่งไม้ที่แตกหักได้ง่ายจนเห็นกระดูกรางๆ

นัยน์ตาของนางไร้ซึ่งความสงสัยใคร่รู้ มีเพียงความอับจนหนทางและความสูญเสียที่ดูแก่เกินกว่าวัย ต่อให้ไม่อยากจากญาติที่เลี้ยงดูนางมาหลายปี ต่อให้ในใจจะทุกข์ตรมเพียงใด ก็ทำได้แค่เม้มริมฝีปากม่วงๆ ที่สั่นระริกให้แน่นแล้วก้มหน้างุด พยายามเข้มแข็งไม่อยากทำให้ผู้เป็นญาติลำบากใจ

“ยายหนู เจ้าอย่าโทษที่อาหกใจร้ายเลย อาหกลำบากจริงๆ ถึงได้…อาหกก็ตัดใจไม่ได้เช่นกัน…” พูดได้ไม่กี่ประโยค บุรุษวัยกลางคนก็สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก

แขนผอมบางออกแรงดึงมือใหญ่ที่ไม่ค่อยมีเนื้อหนังเช่นกัน “ท่านอา อย่าร้องไห้ ข้าต้องมีความสุขแน่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงแทนข้า”

“เจ้า…เด็กอย่างเจ้านี่…ข้า…ข้าตัดใจไม่ได้!” พูดจบ บุรุษวัยกลางคนก็หันกลับไปร้องไห้โฮ

สุดท้ายก็ตัดใจไม่ได้อยู่ดี เด็กที่เลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโต ผู้ใดจะไม่ทะนุถนอมดั่งของล้ำค่าในอ้อมแขน ยอมเฉือนเนื้อแล้วส่งไปลำบากบ้างเล่า

ทว่าภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและจากน้ำมือมนุษย์เกิดขึ้นต่อเนื่องมานานหลายปี การเก็บเกี่ยวของทุกคนล้วนไม่ดี ที่นาไม่กี่หมู่[2]ย่อมไม่พอที่จะเลี้ยงคนถึงเจ็ดแปดชีวิต ได้ยินว่าจวนท่านเจ้าเมืองขาดสาวใช้ที่มือไม้คล่องแคล่ว เชื่อฟัง และฉลาดเฉลียวหลายคน ภรรยาของเขายังไม่ทันปรึกษาเขาก็พูดคุยกับผู้ดูแล และขายหนูน้อยที่เพิ่งอายุครบสิบขวบให้ตระกูลนั้นไปเสียแล้ว

แม้หนูน้อยผู้นี้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เลี้ยงดูตั้งห้าหกปีย่อมรู้สึกผูกพัน ยิ่งกว่านั้นนางอายุเพียงเท่านี้แต่กลับฉลาดเฉลียวและขยันขันแข็ง ทั้งช่วยตักน้ำ เก็บฟืน และก่อไฟ ช่วยแบ่งเบาภาระได้มาก

“ท่านอา ท่านอย่าเสียใจไปเลย ว่ากันว่าจวนท่านเจ้าเมืองทั้งใหญ่ทั้งงาม อีกทั้งยังมีข้าวมากมายให้กินด้วย หากข้ากินอิ่ม ท่านอาก็ได้กินอิ่ม ทุกคนไม่ต้องหิวโหยอีก” ขาดคนกินข้าวอย่างนางสักคน ท่านอาก็จะมีเงินรักษาขาของตน คนในครอบครัวก็จะสุขสบาย นางสมควรยินดีถึงจะถูก

“ยายหนูหนอยายหนู ไยเจ้าถึงได้เอาใจใส่ผู้อื่นปานนี้ พวกเราสองคนไม่ต้องไปแล้ว! หากอิ่มก็ต้องอิ่มด้วยกัน อย่างมากต้มโจ๊กหรือไม่ก็ข้าวต้มแล้วใส่น้ำให้เยอะหน่อย อดทนไว้ประเดี๋ยวก็ผ่านไปได้” บุรุษวัยกลางคนเปลี่ยนใจ

อันที่จริงหนูน้อยผู้มีหน้าตาเกลี้ยงเกลาเป็นเด็กที่เขาเก็บมาจากศาลเจ้าซานเสิน ยามนั้นเขากับภรรยาแต่งงานกันสิบกว่าปี แต่ยังไม่มีแม้แต่บุตรชายหรือบุตรสาว ครั้นเห็นนางหน้าตาน่าเอ็นดู ไม่รู้ว่าหลงทางมาได้อย่างไร จึงอดใจไม่ไหวพากลับมาดูแลที่เรือน รักใคร่ดั่งลูกแท้ๆ

มิคาดว่าหนูน้อยจะเป็นตัวนำโชค เพิ่งพากลับมาเรือนได้ไม่นาน ภรรยาที่คิดว่าจะมีลูกไม่ได้แล้วกลับท้องแล้วท้องอีก ไม่นานสมาชิกในครอบครัวก็เพิ่มจำนวนขึ้น เดิมทีนี่ถือเป็นเรื่องดี ทว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติกลับเกิดต่อเนื่องมานานหลายปี และเพื่อหาเงินเพิ่มอีกสักสองตำลึง เขาจึงไปเปลี่ยนกระเบื้องแทนผู้อื่น แต่ไม่ทันระวังพลัดตกจากหลังคา สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับต้องพิการขา กระทั่งการทำไร่ไถนาก็ทำไม่ได้เสียแล้ว

คาดว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้ภรรยาจึงขายหนูน้อยให้ตระกูลคหบดีอย่างไม่ไยดีเพื่อจะได้มีเก็บเงินไว้บ้างกระมัง

“ท่านอาหก พวกเรายากจนมาก แม้แต่ข้าวต้มก็ไม่มีจะกิน ขายข้าไปทุกคนจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ท่านอาหก คนจนไม่พูดถึงปณิธาน ยามใดสมควรก้มหน้าก็ต้องก้มหน้า หากหิวตายคงไม่มีผู้ใดสงสารพวกเรา” นางรู้ว่าอาหกไม่ใช่ญาติแท้ๆ ของนาง แต่พวกเขาดีต่อนางจริงๆ ที่ขายนางก็เพราะจำใจ หากเป็นไปได้นางก็หวังว่าทุกคนจะไม่ลำบาก

“ยายหนู…”

“ท่านอาหก อย่าเพิ่งคุย ท่านดูสิพวกเราถึงแล้วใช่หรือไม่” หนูน้อยตัดบทคำพูดหว่านล้อมของบุรุษวัยกลางคน พลันหยุดฝีเท้าตรงบันไดหน้าประตูหลักสีแดงชาดสองบาน นางแหงนหน้ามองแผ่นป้ายที่แขวนเหนือประตูเขียนว่า “จวนสกุลฉี”

“จริง จริงด้วย…” บุรุษวัยกลางคนไม่เคยเห็นโลกกว้างเช่นกัน เพียงสิงโตหินสองตัวที่ตั้งตระหง่านหน้าประตูก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาตกใจจนตัวสั่น มีปฏิกิริยาไม่ต่างจากหนูน้อยเท่าไรนัก

ขณะที่ทั้งสองลังเลว่าสมควรเคาะประตูดีหรือไม่ ประตูสีแดงสดพลันเปิดออก ผู้เฒ่าไว้หนวดอายุประมาณห้าสิบปีเดินออกมา แววตาเขาเฉียบคมและดูหงุดหงิดอยู่ในที เมื่อเห็นคนทั้งสองหน้าประตู เขาจึงจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์

ไม่นานนัก ผู้เฒ่าก็พูดกับบุรุษวัยกลางคน “เจ้าคือเจ้าหกที่อยู่หมู่บ้านชาโข่วใช่หรือไม่” พอเห็นสภาพอ่อนแอของคนผู้นี้แล้ว ก็ไม่แปลกใจที่เขาต้องรอนานเพียงนี้

บุรุษวัยกลางคนตะลึงงันสักพักก่อนรีบพยักหน้า ทว่ายังไม่ทันเอ่ยก็ถูกผู้เฒ่าตัดบทเสียก่อน

“ข้าเป็นพ่อบ้านของจวนสกุลฉี ชื่อฉีกุ้ย ภรรยาเจ้าคุยกับข้าแล้ว ยายหนูอยู่ที่นี่ ส่วนเจ้ารับเงินจากคนทำบัญชีเสร็จก็ไปได้เลย” ฉีกุ้ยไม่สนใจปฏิกิริยาของอาหก เขาก้มหน้าพลางขมวดคิ้วเมื่อมองเห็นแม่หนูน้อยที่ยังสูงไม่พ้นเอวของตน “เจ้าคือยายหนูที่บ้านเจ้าหกขายหรือ”

“ใช่ ข้าเองเจ้าค่ะ” หนูน้อยเงยหน้า เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกหวาดกลัว แต่กลับมองพ่อบ้านที่เหลือบมองนางด้วยความเย็นชาโดยไม่หลบสายตา

“ดูแขนผอมแห้งไม่มีเนื้อไม่มีหนังนี่สิ มิหนำซ้ำตัวยังเตี้ยคล้ายไม่มีแรง เจ้าจะทำงานอันใดได้ นี่ไม่เห็นเหมือนที่เคยคุยกันไว้คราแรกเลย” เขาลูบคางพลางมองประเมินนางอย่างไม่ค่อยพึงใจ

ด้วยเกรงว่าจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ด้วยไหวพริบ หนูน้อยจึงเดินขึ้นหน้าอย่างใจกล้า “ข้าทำได้ทุกอย่าง แค่ดูผอมกับตัวเล็กไปสักหน่อย ที่จริงข้าเก่งมากนะเจ้าคะ”

“นี่…” ฉีกุ้ยลูบหนวดไปมา เห็นได้ชัดว่ากำลังลังเล ผ่านไปชั่วครู่จึงยอมผ่อนปรนในที่สุด “เอาเถิด…นี่เพราะในจวนขาดสาวใช้อย่างเร่งด่วนหรอกนะ ข้าถึงจำใจใช้เจ้าแก้ขัด หากเจ้าไม่ตั้งใจทำงาน ข้าจะไล่เจ้าออกอย่างไม่ลังเลแน่นอน เข้าใจหรือไม่ ข้ายังมีอีกหลายเรื่องต้องสอนเจ้าก่อน จะทำงานสะเพร่าที่นี่ไม่ได้ เด็กบ้านนอกอย่างเจ้าต้องตั้งใจฟัง…”

พ่อบ้านฉีไม่สนใจว่านางตามทันหรือไม่ เขากลับหลังหันแล้วก้าวเดินทันที จากนั้นก็เริ่มอบรมสั่งสอนน้ำไหลไฟดับ ใบหน้าแบนดังแผ่นไม้ไร้อารมณ์พูดถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่บ่าวรับใช้พึงกระทำด้วยความเคร่งครัดในกฎระเบียบ

ทว่าเดินไปได้สักพัก พร่ำบ่นอยู่นานสองนานจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่มีคนตอบรับ ครั้นหันหน้ากลับไปก็เห็นแม่หนูน้อยมิได้เดินตามหลัง หนำซ้ำยังยืนนิ่งปานสากไม้อยู่หน้าประตูเข้าจวน

ยามนี้เขาอารมณ์ไม่ดี แววตาไม่ใคร่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาลูบหนวดพร้อมเดินกลับไป แล้วยื่นมือใหญ่ของตนออกไปคว้าเปียของนางและกระชาก

“อา…เจ็บ…” หนูน้อยอดร้องตะโกนไม่ได้

“ยังรู้จักร้องว่าเจ็บก็ไม่โง่นี่! ให้เจ้าตามข้ามา ไยเจ้าไม่เดิน หรือตั้งใจจะยั่วโมโหข้ากันแน่ เมื่อครู่ก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ เข้าจวนมาแล้วต้องฟังข้า เชื่อฟังเจ้านาย เจ้าเข้าใจหรือไม่” ช่างเป็นเด็กไร้การอบรมสั่งสอน โง่งมจริงๆ เขาไม่ชอบเด็กบ้านนอกก็เพราะเหตุนี้ ไม่มีความรู้ ซ้ำยังไม่ค่อยฉลาด

ทว่าเรื่องคนงานในจวนไม่พอกลับเป็นความจริงที่เถียงไม่ออก หลายวันก่อนไม่รู้เหมือนกันว่าสาวใช้คนใดไปพบเจอสิ่งชั่วร้ายเข้า เอาแต่ตะโกนว่าลานชิวกุ้ยมีผี จนบ่าวไพร่หวาดกลัวขอลาออกจำนวนมาก ทำให้เขาหัวหมุนไปหมด หนำซ้ำคนในเมืองก็ได้ยินกันทั่วจนไม่ผู้ใดกล้าขายตนเองเข้ามาในจวน เขาจึงรีบสั่งให้พ่อค้าทาสหาคนให้ แม้แต่แม่เด็กบ้านนอกคนนี้ก็ทำได้เพียงแค่รับมาใช้แก้ขัดไปก่อนเท่านั้น

หลายคนที่เข้ามาในช่วงสองวันนี้ นอกจากคนที่โตหน่อยจึงพอจะค่อยๆ สอนกันได้ แต่พวกเด็กที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างหลายคนกลับเพิ่มปัญหาให้เขาไม่น้อย ดูท่ายายเด็กโง่เง่าคนนี้ก็คงไม่ดีไปกว่ากันนักหรอก!

หนูน้อยลูบหนังศีรษะที่เจ็บเพราะโดนดึง แววตาช่างสดใส เอ่ยวาจาก็ชัดถ้อยชัดคำ “ท่านลุงพ่อบ้าน พวกเรายังไม่ได้ตกลงเรื่องเงินที่จะซื้อเลย ข้าจะเดินตามท่านไปง่ายๆ ได้อย่างไร”

ฉีกุ้ยตะลึงงัน ลูบหนวดอีกครั้งพลางมองท่าทางของนางอย่างครุ่นคิด “นึกว่าเจ้าโง่ ที่ไหนได้กลับฉลาดเกินคาด แต่เจ้าพูดผิดไป เรื่องราคาได้คุยกันก่อนหน้านี้แล้ว ข้าจึงให้เจ้าหกไปรับเงินกับคนทำบัญชี ผิดที่ใดรึ”

“ไม่เจ้าค่ะ ราคาที่คุยกันก่อนหน้านั้นไม่นับ ในเมื่อข้าขายตนเอง ท่านลุงพ่อบ้านก็สมควรคุยกับข้าไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

ตอนที่เด็กคนนี้พูดดูโตกว่าเด็กทั่วไปไม่น้อย ดวงตาของฉีกุ้ยจึงฉายแววดีใจ “เด็กอย่างเจ้าถือสิทธิ์ใดมาต่อรองราคากับข้าเล่า”

“แน่นอนว่าต้องคุยกับข้าสิเจ้าคะถึงจะนับ ท่านลุงพ่อบ้านคงไม่รู้ว่าข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของอาหก ฉะนั้นข้าจึงไม่จำเป็นต้องทำตามที่พวกท่านบอก” เมื่อเห็นสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามเริ่มดำคล้ำ นางก็รู้ทันทีว่าวิธีนี้ได้ผลดังคาด

“อืม เจ้านี่ฉลาดไม่เบา” เด็กคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว หากต้องจ่ายเงินมากสักหน่อยก็ไม่เป็นไร “เช่นนั้นเจ้าต้องการเท่าไรเล่า ก่อนหน้านั้นตกลงกันที่สามตำลึง ตอนนี้พวกเราให้เจ้าห้าตำลึงพอหรือไม่”

เฟิงจื่ออีส่ายหน้า ปากน้อยๆ ที่ไร้สีสันเปล่งเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน “ไม่ ต้องสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ! และข้าจะขายตนเองให้พวกท่านแค่สิบปีเท่านั้น ไม่ขายขาด ปีละหนึ่งตำลึงเงินยุติธรรมยิ่ง ส่วนข้าจะทำงานให้มากๆ เป็นเครื่องพิสูจน์”

“อันใดคือสิบตำลึงเงินและยังไม่ใช่การขายขาด…” ฉีกุ้ยตะลึงงันเล็กน้อย เดิมทีอยากปฏิเสธ ทว่ากลับเปลี่ยนใจเสียอย่างนั้น

“เจ้าชื่ออันใด”

หนูน้อยมองบุรุษวัยกลางคนที่เลี้ยงดูนางมาหลายปี แล้วค่อยเอื้อนเอ่ยเสียงเบาว่า “เฟิงจื่ออี”

“เฟิงจื่ออี…อืม ชื่อดี แต่…” ฉีกุ้ยขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด ยังคงตรึกตรองว่าจะใช้นางดีหรือไม่ ถึงอย่างไรสิบตำลึงเงินก็ซื้อได้เพียงสิบปีเท่านั้น อย่างไรก็ดูไม่คุ้มค่า แตกต่างจากความคิดตอนแรกของเขาลิบลับ

อีกอย่าง หากไม่ซื้อขาดตลอดชีวิตก็ง่ายที่นางจะเห็นแก่ตัว ซื่อสัตย์สู้หญิงรับใช้ที่ซื้อขาดตลอดชีวิตไม่ได้ ฉะนั้นสาวใช้จวนสกุลฉีจึงเป็นสาวใช้ที่ซื้อขาดเสียส่วนใหญ่ เมื่อสาวใช้ที่ซื้อขาดถึงวัยอันควร เจ้านายก็จะจัดแจงให้แต่งงานกับคนงานในจวน และชั่วชีวิตนี้ก็จะต้องแก่ตายอยู่ในจวนเช่นกัน โอกาสที่จะได้ออกจากจวนไปแต่งงานน้อยยิ่งนัก

“ท่านลุงพ่อบ้าน ซื้อข้าไปไม่ขาดทุนแน่นอน ข้าตัวเล็กและยังตัวเตี้ยจึงไม่กินจุ ขยันใฝ่เรียน ซ้ำยังว่าง่าย วันหน้ายังช่วยงานท่านได้มากมายเจ้าค่ะ” ครั้นเฟิงจื่ออีเห็นฉีกุ้ยไม่ปฏิเสธทว่ายังลังเล นางรู้ว่าตนเองยังพอมีโอกาสจึงรีบหว่านล้อมทันที

แม้ใจจริงนางอยากช่วยให้ครอบครัวของอาหกให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ แต่ก็ไม่อยากให้ตนเองต้องกลายเป็นสาวใช้ที่จวนสกุลฉีชั่วชีวิต ถึงนางอายุยังน้อยแต่ก็รู้จักวางแผนให้ตนเองเช่นกัน

พอได้ยินคำพูดคำจาของนางที่โตเกินกว่าวัย เขาก็พอใจยิ่ง เขาน่าจะจัดงานยากๆ ให้นางทำได้ พอคิดถึงตรงนี้ฉีกุ้ยจึงพยักหน้า “สิบตำลึงก็สิบตำลึง แล้วเจ้าต้องตั้งใจทำงาน หากแอบเกียจคร้านหรือห่วงเล่น ข้าจะโบยเจ้าสักสิบไม้ก่อนแล้วค่อยขายให้หอคณิกา เจ้าจะเงยหน้ามองผู้คนไม่ได้ตลอดชีวิต”

แม่หนูน้อยที่ฟังไม่เข้าใจว่าหอคณิกาคือสถานที่ใดพลันยิ้มดีใจ นางหงายมือน้อยๆ ขอรับเงินทันที “ท่านลุงพ่อบ้าน เงินขายตนเองของข้าเล่า”

“จะรีบร้อนไปไย ให้อาหกของเจ้าไปเบิกกับคนทำบัญชีก็เสร็จแล้วไม่ใช่หรือ” ยายหนูคนนี้ฉลาดไม่หยอก ดูท่าเขาคงต้องระวังนางให้มากหน่อยเสียแล้ว

อายุยังน้อยก็สามารถเจรจาซื้อขายได้แล้ว เฟิงจื่ออียิ้มหน้าบาน รีบหันกลับไปพูดกับบุรุษวัยกลางคนที่ยังยืนตะลึง “ท่านอาหก ท่านได้ยินหรือไม่ อีกประเดี๋ยวไปรับเงินสิบตำลึงกับคนทำบัญชี ห้ามน้อยกว่านี้นะเจ้าคะ”

ฉีกุ้ยโกรธจนหน้าเขียว หันมองบุรุษวัยกลางคนที่เช็ดน้ำตาตรงหางตาด้วยความทุกข์ตรม สิบตำลึงนี้ทำอันใดได้มากกว่าสามตำลึงตั้งเยอะ เด็กคนนี้แค่มีน้ำใจก็เท่านั้น

สายลมฉ่ำเย็น พยับเมฆลอยครึ้ม เม็ดฝนโปรยปราย ในวันที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเช่นนี้ เฟิงจื่ออีผู้ผอมบางก็ขายตนเองเป็นที่เรียบร้อย นางลูบสร้อยกุญแจทองรูปหงส์ที่แขวนอยู่ในอกเสื้อ นางรู้ดีว่าคนที่นางสามารถพึ่งพาได้ในวันข้างหน้ามีเพียงตัวนางเองเท่านั้น ก็เหมือนกับ…นางเมื่อปีนั้นอย่างไรเล่า

กล้าหาญเข้าไว้ แล้วก้าวไปข้างหน้า ไม่เห็นมีสิ่งใดน่ากังวล ถึงนางขายตนเองให้จวนสกุลฉี แต่ก็แค่สิบปีเท่านั้น!

 

ทิวทัศน์ของสวนบุปผาในจวนสกุลฉีเชิญช่างฝีมือดีออกแบบให้โดยเฉพาะ สะพานเล็กๆ ที่มีธารน้ำไหลผ่าน ภูเขาจำลองที่มีหินรูปร่างแปลกๆ ผกาสีสันสวยสดละลานตา เมื่ออยู่รวมกันจึงกลายเป็นทัศนียภาพอันงดงาม โดยเฉพาะที่ตรงนี้ได้บรรจงปลูกดอกไม้หลากหลายชนิด ทำให้ทั้งสี่ฤดูนั้นงดงามยิ่ง แม้แต่ยามที่มีหิมะขาวโพลนก็ยังอาศัยความขาวของหิมะและความขาวของดอกเหมยช่วยเสริมทัศนียภาพให้งดงามวิจิตร

ทว่าเฟิงจื่ออีกลับไม่ว่างมาชื่นชมทัศนียภาพ นางโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัดพลางพูดข่มขู่อยู่ในสวนที่ไร้ผู้คนเสียงดังลั่น “คุณหนู ท่านซ่อนอยู่ที่ใด ออกมาหาข้าประเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะตีท่านให้ขาหักไปข้างหนึ่ง ดูซิว่าคราวหน้าท่านจะวิ่งได้เร็วเพียงใด!”

ยามนี้เอง พุ่มดอกเฉียงเวย[3]ที่บานสะพรั่งก็ขยับสั่นไหวทันควัน เงาร่างเล็กสีเหลืองขนห่านสะดุ้งโหยง รีบหดขาเข้าไป ใบหน้าน้อยๆ ที่เกลี้ยงเกลาดั่งหยกเจียระไนยับยู่ยี่เป็นซาลาเปา น้ำตาไหลเป็นทางอย่างน่าสงสาร

ฉีเทียนสี่ในวัยแปดขวบนั้นก็พอจะมองเห็นเค้าความงามบ้างแล้ว คิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิว ดวงตาโตดุจผลซิ่ง[4] ผิวพรรณขาวราวหิมะ และริมฝีปากแดงสดปานผลอิงเถา[5] งามพิสุทธิ์ประหนึ่งเทพธิดาตัวน้อยที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายพระโพธิสัตว์ น่าเสียดาย…ที่ไร้เดียงสาเกินไปสักหน่อย เพียงได้ยินการข่มขู่ของเฟิงจื่ออีก็ร้องไห้น้ำตาไหลพรากโดยพลัน

เฟิงจื่ออีเห็นพุ่มดอกไม้ขยับ และเห็นชายเสื้อของเจ้านายโผล่ออกมา นางมิได้แหวกดู แต่รีบเอ่ยย้ำว่า “คุณหนู ท่านคงรู้ใช่หรือไม่ว่าคนขาหักต้องเดินอย่างไร จะต้องงอมือ และอาศัยการออกแรงจากข้อศอก จากนั้นก็คลานไปเรื่อยๆ คลานจนข้อศอกกับหัวเข่าเลือดไหลซึมก็ยังต้องคลานต่อไป…”

เฟิงจื่ออีไม่รีบร้อนที่จะออกไปตามจับตัวเจ้านายผู้ชอบเล่นซ่อนหา นางยืนเท้าเอว รอให้ฝ่ายตรงข้ามเดินออกมาเองอย่างว่าง่าย

นางเข้ามาอยู่ในจวนได้เดือนกว่าแล้ว เดิมทีนางถูกสั่งให้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในห้องครัว ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้นางพบว่าจวนสกุลฉีมีความลับที่ มิอาจบอกให้คนภายนอกรับรู้ นั่นคือสมาชิกในจวนสกุลฉีทั้งผู้เฒ่าและคนหนุ่มสาวต่างเป็นคนจิตใจดี ไร้เล่ห์เหลี่ยม ขนาดผู้อื่นบอกว่าข้าวสารหนึ่งกระสอบราคาสิบตำลึงพวกเขาก็เชื่อรีบนับเงินจ่ายให้ทันที ซื้อของแพงยังต้องร้องตะโกนว่าได้กำไร หนำซ้ำหัวเราะร่วนโอ้อวดไปทั่วสารทิศ

ไม่น่าแปลกใจที่บอกความลับนี้ให้คนภายนอกรับรู้ไม่ได้ มิเช่นนั้นทุกคนคงกรูกันมาทำการค้าด้วยปานฝูงผึ้งเป็นแน่ แม้จวนสกุลฉีร่ำรวยที่สุดในแคว้นหงเย่ว์แต่ก็ยังต้องนั่งกินนอนกินสมบัติเก่าจนหมด ตามความเห็นของนาง โชคดีที่ในจวนมีพ่อบ้านซื่อสัตย์และภักดีอย่างฉีกุ้ยคอยดูแลนั่นจัดการนี่ จึงทำให้จวนสกุลฉียังไม่ถึงขั้นต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะเจ้านายผู้ไร้เดียงสาเหล่านี้

แม้นางเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน แต่นางก็เข้าใจนิสัยของเจ้านายทุกท่านดี

นายท่านแห่งจวนสกุลฉีมีภรรยาเอกและอนุภรรยาอย่างละคน ภรรยาเอกให้กำเนิดบุตรชายคนโตนามฉีเทียนเฮ่าและบุตรีคนโตนามฉีเทียนเล่อ อนุภรรยานั้นให้กำเนิดบุตรชายคนรองนามฉีเทียนฮวนและบุตรสาวคนเล็ดนามฉีเทียนสี่ การที่เพียบพร้อมไปด้วยภรรยาเอกและอนุภรรยา ทั้งบุตรชายบุตรสาวเช่นนี้ ช่างเป็นชีวิตที่สุขสันต์จริงๆ

ทว่าเจ้านายแต่ละคนต่างมีข้อบกพร่องของตน เริ่มจากนายผู้เฒ่าที่แสนดื้อรั้น เขามักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการท่องยุทธภพ เสาะหาเรื่องราวแปลกใหม่ นายท่านนั้นเป็นเสือกระดาษที่ผู้คนต่างรู้จักกันดี แม้ภายนอกเข้มงวด แต่ความจริงแล้วใจดี มีเมตตา และหูเบายิ่ง ฮูหยินเอกไม่กินเนื้อสัตว์มาหลายปี เอ่ยแต่ละทีพูดถึงแต่เรื่องช่วยเหลือผู้อื่นตลอดเวลา และอนุฟางผู้งดงามราวบุปผา นางเป็นคนเดียวในจวนสกุลฉีที่ไม่มีทางโยกย้ายทรัพย์สินเงินทองออกไปข้างนอก เพราะนางหาได้มีอำนาจที่แท้จริงในจวนสกุลฉีไม่

คุณหนูใหญ่ฉีเทียนเล่อผู้มีอายุเพียงสิบสองปี แม้มากความสามารถและรูปโฉมงามล้ำ รู้กาพย์กลอนและเข้าใจหลักจรรยา ทว่าทักษะเย็บปักถักร้อยนั้นย่ำแย่ยิ่ง การจัดการดูแลจวนสกุลฉีก็หาได้เรื่องได้ราว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณชายรองฉีเทียนฮวนผู้นั้น เอาแต่ปั่นจิ้งหรีดทั้งวัน ไม่พิสมัยการอ่านตำรา และชอบออกไปข้างนอก ใช้ชีวิตประหนึ่งงูก็มิปาน

คุณหนูคนเล็กที่อยู่ตรงหน้านางอย่างฉีเทียนสี่ยิ่งไม่มีอันใดให้คาดหวัง หากบอกให้นางเลี้ยงอาหารขอทานจนอิ่มท้องหรือให้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายดูจะเป็นไปได้มากกว่า

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกคนหนึ่งที่นางยังไม่เคยเจอจนกระทั่งบัดนี้ คุณชายใหญ่ฉีเทียนเฮ่าแห่งจวนสกุลฉี ด้วยอายุเพียงสิบห้าปีก็เผยให้เห็นถึงความสามารถและวิชาฝีมือเหนือคนทั่วไปแล้ว

ได้ยินว่านับแต่แคว้นหงเย่ว์ก่อตั้งขึ้น ผู้ปกครองแคว้นทุกยุคทุกสมัยล้วนใช้วิธีสืบสันตติวงศ์ทางสายโลหิต จวบจนปัจจุบันนี้ก็ยังคงรักษาความรุ่งเรืองสมัยก่อตั้งแคว้นไว้ได้ดังเก่า ถือเป็นความดีความชอบใหญ่หลวงของสี่สกุลใหญ่ที่คอยพิทักษ์ปราการเมืองทั้งสี่

ฉีเทียนเฮ่านั้นเป็นวีรบุรุษที่ถูกวาดหวังมากที่สุดในหมู่ผู้สืบทอดของสี่สกุลใหญ่ จนได้รับฉายาว่า “เทพอินทรีเหนือเวหา” ด้วยเหตุนี้เขาจึงรับตำแหน่งเจ้าเมืองจูเช่ว์เร็วกว่ากำหนด หากว่ากันตามจริงเขาสมควรเป็นบุคคลอัจฉริยะที่ดูแลจัดการจวนสกุลฉีและเมืองจูเช่ว์ได้

ทว่าช่วงนี้เขากลับหมกมุ่นอยู่กับวิชาฝีมือเสียนี่ กิจการของเมืองจูเช่ว์เป็นความรับผิดชอบของเขา ได้ยินมาว่าเขาจัดการได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่เรื่องในจวนสกุลฉีแทบจะให้คนในครอบครัวจัดการกันเอง ดังนั้นนางจึงไม่เคยพบเขา

เดิมทีนางก็มิได้อยากสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของเจ้านายทุกคนนัก ทว่าสุดท้ายนางก็ทนดูไม่ไหวจริงๆ ถลุงเงินดุจถลุงดินก็มิปาน แม้พวกเขามีกิจการใหญ่โตพอให้ถลุงเล่นถึงสามชาติก็ตาม แต่พอเห็นพวกเขาโดนคนหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำยังใช้วิธีหลอกลวงกระจอกๆ นางจึงคิดว่าหากยังไม่ออกหน้าช่วยเหลือ ตนเองก็ถือเป็นคนโง่เง่าเช่นกัน

คิดไม่ถึงว่าพอออกหน้าจัดการเรื่องข้าวสาร พ่อบ้านฉีกลับบอกว่านางเป็นคนเก่งที่อบรมบ่มเพาะได้จึงย้ายนางมาเป็นสาวใช้ข้างกายฉีเทียนสี่ทันที เพื่อควบคุมคุณหนูรองผู้รู้จักแต่ใช้จ่ายเงินมากที่สุดในจวนสกุลฉีอย่างลับๆ

“ที่แท้คุณหนูรู้สึกว่าใช้เท้าเดินลำบากหรือเจ้าคะ เช่นนั้นวันหน้าก็คลานเอาก็แล้วกัน…”

ไม่ต้องรอให้นางพูดจบ ฉีเทียนสี่ที่มีใบไม้กับเศษหญ้าติดเต็มศีรษะก็ปรากฏกายออกมา สีหน้ากล้ำกลืน นัยน์ตาสุกสกาวมีน้ำตาเอ่อคลอ พลางตะโกนเสียงเบาปานเสียงยุงว่า “จื่ออี จื่ออี ข้าออกมาแล้ว เจ้าอย่าโกรธข้านะ…อย่าหักขาของข้า…”

ท่าทางนางขี้ขลาด คล้ายลืมสิ้นแล้วว่าตนเองต่างหากที่เป็นเจ้านาย ส่วนคนที่กล้าดุด่าและชักสีหน้าใส่นางคนนั้นเป็นเพียงสาวใช้ที่ใช้เงินซื้อมาเท่านั้น

“เช่นนั้นก็ดี ข้าไม่ทะเลาะกับท่านแล้ว ท่านวางนกน้อยในอ้อมแขนลงเถิดเจ้าค่ะ” เฟิงจื่ออีเห็นท่าทางน่าสงสารของฝ่ายตรงข้ามจนเคยชิน นางจึงออกคำสั่ง สีหน้าไร้อารมณ์

“ไม่ ข้าไม่ปล่อย มันบาดเจ็บ ข้าจะช่วยรักษามัน” นกน้อยน่าสงสารปีกหักหมดแล้ว

ได้ยินดังนั้นเฟิงจื่ออีก็เบ้ปาก นางยังดูน่าเกรงขามกว่าคุณหนูผู้ดีมีสกุลเสียอีก “รักษาตนเองก่อนเถิด! ลองดูข้อศอกของท่านสิ เลือดไหลแล้ว ท่านอยากให้ข้าถูกพ่อบ้านฉีลงโทษใช่หรือไม่เจ้าคะ” คุณหนูต้องช่วยเจ้าตัวน้อยพวกนี้เป็นแน่ถึงได้มีสภาพเช่นนี้ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองบาดเจ็บได้อย่างไร

ฉีเทียนสี่ที่ไม่เคยสังเกตว่าที่มือมีเลือดออกก็ร้องด้วยความแปลกใจ นางเผยรอยยิ้มซื่อๆ แสนน่าเอ็นดูออกมาทันใด “จื่ออี ทำอย่างไรดี ดูคล้ายจะเริ่มเจ็บแล้ว”

เฟิงจื่ออีลอบถอนหายใจ จากนั้นก็รับนกในอ้อมแขนของฉีเทียนสี่ “นกตัวนี้อีกประเดี๋ยวค่อยส่งให้พ่อบ้านฉีจัดการ คุณหนูไปรักษาแผลที่มือกับข้าเถิด”

“แผลที่มือ…อา เช่นนั้นพวกเราไปเอายาจากพี่ใหญ่กัน ยารักษาบาดแผลของเขาใช้ดียิ่งนัก! เวลานี้เขาน่าจะฝึกกระบี่อยู่หลังเขา พวกเรารีบไปหาเขาเร็วเข้า ขืนช้าไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ใดอีก” ฉีเทียนสี่จูงมือสาวใช้ประจำกายรีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต้องห้ามหลังเขาที่ไม่อนุญาตให้บ่าวไพร่ไปเพ่นพ่าน ฝีเท้าเร็วจนเฟิงจื่ออีมีเวลาเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้นที่จะมอบนกน้อยต่อให้คนอื่น

 

ไม่นานนักก็มีเสียงโอดครวญดังมาจากหลังเขา…

“โอ๊ย! เจ็บนะ ใครเขวี้ยงหินใส่หัวข้า!” น่าชังนัก แค่วิ่งรอบภูเขาเป็นเพื่อนคุณหนูผู้โง่งมก็เหนื่อยจะแย่ ยังจะมาโดนคนลอบโจมตีอีก!

เฟิงจื่ออีลูบคลึงศีรษะพลางทำหน้ามุ่ย จากนั้นก็มองหาคนร้ายไปรอบๆ ทว่านางกลับไม่เห็นคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาหลังต้นไม้ นางจึงก้มตัวลงเก็บหยกเขียวมรกตอาบโลหิตชิ้นหนึ่งขึ้นมา นางไม่รู้มูลค่าของมันจึงหมายจะเขวี้ยงกลับไปเพื่อแก้แค้น

“อย่าขว้าง อย่าขว้างนะ นั่นเหมือนจะเป็นป้ายหยกของพี่ใหญ่” ฉีเทียนสี่มองแล้วคุ้นตาจึงรีบกล่าวทันที

“คุณชายใหญ่หรือ” ไม่หรอกมั้ง คุณชายใหญ่แห่งจวนสกุลฉีอันมีเกียรติเป็นเด็กซนนิสัยเสียหรอกหรือ คิดไม่ถึงว่าเขาจะแอบอยู่ในที่ลับตาแล้วเขวี้ยงป้ายหยก ลอบโจมตีผู้อื่นเช่นนี้

“จื่ออี เจ้ารีบช่วยข้าตามหาพี่ใหญ่เร็ว เขาต้องอยู่แถวนี้แน่” ฉีเทียนสี่พูดด้วยความเป็นห่วง “เขาคงไม่ได้รับบาดเจ็บหรอกนะ มิเช่นนั้นไฉนถึงไม่ออกมาให้เห็นเล่า”

ความเจ็บบนหน้าผากทำเฟิงจื่ออีเกิดอคติและความประทับใจเลวร้ายค่อคุณชายน้อยซึ่งไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน นางตัดสินใจแล้วว่าไม่จำเป็นต้องสนใจเขา “คุณหนูบอกว่าวิชายุทธ์คุณชายใหญ่เลิศล้ำ สูงส่งเหนือผู้ใดไม่ใช่หรือ ดังนั้นก็ไม่น่าจะเรื่องเกิดขึ้นกับเขา ต่อให้เขาบาดเจ็บที่แขนหรือขาหักก็ยังคลานกลับไปได้ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องเขาหรอกเจ้าค่ะ”

ได้ยินเช่นนั้น ฉีเทียนเฮ่าที่เหงื่อกาฬไหลรินและเปล่งเสียงไม่ออกอยู่หลังต้นไม้ก็ได้แต่โมโหในใจ ทว่าก็ทำอันใดเด็กที่พูดจาจองหองคนนั้นไม่ได้อยู่ดี

วันนี้เขาฝึกวิชาประจำตระกูล “เพลงกระบี่เหนือเวหา” อยู่หลังป่าไผ่ตามปกติ เริ่มด้วยกระบวนท่า “มังกรแหวกว่ายทลายวารี” ร่ายรำอย่างมีชีวิตชีวาจนหนอนจำศีลทั่วทุกสารทิศต้องสะดุ้งตื่น ต่อด้วยกระบวนท่า “กรงเล็บกระเรียนกลางเมฆา” เพลงกระบี่รวดเร็วฉับไวและดุดันดั่งลมพายุโหมกระหน่ำพาให้วิหคที่พักผ่อนอยู่ในป่าด้านล่างแตกฮือ โบยบินออกไปทั้งฝูง กระพือปีกโฉบไปมากลางนภา

ทันใดนั้นอาการเสียวแปลบในใจพลันแล่นขึ้นมาจากข้อเท้า พริบตาเดียวก็ทำเขาเจ็บปวดจนยืนไม่ไหว สีหน้าซีดขาวทันที ความร้อนวูบวาบแล่นไปยังจุดตันเถียน[6]อย่างรวดเร็ว ก่อนพุ่งตรงเข้ากลางอก

กลิ่นคาวพุ่งขึ้นมาในลำคอโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า สมาธิและจิตใจแตกซ่าน เขาจึงทำได้เพียงใช้กระบี่ยันพื้นพยุงร่างกายของตนไว้ ทว่าสายตากลับพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังปรากฏเงาซ้อนทับกันสามสี

เขาไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่รับรู้ได้รางๆ ว่านี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าพิษได้แล่นเข้าสู่เส้นลมปราณแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณเพื่อขับพิษทันควัน แต่มิคาดว่าทั่วทั้งร่างกลับมิอาจออกแรง ฤทธิ์ของพิษเร็วกว่าที่คิด เขาจึงทำได้เพียงสกัดจุดลมปราณสำคัญอย่างจุดถานจง[7]เอาไว้ให้เร็วที่สุด เพื่อเลี่ยงมิให้พิษร้ายจู่โจมหัวใจ

ยามนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ไม่ให้องครักษ์ติดตามมาด้วย แม้เขายังมีสติสัมปชัญญะ แต่ก็เข้าใจดีว่าคงฝืนได้อีกไม่นาน หากไม่มีผู้ใดโผล่มาช่วย เกรงว่าวันพรุ่งที่นี่คงจะมีศพเพิ่มอีกศพเป็นแน่

ขณะมึนงง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาและเสียงสนทนาเจื้อยแจ้ว จึงรีบใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายขว้างป้ายหยกรูปอินทรีที่ผูกอยู่ตรงเอวออกไป…ไม่คิดว่าจะเป็นเพียงแม่หนูคนหนึ่งที่ไม่อยากดูดำดูดีความเป็นความตายของเขา

ฉีเทียนเฮ่าบันดาลโทสะจนขมวดคิ้วมุ่น เลือดลมในท้องปั่นป่วนพลุ่งพล่าน เขาทำได้เพียงฝืนสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง แล้วตะโกนดังๆ เรียกหาแม่หนูน้อย

อันที่จริงเสียงตะโกนของเขานั้นหาดังไม่ เพียงดังกว่าเสียงพูดกับตนเองเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่ออยู่ท่ามกลางเสียงลมพัดในป่าไผ่กับเสียงต้นไผ่เสียดสีกันเช่นนี้ก็แทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ

ทว่าเฟิงจื่ออีที่กำลังลากฉีเทียนสี่กลับจวนนั้นมีโสตประสาทไวกว่าคนทั่วไป นางได้ยินคล้ายเสียงร้องครวญคราง เมื่อหันกลับไปมองก็สะดุดตาเข้ากับรองเท้าหุ้มข้อสูงสีดำสนิทที่ขยับเขยื้อนได้คู่หนึ่ง

นางจะทำเป็นไม่เห็นแล้วหันหลังจากไปก็ย่อมได้ แต่นางมิได้ไร้มโนธรรม มิอาจไร้จิตสำนึกกระทั่งเห็นคนเสียชีวิตแล้วแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเช่นนั้น นางลังเลเล็กน้อยก่อนจำใจแหวกพงหญ้าที่สูงกว่านางออก จากนั้นก็ชะโงกหน้ามอง  ทันใดนั้นนัยน์ตาสองคู่พลันสบประสาน

ดวงตากลมโตกระจ่างใสราวทะเลสาบสบกับนัยน์ตาลึกล้ำปานน้ำในบึง ทั้งคู่ไม่พูดไม่จาชั่วขณะ เงียบจนต่างฝ่ายต่างมีเพียงภาพสะท้อนอยู่ในลูกตาเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าเฟิงจื่ออีไม่หันศีรษะกลับมา ฉีเทียนสี่จึงชะโงกหน้าสำรวจตาม “โห! จื่ออี เจ้าหาพี่ใหญ่เจอแล้ว เก่งจริง ข้ายังนึกว่าเขาแอบย่องกลับจวนแล้วเสียอีก…เอ๊ะ! พี่ใหญ่! ท่านกินผลไม้เน่าเข้าไปหรือ เหตุใดจึงอ้วกน้ำสีดำออกมาตลอดเลยเล่า ท่านแม่ข้าบอกว่าจะกินผลไม้บนเขามั่วซั่วมิได้ บางอย่างกินแล้วอาจถึงตาย…”

ฉีเทียนเฮ่าที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะเอื้อนเอ่ยได้แต่ถอนใจเฮือกในใจลึกๆ มีน้องสาวที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ชวนใหเเศร้าใจยิ่งนัก

ฉีเทียนสี่ที่ถูกพี่ชายจ้องเขม็งหน้าตายังเบิกบานไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ใบหน้างดงามไร้เดียงสา ปราศจากความกังวลใจ นางหัวเราะคิกคักตลอดเวลาจนแทบทำให้พี่ชายคนโตของนางโมโหตายอยู่รอมร่อ

โชคดีที่เฟิงจื่ออีเฉลียวใจ นางรีบดึงคุณหนูผู้รนหาที่ตายออกมา ป้องกันไม่ให้นางสัมผัสเลือดดำที่มีพิษ และชี้ไปยังฉีเทียนเฮ่าที่ใบหน้าเปลี่ยนจากซีดขาวเป็นดำคล้ำอย่างไม่สะทกสะท้าน

“เขาถูกพิษ” น้ำเสียงของเฟิงจื่ออีราบเรียบและไร้ซึ่งความตื่นตระหนก

“ถูกพิษหรือ” ฉีเทียนสี่ยังคงงงงวย ไม่เข้าใจว่าอันใดคือถูกพิษ ใบหน้างุนงงของหนูน้อยแลดูสับสน

“ก็คือ…ก็คืออาจตายได้อย่างไรเล่า!” ใช่ว่าเฟิงจื่ออีจะอยากแช่งฉีเทียนเฮ่า แต่นางคิดหาคำอธิบายที่ง่ายกว่านี้ไม่ออกจริงๆ

พอได้ยินว่าอาจเสียชีวิต นัยน์ตางามสั่นไหว น้ำตาเอ่อคลอทันที “อันใดนะ พี่ใหญ่จะตายหรือ จื่ออี เจ้ารีบช่วยพี่ใหญ่เร็วเข้า! ข้าไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย! เจ้ารีบช่วยเขาเร็ว…ฮือ…เจ้าทำได้อยู่แล้ว…ฮือ…”

เฟิงจื่ออีขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “การช่วยเขาช่างยุ่งยากยิ่งนัก”

คำพูดนี้ทำฉีเทียนเฮ่าที่กึ่งหลับกึ่งตื่นเกือบกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้ฉีเทียนสี่มีไหวพริบ นางรีบขอร้องให้ช่วยพี่ใหญ่ “จื่ออี ขอร้องเจ้า ข้าก็จะช่วยเจ้าด้วย”

“จริงรึ” แม่หนูน้อยเฟิงจื่ออีได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วเหมือนยังอยากพูดบางอย่าง

ฉีเทียนสี่มิได้สังเกตเห็นความผิดปกติรีบพยักหน้าโดยพลัน มิคาดว่าผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ[8]นางก็รู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้น

“นี่อันใด อันใดเนี่ย…เหม็นจริง เหม็นมาก! เจ้าอย่าเอามาใกล้ข้านะ…เอาออกไปเร็ว…เหม็นจะตายอยู่แล้ว!” ฉีเทียนสี่บีบจมูก ถอยกราวรูดปานเห็นอึสุนัข ถอยห่างไปหลายร้อยฉื่อ[9]พร้อมสีหน้าตื่นตระหนกระคนประหวั่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเดินเข้าไปใกล้เฟิงจื่ออีแม้ครึ่งก้าว

อันที่จริงใช่ว่าฉีเทียนสี่ไม่อยากช่วยเหลือ เพียงแต่ใบหน้าดำคล้ำของพี่ใหญ่น่ากริ่งเกรงมากจริงๆ อีกทั้งกลิ่นคาวชวนให้คนบีบจมูกนั้นเหม็นยิ่งนัก เพียงนางเข้าใกล้ก็อดรู้สึกมวนท้องไม่ได้ นางปิดปากด้วยอยากอาเจียนอยู่ตลอดเวลา

จื่ออีช่างกล้าหาญยิ่งนัก! ถึงกับกล้าเอาของเหม็นขนาดนั้นทาเท้าของพี่ใหญ่ สีหน้าจริงจังคล้ายคนที่โตแล้ว

“คุณหนู อย่าเอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับสิ เมื่อครู่ยังบอกว่าจะช่วยไม่ใช่หรือ เช่นนั้นยามนี้ยังไม่พยุงคุณชายใหญ่ขึ้นมา ท่านอยากให้เขาตายอนาถอยู่กลางป่ารกร้างหรือไร” ตกลงคุณหนุหนีอันใดกันแน่ ก็แค่กลิ่นเหม็นนิดหน่อยเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ เพราะครอบครัวของอาหกยากจนจึงเชิญท่านหมอมารักษาไม่ได้ หากเจ็บป่วยเล็กน้อยอาหกก็จะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาต้มกิน นางตามไปด้วยถึงพอจะรู้จักสมุนไพรอยู่บ้าง นางรู้ว่า “หญ้าอวี๋ซิง” ช่วยขับพิษและสลายเลือดคั่ง แม้กลิ่นเหม็นไปนิด แต่โชคดีที่มียานี้ขึ้นอยู่ข้างๆ พงหญ้า มิฉะนั้นนางคงช่วยเขาไม่ได้

“…เหม็น…” ใบหน้าอมชมพูงอง้ำ ฉีเทียนสี่ทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

เฟิงจื่ออีทำเสียงหึอย่างเย็นชาคล้ายผู้ใหญ่ในร่างเด็ก “เหม็นอันใดกัน หากรอให้คุณชายกลายเป็นศพจะเหม็นยิ่งกว่านี้ ท่านอยากเห็นหนอนไต่เต็มตัวเขารึไร”

หญ้าอวี๋ซิงที่ถูกตำจนแหลกส่งกลิ่นคาวปลาที่เหม็นเน่ามากๆ ออกมา แม้กลิ่นเหม็น แต่ก็เป็นของดีที่คนยากจนใช้รักษาแผล หากมิใช่เพราะคุณชายใหญ่ผู้นี้ดวงดียิ่ง เขาคงกลายเป็นศพที่มีหนอนไต่เต็มตัวไปแล้วจริงๆ

“หนอน หนอนเต็มตัว…” สายตาของฉีเทียนสี่ที่แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิดฉายแววหวาดหวั่น แก้มดั่งผลท้อขาวอมชมพูพลันซีดเผือด

“รีบมาเร็วเข้า ข้าพยุงเขาคนเดียวไม่ไหว…” จริงๆ เลย ปกติคุณชายใหญ่ผู้นี้กินอันใด ไฉนตัวถึงได้หนักเพียงนี้

“ข้า…ข้าไม่กล้า…ก็มันเหม็นจริงๆ นี่!” ฉีเทียนสี่หน้ายับยู่ยี่เดินไปได้เพียงสองก้าว กลิ่นเหม็นพลันพุ่งเข้าจมูก นางถอยไปไกลกว่าเดิมดังกระต่ายขาวตัวน้อยที่กำลังตื่นตระหนก นางตกใจสุดขีดจนลืมไปแล้วว่าคนที่นางหลีกหนีอยู่นั้นคือพี่ใหญ่พี่ชายแท้ๆ ของนาง

“ท่านนี่…หากท่านยังไม่มาอีก ข้าจะกินขนมเกาลัดที่ท่านชอบที่สุดให้เกลี้ยง ไม่เหลือให้ท่านแม้แต่ชิ้นเดียว!” โชคดีที่เฟิงจื่ออีรู้ดีว่าฉีเทียนสี่ชอบอันใด จึงไม่ใช่ปัญหาหากจะนำมาขู่นางสักหน่อย

“ไม่ได้! เจ้ากินขนมเกาลัดของข้าไม่ได้ ข้าเป็นคุณหนู เจ้าเป็นสาวใช้…เอ๊ะ! จื่ออี เจ้าอย่าจ้องข้าสิ…ข้า…กำลังไปอยู่นี่อย่างไร…” ฮือ…จื่ออีช่างน่ากลัวนัก จื่ออีถลึงดวงตาคู่นั้นราวกับจะจับนางกิน

เห็นสายตาดุร้ายที่สาวใช้ของตนส่งมา ความเด็ดเดี่ยวของคุณหนูสกุลฉีผู้มีนิสัยอ่อนโยนก็สลายกลายเป็นควันทันที นางตัวสั่นด้วยความประหวั่นและรู้สึกกลัวโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเทียบกับกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนนั่นแล้ว ฉีเทียนสี่กลัวหน้าตาถมึงทึงของจื่ออีมากกว่า เพียงแค่สบตามองหัวใจก็เต้นโครมคราม ทำให้รู้สึกว่าหากไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเฟิงจื่ออีแล้วจะต้องมีจุดจบที่น่าอเนจอนาถเป็นแน่แท้

เพียงแต่หากอาศัยแค่แรงของเด็กน้อยทั้งสองในการเคลื่อนย้ายฉีเทียนเฮ่าที่ถูกพิษจนหมดสติกลับจวนนั้นยากยิ่งปานปีนขึ้นฟ้า ทว่าโชคดีขณะทำการ “เคลื่อนย้าย” อยู่นั้น ฉีเทียนเฮ่าซึ่งอาการทุเลาลงแล้วก็ได้สติชั่วคราว พวกนางจึงไม่ต้องเปลืองแรงมากจนเกินไปนัก

 

[1] เทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตรงกับฤดูใบไม้ผลิ

[2] 1 หมู่ ประมาณ 666.67 ตารางเมตร

[3] กุหลาบสายพันธุ์หนึ่ง หรือกุหลาบป่า

[4] แอปริคอต

[5] เชอร์รี

[6] จุดเลือดลมในร่างกายมีทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ หว่างคิ้วเรียกว่าจุดตันเถียนบน ใต้หัวใจเรียกว่าจุดตันเถียนกลาง และใต้สะดือเรียกว่าจุดตันเถียนล่าง

[7] จุดรวมลมปราณของเยื่อหุ้มหัวใจ อยู่บริเวณกลางอกระหว่างหัวนม ตรงกับช่องระหว่างกระดูกซี่โครงซี่ที่สี่

[8] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

[9] 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 ชุ่นหรือนิ้ว

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า