[ทดลองอ่าน] โฉมตรูคู่หทัย บทนำ

《妻恩浩蕩》
โฉมตรูคู่หทัย

 

จี้ชิว เขียน
เหมยชมจันทร์ & เชาว์เหลียน แปล

 

— โปรย —

เฟิงจื่ออี จากเด็กหญิงตัวน้อยในครอบครัวที่กุมความลับบางอย่างจนถูกปองร้าย
ต้องกลายสถานะมาเป็นหญิงรับใช้ของ ฉีเทียนเฮ่า เจ้าเมืองจูเช่ว์
วันเวลาในจวนเหล่านั้นนางอยู่เย็นเป็นสุข

ด้วยทุกคนในจวนรักนางประหนึ่งคนในครอบครัวเดียวกัน
แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อช่วยขจัดภัยพาลและตามล่าหาสมบัติ
เพลงกล่อมเด็กที่มารดาเคยสอนร้องครั้งเยาว์วัยกลับกลายเป็นลายแทงขุมทรัพย์!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

บทนำ

 

“แคว้นหงเย่ว์ยืนยงหมื่นหมื่นปี แม่น้ำจูเจียงหล่อเลี้ยงไพร่ฟ้านับหมื่น สี่สมุทรเนืองหนุนจมเกาะเซียน ทรัพย์ศฤงคารซ่อนใต้ปฐพี หนึ่งกุญแจหนึ่งแผนที่ต้องพร้อมพรักหากปรารถนาขุมทรัพย์ มังกรเขียว[1]พิทักษ์ประตู พยัคฆ์ขาวปกปักแปดทิศ วิหคเพลิงเต่าดำร่วมปกป้องสมบัติ แว่นแคว้นจึงมั่งคั่งหลายพันปี”

ในหมู่บ้านเล็กๆ นอกเมืองจูเช่ว์ เด็กๆ วิ่งโอบล้อมกันเป็นวงกลมพลางจับมือกันร้องเพลงกล่อมเด็กที่ทุกคนในแคว้นหงเย่ว์ร้องได้ แม้เป็นเพลงกล่อมเด็กธรรมดาๆ ทว่าร้องเกี่ยวกับตำนานของแคว้นหงเย่ว์

กล่าวกันว่าหลายร้อยปีก่อน บรรพบุรุษของแคว้นหงเย่ว์ร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติที่เทพเจ้าทิ้งไว้ที่แม่น้ำจูเจียงแห่งนั้น จึงสถาปนาแคว้นขึ้น ยิ่งกว่านั้นบางคนยังบอกว่าสมบัติที่บรรพบุรุษเจอครั้งนั้นยังใช้ไม่หมด เหลือตกทอดไว้ให้ชนรุ่นหลังบ้างบางส่วน เพลงกล่อมเด็กนี้จึงเป็นคำบอกใบ้แก่อนุชนรุ่นหลังที่กำลังตามหาขุมสมบัติ ดังนั้นช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาจึงมีแต่คนละโมบที่ง่วนอยู่กับการตามหาสมบัติของแคว้นหงเย่ว์ทั้งสิ้น

ทว่านับแต่ก่อตั้งแคว้นก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงขนาดและตำแหน่งที่ตั้งของเมืองทั้งสี่ อย่างเมืองชิงหลง ไป๋หู่ จูเช่ว์ และเสวียนอู่ที่แตกต่างไปจากกาลก่อน หนำซ้ำแม่น้ำจูเจียงสายนั้นก็ไม่ได้อยู่ในแผนที่ของแคว้นหงเย่ว์ตั้งนานแล้ว จะว่าไป ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นกุญแจกับแผนที่ซึ่งกล่าวถึงในเพลงกล่อมเด็กด้วยซ้ำ นักล่าสมบัติจึงมักจะคว้าน้ำเหลวกลับมาเป็นประจำ สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้กำไรที่สุดก็คือเพลงกล่อมเด็กเพลงนี้ ซึ่งถูกผู้คนร้องเล่นติดต่อกันมานานหลายร้อยปีโดยไม่ลืมเลือน

บางคนเดาว่าอาจมีเพียง “สี่สมุทรเนืองหนุนจมเกาะเซียน” ประโยคนี้เท่านั้นที่เป็นความจริง แม้แคว้นหงเย่ว์ยามนี้จะอุดมสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรือง ทว่าแต่ละเมืองกลับแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน แน่นอนว่าขุมทรัพย์ย่อมอันตรธานพร้อมกับเกาะเซียนนั่นแล้ว

มังกรเขียวในเพลงกล่อมเด็กคงหมายถึงเมืองชิงหลงที่อยู่ทางตะวันออกซึ่งมีภูมิประเทศติดกับแม่น้ำอันเลื่องชื่อแห่งแคว้นหงเย่ว์ ด้วยลักษณะภูมิประเทศจึงทำให้เมืองนี้มีทั้งลำธารและแม่น้ำมากมาย แคว้นจึงขยายการคมนาคมทางน้ำไปทั่วทุกสารทิศ ราษฎรใช้เรือแทนการเดินเท้าในพื้นที่นี้สะดวกมากยิ่งขึ้น ดังนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จึงจับปลาเลี้ยงชีพ แค่การจับปลาก็เพียงพอต่อความต้องการของผู้คนทั้งแคว้นแล้ว

เมืองไป๋หู่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของแคว้น ติดกับชายแดนและรายล้อมไปด้วยทะเลทราย และเป็นเพียงเมืองเดียวที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณแหล่งน้ำกลางทะเลทรายซึ่งยังมีพื้นที่ชุ่มชื้นเขียวขจีเหลืออยู่ แม้ไม่มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอให้พึ่งพาตนเองได้ ทว่าด้วยชัยภูมิอีกเช่นกัน ทำให้บริเวณนี้มีสัตว์ป่าชุกชุม ราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพล่าสัตว์และค้าขาย ฝ่ายหนึ่งจับสัตว์ อีกฝ่ายค้าขายเนื้อ หนัง และขนสัตว์ บางครั้งหากพบเจอสัตว์ป่าล้ำค่าที่หายาก ก็จะขายได้ในราคาสูง แม้ชีวิตไม่ได้ร่ำรวยอู้ฟู่แต่ก็พออยู่พอกิน

อย่างน้อย เมื่อเทียบกับเมืองเสวียนอู่ที่ตั้งอยู่บนดินแดนห่างไกลทางทิศเหนือซึ่งต้องตั้งเมืองบนสิงขรแล้วถือว่าดีกว่ามากทีเดียว เพราะตรงนั้นเป็นผืนดินแร้นแค้นไร้พืชผล อุณหภูมิระหว่างเวลากลางวันและกลางคืนแตกต่างกันอักโข ทั้งแห้งแล้งและมีฝนตกน้อย หนำซ้ำยังมีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ค่อนข้างสูง ยากแก่การเพาะปลูก ในอดีตจึงทำได้เพียงอาศัยการค้าขายระหว่างทางเหนือและทางใต้ยังชีพเท่านั้น

โชคดีที่สวรรค์ยังเวทนา ไม่กี่ปีมานี้เจ้าเมืองเสวียนอู่เพิ่งค้นพบเกลือสมุทรที่หน้าผาบริเวณใกล้เคียง จึงอาศัยสิ่งนี้ค้าขายกับเมืองจูเช่ว์ และเป็นเพราะค้าขายกับเจ้าเมืองจูเช่ว์จึงพาให้คุณภาพชีวิตของชาวประชาดีขึ้นอีกหน่อย หรือพูดอีกอย่าง หนึ่งก็คือเมืองเสวียนอู่ต้องพึ่งพาเมืองจูเช่ว์ในการดำรงชีวิตนั่นเอง

ตรงกันข้าม เมืองจูเช่ว์กลับเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในแคว้นหงเย่ว์ ตั้งอยู่ทางใต้ มีทั้งบรรพต ทะเลสาบ และพื้นที่ราบลุ่ม ไม่เพียงปลูกข้าวและใบหม่อนได้ แต่ยังเลี้ยงหนอนไหม ทอไหม และปั่นด้าย การค้าเฟื่องฟูและกลายเป็นแหล่งเก็บภาษีหลักๆ ของท้องพระคลัง

แม้แต่หมู่บ้านเล็กๆ นอกเมือง ชาวบ้านก็มีความเป็นอยู่ไม่เลว เพราะทำการค้ากับคนในเมือง พอบิดามารดามีความเป็นอยู่ที่ดี เด็กน้อยหลายคนต่างก็ร้องเพลงกล่อมเด็กและหยอกล้อกันอย่างสบายอารมณ์

“…ตีนเขาจิ้งจอกหยกมีถ้ำหมาป่าสีเงิน จันทราสาดส่องกลับไร้ซึ่งแสงและเงา โยนเหรียญทองแดงถามทางกับใจกลางทะเลสาบ…” เด็กผู้หญิงที่ถักเปียสองข้างจูงมือสหายพร้อมกับร้องเพลงด้วยเสียงอ่อนละมุน

“เสียวเฉี่ยว เจ้าร้องอันใดอยู่หรือ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเลยเล่า” เด็กชายที่เกล้ามวยสูงถามพลางขมวดคิ้ว

เสียวเฉี่ยวตอบอย่างพาซื่อ “เพลงกล่อมเด็กอย่างไรเล่า แว่นแคว้นจึงมั่งคั่งหลายพันปี ตีนเขาจิ้งจอกหยกมีถ้ำหมาป่าสีเงิน จันทราสาดส่องกลับไร้ซึ่งแสงและเงา โยนเหรียญทองแดง…”

“เจ้าจำผิดแล้ว แว่นแคว้นจึงมั่งคั่งหลายพันปีน่ะอยู่ประโยคสุดท้าย เจ้าอยากร้องอีกใช่หรือไม่ นั่นต้องเริ่มจากแคว้นหงเย่ว์ยืนยงนับหมื่นหมื่นปีต่างหาก”

“ข้าจำไม่ผิด นี่ท่านแม่ข้าสอนข้าร้องนะ” นางจะจำผิดได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันมารดาจะต้องร้องเพลงกล่อมข้างหูรอบหนึ่งนางถึงจะนอนหลับ

“เช่นนั้นท่านแม่เจ้านั่นแหละที่จำผิด ลองไปถามคนอื่นสิ ท่านแม่ของพวกเราไม่เห็นสอนพวกเราร้องแบบนี้” เด็กชายพูดอย่างมั่นใจ

การโต้เถียงของทั้งสองคนทำให้เด็กๆ ที่เหลือต่างหยุดร้องเพลง ทุกคนต่างหันมองเสียวเฉี่ยวเป็นตาเดียว และยังมีคนส่งเสียงสนับสนุนเด็กชาย

“อืม ข้าจำได้ว่าท่านยายก็สอนข้าร้องถึงแว่นแคว้นจึงมั่งคั่งหลายพันปี เสียวเฉี่ยวเจ้าคงจำผิดจริงๆ นั่นแหละ”

“เขากับถ้ำอันใดนั่น ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าไปเมืองชิงหลงกับท่านพ่อ ญาติผู้น้องของข้าก็ร้องถึงแค่แว่นแคว้นจึงมั่งคั่งหลายพันปีเหมือนกัน จากนั้นก็ไม่มีต่อแล้ว เสียวเฉี่ยวต้องร้องผิดแน่”

เมื่อสหายเข้าใจผิด เสียวเฉี่ยวก็ขอบตาแดง “ไม่ใช่ ข้าจำไม่ผิด!” พอตะโกนเสร็จ เงาร่างเด็กน้อยก็สะบัดมืออย่างแรงด้วยความโมโห แล้ววิ่งกลับเรือนด้วยความน้อยใจยิ่ง

 

ทันทีที่กลับถึงเรือนนางก็ตามหามารดาไปทั่วบริเวณ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอสตรีผู้หนึ่งอยู่ตรงแปลงผักหลังเรือน สตรีผู้นั้นโน้มตัวดูต้นอ่อนของผักอยู่จึงไม่ทันสังเกตเห็นเด็กน้อยที่เข้ามาใกล้

“ท่านแม่…” ครั้นเสียวเฉี่ยวเห็นมารดา ยังไม่ทันรอให้อีกฝ่ายหันกลับมา นางก็ยื่นมือออกไปกอดเอวของมารดาพร้อมกับร้องไห้ “พวกอาเฉ่าบอกว่าข้าร้องผิด ไม่ใช่ ข้าไม่ ข้า…”

สือน่งเย่ว์ยันกายลุกขึ้น แล้วลูบศีรษะของบุตรีด้วยความรักและความสงสาร จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา “เป็นอันใดไป ค่อยๆ พูด อย่ารีบร้อน แม่ฟังเจ้าอยู่”

ใบหน้าเล็กๆ แหงนขึ้น น้ำตายังเอ่อคลอในเบ้าตา นางต่อว่าด้วยความไม่พอใจ “ท่านแม่ พวกอาเฉ่าไม่รู้ว่าร้องกันอย่างไร บอกว่าข้าร้องผิด ข้าร้องไม่ผิดนะ สิ่งที่ท่านแม่สอนข้า ขนาดตัวอักษรสักตัวข้ายังไม่เคยลืม ตีนเขาจิ้งจอกหยกมีถ้ำหมาป่าสีเงิน จันทราสาดส่องกลับไร้…”

ได้ยินดังนั้น สือน่งเย่ว์พลันตัวแข็งทื่อแล้วพูดขัดบุตรสาวของตน “เฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้าร้องให้คนอื่นฟังแล้วใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ พวกเราเพิ่งร้องเพลงกล่อมเด็กกัน แต่พอข้าร้องไปไม่กี่ประโยค อาเฉ่าก็บอกว่าข้าร้องผิดเสียแล้ว เห็นๆ อยู่ว่าข้าร้องไม่ผิด ท่านแม่ ข้าไม่ได้ร้องผิดใช่หรือไม่เจ้าคะ”

สือน่งเย่ว์ถอนหายใจโล่งอก นางลูบคลำศีรษะของเสียวเฉี่ยว แล้วจัดเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของบุตรีให้เข้าที่ ก่อนหยิบสร้อยคอที่โผล่ออกมาข้างนอกยัดกลับเข้าไปในเสื้อ นั่นเป็นสร้อยกุญแจทองรูปหงส์ที่ร้อยด้วยเชือกสีแดงเส้นหนึ่ง

จากนั้นนางยื่นมือไปจูงมือน้อยๆ อ่อนนุ่ม แล้วค่อยๆ พากันเดินกลับเข้าเรือน

“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงไม่พูดอันใดเล่า” เด็กน้อยรีบร้อนอยากได้คำยืนยันจากมารดา

“เฉี่ยวเอ๋อร์ นิสัยใจร้อนของเจ้าต้องเปลี่ยนได้แล้วนะ จะทำสิ่งใดต้องค่อยๆ คิดถึงจะเข้าใจ ค่อยๆ ทำถึงจะไม่วุ่นวาย เข้าใจหรือไม่” หากแม่หนูคนนี้ไม่เปลี่ยนนิสัย ต่อไปต้องเสียเปรียบเป็นแน่

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ…แต่ท่านแม่คิดว่าเฉี่ยวเอ๋อร์ร้องผิดหรือไม่เจ้าคะ”

สือน่งเย่ว์ส่ายศีรษะ สันดานคนขุดยากจริงๆ เอาไว้ค่ำๆ รอบิดาของเฉี่ยวเอ๋อร์กลับมาคงต้องพูดกับเขาสักหน่อย นิสัยบุตรสาวส่วนใหญ่ล้วนคล้ายคลึงเขาทั้งสิ้น!

เด็กน้อยและหยิงสาวสาวเท้าเข้าเรือน ทว่าสือน่งเย่ว์กลับไม่หยุดฝีเท้า นางค่อยๆ จับจูงบุตรีเดินผ่านลานหน้าเรือนซึ่งวางราวไม้ไผ่ตากเสื้อและผ้าห่ม ไม่เหมือนกับแปลงผักหลังเรือน

นางนั่งลงบนตั่งยาว ยิ้มพลางมองเสียวเฉี่ยวที่ทำปากยื่นด้วยความไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงใช้สองมืออุ้มบุตรสาวขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตน

“เฉี่ยวเอ๋อร์ พวกเรานั่งคอยท่านพ่อเจ้าอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน ท่านพ่อเจ้าบอกว่าผู้ดูแลบัญชีจะลาออก นายท่านจึงจะเลื่อนตำแหน่งให้เขา วันนี้จะนำน่องเป็ดมาให้เจ้าด้วยนะ” เมื่อเห็นว่าบุตรีทำหน้าเบ้ก็รู้ทันทีว่านางยังอารมณ์ไม่ดี สือน่งเย่ว์หัวเราะแล้วเย้าแหย่นาง “เฉี่ยวเอ๋อร์ไม่เอาน่องเป็ดแล้วหรือ”

“ท่านแม่…”

“เอาละๆ เฉี่ยวเอ๋อร์อย่าโมโหไปเลย” สือน่งเย่ว์จงใจบีบจมูกบุตรี เมื่อเห็นปากนางเชิดสูงขึ้น ดวงตาฉายแววรักใคร่เอ็นดู “แม่รู้ว่าเฉี่ยวเอ๋อร์ร้องไม่ผิด”

ในที่สุดใบหน้ากลมๆ ของเสียวเฉี่ยวก็ปรากฏรอยยิ้ม “นั่นอย่างไร ประเดี๋ยววันพรุ่งข้าจะไปบอกอาเฉ่า!”

“ทำแบบนั้นไม่ได้” นิ้วมือขาวเนียนรื้อผมเปียของบุตรสาวออกอย่างคล่องแคล่ว นางหวีผมให้ใหม่อีกรอบ ก่อนแบ่งผมเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน ถักเปียอย่างบรรจง กิริยาท่าทางอ่อนโยนยิ่ง

“ไฉนจึงไม่ได้เล่าเจ้าคะ” นางร้องไม่ผิดสักหน่อย

สือน่งเย่ว์ลอบถอนหายใจ นางครุ่นคิดหาวิธีอธิบายให้บุตรีที่ยังเล็กเข้าใจ “เฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้าจำไว้นะ เพลงที่แม่สอนเจ้าร้อง เจ้าห้ามเอาไปบอกคนนอกเด็ดขาด”

“ทำไมเล่าเจ้าคะ”

“เรื่องนี้เมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะเข้าใจเอง เจ้าเรียนรู้ไปก่อน วันหน้ายังต้องสอนลูกและหลานของเจ้าด้วย” หากพูดยามนี้ อย่างไรแม่หนูน้อยก็คงไม่เข้าใจ ดีไม่ดีคงเผลอหลุดปากพูดเป็นแน่ ไว้อีกสักสองสามปีค่อยพูดกับนางอีกที

เสียวเฉี่ยวไม่เข้าใจ นางขมวดคิ้ว สือน่งเย่ว์รู้จักนิสัยของบุตรสาวดี นางจึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจของเสียวเฉี่ยว “เฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้าดูสิ ทิวทัศน์ยามตะวันลับขอบฟ้าช่างงดงามยิ่ง คล้ายผ้าย้อมสีที่พวกเราเห็นในร้านขายผ้าตอนที่เข้าเมืองเมื่อครั้งก่อนหรือไม่”

“อืม จะว่างามก็งามอยู่เจ้าค่ะ แต่มองทุกวันไม่เห็นเหมือนกันสักวัน ข้าชอบผ้าย้อมสีในร้านขายผ้ามากกว่า แต่ละผืนล้วนแตกต่าง มีทั้งสีที่เหมือนหิมะและเหมือนท้องฟ้า แบบนั้นต่างหากที่งดงาม”

“เด็กโง่ ต่อไปหากเจ้าอยากชมตะวันตกดินเช่นนี้คงไม่ง่ายแล้ว หากท่านพ่อเจ้าได้เลื่อนตำแหน่ง อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องย้ายเข้าเมือง ทิวทัศน์ในเมืองคงไม่งดงามเพียงนี้” แค่บิดาของลูกได้งานดีๆ ทำนางก็ดีใจแล้ว เสียดายก็แต่ยอดผักตรงแปลงหลังเรือนนั่น

“ไม่มีอันใดไม่ดีนี่เจ้าคะ วันหน้าข้าจะได้ไปเดินเที่ยวที่ร้านผ้าทุกวันอย่างไรเล่า”

“ได้ๆ เจ้าไปเดินเที่ยวทุกวัน หากเฉี่ยวเอ๋อร์ของพวกเราถูกใจผ้าผืนใด ประเดี๋ยวแม่จะช่วยตัดชุดใหม่ให้เจ้าเอง” นี่แหละหนาเด็ก! ไม่กังวลว่าต้องไปต่างถิ่นสักนิด “เฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้าร้องเพลงที่แม่สอนให้แม่ฟังหน่อยสิ”

“อื้อ” เสียวเฉี่ยวโยกศีรษะ ร้องเพลงกล่อมเด็กอย่างว่าง่าย “ตีนเขาจิ้งจอกหยกมีถ้ำหมาป่าสีเงิน จันทราสาดส่องกลับไร้ซึ่งแสงและเงา โยนเหรียญทองแดงถามทางกับใจกลางทะเลสาบ ท่านเซียนยกมือชี้บอกทาง จงอย่าถลันเข้าแดนเซียนเพียงลำพัง เดินเคียงคู่จูงมืออยู่ซ้ายขวา จงอย่าเหยียบหินขาวลอยเหนือน้ำ หินดำขยับเขยื้อนคือกับดัก หนึ่งสามห้าเจ็ดจงกระโดด เลขคู่จงเดินหน้าเลขคี่จงหยุดนิ่ง ดวงตาสีเงินของสัตว์ป่าคมกริบยิ่ง จงหมอบกายหลบภัยพาล จงเดินแนวขวางตามอย่างปู ทางซ้ายสามถอยหลังหนึ่ง จงก้มหัวแล้วม้วนตัวอย่างไม้กลิ้ง อย่ารีรอให้พยัคฆ์ร้ายมากัดกาย”

ดวงตะวันสีส้มแสดยามโพล้เพล้กำลังตกดินท่ามกลางเสียงร้องเพลงกล่อมเด็ก มารดากับบุตรีรอคนกลับบ้าน สิ่งที่สือน่งเย่ว์เฝ้ารอคือการตัดได้ชุดใหม่ให้บุตรสาวในวันหน้า ส่วนสิ่งที่เสียวเฉี่ยวเฝ้ารอคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อจะได้เข้าใจถ้อยคำของมารดา

ราตรีดึกสงัด คนที่สมควรกลับเรือนก็ยังไม่กลับ ทว่าแสงไฟสีส้มคล้ายดวงตะวันตกดินกลับลุกโชนอยู่ในกระท่อม เปลวไฟลามไหม้ทุ่งหญ้า กระทั่งกลืนกินสิ่งที่ทุกคนรอคอยจนสิ้น

 

[1] ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณ มีสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ได้แก่ มังกรเขียว (ชิงหลง) เทพแห่งทิศตะวันออก สัญลักษณ์ของคุณงามความดี ความเหมาะสม ความสงบสุขและมั่นคงของบ้านเมือง เสือขาว (ไป๋หู่) เทพแห่งทิศตะวันตก สัญลักษณ์การปกป้องและการคุ้มครอง วิหคเพลิงหรือหงส์แดง (จูเช่ว์) เทพแห่งทิศใต้ สร้างความสมดุลตามธรรมชาติ ความรู้ ความเป็นสิริมงคล ความจงรักภักดี และเต่าดำ (เสวียนอู่) เทพแห่งทิศเหนือ เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า ความศรัทธา อายุยืนยาว ความสุข

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า