[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 6 บทที่ 217 : เขตตัวเมือง

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

— โปรย —

การย้ายบ้านออกมานอกเขตกำแพงแกร่งกร้าวของฐานที่มั่น
ตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ทีมโอตาคุต้องผจญกับโลกกว้างใหญ่
ที่ถึงจะมีอิสรภาพ แต่ก็มีอุปสรรค และบททดสอบมากมายรออยู่
ไหนจะสัตว์กลายพันธุ์แปลกๆ ที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ
ไหนจะกลุ่มคนที่จ้องจะหาประโยชน์เอารัดเอาเปรียบ
ไหนจะความหลงระเริงส่วนตัว พากันเล่นสนุกกันอย่างเมามัน…
เอ๋ มันเกิดอะไรกันขึ้นกับทีมโอตาคุกันล่ะเนี่ย!

ชาติที่แล้วหลัวซวินใช้เวลาร่วมสิบปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์
ในยุควันสิ้นโลกมาพลิกชะตาชีวิตของชาตินี้ได้ใหม่
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อๆไป ทำให้หลายเหตุการณ์
ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่การฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกับทีมโอตาคุ
หลายต่อหลายครั้งได้พิสูจน์ให้เขามั่นใจแล้วว่า
อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร… ก็มาดิค้าบ~

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 217 เขตตัวเมือง

 

เหล่าคนบ้านนอกที่ไม่ได้เข้าเมืองกันมานาน

 

ฐานทัพใหม่ของทีมโอตาคุตั้งอยู่ค่อนไปทางใต้ของเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเออีกที หากขับรถมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง ใช้เวลาหนึ่งวันกว่าๆก็จะถึงฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ (หลังวันสิ้นโลกถนนมีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อ หลายที่พังทรุด จึงต้องขับอ้อมอย่างไม่มีทางเลือก) แต่ถ้าพวกเขาอยากไปทางตอนเหนือของเมืองเอ ซึ่งเป็นศูนย์รวมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ ก็ต้องขับผ่าทะลุไปเกือบครึ่งค่อนเมืองถึงจะถึงที่นั่นได้เร็วที่สุด หรือจะขับเลี่ยงเมืองไปตามถนนรอบนอกเขตตัวเมืองก็ได้ แต่แบบนั้นต้องใช้เวลานานเท่าไรกันล่ะ ที่สำคัญ หากเจอกับทีมที่ออกทำภารกิจของทางการหรือทหารที่ออกมาปฏิบัติการข้างนอกเข้าพอดี มีหวังได้งานเข้าแน่

โชคดีที่ตอนพวกหลัวซวินกำลังวุ่นอยู่กับการสร้างเรือนกระจก พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะคอยจับตาดูสถานการณ์ของคลื่นซอมบี้ในละแวกใกล้เคียงอยู่ตลอด แม้ว่าคลื่นซอมบี้ที่ถอนทัพจากฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ระลอกนั้นจะเดินทางขึ้นเหนือ ผ่านตอนเหนือของเมืองเอด้วยเหมือนกัน แต่ก็ไม่น่าจะมีขบวนซอมบี้หลงเหลืออยู่แล้ว

ต่อให้ในเขตตัวเมืองของเมืองเอจะมีซอมบี้เคลื่อนไหวอยู่ไม่น้อยด้วยเช่นกัน แต่พวกหลัวซวินกลับหาเส้นทางที่ค่อนข้างสะดวกปลอดภัยสายหนึ่งได้ แม้ว่าจะเจอซอมบี้บนถนนเหล่านั้นบ้าง แต่โดยปกติแล้วก็ไม่อันตรายเท่ากับการเผชิญหน้ากับคลื่นซอมบี้ตรงๆ

และถึงแม้เมื่อเข้าเขตตัวเมืองแล้วอาจได้เจอกับทีมที่มาหาทรัพยากรบ้าง แต่ทีมเหล่านั้นส่วนใหญ่มักเป็นทีมที่แยกมากระจัดกระจาย ไม่ได้มีทหารเข้ามาร่วมปฏิบัติการด้วย พวกหลัวซวินจึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับทีมประเภทนี้

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่พวกหลัวซวินไม่ใช้ถนนเลี่ยงเมืองรอบนอกก็คือ หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ปีนี้อากาศอบอุ่นขึ้นเร็วมาก หิมะที่ละลายไปจึงทำให้บ้านเก่า อาคาร และพื้นดินเปียกชื้น พืชต่างๆ ก็ยิ่งเติบโตงอกงามขึ้นเท่านั้น บริเวณฐานทัพใหม่ที่พวกหลัวซวินอาศัยอยู่ในปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน เขตรอบนอกของเมืองเอค่อนข้างเงียบสงบ เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นบนถนนที่แตกพังเสียหาย หรือพื้นที่โล่งริมทาง กระทั่งบนอาคารบ้านเรือนทั้งสองฝั่ง ล้วนถูกปกคลุมด้วยพืชเป็นจำนวนมาก

ภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าพื้นที่รอบนอกสุดหลายแห่งเป็นสีเขียวไปทั้งแถบ หลัวซวินรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยว่า… หากไม่ใช่พืชที่กลายพันธุ์จากต้นข้าวจนเปลี่ยนสีไปอย่างเถาปีศาจซึ่งสังเกตเห็นได้ง่ายๆ แต่เป็นพืชกลายพันธุ์ที่ยังคงเป็นสีเขียวขจีละก็ คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพืชพวกนั้นจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเสี่ยงเดินทางผ่านสถานที่เหล่านั้น

แม้ในเขตตัวเมืองจะมีซอมบี้ซ่อนตัวอยู่ แต่คนที่ออกมาทำภารกิจรวบรวมทรัพยากรที่นอกฐานมักต้องเดินทางผ่านสถานที่บางแห่งอยู่เป็นประจำ สภาพท้องถนนและสถานการณ์บนถนนเหล่านั้นมักดีกว่าถนนตามตรอกซอกซอย หากใช้เส้นทางดังกล่าวก็อาจจะไม่อันตรายมากนัก

ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนออกปฏิบัติการคราวนี้หลัวซวินได้ให้เหยียนเฟยปรับปรุงอาวุธของพวกเขาเป็นพิเศษอีกครั้ง สร้างลูกกระสุนที่มีพลังทำลายล้างสูงขึ้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการออกนอกฐานคราวนี้ให้มากขึ้น

ครั้งนี้พวกหลัวซวินตั้งใจขับรถพลังงานไฟฟ้าสีขาวสองคันและรถบรรทุกขนาดใหญ่สีแดงสองคันออกมา ในช่องบรรทุกของและตู้คอนเทนเนอร์ นอกจากเสบียงและสัมภาระจำเป็นที่ต้องพกมาด้วยแล้ว ยังมีโลหะที่เหยียนเฟยจงใจซ่อนไว้ในรถแต่ละคันด้วย

พวกหลัวซวินประมาณการกันว่า ออกมาข้างนอกคราวนี้คงใช้เวลานาน ดังนั้นก่อนออกเดินทางจึงตั้งระบบแสงสว่างในห้องเพาะปลูกแต่ละห้องไว้ กำหนดเวลาให้เปิดปิดเองอัตโนมัติ และสร้างระบบป้องกันความปลอดภัยให้แผงพลังงานแสงอาทิตย์บนผนังและดาดฟ้า รวมถึงกระจกหลังคาของโรงเรือนเพาะปลูกไว้แล้ว เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยขับรถออกจากอุโมงค์ลับ มุ่งหน้าสู่ถนนสายหลักที่ใช้ขึ้นเหนือด้วยความรู้สึกกังวลใจเพียงเล็กน้อย

 

เมืองเอมีขนาดใหญ่มาก ทุกคนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลกแล้ว หากเป็นสมัยก่อนซึ่งมียานพาหนะและถนนหนทางสะดวกสบาย ถ้ารถไม่ติด อย่างมากใช้เวลาแค่ประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็ไปถึงที่หมายแล้ว ทว่าในยุคสมัยที่สภาพถนนเดินทางยากลำบาก มีทั้งซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ออกมาเพ่นพ่านทั่วไปหมด อีกทั้งมนุษย์ต่างต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดแบบนี้ เวลาในการเดินทางก็คล้ายยืดยาวออกไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แท้จริงแล้วต้องใช้เวลากี่วันเหรอกว่าจะถึงที่นั่น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดวงและความสามารถของแต่ละคน

ในช่วงแรกของยุควันสิ้นโลก บางคนซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน พอเสบียงเริ่มร่อยหรอขาดแคลนก็จำเป็นต้องหาทางรอดโดยการอพยพไปยังฐานที่มั่นต่างๆ ในเมืองเอ ทั้งที่เดิมทีพวกเขาเป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเออยู่แล้ว แต่ระยะทางจากบ้านไปถึงฐานที่มั่นกลับต้องใช้เวลาเดินเท้าถึงสิบกว่าวันไปจนกระทั่งเกือบหนึ่งเดือนเลยก็มี เพราะแบบนี้การเดินทางจากบ้านนานๆของพวกหลัวซวินครั้งนี้จึงพอเข้าใจได้

สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้ดีกว่าช่วงก่อนมาก ก็พวกเขามีทั้งรถที่ขนอาวุธต่างๆ นานามาด้วยได้ มีทั้งแผนที่ดาวเทียมสำหรับสำรวจหาเส้นทางที่ปลอดภัย และที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสมาชิกทีมเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องระมัดระวังตัวสูงมากอยู่เสมอ นอกจากต้องกังวลเรื่องซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์แล้ว ยังต้องระวังการพบเจอกับคนอื่นๆ กลางทางด้วย

ระยะนี้ฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านพ้นเรื่องคลื่นซอมบี้ไปแล้ว ทางฐานที่มั่นก็เตรียมการปฏิรูปขั้นเด็ดขาด ช่วงนี้คงกำลังเร่งสร้างพรมแดนระหว่างเขตชั้นในกับชั้นนอก โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งที่ชัดเจนประกาศออกมา มีเพียงเจ้าหน้าที่ภายในบางส่วนและบุคคลที่มีเส้นสายบางคนเท่านั้นที่รู้ข่าวนี้แล้ว

หลังจากคลื่นซอมบี้ถอนกำลังออกไปได้ไม่นาน ทางกองทัพก็รีบส่งรถทางทหารไปยังพื้นที่ที่เป็นเหมืองแร่เก่าเพื่อขนทรัพยากรจำนวนมหาศาลกลับมา

ความคิดของชนชั้นผู้นำในฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ก็คือ ต้องเพิ่มความสูงและความแข็งแกร่งของกำแพงชั้นกลางก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากการเตรียมการเหล่านี้ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็ค่อยเริ่มแบ่งแยกพลเมืองที่จะได้อยู่ในเขตชั้นในหรือชั้นนอก

เพียงแต่ประเทศของพวกเขาแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นสังคมระบบสายสัมพันธ์ จึงเป็นเรื่องยากที่จะรับประกันได้ว่าคนที่รู้ข่าวนี้ตั้งแต่แรกจะไม่เล่าให้ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงฟัง และญาติสนิทมิตรสหายเหล่านั้นก็อาจจะนำข่าวนี้ไปบอกต่อเป็นทอดๆ อีก ไปๆ มาๆ ข่าวนี้ก็จะถูกกระจายต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้คนเหล่านั้นจะไม่รู้ข้อมูลที่แน่ชัด แต่ก็เกิดเป็นข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วฐานที่มั่นได้แล้ว… ‘ทรัพยากรในฐานที่มั่นมีเหลือไม่มากแล้ว กองทัพกับเหล่าผู้มีพลังพิเศษเตรียมจะยึดทรัพย์สินส่วนตัวของทุกคน!’

หลังจากคำพูดทำนองนี้แพร่สะพัดออกไป ก็จะมีคำพูดตามมาประมาณว่า ‘อีกหน่อยก็แจกจ่ายคืนตามผลงานของทุกคนเองแหละ’ คนที่ยากจนข้นแค้น ในบ้านไม่มีสมบัติพัสถานอะไรอยู่แล้วย่อมไม่เดือดร้อน ตรงกันข้ามกลับรู้สึกยินดีปรีดา เผ้ารอให้มีคำสั่งนี้ออกมาไวๆ ด้วยซ้ำ แต่คนที่มีทรัพย์สมบัติย่อมรู้สึกไม่เหมือนกัน ใครจะยอมยกข้าวของในบ้านตัวเองไปแบ่งสันปันส่วนให้คนอื่นกันล่ะ เว้นแต่ของที่แจกจะเยอะกว่าของที่ต้องสูญเสียไป แต่กรณีแบบนั้นแค่คิดก็รู้แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้

โชคดีที่มีข่าวลือตามมาลดความแตกตื่นในฐานที่มั่นเสียก่อน… ‘เรื่องนี้จะดำเนินการเฉพาะเขตฐานที่มั่นชั้นในเท่านั้น ยังไม่ถึงวาระของเขตฐานที่มั่นชั้นนอก’

เพียงแต่ชั่วเวลาสั้นๆ แค่สามวัน ผู้คนก็ย้ายออกจากตึกรามบ้านช่องในเขตฐานที่มั่นชั้นในไปแทบทั้งหมด ยกเว้นคนจำนวนหนึ่งซึ่งแทบไม่มีทรัพย์สินติดบ้านจึงยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น บางคนที่มีเส้นสายลู่ทางคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ครอบครัวของพวกตนฉกฉวยผลประโยชน์ได้บ้าง และสุดท้ายคือคนบางพวกที่โลกสวย ใช้ชีวิตเรื่อยเฉื่อยสบายๆ จึงยังอาศัยอยู่ที่เดิม

กลายเป็นว่าที่เขตฐานที่มั่นชั้นนอกกลับคึกคักขึ้นทันตา ขณะที่ผู้คนกำลังแย่งชิงที่อยู่อาศัยในเขตชั้นนอก ก็ช่วยลดภาระงานโยกย้ายพลเรือนของเบื้องบนไปโดยไม่ตั้งใจ

ในเวลาเดียวกัน ทีมผู้มีพลังพิเศษคงยอมออกไปทำภารกิจข้างนอกแต่โดยดี จุดยืนของทีมผู้มีพลังพิเศษเหมือนกับของกองทัพ และได้บรรลุข้อตกลงกันนานแล้ว ซึ่งจะไม่กระทบต่อภารกิจและงานของพวกเขา

ดังนั้นตอนที่พวกหลัวซวินขับรถกันมาหนึ่งวันกว่าๆ ถึงบริเวณใกล้กับฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ พวกเขาจึงเจอขบวนรถที่บ้างก็ออกมาจากฐานที่มั่น บ้างก็กำลังมุ่งหน้ากลับไปอยู่เป็นระยะ

เหยียนเฟยยังคงรวบรวมโลหะจากสิ่งปลูกสร้างตามรายทางมาตลอด หนึ่งวันกว่ามานี้เขาสะสมโลหะจนสร้างรถตันๆ ออกมาได้หนึ่งคัน โดยทำเป็นทรงรถจี๊ปสีหม่นๆ เก่าๆ ไม่โดดเด่นสะดุดตา ทั้งยังใช้โลหะต่างสีต่างชนิดมาประกอบเป็นรูปร่างให้ใกล้เคียงกับส่วนต่างๆ ของตัวรถ ทำให้ต่อให้มีทีมอื่นเฉียดเข้ามาใกล้ก็คิดว่านี่เป็นรถของจริง แม้แต่ส่วนที่ทำให้คล้ายกระจกก็ยังลวงตาให้รู้สึกเหมือนเป็นกระจกรถฟิล์มทึบของจริง

หลังจากสร้างรถเสร็จ เหยียนเฟยก็ควบคุมรถปลอมคันนั้นให้วิ่งอยู่หน้ารถของเขากับหลัวซวิน ซึ่งตามหลังรถของจางซู่กับหวังตั๋วอีกที… จางซู่ต้องคอยตรวจสอบสถานการณ์ของเส้นทางข้างหน้าออกไปไกลๆ ว่ามีอันตรายหรือไม่อยู่ตลอดเวลา เขากับหวังตั๋วจึงใช้รถพลังงานไฟฟ้าคันเล็กนำขบวนเบิกทางอยู่หน้าสุด เหยียนเฟยกับหลัวซวินขับรถบรรทุกคันใหญ่ตามหลังมาติดๆ พวกหลี่เถี่ยขับรถบรรทุกคันใหญ่อีกคันตามมาเป็นคันที่สาม สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงขับรถพลังงานไฟฟ้าอยู่รั้งท้ายขบวน

ถ้าระหว่างทางรวบรวมโลหะได้มากพอจะสร้างรถจี๊ปได้อีกสองสามคัน หลัวซวินก็ตั้งใจจะให้แล่นไประหว่างรถของจางซู่กับรถของเขาเหมือนอย่างรถจี๊ปคันแรกทั้งหมด หรือไม่ก็อาจใส่ไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ของรถบรรทุกให้รู้แล้วรู้รอดเลยก็ได้

และแล้วขบวนรถของพวกเขาก็มีจำนวนรถเพิ่มขึ้นมาอีกสองคัน ทีมอื่นที่ขับผ่านมาอย่างมากก็แค่มองสังเกตอยู่ห่างๆ แต่กลับไม่เข้าประชิด ต่อให้เป็นช่วงพักแรมตอนกลางคืนแล้วมีทีมอื่นอยู่ไม่ไกล คนพวกนั้นก็ไม่คิดจะเข้าใกล้พวกหลัวซวิน เพราะต่างฝ่ายต่างก็หวาดระแวงกันและกัน

เมื่อคนอื่นไม่เข้าหา พวกหลัวซวินย่อมไม่เป็นฝ่ายเข้าไปใกล้ก่อนแน่นอน กระทั่งขับเข้ามาในเขตตัวเมือง ทีมเหล่านั้นส่วนใหญ่ต่างแยกย้ายไปยังสถานที่เป้าหมายเพื่อทำภารกิจของตัวเอง

เดิมทีทีมโอตาคุกะจะหาที่ว่างเพื่อสร้างกำแพงตั้งฐานทัพชั่วคราวสำหรับพักค้างคืน แต่หลังจากเข้าสู่เขตตัวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยอาคาร ความคิดนี้ก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป ส่วนเรื่องว่าจะพักแรมกันอย่างไร… ถ้าไม่นอนในรถของตนเอง ก็ต้องหาบ้านว่างๆ สักหลังใช้เป็นที่ค้างคืนชั่วคราวไปก่อน

ที่ตัดสินใจแบบนี้ ประการแรกเป็นเพราะตามท้องถนนในเขตตัวเมืองมีที่โล่งว่างน้อยมาก ไม่เพียงพอให้พวกเขาสร้างฐานทัพโลหะได้เลย ประการที่สองเพราะมีผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน ถ้าเกิดกลางดึกมีคนผ่านมาเจอเข้า อาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากได้

ดังนั้นช่วงเย็นวันที่สามของการออกนอกฐานทัพครั้งนี้ หลังจากพวกหลัวซวินกำจัดซอมบี้ที่อยู่ละแวกใกล้เคียงหมดแล้ว ก็ตัดสินใจเลือกร้านค้าติดถนนร้านหนึ่งเป็นที่พักแรม

คนทั้งกลุ่มล็อกรถเสร็จเรียบร้อยก็นำสัมภาระติดตัวเข้าไปในร้านที่ดูสะอาดสะอ้านพอควรร้านหนึ่ง พวกเขาเดินตรวจดูรอบๆ ว่ามีซอมบี้ซ่อนอยู่ข้างในหรือไม่ ครั้นแล้วก็พบว่า… ภายในร้านนี้ ‘สะอาดสะอ้าน’ เหมือนกับสภาพร้านไม่มีผิด

ที่จริงที่นี่อยู่ไม่ไกลจากฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ แถมแถวนี้ก็มีซอมบี้ไม่มากนัก ทีมที่มีความระมัดระวังตัวสูงหลายๆ ทีมจึงเลือกมาแถวนี้กันทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าเวลานี้สินค้าต่างๆ ที่เคยอยู่ในร้านนี้ไม่เหลือเลยสักชิ้น แม้แต่ชั้นโชว์สินค้าและประตูหน้าต่างก็หายไปแบบไร้ร่องรอย

ภายในร้านว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลือ ขนาดวอลล์เปเปอร์บนผนังยังถูกลอกออก กระเบื้องปูพื้นก็ไม่มีแล้ว นับประสาอะไรกับของอย่างอื่นล่ะ

หลังจากทุกคนเดินวนดูมาสองรอบแล้วต่างพยักหน้าเป็นเชิงเห็นพ้องต้องกันว่า… ดีเลย คืนนี้เราค้างที่นี่กันเถอะ

เหยียนเฟยไม่ต้องขยับรถโลหะตันๆ สองคันด้านนอกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาแค่โบกมือก็เรียกโลหะจากย่านที่อยู่อาศัยด้านหลังออกมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว จากนั้นก็หุ้มปิดร้านทั้งหลังอย่างแน่นหนาด้วยโลหะเหล่านั้น โดยเว้นช่องหน้าต่างไว้ถ่ายเทอากาศและช่องสำหรับสังเกตการณ์ เพียงครู่เดียวร้านแห่งนี้ก็ได้รับการปกป้องคุ้มกันอย่างดีแล้ว

ทุกคนวางสัมภาระลงแล้วล้างไม้ล้างมือ ก่อไฟหุงหาอาหาร หลัวซวินปลดเป้อุ้มเด็กออกจากหลังแล้วอุ้มซาลาเปาน้อยไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็ลูบสำรวจดูเป้าผ้าอ้อมว่าซาลาเปาน้อยฉี่หรือยัง อวี๋ซินหรันเอาสตรอว์เบอร์รี่ที่หยิบจากตู้เย็นในรถมาป้อนเจ้าตัวเล็กหนึ่งผล

ในช่วงเวลาที่สงบสุขแบบนี้ จู่ๆ ก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม และเสียงบีบแตรดังถี่กระชั้นมาจากถนนด้านนอกที่อยู่ไกลออกไป…

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า